ตอนที่ 103-5
ผู้อาวุโส ช่างแปลกคนเสียจริง!
พระจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจนลับขอบฟ้าและพระอาทิตย์ค่อยๆ เข้ามาแทนที่
ในตอนนี้ เป็นตอนกลางคืนและกลางวันมาบรรจบกัน ภายในผืนป่ายังไม่สว่างอย่างเต็มที่ เงาร่มไม้ทับซ้อนกันสลับกันสวยงาม
ทันทีที่เข้าสู่ผืนป่า ทุกคนต่างรู้สึกว่ากิ่งไม้อันน่ากลัวนั้นราวกับเป็นสัตว์ที่มีเล็บเขี้ยวและกำลังพุ่งเข้าหาพวกเขา
ทั่วทั้งผืนป่าเงียบสงบจนได้ยินเสียงนกกาที่อยู่ในรังและไม่ได้กลิ่นไอของมนุษย์ ราวกับว่าเหล่ามู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“ที่นี่ดูน่าแปลกยิ่งนัก” มีคนเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เนี่ยซงตอบกลับอย่างเหยียดหยามว่า “ป่าผืนนี้พวกเจ้าก็ไม่ได้มาเป็นครั้งแรกยังจะแปลกใจอะไรอีก เพียงแค่มีคนใช้แสงสีจากรัตติกาลในการสร้างภาพลวงตาก็เท่านั้น”
“ใช่ๆๆ! ที่ท่านผู้เฒ่าเนี่ยพูดนั้นมีเหตุผล พวกเขาเพียงแค่หลบอยู่ในนี้ รอให้เราออกไปก่อนแล้วจึงค่อยหลบออกจากที่นี่” มีคนพูดอย่างชื่นชม
เนี่ยซงจึงพูดว่า “เราแยกกันและค่อยๆเข้าไปภายในผืนป่า แม้ว่าจะต้องพลิกผืนแผ่นดิน ก็จะต้องหามันให้เจอ!”
“จุดสิ้นสุดของผืนป่าแห่งนี้อยู่ติดกับเมืองอวี้จื้อ เราจะต้องเกณฑ์กำลังคนเดินทางไปรอที่ทางออกจากป่าตรงถนนเส้นหลักเมืองอวี้จี้อหรือไม่ เพื่อกันไว้ก่อน” มีคนเสนอความคิดขึ้น
หากจะทะลุผ่านผืนป่า ต้องใช้เวลา 8 วัน หากเดินทางโดยใช้ถนนเส้นหลัก อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาเพียง 5-6 วัน ถ้าแยกกันตอนนี้ แน่นอนว่าจะสามารถปิดทางออกก่อนที่มู่ชิงเกอจะหนีออกไปได้และทำให้นางติดอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คนจำนวนไม่น้อยแอบพยักหน้าเบาๆ คิดว่าข้อเสนอนี้ไม่เลว
หากทำเช่นนี้ ทุกอย่างก็จะดูมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม!
แต่ทว่า เนี่ยซงยังคงพูดอย่างเผด็จการ “ไม่จำเป็น! พวกเจ้าคิดว่ามันยังจะมีโอกาสออกจากผืนป่าแห่งนี้อีกหรือ เหตุใดต้องทำอะไรเกินความจำเป็นด้วย!”
เขามั่นใจเป็นอย่างมาก จนคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าไปกระตุกหนวดเสือ
ในตอนนี้ จูลี่เองก็พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ข้าเองก็คิดว่าไอ้หนุ่มตระกูลมู่คงไม่สามารถออกจากผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นแน่ พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาไม่นานอีก ทั้งกำลังคนของเราก็มีมากมายและคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี มีหรือที่จะตามคนนอกพื้นที่พวกนั้นไม่ทัน”
ผู้ที่เก่งกาจและมีเบื้องหลังมากที่สุดของเมืองจื้อ ออกตัวยืนยันแล้ว คนอื่นๆ ยังจะกล้าพูดอะไรได้อีก
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำได้เพียงแค่ทำตามที่เนี่ยซงกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ เหล่าผู้มีอำนาจกระจายตัวกันออกไป แล้วเข้าไปค้นภายในส่วนลึกของผืนป่า
องครักษ์เขี้ยวมังกรอำพรางตัวอยู่ภายในท้องฟ้าสีรัตติกาลและรอเหยื่อมาติดกับดัก
มู่ชิงเกอเองก็อยู่บริเวณทางเข้าของผืนป่า เลือกต้นไม้แก่ต้นใหญ่ต้นหนึ่งและนั่งอยู่บนนั้น สายตาอันเย็นเยียบจับจ้องผู้คนและฟังบทสนทนาทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน นางก็สังเกตเห็นตานเฉินจื่อและชูเซิงที่อยู่บริเวณอันห่างไกล
รอยยิ้มอันคลุมเครือปรากฏบนมุมปากของนาง สายตาอันสว่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความขบขัน
คนอื่นๆ นางไม่สนใจ ต่างก็เป็นเพียงแค่พวกโง่ที่ถูกคนชักใยก็เท่านั้น นางสนใจเพียงแค่จูลี่เพียงคนเดียว คนผู้นี้ช่างวอแวไม่เลิก หากไม่ให้บทเรียนสักหน่อยก็คงจะเสียดายความดิ้นรนนี้ของเขา
คนนับพันค่อยๆ หายไปจากสายตาของนาง
ในตอนนี้ ตานเฉินจื่อได้และชูเซิงได้เดินมาหยุดอยู่ด้านล่างต้นไม้ที่นางอยู่
ดวงตาอันงดงามและสว่างจับจ้องพวกเขาทั้งสองเอาไว้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลย
“ท่านผู้เฒ่าตาน ตอนนี้เราจะตามใครดีเล่า” ชูเซิงถามด้วยใบหน้าทุกข์ใจ
คนนับพันแยกย้ายกันดำเนินตามแผน เขาจะจับตาดูอย่างไรไหวและจะรายงานกับเจ้านายอย่างไร
ตานเฉินจื่อพูดอย่างลำบากใจว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าสหายน้อยมู่จะเจ้าแผนการมากถึงเพียงนี้ หลอกล่อทุกคนเข้ามาภายในผืนป่า เจ้านายอยากจะดูละครสนุกๆ คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เราทั้งสองไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้”
“ทำอย่างไรดี เราจะกลับไปเช่นนี้หรือ คงจะถูกเจ้านายทรมานจนตาย!” ใบหน้าของชูเซิงเต็ม เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว เขาเคยเห็นพวกคนที่ทำ งานไม่ได้เรื่องและถูกเจ้านายลงโทษ แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็สาหัสไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น มีคนโดนลงโทษให้ใช้ชีวิต โดยการเอากระโถนวางไว้บนหัว
และอีกตัวอย่างหนึ่ง มีคนโดนลงโทษให้นอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยตะปู รวมทั้งยังมีคนโดนลงโทษให้แต่งเป็นหญิงแล้วออกไปต้อนรับลูกค้าหน้าหอสรรพสิ่ง
เมื่อคิดถึงตัวอย่างอันน่าหวาดผวาเช่นนี้ ชูเซิงก็ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก!
“ไม่กลับไป แล้วจะทำอะไรได้” ใบหน้าของตานเฉินจื่อก็บิดเบี้ยวราวกับกระเบื้องเคลือบแตกๆ
ชูเซิงเอามือกุมหัวและพยายามคิดหาวิธี
ครู่หนึ่ง เขาจึงพูดกับตานเฉินจื่อว่า “ถ้าเช่นนั้น เราแยกย้ายกันไปตามคนละกลุ่มดีหรือไม่”
“ตามไปอย่างนั้นหรือ” ตานเฉินจื่อเหล่ตามองเขา
ชูเซิงคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วและรีบตอบกลับว่า “ถ้าเช่นนั้นเลือกเป้าหมายเป็นกลุ่มของตระกูลเนี่ยและตระกูลจู! ข้าว่าสองตระกูลนี้น่าติดตามมากที่สุด”
ตานเฉินจื่อเองก็พยักหน้าชื่นชม “ก็ได้! ถ้าเช่นนั้นก็สองตระกูลนี้ ข้ารับผิดของตระกูลเนี่ย เจ้ารับผิดชอบตระกูลจู จำไว้ว่า ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวอันใด ก็ต้องอำพรางกายให้ดี ห้ามเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด และห้ามดึงหอสรรพสิ่งและเจ้านายของเราเข้าไปเกี่ยวข้อง นี่ถือเป็นกฎเหล็กของเจ้านาย”
ชูเซิงพยักหน้า
เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ตานเฉินจื่อคอยเตือน เขาก็ไม่ลืมแน่นอน
เจ้านายของพวกเขาชอบกลั่นแกล้งและขี้เล่น แต่ทว่า ที่โปรดปรานมากกว่าคือการนั่งดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ หากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องล่ะก็ แม้จะใช้ก้นคิด ชูเซิงก็สามารถจินตนาการจุดจบอันน่าอนาถของตนเองได้
เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปปฏิบัติงาน
มู่ชิงเกอที่อำพรางตัวอยู่บนพุ่งไม้ กลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางพึมพำว่า “เจ้านายอย่างนั้นเหรอ”
นาง ราวกับจะหาตัวการผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ได้แล้ว!
ไม่ชอบให้ตนเองถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเกมที่ตนเองวางแผนขึ้นมาอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถกำหนดเองได้! สายตาของมู่ชิงเกอสาด
ประกายอันตราย
เป้าหมายของสายตานั่น แน่นอนว่าคือเจ้านายแห่งหอสรรพสิ่ง!
“ฮัดชิ่ว!”
บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอวี้จื้อ มีเสียงจามดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ผู้ติดตามที่เดินเท้าอยู่นอกรถม้า รีบเดินมาอยู่ตรงหน้าประตูหน้าต่างรถม้าและโน้มตัวลงถามว่า “เจ้านายท่านไม่สบายหรือ”
“อืม ไม่รู้ว่าหญิงสาวตระกูลใดกำลังคิดถึงข้า” เสียงอันไพเราะและแฝงความเกียจคร้านของชายหนุ่มดังออกมา เสียงนั่นราวกับตัวหนอนที่คลานเข้าสู่รูหูอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ทั้งขนลุกและจั๊กจี้จนแทบจะทนไม่ได้
ผืนป่าที่เชื่อมระหว่างเมืองจื้อและเมืองอวี้จื้อ คนนับพันกำลังค้นหาอย่างละเอียดและรอบคอบ
ยิ่งลึกเข้าไป ผู้มีอำนาจแต่ละตระกูลก็ยิ่งกระจายตัวห่างจากกันมากขึ้นและถูกเงาไม้ที่ซับซ้อนกันบดบังเงาร่าง
ทันใดนั้น ผู้ที่กำลังค้นหาอยู่ผู้หนึ่ง พลันสะดุดและพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้และในขณะที่เขากำลังจะส่งเสียงร้อง กิ่งไม้แหลมคมกิ่งหนึ่งก็ได้แทงทะลุลำคอของเขา
ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงเลยแม้แต่คำเดียว คนผู้นั้นก็ได้หมดลมหายใจไปแล้ว
เมื่อมีพวกเดียวกันมาตามหา จึงพบว่าคนผู้นี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ดูเหมือนว่าจะสะดุดตอไม้ตอหนึ่งภายในผืนป่าล้มลง และบังเอิญถูกกิ่งไม้แหลมที่ปักอยู่บนดินแทงทะลุลำคอ
ทุกอย่างราวกับเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
แต่ทว่า อุบัติเหตุเช่นนี้กลับเกิดขึ้นท่ามกลางขบวนของคนนับพันโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้น ในขณะที่ขบวนของผู้มีอำนาจนับพันต่างพักการเดินทาง จึงได้สังเกตเห็นว่าในตอนที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวพรรคพวกตัวเองก็ได้เสียชีวิตไปเป็นร้อยแล้ว
ผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนล้วนตะลึงอย่างหาที่สุดมิได้!
ผืนป่าที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีผืนนี้ อันตรายมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คนที่พวกเขากำลังตามล่า ยังไม่พบแม้กระทั่งเงา แต่กำลังคนของพวกเขาเองกลับสูญเสียไปไม่ใช่น้อย
ผู้นำของตระกูลผู้มีอำนาจต่างก็มีสีหน้าดำคล้ำ
พวกเขาต่างส่งคนออกไปติดต่อกับผู้มีอำนาจที่อยู่รอบๆ ไม่นาน คนของผู้มีอำนาจนับพันที่ กระจายออกจากกัน ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
เมื่อพบกันอีกครั้ง ทุกคนก็พบว่า สีหน้าของเนี่ยซงเองก็ไม่ได้ดีมากนัก
เมื่อถามแล้วจึงกระจ่างว่า ช่วงที่ผ่านมา ตระกูลเนี่ยได้สูญเลียลูกหลานสายเหลืองไปถึง 3คน
จึงไม่แปลกที่ลีหน้าของเนี่ยซงจะดูแย่ราวกับไปกิน อาจม มาอย่างนั้น
ทุกคนล้วนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ ไม่กล้าถึงพูดเรื่องนี้
มีเพียงจูลี่คนเดียวที่นับว่าโชคดี คนที่พาออกมาไม่มีใครเสียชีวิต ในตอนนี้ เมื่อเห็นใบหน้าของทุกคนล้วนมืดมน สายตาอันโหดเหี้ยมของเขาจึงเกิดความเย็นเยียบขึ้นและพูดว่า “หรือว่าที่ทุกคนกลัวโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ ก็เพราะแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
“หึ! อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ เพียงไม่กี่คน อาจจะนับว่าเป็นอุบัติเหตุได้ แต่นี่มันร้อยกว่าคนเชียวนะ!” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ
“คนนับร้อยแล้วอย่างไร ท้องฟ้ามืดถึงเพียงนี้ หากจะเห็นทางไม่ชัดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือว่าเราจะยอมถอดใจแค่นี้ หึ ช่างเป็นพวกไม่เอาไหน พวกเจ้าถูกผืนป่าทำให้ตกใจจนไม่กล้าที่จะเดินต่อ ข้าเองกลับคิดว่า การตายของคนนับร้อยนี้เป็นเพราะไอ้เด็กตระกูลมู่นั้นเพียงคนเดียว! หากไม่ใช่เพราะมันหนีเข้าป่ามา คนของพวกเจ้าจะตายได้อย่างไร!” จูลี่พูดแสดงเหตุผล
ราวกับว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากมู่ชิงเกอ แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า หากไม่ใช่เพราะความโลภของพวกเขา ที่อยากได้อยากได้โอสถเก้าชีวิตหวนคืนของมู่ชิงเกอ ก็คงจะไม่หลงกลกับดักเช่นนี้
เมื่อถูกคำพูดของจูลี่โน้มน้าว ก็พลันมีคนพูดด้วยใบหน้าอันแดงกํ่าและมีโทสะว่า “ใช่! เป็น เพราะไอ้เด็กตระกูลมู่เพียงคนเดียว ตอนนี้ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ข้าจะคอยดูว่าพวกมันจะหลบซ่อนตัวได้ถึงเมื่อไหร่ หากเจอตัวมัน จะต้องเฉือนเนื้อเลาะกระดูกมัน เพื่อดับเพลิงแค้นในใจข้า!”
ท่าทางเต็มไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่า ในจำนวนของผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคนนั้น จะมีใครคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเขา
“พอเถิด ตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ไอ้เจ้าคนตระกูลมู่คงจะหลบต่อไปไม่ได้แล้ว เรารีบลงมือและจับตัวมันมาให้ได้ ถึงตอนนั้นแก้แค้นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ทุกคน” เสียงตะโกนอันเคร่งขรึมและแฝงไอสังหารของเนี่ยซงดังขึ้น
ตานเฉินจื่อและชูเซิงที่แอบสังเกตการณ์อยู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเพราะคนพวกนี้กลับมารวมตัวกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยซง ชูเซิงก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ก็ยังโทษคุณชายมู่ คนเหล่านี้ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!”
“อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ’’ ตานเฉินจื่อยิ้มอย่างเย็นเยียบ สายตาของเขาฉายแววเคร่งขรึม พลันคิดในใจว่า กลัวแต่ว่าการตายของคนเหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสหายน้อยมู่จริงๆ ถ้าเช่นนั้น เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ เกรงว่าในครานี้ เจ้านายจะสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนโต และสร้างปัญหาเสียแล้ว ไม่ได้การ! ต้องรีบรายงานเจ้านายแล้ว!