ตอนที่ 116-4
บททดสอบการเข้าสู่โรงโอสถ
สุ่ยหลิงยิ้มอย่างได้ใจ “ข้าอุตส่าหไปสืบมา!”
“อวดดี” เว่ยกว่านกว่านแบะปาก ในขณะเดียวกันก็ถือโอกาสขยับตัวเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอมากกว่าเดิม
ในขณะนี้เอง คนบนเวทีก็พูดขึ้นอีกหน
ในมือของเขามีรายชื่ออยู่เล่มหนึ่งและเริ่มขานเรียกชื่อ ทุกคนที่ถูกเขาเรียกชื่อต่างเดินไปอยู่อีกฝั่ง
ในขณะที่เขาเรียกชื่อของฟ่งอวี๋กุย ราวกับเขาจะปรายตามองอย่างแนบเนียนแวบหนึ่ง
ไม่เพียงแค่เขา คนอื่น ๆ ต่างก็พินิจฟ่งอวี๋กุย เหมือนว่า คนผู้คือบุคคลที่ทุกคนต่างพูดถึง
ความจริงแล้ว ฟ่งอวี๋กุยได้ส่งคนไปจัดการเรื่องนี้แล้ว
แต่ว่า แม้ว่าเขาจะพยายามอธิบายว่าเป็นเพียงข่าวลืออย่างไรก็ไม่อาจจะหยุดยั้งเรื่องนี้ได้
ข่าวลือ ยังคงแพร่กระจายออกไปตามสายลม!
คำวิจารณ์สามารถเปลี่ยนจากขาวให้เป็นดำ หรือจากดำให้เป็นขาวได้!
ในที่สุด ทุกรายชื่อในบัญชีก็ถูกเรียกทั้งหมด ชายชุดขาวบนเวทีจึงพูดต่อไปว่า “ข้าเป็นผู้ต้อนรับของโรงโอสถในครั้งนี้ มีหน้าที่พาทุกคนเข้าไปในโรงโอสถ พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าเพียงเท่านี้ก็จะสามารถเป็นศิษย์ของโรงโอสถได้ หลังจากที่เข้าสู่โรงโอสถ ยังมีบททดสอบรอพวกเจ้าอยู่ หากไม่ผ่านบททดสอบ ก็จะถูก ถอนออก และไม่สามารถรับการทดสอบอื่นของโรงโอสถได้อีกเลยตลอดทั้งชีวิต แต่หากผ่านบททดสอบก็จะอยู่ในช่วงเฝ้าสังเกต ในช่วงเฝ้าสังเกตนี้ถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญมาก พูดง่าย ๆ ก็คือ ในอนาคตพวกเจ้าจะเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ปรุงยาท่านไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนในช่วงเฝ้าสังเกตนี้ แน่นอนว่าผู้ที่เคารพกฎ ของโรงโอสถและผ่านการเฝ้าสังเกตก็จะกลายเป็นศิษย์ของโรงโอสถ และไม่สามารถก้าวออกจากการเป็นศิษย์ได้! พวกเจ้าฟังเข้าใจหรือยัง”
“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนตะโกนตอบ
เว่ยกว่านกว่านเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอและกระซิบข้างหูว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า โรงโอสถจะมีกฎกติกามากมายถึงเพียงนี้ หากว่าข้าไม่ผ่านการทดสอบจะทำอย่างไร ข้าไม่อยากกลับเมืองถัวไปง่ายๆ เช่นนี้”
ม่ซิงเกอพูดปลอบเบา ๆ ว่า “เมื่อมาแล้วก็ทำให้ดีที่สุดเถิด”
การปรุงยานั้นต้องใช้พรสวรรค์ นางไม่รู้ว่าพี่น้องตระกูลเว่ยมีพรสวรรค์ในด้านนี้หรือไม่ จึงไม่สามารถยืนยันได้
ในตอนนี้ นางกลับมีบางเรื่องที่อยากจะรู้ นั้นก็คือการเข้าเป็นศิษย์ของโรงโอสถต้องทดสอบอย่างไร
ฟิว ๆ— ฟิว ๆ—
ทันใดนั้น ใต้พื้นดินก็มีลมแรงพัดขึ้น และแรงของลมก็พัดเสื้อผ้าของทุกคนไปมา ทั้งยังมีเม็ดทรายที่ถูกพัดเข้าตา
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้าง พลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า บนท้องฟ้ามีเงาหลายเงาสีดำบินโฉบเข้ามาในขณะที่ส่งเสียงคำราม
“ดูสิ! นั่นอะไร?”
“สวรรค์! ขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้! เป็นสัตว์ที่มีพลังเวทหรือ”
“สัตว์ที่มีพลังเวทจะมาอยู่ในเมืองซางจื่อได้อย่างไร นี่หมายความว่ามีสัตว์พลังเวทมาโจมตีเมืองหรือ?”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นท่ามกลางผู้คน ผู้ต้อนรับแห่งโรงโอสถกลับพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนกไป สัตว์พลังเวทที่สามารถบินได้เหล่านี้เป็นเพียงพาหนะที่ทางโรงโอสถจัดเตรียมเอาไว้ เพื่อพาทุกคนไปยังโรงโอสถก็เท่านั้น”
“อะไรนะ! สัตว์ปีกที่มีพลังเวทอันเก่งกาจเหล่านี้เป็นยานพาหนะหรือ”
“โรงโอสถสุดยอดเกินไปแล้ว!”
“ช่างเป็นเกียรติที่ข้าได้เข้ามาในโรงโอสถ!” ท่ามกลางผู้คน คำชื่นชมได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘นี่น่ะหรือความต่าง’ มู่ชิงเกอแอบตะลึง
หวนคิดถึงในตอนแรกที่นางขี่อาชาเพลิงเข้าไปในลั่วตู ทุกคนที่พบเจอล้วนตื่นตระหนก เพราะอย่างไรก็ตาม ในแคว้นระดับสามน้อยมากที่จะมีคนใช้สัตว์ที่มีพลังเวทเป็นยานพาหนะ
แต่ว่าโรงโอสถล่ะ
ถึงกับใช้สัตว์ปีกที่มีพลังเวทเช่นนี้มาเป็นยานพาหนะ สัตว์ปีกดั่งมังกรใหญ่ยักษ์เช่นนี้
อำนาจของโรงโอสถ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย จับจ้องสัตว์ปีกที่มีพลังเวททั้งห้าที่บินลงมา ไม่ใช่สัตว์ที่คนในแคว้นระดับสามจะสามารถทำให้เชื่องได้ ในตอนนี้เองที่นางได้กระจ่างในทุกอย่างแล้วว่า เหตุใด ทุกปีโรงโอสถที่รับลูกศิษย์ไม่มากนัก ถึงได้สร้างสถานที่อันกว้างใหญ่เพื่อให้ทุกคนได้มารวมตัวกัน
แท้จริงแล้ว ที่นี่เป็น ‘ที่จอดพัก’ ของเหล่าสัตว์ปีกพวกนี้โดยแท้
การบินลงของสัตว์ปีกอันใหญ่ยักษ์นี้ ได้บดบังแสงสว่างของทุกคน ในขณะที่กรงเล็บอันใหญ่โตกระทบลงพื้นดินก็ราวกับเกิดแรงสั่นสะเทือน
สัตว์ปีกที่มีพลังเวทเหล่านี้ ทุกตัวล้วนมีความยาวประมาณสามจ้างและมีความกว้างประมาณจ้างกว่า ลักษณะคล้ายดั่งเหยี่ยวที่มู่ชิงเกอเคยพบเจอเมื่อชาติที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันมากนัก
เช่น บนหัวของนกเหยี่ยวไม่มีหงอนสีโลหิตและที่แผงคอไม่ได้มีขนเจ็ดสีแบบนี้
หลังจากที่สัตว์ปีกนี้ลงสู่พื้นดิน ก็ดูสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก ในสายตาไร้ซึ่งไอสังหาร มันยืนอย่างนิ่งสงบ พลางใช้จะงอยปากอันแหลมยาวจัดระเบียบขนบนร่างกายของตนเอง
ผู้คนนับหลายร้อยคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนออกห่างจากสัตว์ปีกเหล่านี้ เพราะกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นอาหารของมันโดยมิได้ตั้งใจ มีเพียงมู่ชิงเกอที่พินิจมันอย่างตื่นเต้น นางค้นพบว่า บนคอของสัตว์ปีกทั้งห้าตัวล้วนมีคนนั่งอยู่ ราวกับเป็นผู้ควบคุมพวกมัน ‘หรือนี่จะเป็นอาจารย์ฝึกสัตว์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในตำรา’
มู่ชิงเกอถามตนเองในใจ
“สัตว์ปีกที่มีพลังเวทนี้ชื่อว่าเหยี่ยวมืด เป็นสัตว์ที่อ่อนโยน ทุกคนอย่าได้หวาดกลัวไป ตอนนี้เรารวมเป็นกลุ่มด้วยกันและขึ้นหลังของเหยี่ยวมืดกันเถิด” ผู้ต้อนรับบอกกับทุกคน พูดจบ เขาก็สาธิตให้ดู โดยกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังของ เหยี่ยวมืด
และเหยี่ยวมืดก็เป็นอย่างที่เขาพูด หลังจากที่มีคนกระโดดขึ้นหลัง มันก็ไม่แสดงความดุร้ายเลยแม้แต่น้อย ยังคงสงบเสงี่ยม จึงทำให้ทุกคนกล้าที่จะทำเช่นนั้นมาก ขึ้น
ไม่นาน คนกว่าครึ่งก็ได้กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังของเหยี่ยวมืด
เว่ยฉีพูดกับมู่ชิงเกอว่า “มู่เกอ เราก็ขึ้นไปกันเถิด”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ทั้งพี่น้องตระกูลเว่ยและสุ่ยหลิงรวมทั้งฟู่เทียนหลงได้ขึ้นบนหลังของเหยี่ยวมืดขนาดค่อนข้างเล็กตัวหนึ่งไปพร้อมกัน
หลังจากที่ทุกคนขึ้นไปอยู่บนหลังเหยี่ยวมืดแล้ว ผู้ต้อนรับก็ได้พยักหน้าให้กับผู้ควบคุมเหยี่ยวมืด
ทันใดนั้น เหยี่ยวมืดก็ส่งเสียงคำราม กางแผงปีกออกกว้าง แล้วจึงโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า…
ทุกคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังเหยี่ยวมืด ค่อยๆ คุ้นชินกับการบินในระดับความเร็วเช่นนี้ แต่ทว่า ยังคงมีคนมองภูเขาและแม่น้ำลำธารข้างล่างที่ค่อย ๆ เล็กลงอย่างไม่สบายใจ
“เฮ้ย ๆ ข้าบินขึ้นมาแล้วจริง ๆ”
“ไม่ใช่เจ้าบิน แต่เพราะโชคดีที่มีโอกาสนั่งอยู่บนหลังของสัตว์ที่มีพลังเวทต่างหาก”
ลมแรงพัดผ่านทุกสารทิศของผู้คน จนทั้งร่างกายส่ายไหวไปมา
ผู้ต้อนรับกล่าวเตือนว่า “ทุกคนขับเคลื่อนพลังเวทในการประคับประคองร่างให้มั่นคง”
ไม่นาน ร่างที่ส่ายไปมาก็ค่อย ๆ นิ่งขึ้น เหยี่ยวมืดบินอย่างมั่นคงและว่องไว มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงบริเวณปีกของมัน กำลังชื่นชมทิวทัศน์ข้างล่าง เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว ก็เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเหยี่ยวมืด
ต่างจากเครื่องบินที่เคยนั่งเมื่อชาติที่แล้ว เพราะนางสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาและมองเห็นทิวทัศน์แม่นํ้าลำธารที่ไหลอยู่ข้างล่าง
เหยี่ยวมืดราวกับกำลังพาพวกเขามุ่งไปยังผืนป่าหมีเมิ่ง
เพียงครู่หนึ่ง ก็ได้ห่างจากเมืองซางจื่อมาแสนไกล
มู่ชิงเกอพบว่า ในระยะทางที่ได้มานี้ ข้างล่างมิได้มีถนนหนทาง
‘ดูเหมือนว่า ในภายหน้าหากจะเข้าไปในโรงโอสถล้วนต้องใช้สัตว์พลังเวทที่บินได้’ มู่ชิงเกออุทานในใจ
เหยี่ยวมืดบินอยู่เหนือพื้นดินประมาณครึ่งชั่วยามแล้วค่อย ๆ ร่อนลง
ในครานี้ ไม่รู้ว่าเพราะนํ้าหนักบนหลังหนักเกินไปหรืออย่างไร ทำให้เหยี่ยวมืดไม่ได้เร่งรีบ และอัตราการบินลงก็ช้าลงมาก
หลังจากที่เหยี่ยวมืดลงสู่พื้นดิน ทุกคนต่างก็กระโดดลง
ความรู้สึกตอนเท้าแตะพื้น ทำให้ทุกคนต่างได้สติจากความโคลงเคลง
“เอาเถิด ตอนนี้ทุกคนได้มาถึงรอบนอกของโรงโอสถแล้ว ผ่านผืนป่านี้ไปก็จะเป็นประตูทางเข้าโรงโอสถ บททดสอบของพวกเจ้าก็เริ่มขึ้นนับแต่บัดนี้”
ทุกคนส่งเสียงเซ็งแซ่ทันที
พวกเขายังไม่ตื่นจากความงุนงงเลย จะเริ่มการทดสอบแล้วหรือ ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย