ตอนที่ 115-5
ท่านมั่วโปรดออกไปเถิด!
ซางจื่อซูกำลังจับจ้องอย่างใจจดใจจ่อ เป็นครั้งแรกที่ในสายตาอันสงบนิ่งแสดงความรู้สึกออกมา ความตื่นเต้นเช่นนั้น ราวกับได้ละลายธารนํ้าแข็งในแววตาของนาง
แต่ทว่า หลังจากนั้นความเย็นเยียบก็ได้ก่อตัวขึ้นดังเดิม สิ่งเดียวที่แตกต่างคือความตะลึงที่ซ่อนอยู่ในธารนํ้าแข็งนั้น
“จื่อซูเจ้ากำลังมองอะไรอยู่ เหตุใดจึงได้ดูตั้งใจถึงเพียงนั้น” อยู่ ๆ ท่าทางที่เปลี่ยนไปของซางจื่อซูก็ทำให้จูหลิงเกิดฉงนใจ
ซางจื่อซูที่ถูกรบกวนค่อย ๆ ลดสายตาลง พูดด้วยนํ้าเสียงเย็นๆ “ไม่มีอะไร” นางไม่อยากจะร่วมชื่นชมความงดงามนี้ร่วมกับผู้ใด
แต่ทว่า ทันทีที่นางพูดจบ เรือลำเล็กก็ได้แล่นเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคนแล้ว
คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นฟ่งอวี๋กุย
เขาสั่งคนให้ไปเฝ้าอยู่ในทุกทางเข้าออกของทะเลสาบชุ่ยแต่แรกแล้ว เขาไม่อยากให้ใครมารบกวนในตอนที่จัดงานเลี้ยง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนผ่านเข้ามาได้
ทันทีที่เขาเห็นคนในชุดสีแดงเจิดจ้าที่อยู่ตรงหัวเรือชัดแล้ว สีหน้าก็พลันแย่ลงกว่าเดิม
“เร็วเข้า คนแจวเรือ ไปทางเรือสำราญสองชั้นลำนั้น!” เมื่อเทียบกับเรือลำเล็กแล้ว เรือสองชั้นที่ฟ่งอวี๋กุยเหมาเอาไว้ ดูน่าสะดุดตามากกว่า เว่ยฉีจึงรีบส่งเสียงดังสั่ง คนแจวเรือ
มู่ชิงเกอเห็นความพยายามของคนเหล่านี้แล้วรู้สึกขัน ‘ช่างมีความมุมานะอันแรงกล้าที่จะมาหาเรื่องฟ่งอวี๋กุย!’ เปิดโปงความชั่วของเขา ก็ถือเป็นการแก้แค้นแล้วหรือ
มู่ชิงเกอไม่เข้าใจในแผนการของคนเหล่านี้ และนางก็มีความคิดอื่น
หลายครั้ง การจะสังหารใครให้มอดม้วย ก็จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายคลั่งเสียก่อน ถ้าเช่นนั้น นางก็จะอยู่บนเส้นทางอันบ้าคลั่งนี้เพื่อส่งฟ่งอวี๋กุยไปก่อนแล้วกัน
“ไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ เพียงแค่พายผ่านเรือของพวกเขาก็พอ” อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้น
“ได้เลย!” คนแจวเปลี่ยนทิศทางในการพาย
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านเดินมาประกบทั้งซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอ เว่ยฉีถามด้วยความสงสัยว่า “เพราะเหตุใด มู่เกอมีแผนใหม่หรือ”
เว่ยกว่านกว่านเองก็รีบถามว่า “มู่เกอคิดจะปล่อยให้เจ้านั่นลอยนวลหรือ”
ท่าทางที่เร่งรีบของทั้งสอง ทำให้มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก คุ้นๆ ว่าคนที่ฟ่งอวี๋กุยปองร้ายคือนางมิใช่หรือ
“แน่นอนว่าไม่” มู่ชิงเกอตอบอย่างแน่วแน่
“มู่เกอจะต้องมีแผนการของเขา เราคอยดูอยู่ห่าง ๆ เถิด” มีเพียงสุ่ยหลิง หลังจากที่จ้องมู่ชิงเกอครู่หนึ่งแล้ว ก็แสดงความคิดเห็นของตนเอง
ฟู่เทียนหลงจ้องสุ่ยหลิงแวบหนึ่ง พลันพึมพำอย่างน้อยใจว่า “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเขาดีไปเสียทุกอย่าง”
สุ่ยหลิงเชิดหน้าใส่เขา และไม่อยากจะอธิบายอะไรแก่เขา
เรือลำน้อยค่อย ๆ เข้ามาใกล้ เงาร่างของคนที่อยู่บนเรือก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นเจ้าพวกที่ไม่ยอมจากไปเสียที ฟ่งอวี๋กุยจึงลุกขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ราวกับเห็นรอยยิ้มที่แฝงความเยาะเย้ยของมู่ชิงเกอ
“องค์ชายสาม ท่านเป็นอะไรไป” จูหลิงยิ้มอย่างร่าเริง ในดวงตาที่ไหวระริกราวกับสายธารเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” ฟ่งอวี๋กุยยิ้มอย่างอึดอัด และฝืนพูดว่า “เพียงแค่ไม่อยากจะให้คนนอกมาทำลายความสุขของทุกท่าน”
“ทะเลสาบชุ่ยเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง การจะมีคนเข้ามาท่องเที่ยวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก จะเรียกว่าการทำลายบรรยากาศก็ไม่ใช่ เมื่อครู่นี้ข้ายังคิดอยู่เลยว่า เหตุใดในทะเลสาบชุ่ยจึงได้เงียบเหงาเช่นนี้” จ้าวหนานซิงยิ้มจางๆ และพูดโดยไม่คิด พอพูดจบ เขาก็มองซางจื่อซูด้วยความเคยชิน แต่กลับพบว่านางไม่ได้มองตนเอง คำพูดเมื่อครู่นี้ของเขา แน่นอนว่านางไม่ได้ยิน ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจทีหนึ่ง เขาชินเสียแล้ว
“จ้าวหนานซิง ในวันนี้เจ้าเป็นเพียงแค่แขกก็เท่านั้น” เตียวหยวนพูดค้าน นํ้าเสียงของเขาก็เหมือนกับตัวตนของเขา ให้ความรู้สึกอันเย็นเยียบ จ้าวหนานซิงเผยรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จูหลิงยิ้มเล็กน้อย และรีบคลี่คลายสถานการณ์ “เป็นเพียงแค่คนมาท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กลับทำให้เราต้องมาทะเลาะกัน”
“ศิษย์พี่จูพูดถูก” ฟ่งอวี๋กุยยิ้ม นั่งลงอีกหน
รอยยิ้มตรงมุมปากของจูหลิงยังคงไม่น้อยลง นางมองฟ่งอวี๋กุยด้วยสายตาที่แฝงความขบขัน “องค์ชายสามต่างหากที่ดูเหมือนจะรู้จักกับคนเหล่านี้หรือว่าเป็น สหาย ถ้าเช่นนี้เราชวนเขามาร่วมโต๊ะด้วยดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” ฟ่งอวี๋กุยรีบปฏิเสธโดยไม่คิด บางทีเขาเองก็ยังไม่รู้ว่า หลังจากที่ถูกมู่ชิงเกอทำให้เสียหน้าในเมืองถัว เขาก็กลัวที่จะพบหน้ากับมู่ชิงเกอ
การที่เขาร้อนรน ทำให้ความขี้เล่นในสายตาของจูหลิงชัดเจนมากกว่าเดิม
ไม่ได้บังคับแต่อย่างไร นางเคลื่อนสายตาไปหยุดที่เรือลำเล็ก และสังเกตดูผู้คนที่อยู่ในเรืออย่างสนใจ
เป็นเพียงแค่คนอายุน้อยกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทันใดนั้น นางก็ตาเป็นประกาย หยุดสายตาบนร่างในชุดสีแดงอันเจิดจ้า
ชายหนุ่มที่งดงามจนไม่สามารถหาคำเปรียบเทียบได้เช่นนั้นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เรือได้เข้ามาใกล้ มู่ชิงเกอได้ตะโกนขึ้นอย่างกะทันหันว่า “คนแจวเรือหยุดก่อน”
เรือลำเล็กจอดลงตามคำสั่ง ลอยคว้างอยู่บนผิวน้ำ
มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหัวเรือ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองผู้คนที่นั่งอยู่บนชั้นสอง พลันกระตุกมุมปาก และประสานหมัด “องค์ชายสาม สบายดีหรือ”
“ดูเหมือนว่าจะรู้จักกันจริง ๆ” จูหลิงเก็บสายตา พูดพลางมองเตียวหยวน
ราวกับว่า คำพูดนี้ต้องการจะบอกเตียวหยวน แต่ความจริงแล้วต้องการจะสื่อถึงฟ่งอวี๋กุย
ฟ่งอวี๋กุยพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “มีสามคนที่มาจากแคว้นลี่ ชายหญิงคู่ที่หน้าตาคล้ายคลึงกันนั้น เป็นฝาแฝดลูกชายลูกสาวของเว่ยหลินหลางเจ้าเมืองเมืองถัว อีกสองน่าจะมาจากแคว้นปา ข้าไม่รู้จัก สำหรับชายหนุ่มในชุดสีแดงนั้น…” การจะแนะนำมู่ชิงเกอ ทำให้ฟ่งอวี๋กุยอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เพราะว่า เขาไม่รู้ว่าควรจะแนะนำอย่างไร
แต่ทว่า ท่ามกลางสายตาของจูหลิงและเตียวหยวน เขาก็จำเป็นต้องพูดว่า “เขาน่าจะเป็นสหายต่างวัยของเว่ยหลินหลาง”
“หากเป็นคนรู้จักก็เชิญมาร่วมโต๊ะกันเถิด” จูหลิงพูดพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่พูด นางก็มองไปที่เตียวหยวน “ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไร”
เตียวหยวนกวาดสายตามองคนเหล่านั้นอย่างหยิ่งยโส นอกจากมู่ชิงเกอที่ทำให้รู้สึกตะลึงเล็กน้อย คนอื่น ๆ ล้วนไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่า คนเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะร่วมโต๊ะกับเขา เขาไม่ได้ตอบจูหลิงพูดกับฟ่งอวี๋กุยอย่างผิดหวัง “ดูเหมือนว่า ศิษย์พี่จะไม่ชอบความครึกครื้น”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ฟ่งอวี๋กุยกระวนกระวายใจรีบเรียกตัวองครักษ์เข้ามาหา : “พวกเจ้าไปส่งเรือลำนั้นเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ในวันนี้อย่าให้เรือลำใดเข้ามาในทะเลสาบชุ่ยอีก”
คำสั่งเผด็จการนี้ราวกับว่า เขาต่างหากที่เป็นองค์ชายแห่งแคว้นอวี๋ ทำให้จ้าวหนานซิงแอบหัวเราะเยาะ
“องค์ชายสามไยต้องรีบไล่กันเช่นนี้ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสามมีความสามารถในการปรุงยาระดับสูง จึงได้มาพบ หวังว่าจะได้เห็นความเหนือชั้นของยาระดับสูงกับตาตัวเองสักครั้ง” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน
รอยยิ้มนั้น ราวกับเป็นจิ้งจอกตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น