ตอนที่ 117-5
ปีศาจจากตระกูลไหนกัน
มู่ชิงเกอทำท่าเหมือนกลืนอะไรบางอย่าง ราวกับอยากจะใช้ของเหลวในร่างกายทำให้คอที่แห้งผากชุ่มชื่นมากขึ้น แต่ว่าหลังจากที่ทำเช่นนี้ไปแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด ควรจะบอกว่า ร่างกายของนางแห้งจนไม่มีของเหลวที่จะสามารถแบ่งออกมาได้อีก
“ทนต่ออีกหน่อย!” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองขั้นบันไดที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพูดกับตนเอง
นางราวกับจะเห็นเส้นปลายทาง
“ข้าอยากรู้นักว่าจุดสิ้นสุดของบันไดนี้เป็นอย่างไร!” เสียงของมู่ชิงเกอแหบแห้ง แต่ก็ยังคงแฝงความแน่วแน่
นอกหอ ผู้ที่มารวมตัวกันที่หินแกรนิตเนื้อแก้วมีมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางพวกเขา มีบางคนที่เป็นอาจารย์ปรุงยาที่มีชื่อเสียงของโรงโอสถมานานแล้ว และมีบางส่วนเป็นศิษย์เก่า
แต่ทว่า พวกเขาล้วนจับจ้องสายตาบนแสงสว่างดวงนั้น ด้วยท่าทางที่ตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าแสงสว่างดวงนั้นได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ท่านผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อที่อยู่ในระยะที่ใกล้กับแสงดวงนั้นมากที่สุด ในตอนนี้ท่าทางมิได้นิ่งเฉยอีกต่อไป เพราะมีความเคร่งขรึมและตื่นตระหนกเข้ามาแทนที่ เขาซ่อนมือที่สั่นเบาๆ เอาไว้ในแขนเสื้อ ราวกับว่า ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยาที่พลิกปฐพีถึงเพียงนี้
ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร ก็ต้องมาเป็นศิษย์ของข้า!’ ท่านผู้เฒ่าผมขาวปฏิญาณกับตนเอง ถึงขนาดที่ดวงตาทั้งคู่ฉายเปลวเพลิงอันร้อนแรง!
“สวรรค์! เขายังจะทนต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า”
“บางทีเขาอาจจะไม่เพียงแค่ทำลายสถิติของศิษย์พี่เหมย แต่จะกลายเป็นผู้ที่อดทนได้นานที่สุดเลยก็ได้”
“พอเถอะ ข้าเข้ามาอยู่ในโรงโอสถนานถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นใครที่ทนการทดสอบความแข็งแกร่งของสติปัญญาได้นานถึงเพียงนี้”
“ดูเหมือนว่า โรงโอสถสาขาย่อยแห่งแคว้นอวี๋ของเราจะมีอาจารย์ปรุงยามากพรสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว!”
ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลังท่านอาจารย์ปรุงยาต่างวิพากษ์วิจารณ์
แต่สำหรับท่านอาจารย์ปรุงยาที่นั่งอยู่หน้าสุด ในขณะที่ตกตะลึงนั้นก็กำลังแอบระแวง
‘ฝีมือระดับเทพเช่นนี้ ใครจะไม่อยากได้เป็นลูกศิษย์เล่า
เพราะฉะนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นคู่แข่ง
แต่ทว่า เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าผมขาวที่กำลังจับจ้องหินแกรนิตเนื้อแก้วอยู่ ก็รู้สึกหมดกำลังใจลง พวกเขาจะเอาอะไรมาสู้กับคนผู้นี้ได้เล่า มีอาจารย์ปรุงยาบางคนพึมพำเบา ๆ ว่า “โชคดีที่วันนี้ท่านปรมาจารย์โหลวไม่มาด้วย หากท่านอยู่ คงจะ เกิดศึกนองเลือดแย่งชิงลูกศิษย์ขึ้นแน่”
“เขาจะทะลุผ่านหินศิลาแล้ว!”
ท่ามกลางผู้คน มีลูกศิษย์ตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
คำพูดนี้ ทำให้บรรยากาศตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้กระทั่งเหมยจื่อจ้งที่นิ่งสงบและซางจื่อซูผู้เย็นชาล้วนเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เตียวหยวนที่ริษยาอยู่แล้ว จ้องแสงดวงนั้น ในดวงตาโหดเหี้ยมทอ แสงเย็นเยียบอันชั่วร้าย
มุมปากของเหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มจางๆ พลางพูดกับซางจื่อซูและจ้าวหนานซิงว่า “ผู้ที่มีความสามารถมากเพียงนี้ ข้าอยากเจอสักหน”
ซางจื่อซูเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ราวกับสงสัย
ความจริงแล้ว ศิษย์พี่ที่นางรู้จักผู้นี้ ไม่ชอบเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับใครก่อน
จ้าวหนานซิงพยักหน้าอย่างเข้าใจว่า “ความสามารถระดับนี้ หากได้รู้จัก คงจะเป็นเรื่องที่โชคดีเป็นอย่างยิ่ง”
ท่ามกลางผู้คน จูหลิงมองเตียวหยวนที่มีใบหน้าเคร่งขรึมแวบหนึ่ง และพูดด้วยนํ้าเสียงขี้เล่นว่า “ศิษย์พี่ ดูเหมือนว่าท่านจะเจอคู่แข่งเสียแล้วก็ไม่รู้ว่าในครานี้ อันดับสองจะยังสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่’’
เตียวหยวนกวาดสายตาที่สาดฉายไอเย็นเยียบไปมองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “อย่าได้มายั่วโทสะข้า!”
ท่านผู้เฒ่าผมขาวจ้องบนหินแกรนิตเนื้อแก้ว แสงที่ส่องประกายดวงนั้นกำลังจะทะลุสู่ขอบเขตของหินศิลาไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกกว้าง แล้วพึมพำอย่างตก ตะลึงว่า “ทะลุผ่านหินศิลา! ถือว่ามีบุญวาสนาอย่างเหลือล้น ความโชคดีในใต้หล้านี้ก็คือเขานี่แหละ!”
โชคดีที่ว่า เขาพูดคำเหล่านี้อย่างแผ่วเบาและข้างกายเขาไม่มีผู้ใด จึงไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูด
ภายในหอแห่งสติปัญญา มู่ชิงเกอได้ใช้กำลังของตนเอง จนเกินตัวมานานแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะความแน่วแน่ ที่คอยนำพา ในที่สุด ราวกับเพียงเอื้อมมือ ห่างจากนางไม่เกินสิบเมตร แต่ทว่า ในตอนนั้นนางได้ใช้มือทั้งสองข้างค่อย ๆ คลานขึ้นขั้นบันไดแล้ว
“ใกล้แล้ว!”
มู่ชิงเกอกัดฟันแน่นและคอยกระตุ้นกำลังใจของตนเอง สายตาจับจ้องแสงประกายที่อยู่ตรงหน้า
สิบเมตร เก้าเมตร แปดเมตร…ห้าเมตร สี่เมตร สามเมตร สองเมตร หนึ่งเมตร! ถึงแล้ว!
ดวงตาที่มืดมนลงของมู่ชิงเกอได้ชัดแจ้งขึ้นอีกหน นางเห็นเส้นชัยแล้ว
“ที่แท้ เส้นชัยคือแสงวงกลมดวงหนึ่ง” มู่ชิงเกอพึมพำ และกระตุกรอยยิ้มที่แฝงความคลุมเครือตรงมุมปาก
นางยื่นมือออกไปและคิดจะคว้าแสงดวงนั้น…
ทันใดนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในขณะที่ปลายนิ้วของนางแตะลงบนแสงดวงนั้นอย่างแผ่วเบา มันก็แตกกระจายออกจากกันและพุ่งเข้าหว่างคิ้วของนางในทันที
ความไวนั่น ทำให้ไม่อาจจะคว้าอะไรไว้ได้ ท่ามกลางความเหนื่อยล้า มู่ชิงเกอไม่สามารถจะหลีกหนีได้
เพียงครู่เดียว เศษของวงแสงที่ส่องประกายจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็แทรกเข้าตรงระหว่างคิ้วของนาง จนร่างกายของนางกระตุกทีหนึ่ง หัวสมองราวกับได้เข้าสู่ความว่างเปล่า
ความรู้สึกเมื่อยล้าในตอนแรก ได้หายไปอย่างน่าตกใจ ถึงขั้นว่าร่างกายราวกับจะแข็งแรงมากขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น
ราวกับว่า แม้มวลจะไม่เปลี่ยน แต่สถานะได้เปลี่ยนไปจนสามารถลอยตัวขึ้นได้!
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ตัวมู่ชิงเกอเองไม่ได้รับรู้
เพราะว่า ในขณะที่ชิ้นส่วนของแสงดวงนั้นแทรกเข้าสู่หว่างคิ้วของนาง นางได้หมดสติและสลบไป
นอกหอ แสงที่เคลื่อนตัวขึ้นไปเรื่อยตามแนวของหินแกรนิตเนื้อแก้วได้หายไปแล้ว
เพราะว่า เขาได้ทะลุออกจากมาตรฐานที่หินแกรนิตเนื้อแก้วได้กำหนดเอาไว้
รอบ ๆ เงียบสงบ
เป็นความตื่นตระหนกหรือความตะลึงก็ไม่อาจรู้ได้
ในตอนแรกนี่เป็นเพียงแค่บททดสอบการรับศิษย์ใหม่ที่แสนจะธรรมดา แต่กลับกลายเป็นตำนานที่ทุกคนไม่อาจจะลืมลงได้
ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ว่าจะกำลังมีความรู้สึกอย่างไร แต่ในใจล้วนเกิดคำถามเดียวกัน—
นั้นก็คือ ‘เขาเป็นใครกัน’ จึงได้มีความสามารถเหนือฟ้าเช่นนี้!