Skip to content

บุรุษน่าตาย 9

Cover Bn For Web

Chapter 9

ราชันศาสตรา

หรือว่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น!?

ไอหยา! เจ้าหนูหลินนี่ไวจริงๆ! เก็บศิษย์อัจฉริยะไปก่อนพวกเขาเสียแล้ว!

บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนรู้สึกเสียดายกันถ้วนหน้า ที่ถูกเจ้าหนูหลินผู้อาวุโสสิบแปดรับศิษย์อัจฉริยะไปก่อนพวกเขา มิน่าล่ะพวกเจ้าหนูหลินถึงได้พากันมาดูงานประลอง ที่แท้ก็มาให้กำลังใจเจ้าศิษย์คนนั้นนี่เอง

“เจ้าหนู มานี่มา” เจ้าสำนักโอสถกวักมือเรียก เฉินมู่อิ๋งเห็นเจ้าสำนักกวักมือเรียกตัวเองจึงเดินไปหา เขากุมมือคารวะเจ้าสำนัก “ท่านเจ้าสำนัก”

“เอ้า” เจ้าสำนักยื่นป้ายหยกสีน้ำเงิน* กับสีเหลือง** ให้ เฉินมู่อิ๋งรับมา “ขอบคุณขอรับ”

(สีป้ายหยกศิษย์สำนักโอสถ

สีดำ=ศิษย์เข้าใหม่

สีน้ำตาล=ศิษย์ปฐพี หลอมโอสถระดับปฐพีได้

สีฟ้าคราม=ศิษย์นภา หลอมโอสถระดับนภาได้

สีน้ำเงินเข้ม=ศิษย์สวรรค์ หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้

สีเหลือง=ผู้อาวุโส หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้

สีทอง=เจ้าสำนัก)

“ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือผู้อาวุโสคนที่ยี่สิบสี่ของสำนักโอสถ” เจ้าสำนักบอกคล้ายกับจะประกาศกลายๆ แล้วบอกผู้อาวุโสยี่สิบสี่ที่ได้รับตำแหน่งหมาดๆ ว่า “เจ้าหยดเลือดเจ้าลงบนป้ายหยกทั้งสองซิ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วหยิบเข็มออกมาจิ้มปลายนิ้วตัวเองให้เลือดไหล เขาหยดเลือดลงบนป้ายหยกทั้งสองอัน ป้ายหยกก็เปล่งแสงสีน้ำเงินกับสีเหลืองออกมาแวบหนึ่ง บนป้ายสีน้ำเงินก็ปรากฎชื่อขึ้นมา ‘เฉินมู่อิ๋ง’ กับ ‘ศิษย์ระดับสวรรค์’ ส่วนป้ายสีเหลืองก็ปรากฎชื่อเช่นกัน ‘เฉินมู่อิ๋ง’ กับ ‘ผู้อาวุโสยี่สิบสี่’

“ป้ายสองอันนี้ เจ้าเลือกใช้ตามสะดวกเถอะ” เจ้าสำนักบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มแล้วพูดขอบคุณ “ขอบคุณขอรับ”

“ไปนั่งพักก่อนเถอะ” ตี้โฮ่วในคราบผู้อาวุโสสิบแปดบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้ตี้โฮ่วแล้วเดินไปนั่งข้างๆ พี่จินเย่ จินเย่ก็ถาม “เป็นอย่างไร? เหนื่อยมากไหม?”

“พอทนได้” เฉินมู่อิ๋งตอบแล้วเอาน้ำออกมาดื่ม จากนั้นก็นั่งดูศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังหลอมโอสถไม่เสร็จ เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถหลอมโอสถระดับสวรรค์ออกมาได้

“ยินดีด้วยๆ” เสี่ยงเฟิ่งบอกพลางยิ้มแย้มให้ หลงจิ่งเทียนก็เอ่ยเช่นกัน “ยินดีด้วย”

“ขอบคุณ” เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้องค์รัชทายาททั้งสอง หลงจิ่งเทียนรู้สึกใจเต้นตึกๆ จนต้องเบนสายตาไปมองทางอื่น ใช่! เขาชอบนางตั้งแต่แรกเห็นใบหน้าแท้จริงของนางแล้ว ความชอบนี้นับวันก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาพยายามหาโอกาสใกล้ชิดนางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวเฟิ่งก็ดูออกว่าสหายชอบแม่นางเฉิน เมื่ออยู่กันตามลำพังทีไรเขาก็มักจะเย้าแหย่เจ้ามังกรหน้าตายนี่เสมอ เขายกแขนวางบนบ่าหลงจิ่งเทียน ยักคิ้วล้อ หลงจิ่งเทียนก็มองสหายทีหนึ่งแล้วทำหน้าเฉย

เวลาผ่านไป ในที่สุดศิษย์บนลานประลองก็หลอมโอสถเสร็จสิ้น ยังไม่มีใครหลอมโอสถระดับสวรรค์ได้เหมือนเช่นผู้อาวุโสยี่สิบสี่ ทำให้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้ตกเป็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ไปโดยปริยาย พวกศิษย์ทั้งหลายที่พ่ายแพ้ไปล้วนทำหน้าตามุ่งมั่นยิ่งนัก

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมคิดจะกลับไปฝึกฝนให้หนักๆ จะต้องทะลวงระดับให้ได้! จะยอมน้อยหน้าศิษย์ขั้นต้นที่เลื่อนระดับไปจนกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอีกคนได้อย่างไร! ไม่ยอม! คอยดูเถอะข้าจะต้องหลอมโอสถระดับสวรรค์ออกมาให้ได้!

รางวัลผู้ชนะในการประลองครั้งนี้จึงตกเป็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่กับอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนเรือนพักของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ก็ค่อยสร้างให้ในวันอื่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องถามความเห็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ก่อนว่าอยากจะสร้างเรือนตรงไหน อีกทั้งรูปแบบของเรือนชอบแบบไหน เรียกว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จริงๆ

เมื่อการประลองจบลง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป จิงจ้านที่อยู่ในหมู่คนนอกสำนักก็เดินตามผู้คนออกจากสำนักไปเช่นกัน เขาย่อมไม่ลงมือผลีผลามใจร้อนเด็ดขาด ในเมื่อเจอตัวคนแล้ว เขาก็แค่คอยเฝ้าอยู่นอกสำนัก จับตาดูว่าเจ้าเด็กนั่นออกจากสำนักเมื่อไหร่เขาก็จะหาโอกาสจับมันไปให้องค์ราชาให้จงได้!

“เอาล่ะ พวกเราก็กลับกันเถอะ” ตี้โฮ่วบอก คนอื่นๆ ก็พยักหน้า ตี้โฮ่วเดินนำไป คนอื่นๆ ก็เดินตามไป เจ้าสำนักโอสถมองส่งตี้โฮ่วไปจนกระทั่งคนกลุ่มนั้นลับตาไปแล้วเขาจึงได้ดึงสายตากลับมามองผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่แล้วพูดว่า “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าตี้…เอ่อ เจ้าหนูหลินสอนเด็กพวกนั้นอย่างไรถึงได้ทะลวงระดับกันเร็วยิ่งนัก?”

“นั่นซิ ศิษย์ข้าสอนสั่งมาตั้งนานยังไม่ทะลวงระดับเสียที เห็นทีข้าคงต้องขอเคล็ดลับจากผู้อาวุโสสิบหกกับสิบเจ็ดเสียแล้ว” ผู้อาวุโสรองพูดขึ้นมา ใช่ นับตั้งแต่ผู้อาวุโสสิบหกหลินยี่จื่อเป็นต้นไป คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกเดียวกันกับผู้อาวุโสสิบหกทั้งหมด ผู้อาวุโสสิบเจ็ดหลินจือหยีก็เป็นฮูหยินของผู้อาวุโสสิบหก ผู้อาวุโสสิบแปดหลินเฮ่อ(หลินจื่อเซียน)ก็เป็นลูกชายของผู้อาวุโสสิบหก ผู้อาวุโสสิบเก้ามู่เจา(จ้าวมู่)คนนั้นก็เป็นอาจารย์ของผู้อาวุโสสิบแปด ผู้อาวุโสยี่สิบฟางเฉียน(เฉินรุ่ยฟาง)ก็เป็นสหายของผู้อาวุโสสิบแปด องค์รัชทายาทเผ่าเฟิ่งกับองค์รัชทายาทเผ่ามังกรก็เป็นน้องบุญธรรมของผู้อาวุโสสิบแปด ซ้ำพวกเขายังครองตำแหน่งผู้อาวุโสยี่สิบสองกับยี่สิบสาม ส่วนผู้อาวุโสยี่สิบเอ็ดจินเย่คนนั้นก็เป็นน้องบุญธรรมของผู้อาวุโสสิบแปดอีก

“ข้าว่าเชิญผู้อาวุโสสิบหกมาสอนศิษย์ไม่ดีกว่าหรือ?” ผู้อาวุโสสามเสนอขึ้นมา ผู้อาวุโสคนอื่นๆ คิดๆ แล้วผู้อาวุโสรองก็พูดขึ้นว่า “ความคิดท่านเข้าท่า”

“อืมๆ” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เห็นด้วย เจ้าสำนักมองผู้อาวุโสท่านอื่นๆ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะลองไปคุยกับผู้อาวุโสสิบหกก่อน หากว่าเขารับก็ดี”

“เสนอหยกให้เขามากๆ หน่อย ข้าว่าเขาต้องรับแน่นอน” ผู้อาวุโสรองพูดขึ้นมา เจ้าสำนักฟังแล้วไม่พูดอะไรอีก คนอื่นๆ ไม่รู้ฐานะแท้จริงของผู้อาวุโสสิบแปด จึงคิดว่าเสนอผลประโยชน์ให้มากๆ หน่อยคนเหล่านั้นย่อมตาโตเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ คงยอมรับปากมาสอนง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วผู้อาวุโสสิบแปดก็คือตี้โฮ่ว ดังนั้นผลประโยชน์ต่างๆ ของทั้งสำนักยังไม่พอที่จะจูงใจตี้โฮ่วด้วยซ้ำ เรียกว่าต่อให้ยกสำนักให้นางไปเลย นางก็ยังไม่เห็นสำนักอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เจ้าสำนักคิดแล้วจึงบอกผู้อาวุโสคนอื่นๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าจะไปคุยเอง”

“ขอรับ” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ รับคำ เจ้าสำนักจึงเดินจากไป แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาต้องไปคุยกับตี้โฮ่วด้วยตัวเอง เขาไม่ไว้ใจให้คนอื่นไปคุยเด็ดขาด คนอื่นไม่รู้เรื่องเดี๋ยวจะไปพูดอะไรผิดหูตี้โฮ่วเข้า นางได้โยนคนออกมาน่ะซิ ไม่ใช่ว่าตี้โฮ่วจะเอาแต่ใจจนไม่ฟังเหตุผล เพียงแต่พวกผู้อาวุโสไม่รู้ว่าเจ้าหนูหลินก็คือตี้โฮ่ว ให้พวกเขาไปคุย พวกเขาก็คิดเสนอผลประโยชน์อย่างเดียว เสนอมากๆ เท่าที่พวกเขาคิดว่ามากที่สุดแล้ว หากว่าผู้อาวุโสสิบหกไม่สนใจก็ย่อมปฏิเสธอย่างไม่แยแส จะพาลให้พวกผู้อาวุโสเกิดโมโหขึ้นมา อาจจะพูดจาอะไรผิดหูกันขึ้นมาก็ได้

ส่วนเขาไม่ได้คิดไปคุยกับผู้อาวุโสสิบหก เพราะเขามุ่งเป้าไปที่ตี้โฮ่ว คุยกับตี้โฮ่วคนเดียว ตี้โฮ่วว่าอย่างไร ผู้อาวุโสสิบหกก็ย่อมเห็นดีเห็นงามตามลูกสาวอยู่แล้ว ขนาดตี้จวินยังตามใจตี้โฮ่ว เหอๆๆๆ… เข้าทางตี้โฮ่ว เรื่องจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อยู่ที่การตัดสินใจของตี้โฮ่วคนเดียว ตี้โฮ่วว่าดี คนอื่นๆ จะไม่ว่าดีตามได้อย่างไร หึๆๆๆ…

เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน รอไว้สักสองสามวันก็ได้เดี๋ยวเขาค่อยพาช่างสร้างเรือนไปคุยกับผู้อาวุโสยี่สิบสี่

แล้วก็ถือโอกาสคุยกับตี้โฮ่วด้วยเลย หึๆๆๆ…

ตี้โฮ่วออกมาจากสำนักแล้วก็ฉีกช่องว่างพาทุกคนกลับตำหนักไป๋หยุน จิงจ้านที่คอยจับตาดูอยู่ เห็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นตามคนกลุ่มหนึ่งไปเขาคิดจะแอบตามไป แต่เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นเข้าไปในช่องว่างที่ฉีกออกเขาจึงไม่อาจตามไปได้ เขาได้แต่เจ็บใจที่คลาดกับเจ้าเด็กนั่นเสียแล้ว! ฮึ่ม!

เทพที่ฉีกช่องว่างได้ย่อมไม่ใช่เทพระดับต่ำ คนๆ นั้นเป็นเทพระดับสูง เขาย่อมไม่อาจตามเข้าไปในช่องว่างนั้นด้วยได้ เพราะจะทำให้เทพคนนั้นรู้ตัว ในเมื่อคลาดกับเจ้าเด็กนั่นแล้วเขาจึงคิดจะไปหาองค์ราชาก่อน รายงานเรื่องที่พบเจ้าเด็กเซียนให้องค์ราชารับรู้ ถึงแม้ว่าจะคลาดกันไปแต่เขาแน่ใจว่ายังมีโอกาสที่จะตามหาตัวมันพบแน่ เพราะเขาจะกลับมาคอยเฝ้าอยู่นอกสำนักโอสถอีกครั้ง มันกลับมาเมื่อไหร่เขาก็จะเฝ้าจับตาดูมัน เขาคิดๆ แล้วก็ทิ้งร่างแยกเอาไว้ 1 ร่าง ซึ่งร่างแยกนี้ขั้นพลังอ่อนกว่าร่างจริงมาก แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับการจับตาดูอยู่ที่นี่ เมื่อทิ้งร่างแยกเอาไว้แล้วเขาก็เอาหยกอาคมเคลื่อนย้ายออกมาแล้วเดินไปหาที่ลับตาผู้คนบีบหยกให้แตก พลัน! ใต้เท้าเขาก็ปรากฎอาคมเคลื่อนย้ายสีม่วงขึ้นมา แสงสีม่วงสว่างวาบแล้วหายไป เมื่อแสงหายไปแล้วจิงจ้านก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ส่วนร่างแยกก็ไปเฝ้าอยู่แถวๆ ประตูสำนักโอสถ คอยเฝ้าจับตาดูเจ้าเด็กคนนั้นว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

จิงจ้านปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าองค์ราชา หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านสายตาเย็นชา จิงจ้านกุมมือคารวะ “องค์ราชา”

“อืม” หยางเจียงหยุนส่งเสียงคำหนึ่ง จิงจ้านจึงรายงานว่า “ข้าพบเจ้าเด็กเซียนคนนั้นแล้วขอรับ เสียดายที่คลาดกับมันตรงนอกสำนักโอสถขอรับ”

“ข้าเห็นมันแล้ว” หยางเจียงหยุนบอก จิงจ้านเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ หยางเจียงหยุนจึงบอกว่า “ก่อนเจ้ามา ข้าเห็นมันกลับมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วก็เข้าไปในตำหนักของตี้จวินแล้ว”

ใช่ เขาเห็นตั้งแต่ที่คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักของตี้จวิน เห็นเทพคนหนึ่งฉีกช่องว่างแล้วคนกลุ่มนั้นก็พากันเข้าไปในช่องว่างนั้น เขาเห็นเจ้าเด็กเซียนคนนั้นอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นจึงมองอย่างตะลึง แต่เขาก็ไม่อาจตามมันไปได้ เพราะจะทำให้คนเหล่านั้นรู้ตัว อีกทั้งเป้าหมายหลักของเขาก็คือเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น ซึ่งมันน่าจะยังอยู่ในตำหนักไป๋หยุน เขาจึงเฝ้ารออย่างใจเย็นต่อไป จนกระทั่งเห็นเทพกลุ่มนั้นฉีกช่องว่างกลับมา เห็นเจ้าเด็กเซียนคนนั้นกลับมาด้วยเช่นกัน เห็นพวกนั้นเข้าไปในตำหนักไป๋หยุน แล้วจิงจ้านก็ใช้อาคมเคลื่อนย้ายมาพอดี

“หมายความว่าทั้งเจ้าเด็กมนุษย์ทั้งเจ้าเด็กเซียนนั่นล้วนเป็นคนของตี้จวินงั้นรึพะย่ะค่ะ?” จิงจ้านเอ่ยออกมา หยางเจียงหยุนพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

เขามองประตูตำหนักไป๋หยุนที่ปิดสนิท มองผนึกอาคมที่แข็งแกร่งยิ่งรอบๆ ตำหนักไป๋หยุน เขาสามารถทำให้ผนึกอาคมเกิดช่องโหว่พอที่จะลอบเข้าไปได้ แต่ทันทีที่ผนึกอาคมเกิดช่องโหว่ขึ้น แน่นอนว่าตี้จวินย่อมรู้ตัวทันทีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เสี่ยงเข้าไป รอคอยให้เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งออกมาจากตำหนักไป๋หยุนเอง

“เอ่อ…องค์ราชาพะย่ะค่ะ” จิงจ้านเรียกแล้วรายงานว่า “ตอนที่ข้าน้อยลอบเข้าไปในตำหนักของเทพดวงชะตา ข้าน้อยพบบันทึกของเฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งสองคนนั้นด้วยพะย่ะค่ะ พวกเขาสองคนเกิดใหม่แล้วพะย่ะค่ะ”

“เกิดใหม่ที่ใด?” หยางเจียงหยุนถาม จิงจ้านตอบ “โลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 แคว้นซินหยางพะย่ะค่ะ”

หยางเจียงหยุนคิดๆ เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น ตอนที่มันเป็นลูกของสองคนนี้มันรักทั้งสองคนมาก ถ้าหากว่าใช้สองคนนี้มาล่อมันเพื่อฆ่ามันทิ้งคงล่อมันออกมาได้ง่ายดายแน่นอน คิดแล้วเขาจึงสั่งจิงจ้านว่า “เจ้านำเรือเยว่กวงไป จับตัวมนุษย์สองคนนี่กลับมาเป็นๆ”

สั่งแล้วเขาก็ส่งเรือเยว่กวงที่ลดขนาดลงจนเท่ากำมือให้จิงจ้าน จิงจ้านรับมาพลางขานรับคำสั่ง “พะย่ะค่ะ”

จิงจ้านเก็บเรือเยว่กวงไปแล้วกุมมือคารวะทีหนึ่ง จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าออกจากแดนเทพไปทันที เขาจะต้องเร่งเดินทางไปโลกแห่งนั้นให้ไวที่สุดแล้วก็จับมนุษย์ทั้งสองคนนั้นกลับมาให้องค์ราชา จับมนุษย์สองคนนั้นง่ายยิ่งกว่าจับมดตัวหนึ่งเสียอีก แต่ที่จะทำให้เสียเวลาก็คือระยะทางระหว่างแดนเทพกับโลกแห่งนั้นไม่ใกล้กันเลย กว่าจะเดินทางไปและกลับคงใช้เวลานานทีเดียว ต่อให้เร่งเดินทางสุดกำลังก็ยังใช้เวลาหลายเดือน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องเร่งเดินทางไปจับคนมาให้องค์ราชาให้เร็วที่สุด จะปล่อยให้องค์ราชารอนานไม่ได้!

หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านที่ลับตาไปแล้ว เขาดึงสายตากลับมามองประตูตำหนักไป๋หยุนอย่างเงียบๆ จุดที่เขาอยู่ไม่เป็นที่สะดุดตา ยากที่คนอื่นจะมองเห็นได้ง่าย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก เขาซุ่มแอบดูอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานแล้วคนในตำหนักก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้ตัวว่ามีคนมาแอบซุ่มอยู่ตรงนี้ หากว่าคนพวกนั้นรู้ตัวก็คงมาล้อมจับเขาแล้ว เขานั่งลงขัดสมาธิแล้วมองประตูตำหนักไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนพลังไปด้วย

เฉินมู่อิ๋งกลับถึงตำหนักก็นอนพัก วันถัดมาเขาตื่นขึ้นมาก็ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเช่นเคย ไปช่วยทำกับข้าวในโรงครัว กินข้าวอิ่มแล้วก็ฝึกหลอมโอสถ ฝึกหลอมศาสตราไป

3 วันต่อมา เจ้าสำนักโอสถก็ไปขอเข้าเฝ้าตี้โฮ่ว เขาร้องเรียกอยู่หน้าประตูตำหนักไป๋หยุน “ข้า เจ้าสำนักโอสถมาเข้าเฝ้าตี้โฮ่วพะย่ะค่ะ”

หยางเจียงหยุนมองเจ้าสำนักโอสถ จนกระทั่งเห็นประตูตำหนักเปิดออก คนข้างในเดินออกมา เจ้าสำนักโอสถรีบกุมมือคารวะ “ท่านหานห้าวตง ข้ามาเข้าเฝ้าตี้โฮ่ว”

“อ่อ” หานห้าวตงพยักหน้ารับรู้ กุมมือคารวะตอบแล้วผายมือเชิญ “เชิญท่านเจ้าสำนักรอที่ตำหนักรับรองก่อน ข้าจะไปรายงานให้”

“ขอบคุณมากๆ” เจ้าสำนักเดินตามไปแล้วไปรอที่ตำหนักรับรอง หานห้าวตงก็เดินไปรายงานตี้โฮ่ว

ประตูตำหนักไป๋หยุนปิดลง หยางเจียงหยุนจึงดึงสายตากลับมา

ภายในตำหนัก หลังจากที่ตี้โฮ่วได้รับรายงานจากหานห้าวตงแล้วเธอก็ไปพบเจ้าสำนักโอสถทันที เจ้าสำนักโอสถเห็นตี้โฮ่วเสด็จมาก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ “ตี้โฮ่ว”

“เชิญท่านเจ้าสำนักนั่งเถอะ ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก” ตี้โฮ่วบอก เจ้าสำนักโอสถนั่งลงวางท่าทางสบายๆ ขึ้นแล้วพูดว่า “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะจะมาคุยกับเจ้าสักหน่อย คือว่าข้าอยากขอให้ท่านพ่อเจ้าไปช่วยสอนศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักสักหน่อย เพื่อที่สำนักเราจะได้มีศิษย์มากความสามารถเพิ่มขึ้น”

“เรื่องนี้ หากจะจัดระบบการเรียนการสอนของสำนักใหม่ ข้าก็เห็นว่าดี นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้สำนักโอสถก็ปล่อยให้ศิษย์ศึกษาเองตามอัธยาศัย เรื่องนี้ก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเวลาที่ศิษย์บางคนมีปัญหาขึ้นมาอยากจะสอบถามอาจารย์แต่ละท่านก็เข้าถึงยากเย็นนัก ข้อนี้ไม่ดีเลย ทำให้ศิษย์หลายๆ คนคร้านจะรอ ถ้าจัดระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ มีตารางเรียนชัดเจน มีอาจารย์มาสอนตามเวลา ข้าคิดว่าคงจะทำให้ศิษย์ในสำนักพัฒนาไปมากแน่นอน” ตี้โฮ่วเอ่ยออกมา

“นี่?” เจ้าสำนักงุนงง ตี้โฮ่วเห็นเจ้าสำนักงงๆ จึงอธิบายว่า “จัดระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ก็คือ เช่นว่าวันที่ 1 ของทุกเดือนท่านก็สอนศิษย์ในสำนักเสียเอง 1 วันเป็นอย่างไร ศิษย์คนไหนอยากจะฟังท่านสอนก็ให้มารวมกัน วันที่ 2 ก็ให้ผู้อาวุโสรองเป็นคนสอน วันที่ 3 ก็ให้ผู้อาวุโส 3 เป็นคนสอน ตอนนี้มีผู้อาวุโสทั้งหมด 24 คนแล้ว รวมท่านด้วยก็เป็น 25 คน สอนศิษย์ในสำนักหมุนเวียนกันไปก็ 25 วันพอดี ส่วนวันที่เหลือก็หยุดสอนเพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายได้พักสมองบ้างอย่างไรล่ะ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”

เจ้าสำนักคิดๆ ตาม แล้วเบิกตาโต “วิธีนี้ดีๆๆ”

“เช่นนั้นท่านก็ไปคุยกับผู้อาวุโสท่านอื่นเถอะว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร แน่นอนว่าอาจารย์แต่ละท่านไม่ได้สอนเปล่าๆ หรอกนะ ต้องเรียกเก็บค่าเข้าเรียนจากศิษย์ด้วย เพียงแต่อย่าให้แพงเกินไปจนพวกศิษย์จ่ายไม่ไหวล่ะ” ตี้โฮ่วบอก เจ้าสำนักพยักหน้า “ได้ๆ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

เขาพูดแล้วก็ลุกไปทันที ตี้โฮ่วยิ้มแล้วเดินจากไป แนวคิดนี้เธออยากจะเสนอกับเจ้าสำนักมานานแล้วเพียงแต่ว่าช่วงก่อนๆ ก็ยุ่งมากทีเดียวเลยทำให้ไม่ได้เสนอแนวคิดนี้ออกไปสักที หากว่าทำตามแนวคิดนี้แล้วล่ะก็สำนักโอสถย่อมพัฒนาไปมากยิ่งกว่านี้แน่นอน ดูอย่างสำนักที่หนึ่งซิ เทียนโฮ่วก่อตั้งสำนักได้ไม่เท่าไหร่ก็ขยายสำนักไปเสียจนแทบจะทั่วทุกแห่งของแดนเทพแล้ว ที่ขยายสำนักสาขาไปได้มากขนาดนั้นก็เพราะเทียนโฮ่วนำการเรียนการสอนทำอาหารจากโลกบ้านเกิดมาสอนคนในสำนัก แล้วก็ให้คนในสำนักที่เรียนจบหลักสูตรไปเปิดสาขาในที่ต่างๆ ผลประโยชน์ก็แบ่งปันกันอย่างยุติธรรมมาก สำนักที่หนึ่งจึงได้ขยายไปเสียจนแทบจะทั่วแดนเทพแล้ว!

หากว่าสำนักโอสถมีการเรียนการสอนเหมือนอย่างมหาวิทยาลัยในโลกบ้านเกิดของเธอ รับรองว่าสำนักโอสถคงพัฒนาไปไกลยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน! ส่วนค่าเล่าเรียนก็ค่อยคิดอีกทีว่าควรจะเก็บเท่าไหร่ เพราะต้องดูศิษย์ที่ยากจนที่สุดในสำนักเป็นพื้นฐาน ไม่เช่นนั้นหากเรียกเก็บแพงเกินไปศิษย์ที่ยากจนที่สุดก็ไม่มีหยกมาจ่ายค่าเล่าเรียนน่ะซิ

หยางเจียงหยุนที่เฝ้าจับตาดูอยู่ เห็นเจ้าสำนักโอสถออกมาจากตำหนักไป๋หยุนแล้วก็ฉีกช่องว่างกลับไป เขาก็ละสายตาจากช่องว่างที่ปิดลงแล้วเฝ้ามองประตูตำหนักไป๋หยุนต่อไป

วันเวลาผ่านไป 6 เดือน จู่ๆ ก็เกิดเมฆครึ้มเหนือตำหนักไป๋หยุน แล้วก็มีสายฟ้าผ่าลงมาหลายสายทีเดียว สายฟ้าผ่าลงมาแล้วเมฆครึ้มก็สลายหายไป ภายในตำหนัก ตี้โฮ่วมองราชันศาสตราที่เฉินมู่อิ๋งเพิ่งหลอมเสร็จหมาดๆ อย่างยินดี เฉินมู่อิ๋งมองศาสตราเทพที่เขาเพิ่งจะหลอมเสร็จอย่างตื่นเต้นดีใจ เขาจับราชันศาสตราชิ้นนั้นแล้วเดินไปยื่นให้ตี้โฮ่ว “ข้าหลอมราชันศาสตราได้แล้ว”

“ดี เยี่ยมมาก” ตี้โฮ่วชม พลางรับค่าสอนของเธอมา เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ “ขอบคุณเจ้ใหญ่ที่ช่วยสั่งสอนข้าขอรับ”

“เจ้าก้าวหน้าข้าก็ดีใจ” ตี้โฮ่วบอกอย่างยินดีปลื้มปริ่ม เธอดีใจยินดีจริงๆ นะ ศิษย์มีความก้าวหน้าเธอจะไม่ดีใจได้อย่างไร โอ๊ย ปลื้มใจเสียจนน้ำตาจะไหลแล้ว!

“เจ้าใหญ่ ข้าไปนอนก่อนล่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วเดินกลับตำหนักไปทันที ตี้โฮ่วมองตามแล้วมองราชันศาสตราชิ้นนั้นแล้วเก็บไป

วันต่อมา เฉินมู่อิ๋งก็หลอมศาสตราอีก คราวนี้เขาตั้งใจเอาเกล็ดมังกรของพี่สาวมังกรออกมาหลอม แต่เกล็ดมังกรหลอมยากยิ่งกว่าโลหะอื่นเสียอีก ดังนั้นกว่าจะหลอมเหลวก็ใช้เวลาไปถึง 1 วัน 1 คืนเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งจึงเข้าใจคำว่าหลอมจนหมดพลังที่พี่จินเย่พูดถึงแล้ว เขารู้สึกเลยว่าพลังใกล้จะหมดเต็มที ตี้โฮ่วที่เดินมาดูเห็นเฉินมู่อิ๋งกำลังหลอมศาสตราพลังเทพใกล้จะหมดก็รีบเข้าไปรับช่วงต่อ เธอจุดเพลิงขึ้นมาแล้วบอกเฉินมู่อิ๋งว่า “ข้าจะรับช่วงต่อ เจ้าค่อยๆ ลดเปลวเพลิงลง”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ พลางค่อยๆ ลดเปลวเพลิงลง เขาเคยเห็นเสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนส่งต่อการหลอมมาแล้ว จึงรู้ว่าการหลอมก็สามารถรับช่วงต่อกันได้ด้วย เพียงแต่ว่าต้องควบคุมเปลวเพลิงให้ดีทั้งคนส่งและคนรับจะผิดพลาดไม่ได้เลย แต่เมื่อเปลวเพลิงของตี้โฮ่วค่อยๆ เข้าไปรับช่วงต่อกลับถูกพลังจากโลหะในเปลวเพลิงต่อต้าน ราวกับว่ามันไม่ยอมให้คนอื่นหลอมมันอย่างนั้นแหละ เธอจึงเลิกคิ้วขึ้น “หือ?”

“เอ๋?” เฉินมู่อิ๋งก็เลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกว่ามีพลังต่อต้านพุ่งออกมาจากเกล็ดของพี่สาวมังกร ไม่ยอมให้เปลวเพลิงของตี้โฮ่วเข้าใกล้ ตี้โฮ่วส่งเปลวเพลิงเข้าไปใกล้อีกครั้งก็รู้สึกถึงพลังต่อต้านออกมาเช่นเดิม เธอจึงเก็บเปลวเพลิงไปแล้วก้าวไปนั่งด้านหลังเฉินมู่อิ๋ง วางมือตรงแผ่นหลังช่วงเอวแล้วปล่อยพลังเข้าไปในจุดตันเถียนของเฉินมู่อิ๋งแทน เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงพลังที่เปี่ยมล้นขึ้นมาเขาจึงหลอมศาสตราต่อ ตี้โฮ่วก็ส่งพลังเข้าไปเรื่อยๆ ในเมื่อวัตถุนั้นไม่ยอมให้เธอหลอม เช่นนั้นก็ใช้วิธีส่งพลังให้เฉินมู่อิ๋งแบบนี้แทนก็ได้ หึๆๆๆ…

เวลาผ่านไป 2 วัน 2 คืน ท้องฟ้าเหนือตำหนักไป๋หยุนก็เกิดเมฆครึ้มอีกครา สายฟ้าผ่าลงมา เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่าใส่ศาสตราที่กำลังหลอมยังไม่เสร็จ ราวกับอยากจะทำลายศาสตราร้ายกาจที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา สายฟ้าผ่าลงมานับไม่ถ้วนทีเดียว เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…

เฉินมู่อิ๋งก็ดูดสายฟ้าเข้าไปหลอมรวมด้วยเหมือนอย่างที่เจ้ใหญ่สอน วูบ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!