ตอนที่ 107-2
คุณชายตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน!
มองเห็นแถวที่ต่อกันยาวจากนอกประตูเมือง และการตรวจตราอย่างเคร่งครัด มู่ชิงเกอพลันรู้สึกว่าโชคดีที่ได้พบกับพี่น้องตระกูลเว่ย เพราะไม่เช่นนั้น หากนางจะพากำลังคนเข้าไปในเมือง คงจะทำได้ยาก
คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง เข้าไปภายในเมืองโดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของคนที่เข้าแถวอยู่คอยจับจ้อง อาจจะเป็นเพราะตราสัญลักษณ์จวนท่านเจ้าเมืองของลุงโจวทำให้ผู้คนเกรงขาม จึงไม่มีใครออกมาหาเรื่องใส่ตัว
ทันทีที่เข้าสู่เมืองถัว มู่ชิงเกอก็ตาเป็นประกายในทันที
เพราะบ้านเรือนและตึกอาคารในเมืองถัว ไม่เพียงแค่มีการจัดวางอย่างเป็นระบบ แต่ยังเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้านสบายตาแต่น่าเกรงขาม
“โครงสร้างของบ้านเรือนเหล่านี้…” ม่ชิงเกอเอ่ยปากถาม
แต่ทว่า ยังไม่ทันได้พูดจบ เว่ยกว่านกว่านก็พูดต่อว่า “ท่านเองก็รู้สึกว่า เมืองถัวของเรานั้นโดดเด่นใช่หรือไม่”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
นางพูดต่ออย่างภูมิใจว่า “ท่านพ่อของข้าเคยบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งของเมืองถัวนั้นมีความสำคัญ ต้องคอยป้องกันไม่ให้เหล่าสัตว์ปีกที่มีพลังเวทเข้ามาโจมตี เพราะฉะนั้นการก่อสร้างของบ้านเรือนจะต้องมีความละเอียดและชัดเจนจึงจะทำให้ทหารสามารถเข้าไปช่วยได้อย่างสะดวกและเพื่อการหลบหนีของประชาชนใน ขณะเดียวกันในทุกๆ 100 ก้าวจะมีหลุมหลบภัยซ่อนอยู่ หากเหล่าสัตว์ปีกที่มีพลังเวทบินเข้ามาโจมตี ก็ให้ประชาชนหลบเข้าไปอยู่ในนั้นเพื่อหลบภัย”
มู่ชิงเกอฟังจนอ้าปากค้างเพราะความตะลึง ช่างเป็นการหลีกเลี่ยงศัตรูที่เหนือชั้นยิ่งนัก!
‘หรือว่าเว่ยหลินหลางก็เป็นอีกคนที่มาจากโลกอีกใบ!’ มู่ชิงเกอคิดในใจ
เมื่อคิดแบบนี้นางก็ยิ่งอยากจะพบเว่ยหลินหลางมากขึ้นเสียแล้ว
จวนของเจ้าเมืองเมืองถัว ตั้งอยู่ตรงใจกลางของเมือง
หากยืนอยู่บนกำแพงจวนของเจ้าเมืองสามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดของเมืองถัว ราวกับว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองถัว ล้วนหนีไม่พ้นสายตาของเจ้าเมือง ทำให้คนรับรู้ได้ถึงการป้องปราม
อีกประการหนึ่ง เจ้าเมืองเมืองถัวยังทั้งเคร่งขรึม หนักแน่นและแฝงความแน่วแน่อย่างชายชาติทหารจึงไม่ได้ฉายความอ่อนโยนที่จะมีต่อครอบครัวมากนัก
เพราะการนำขบวนของพี่น้องตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอได้พาองครักษ์เขี้ยวมังกรเดินเข้ากำแพงจวนมา ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดกว่าเดิม พื้นที่ว่างทั้งหมด ส่วนมากถูกสร้างให้เป็นสนามฝึก ที่เหลือก็เต็มไปด้วยค่ายทหาร
เดินเข้าไปข้างในอีกพักหนึ่งก็ได้มาหยุดอยู่ตรง หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมอง ป้ายที่ห้อยอยู่ด้านล่างหลังคา ‘จวนตระกูลเว่ย’
“มู่เกอ เราถึงแล้ว” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างตื่นเต้น
สิ้นเสียงของนาง มีคนจำนวนหลายคนที่แต่งชุดสาวใช้ เดินออกมาจากประตูที่ถูกเปิดออก
ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ เสียงก็ได้สะท้อนเข้ามาทางเว่ยกว่านกว่าน
“ คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
“ คุณหนูคิดถึงท่านมากๆ เลย”
ทันใดนั้น สาวใช้จำนวนสี่ถึงห้าคนก็ล้อมรอบม้าของเว่ยกว่านกว่านเอาไว้อย่างไม่เหลือช่องว่าง
มู่ชิงเกอเองก็พลิกตัวลงมาจากหลังของเพลิงรัตติกาล โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรีบมาประกบข้างซ้ายและขวาของนาง ในขณะนั้นเองมั่วหยางและคนอื่นก็ได้ลงจากหลังม้า นอกจากจะเหลือกำลังคนเอาไว้ 4 คนเพื่อ ดูแลอาชาเพลิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันข้างหลังตัวมู่ชิงเกอ
“ตายแล้ว! นั่นมันอาชาเพลิงนี่!”
สาวใช้หนึ่งในนั้นที่สายตาเฉียบคม หลังจากที่ได้เห็นอาชาเพลิงที่ดำเงา ตัวสูงใหญ่มากกว่าม้าธรรมดา ก็อุทานเสียงหลงในทันที
เสียงร้องของนาง ทำให้สาวใช้คนอื่นๆ รีบดึงตัวเว่ยกว่านกว่านให้ถอยห่างออกมา ในใบหน้าอันอ่อนเยาว์ผ่องใสฉายไปด้วยความซื่อสัตย์และปกป้องเจ้านาย
“โธ่เอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก อาชาเพลิงพวกนี้ได้ถูกมู่เกอและลูกน้องของเขาทำให้เชื่องแล้ว” เว่ยกว่านกว่านสะบัดออกจากมือของสาวใช้ที่จับแน่นแล้วอธิบาย
ถูกทำให้เชื่อง แล้วอย่างนั้นหรือ
ใครกันที่ช่างเก่งกาจจนสามารถทำให้สัตว์ที่มีพลังเวทเชื่องได้
ในใจของเหล่าสาวใช้ต่างเต็มไปด้วยความฉงนใจอย่างเป็นที่สุด
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวแต่เป็นเพราะความตะลึง
“งามจริง!”
สาวใช้คนหนึ่งพูดอย่างหลงใหล “จริงด้วยช่างงดงามยิ่งนัก!”
สาวใช้อีกคนได้เอามือทั้งสองวางบนหน้าอกของตนเองและพูด
“ช่างเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาจริงๆ”
ส่วนสาวใช้ที่เหลือต่างก็มองมู่ชิงเกอในชุดสีแดง ด้วยความหลงใหลแล้วอุทานออกมาจากใจจริง
เว่ยกว่านกว่านเห็นแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และรีบกระโดดไปอยู่ตรงหน้าของสาวใช้เหล่านี้พลันอ้าแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบดบังสายตาของพวกนางพร้อมด่าด้วยความโกรธว่า : “พวกเจ้าอย่ามาทำกริยาไม่รู้จักอายได้มั้ย เช็ดนํ้าลายของพวกเจ้าซะเดี๋ยวนี้!”
“คุณหนู ท่านอย่าบังสิ!”
สาวใช้หลายคนเขย่งเท้าและยื่นหน้าออกไปดู
“นี่! มู่เกอเป็นแขกของข้า พวกเจ้าห้ามเข้าใกล้!” เว่ยกว่านกว่านโกรธจนกระทืบเท้า ใบหน้าเต็มไปด้วยกระวนกระวาย
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องนี้ ทำให้มู่ชิงเกออมยิ้ม
อืม ต่างก็เป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เหมือนโย่วเหอและฮวาเยวี่ยของนาง หากเทียบกับพวกนางแล้วทั้งสองดูแก่ไปหน่อย
ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มู่ชิงเกอกำลังคิดสาย ตาอันอ่อนโยนดั่งสายนํ้าของโย่วเหอหันมา พลันพูดด้วยนํ้าเสียงอันนุ่มนวลว่า “ท่าน ท่านรังเกียจพวกบ่าวรึ”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างขี้เล่นว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเจ้าทั้งสองเป็นที่รักของข้า”
ถูกนายสาวแซวเช่นนี้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเผยรอยยิ้มออกมาในทันที
“มู่เกอเราอย่าไปสนใจพวกเพ้อเจ้อพวกนี้เลย ไป เราเข้าจวนเถิด” เว่ยฉีเดินมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอและมองน้องสาวพร้อมสาวใช้ของน้องสาวอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำพูดที่แฝงรอยยิ้มอันสดใส
มู่ชิงเกอพยักหน้าและเดินไปพร้อมๆ กับเว่ยฉี
เห็นว่าพวกเขาเข้าไปแล้ว เว่ยกว่านกว่านก็รีบพุ่งเข้าไปและไม่หยุดที่จะตะโกนอย่างเร่งรีบว่า “รอข้าด้วย มู่เกอรอข้าด้วย”
เมื่อเห็นเว่ยกว่านกว่านรีบตามไปเช่นนั้น เหล่าสาวใช้ต่างก็มารวมตัวกันแล้วพิจารณากันจอแจ
“คุณชายที่งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้ท่านนั้นจะใช่คนที่อยู่ในใจของคุณหนูไหมนะ!”
“ข้าว่าใช่! พวกเจ้าเคยเห็นคุณหนูแสดงความปลื้มอกปลื้มใจเช่นนี้กับคุณชายตระกูลใดหรือไม่เล่า”
“ใช่! เราแค่มองนิดมองหน่อย คุณหนูก็เคร่งเครียดมากถึงเพียงนั้น คุณชายท่านนั้นต้องเป็นคนที่คุณหนูแอบชอบเป็นแน่”
“ถ้าเช่นนั้น คุณหนูก็ใกล้จะได้ออกเรือนแล้วสินะ?!”
“ห๊ะ! ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้ เราก็จะได้พบกับคุณชายผู้งดงามท่านนี้บ่อยๆ แล้วใช่ไหม”