Skip to content

พลิกปฐพี 106-2

ตอนที่ 106-2

ไอหยา ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!

“หึ ไม่ใช่ของข้าแล้วอย่างไร หากองค์ชายสามมีพระประสงค์จะเสวยพระกระยาหารที่นี่ พวกเจ้าก็ต้องจะไสหัวออกไปให้ไกลจากที่นี่ซะ!”

ส่วนเสียงนี้….ก็คุ้นมาก! มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

โย่วเหอ เดินเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอ และกระซิบข้างหูนางเบา ๆว่า “คุณชายเสียงนั้นราวกับจะเป็นเสียงของแม่นางเว่ย”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ

ใช่ เจ้าของเสียงก่อนหน้านี้ คือเว่ยกว่านกว่าน

แต่อีกเสียงหนึ่งก็ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก และมันก็คือเสียงของคุณชายจูที่หนีออกจากเมืองอวี้จื้อนั่นเอง

มู่ชิงเกอหรี่ตาลงแล้วแอบคิดในใจว่า ดูเหมือนว่าที่ห่านฉายไฉ่พูดจะเป็นความจริง ไอ้เจ้าแซ่จูนั้นไม่ได้กลับเมืองจื้อ แต่ว่ามายังเมืองฮ่วน เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน สิ่งที่ติดด้างเอาไว้ทั้งหมดก็มาคิดบัญชีกันที่เมืองฮ่วนเสียเลย

แต่ทว่า เหตุใดพี่น้องตระกูลเว่ยจึงได้มาพบกับคุณชายจู แล้วเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นอีกครั้ง

มั่วหยางพากำลังคนเปิดทางเพื่อแหวกคนออก

ผู้คนที่เบียดเสียดกันอย่างแออัด ถูกแบ่งเป็นสองข้าง จึงทำให้รู้สึกไม่พอใจและทันทีที่หันกลับมาและ กำลังจะด่า แต่กลับเห็นเป็นคุณชายในชุดสีแดง ใบหน้านั้นงดงามอย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความงดงามดั่งดวงจันทร์และร้อนแรงดั่งดวงอาทิตย์ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที

การปรากฏตัวของนาง ทำให้ความโกรธของผู้คนที่ไม่พอใจกับการถูกผลักออกหายไปในทันทีและมองตามการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอด้วยความหลงใหล

สายตาอันร้อนแรงที่ไม่ได้มีการปรุงแต่งเหล่านั้น ทำให้มั่วหยางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

ริมฝีปากอันเรียวบางและแฝงความหนักแน่น เม้มแน่น ราวกับกำลังควบคุมความโกรธ

ผู้คนค่อยๆ แยกออกจากกัน ทำให้มู่ชิงเกอสามารถเดินเข้าไปยังหน้าโรงเตี๊ยมมหาเทพได้อย่างสะดวกและสามารถเห็นสถานการณ์ทุกอย่างได้อย่าง ง่ายดาย

โรงเตี๊ยมมหาเทพกว้างใหญ่มาก ด้านในมีแขกจำนวนไม่น้อยที่นั่งดูเรื่องราวที่เกิดขึ้น

และในตอนนี้ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านในประตูไม่ได้มีเพียงแค่พี่น้องตระกูลเว่ย แต่ยังมีลุงโจว ทางฝั่งของจูลี่นอกจากจะมีองครักษ์ที่แต่งตัวต่างจากคนอื่นหลายคนแล้ว ยังมีชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดสีแดงหม่นซึ่งปักลาย ต่างๆ ด้วยเส้นด้ายสีทอง

ใบหน้าของชายหนุ่มดูมีมิติเต็มไปด้วยไอหยาง ไม่ถือว่าหล่อเหลางดงาม แต่กลับมีกลิ่นอายอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก ทำให้ตัวเขาจัดว่าเป็นหนึ่งในชายหนุ่มหน้าตางดงาม

แต่ทว่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสูงส่งและเย่อหยิ่งโดยกำเนิด ราวกับว่าตัวเองเป็นเทพบุตรผู้สูงศักดิ์ ในส่วนลึกของดวงตาอันโหดเหี้ยมเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง

เขายืนอยู่ในระยะอันห่างไกล ราวกับว่าไม่อยากจะร่วมทะเลาะวิวาท

องครักษ์เหล่านั้น ต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ มีเพียงจูลี่ที่ใบหน้าแดงและกำลังทะเลาะอยู่กับพี่น้องตระกูลเว่ย แน่นอนว่า เรื่องที่ทะเลาะวิวาทน่าจะเป็นเพราะชายคนนั้น

“หึ ตอนอยู่ในเมืองอวี้จื้อเจ้าช่างยโสยิ่งนัก ไม่คิดว่ามาถึงเมืองฮ่วน ต่อหน้าโอรสสวรรค์เจ้าก็ยังโอหังเช่นนี้!” เว่ยฉีส่งเสียงอุทานอันเย็นเยียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

จูลี่พูดอย่างได้ใจว่า “นั้นเป็นความสามารถของข้า พวกเจ้ารีบไสหัวออกไปจากที่นี่ อย่ามารกสายตาขององค์ชายสาม และทำลายบรรยากาศการเสวย ของพระองค์”

เขาเอ่ยถึงองค์ชายสามอย่างไม่ขาดปาก ราวกับว่ากลัวคนรอบข้างจะไม่รู้ว่าเขามีใครคอยหนุนหลังอยู่

แต่ทว่า องค์ชายสามที่เขากำลังพูดถึงนั้น ในตอนนี้กลับยืนเงียบอยู่อีกด้านหนึ่ง

ลุงโจวที่ยืนอยู่ข้างหลังของพี่น้องตระกูลเว่ย เมื่อเห็นว่ายังคงทะเลาะกันไม่หยุด ถึงได้เดินออกมาประสานมือต่อหน้าคนๆ นั้น และพูดว่า “ตระกูลเว่ย จากเมืองถัว คารวะองค์ชายสาม”

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ตระกูลเว่ยแห่งเมืองถัว’ ในที่สุดฟ่งอวี๋กุยก็มีการเคลื่อนไหว

แต่ทว่า การเคลื่อนไหวของเขา ก็เพียงแค่เคลื่อนสายตามาหยุดที่ลุงโจว

สายตาอันเย็นเยียบและเฉียบแหลม ทำให้ลุงโจวรู้สึกถึงไอเย็นที่เย็นถึงกระดูก

“พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลเว่ยแห่งเมืองถัวหรือ” ฟ่งอวี๋กุยพูดขึ้น โทนเสียงของเขาตํ่ามากและแฝงความสูงส่งเฉพาะตัวบางอย่าง

“พะย่ะค่ะ! ทั้งสองท่านนี้เป็นบุตรชายหญิงของเจ้าเมืองเมืองถัว” ลุงโจวรีบอธิบาย จากนั้นก็หันกลับไปสะกิดเจ้านายน้อยทั้งสอง “คุณหนู คุณชาย ท่านนี้คือองค์ชายสามแห่งแคว้นลี่”

ความหมายของประโยคนี้ก็คือให้ทั้งสองรีบเข้ามาคารวะตามธรรมเนียมเสีย องค์ชายสามก็คงจะเห็นแก่ท่านพ่อของพวกเขา คงจะไม่ทำให้พวกเขาต้องลำบากใจเป็นแน่ เรื่องนี้ก็จะจบลงได้ด้วยดี

แต่ทว่า พี่น้องตระกูลเว่ยกลับไม่ใช่พวกที่จับคำพูดหรือสังเกตสีหน้าใครเก่งนัก

นิสัยอันตรงไปตรงมา ตอนนี้ก็ได้แสดงออกมาทั้งหมด

เว่ยกว่านกว่านไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงโจวต้องการจะสื่อ จึงได้พูดออกไปตรงๆ ว่า “องค์ชายสาม แล้วอย่างไร! เป็นองค์ชายสาม ก็สามารถไล่ใครออกไป ได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

ใบหน้าของเว่ยฉีเองก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ และเชิดหน้าใส่

ปฏิกิริยาของเจ้านายน้อยทั้งสองทำให้ลุงโจวร้อง ‘แย่แล้ว’ ในใจ พยายามส่งสายตาและขอโทษแทนพวกเขาว่า “องค์ชายสาม คุณหนูและคุณชายของข้าน้อยไม่รู้ความ ขอองค์ชายสามอย่าได้ทรงถือโทษ”

“ลูกทั้งสองของเว่ยหลินหลางช่างน่าสนใจ” สายตาของฟ่งอวี๋กุยไม่มองลุงโจวเลยแม้เสี้ยวสายตาเดียว รอยยิ้มที่ผุดขึ้นฉายแววอันตรายเป็นอย่างมาก

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เว่ยกว่านกว่าน แล้วจ้องมองจนอีกฝ่ายขนลุก จึงรีบหลบไปอยู่ข้างหลังของพี่ชายในทันที

ท่าทางที่ถูกทำให้ตกใจนั้น ทำให้แสงประกายในสายตาของเขาชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาทั้งคู่จ้องเว่ยกว่านกว่านเอาไว้ ราวกับที่นี่มีเพียงนางคนเดียว

“มองอะไร!” เว่ยฉียืดอกขึ้นบังสายตาของฟ่งอวี๋กุย

และทำให้สายตาของอีกฝ่ายมีไอสังหารเพิ่มเข้ามาในทันที

เรื่องราวแย่ลงเรื่อยๆ บนหน้าผากของลุงโจวมีเหงื่อแห่งความตื่นตระหนกผุดออกมา จูลี่ที่ต้องการจะหาเรื่องตั้งแต่แรก ในตอนนี้ยิ่งดูได้ใจ จนจมูกจะชี้ไปถึงฟ้าแล้ว

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” มู่ชิงเกอที่ดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ปรากฏตัว

ทันทีที่นางปรากฏตัว ก็ได้ดึงดูดความสนใจจากสายตาของทุกคน รวมทั้งแขกและฟ่งอวี๋กุย

ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบเป็นที่สุดนั้นงดงามน่าเย้ายวน ทำให้ส่วนลึกในสายตาของฟ่งอวี๋กุยเกิดความตื่นตะลึงในสายตาฉายแววอยากจะแข่งขันจางๆ

“มู่เกอ! ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!” เว่ยกว่านกว่าน ที่ในตอนแรกหลบอยู่ข้างหลังของพี่ชาย ทันทีที่ได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอก็รีบกระโดดออกมาและพุ่งเข้าหานางอย่างตื่นเต้น

ภาพที่ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ทำให้ฟ่งอวี๋กุยหรี่ตาลงและมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาจากสายตา

‘หากสามารถครอบครองทั้งสองเอาไว้ในอ้อมอก ได้คงจะเป็นเรี่องที่น่าอิจฉายิ่งนัก!’ความคิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นฟ่งอวี๋กุยก็ได้ยินเสียงที่หวาดกลัวของจูลี่

“เจ้า! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าชายหนุ่มผู้งดงามที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นดั่งสัตว์ร้ายและปีศาจอันโหดเหี้ยม

ฟ่งอวี๋กุยขมวดคิ้ว

มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปหาเขาหลายก้าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันที่โหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบ “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ ว่าแต่คุณชายจูเถิด เพิ่งจะจากกันที่เมืองอวี้จื้อ ไม่คิดว่าจะมาพบกันที่เมืองฮ่วนในเวลาอันรวดเร็วปานนี้”

“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ!” จูลี่กล่าวเตือนด้วยใบหน้าที่แฝงความขาวซีดพร้อมถอยกลับไปยังบริเวณที่ฟ่งอวี๋กุยยืนอยู่

สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เพราะว่าวิธีการสังหารเนี่ยซงของหานฉายไฉ่ในวันนั้นทำให้เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก พอมาเจอกับมู่ชิงเกอก็คิดถึง สภาพที่เนี่ยซงสลายกลายเป็นเศษเนื้อต่อหน้าต่อตาขึ้นมา

การที่เขามายังเมืองฮ่วน แน่นอนว่าต้องการจะมาแก้แค้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาอยากจะพบกับมู่ชิงเกอในตอนนี้

เมื่อสัมผัสได้ถึงความกลัวในใจของเขา ยิ้มของมู่ชิงเกอก็ชัดเจนกว่าเดิม “เจ้ากลัวอะไร ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเนี่ยซงเสียหน่อย”

แสงแสงหนึ่งเกิดขึ้นในสมองของจูลี่ เขาชี้หน้ามู่ชิงเกอและพูดว่า “เจ้าเจ้าเจ้า….เจ้าเป็นพวกเดียวกับไอ้คนแซ่หาน!”

หากไม่ใช่พวกเดียวกัน ไอ้คนแซ่หานที่โหดเหี้ยมมากถึงเพียงนั้นจะปล่อยเจ้านี่หนีออกมาได้อย่างไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!