Skip to content

พลิกปฐพี 118-3

ตอนที่ 118-3

อันดับหนึ่งแห่งโรงโอสถ ศิษย์พี่เหมย!

ในขณะนี้เอง มู่ชิงเกอจึงสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผู้คนบางส่วนกำลังพินิจดูรอบ ๆ ถํ้า และบางส่วนก็กำลังกระซิบกระซาบกัน ถึงขั้นว่า รอบข้างฟ่งอวี๋กุยก็มีผู้คนรายล้อมอยู่หลายคน

สุ่ยหลิงเดินเข้ามาหามู่ชิงเกอ ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะไม่หวังจะดึงให้มู่ชิงเกอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตนเองหรือเพราะเหตุผลอันใด เพราะนางเลือกที่นั่งลงในบริเวณที่ค่อนข้างไกลจากมู่ชิงเกอ

“ตอนที่เราฟื้นขึ้นมา ก็เห็นว่าฟ่งอวี๋กุยนั้นฟื้นแล้วและมีคนที่อยากจะพึ่งพาอำนาจบารมีของเขาหลายคนเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา”

ฟู่เทียนหลงรีบเดินเข้ามาใกล้สุ่ยหลิง แต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอ ความระแวงและความไม่ชอบใจก็ได้จางไปจากสายตาของเขา

มู่ชิงเกอกวาดดวงตาอันสว่างใสไปยังตำแหน่งที่ฟ่งอวี๋กุยอยู่ในตอนนี้แวบหนึ่ง แล้วเก็บสายตาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นํ้าเสียงของสุ่ยหลิงแฝงความเคร่งขรึมเล็กน้อย “ข้าได้ยินเขาบอกกับคนเหล่านั้นว่าใครที่สามารถอดทนอยู่ในหอแห่งสติปัญญาได้นานที่สุดและฟื้นขึ้นเป็นคนแรก ก็แสดงว่าคนผู้นั้นมีความสามารถด้านพลังจิตมากที่สุด”

สำหรับคำพูดนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้เห็นด้วย เพราะว่านางเองก็ยังไม่แน่ใจในการคาดเดาของตนเอง สุ่ยหลิงรีบถามพร้อมความตื่นเต้นอีกว่า “มู่เกออยู่ในนั้นนานเท่าไหร่”

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นแสดงความถ่อมตนและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ เวลาบนหอราวกับจะไม่เหมือนโลกภายนอก แต่ทว่า ได้อดทนจนถึงที่สุด”

หยุดคิดครู่หนึ่ง นางเห็นท่าทางที่แฝงความกังวลใจของทั้งสาม จึงพูดปลอบใจว่า “อย่างไรก็ตามผู้ที่มาอยู่ที่นี่ก็แสดงว่าผ่านการทดสอบแล้ว เพียงแค่ผ่านก็เพียงพอ แล้ว”

คำปลอบใจของนาง ทำให้จิตใจที่เป็นกังวลของทั้งสามสบายใจมากขึ้น

สุดท้าย เว่ยกว่านกว่านกลับพูดอย่างไม่จำยอมว่า “ไม่อยากจะเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้านั่นเลย ราวกับเขาเป็นคนที่อดทนได้นานที่สุดอย่างนั้น”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร

ทุกคนคุยกันอีกครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ถํ้าที่ถูกปิดตายก็ถูกเปิดออก แสงสีขาวบริสุทธิ์ได้ส่องสว่างเข้ามา

ผู้คนที่อยู่ภายในถํ้าต่างลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นบังตา เพื่อไม่ให้แสงที่สาดเข้ามาส่องตาและกระทบต่อการมองเห็นของตนเอง

ครู่หนึ่ง แสงจึงค่อย ๆ จางลง และสาดกระจายไปทั่วทั้งถํ้าจนส่องสว่างลงบนความมืด ผู้คนที่อยู่ในถํ้าจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าบริเวณปากถํ้า มีทางเดินคดเคี้ยวที่ปูด้วยหยกและประภาคารที่สาดส่องแสงสว่างตั้งอยู่ทั้งสองข้าง

“ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในถํ้าจงออกมา” เสียงชราดังขึ้นดั่งเสียงฟ้าผ่า ทำให้คนที่อยู่ภายในถํ้าต่างเลือดลมตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบแม้แม้แต่น้อยนั่นก็คือมู่ชิงเกอ นางยังคงขมวดคิ้ว

เสียงที่ดังขึ้นนี้ นอกจากที่คิดว่าเสียงดังผิดปกติแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้นางมีความรู้สึกใดอีกเลย แต่ว่า เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ นางก็แน่ใจได้เลยว่า เจ้าของเสียงจะต้องมีพลังเวทอยู่ในระดับที่ไม่ต่างจากนางมากนัก

คนที่มีความสามารถระดับนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ในโรงโอสถด้วยฐานะอันใดและมีจำนวนมากน้อยเพียงใด มู่ชิงเกอรู้สึกว่า ยิ่งเข้ามาอยู่ในโรงโอสถ อำนาจของที่นี่ ก็ยิ่งมีมากกว่าที่นางคิดเอาไว้ ราวกับว่า นางได้เริ่มค่อย ๆ กระจ่างแล้วว่าเหตุใดโรงโอสถจึงมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนแคว้น มีเบื้องหลังที่มั่นคง แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนต้องยอมจำนน!

ทุกคนที่อยู่ในถํ้าล้วนเดินไปตามทางคดเคี้ยวตามคำสั่ง พวกเขาได้เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งผืนป่าที่ตั้งอยู่บนฟากฟ้าอีกครั้ง

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้า จึงพบว่า บัดนี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว

ท่ามกลางไม้ใบที่ถูกแบ่งออก สามารถเห็นแสงจันทร์จางๆ ได้

มู่ชิงเกอเองก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเช่นกัน ยามเมื่อเห็นแสงระยิบระยับของดวงดาว แม้นจะรู้ว่าอยู่ใต้นภาเดียวกัน ทว่านางยังคงรู้สึกว่าท้องฟ้าที่นี่แตกต่างจากท้องฟ้าที่เทือกเขาฉิน

ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่า มีแรงอันทรงพลังกวาดผ่านร่างกายของนาง

ขมวดคิ้วเบา ๆ ทีหนึ่ง นางพลันเก็บสายตาและมองไปรอบ ๆ เพื่อตามหาเจ้าของสายตานั่น

บางอย่างที่ทรงพลังนี้ ราวกับจะเก่งกาจกว่านาง ทำให้นางจำต้องระแวงว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อย่างไร

แล้วมองคนรอบข้าง ราวกับว่าไม่มีใครมีความรู้สึกเหมือนนาง

ไม่นาน พลังที่แฝงความเก่งกาจนั่นก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย รวดเร็วจนดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอคิดไปเอง

ศิษย์ชุดขาวที่นำทางทุกคนไปยังหอแห่งสติปัญญาในตอนแรกปรากฏตัวขึ้นอีกหน

ท่ามกลางแสงรัตติกาล ใบหน้าของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนตอนกลางวัน ทว่ามีความอบอุ่นมากขึ้น “พวกเจ้าตามข้ามา บททดสอบการเข้าสู่โรงโอสถยังไม่เสร็จ สิ้น”

พูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปเพื่อนำทาง

แต่ทว่า หลังจากที่เขาหันหลังกลับไป มู่ชิงเกอกลับมีความรู้สึกว่าเขาแอบมองตนเองแวบหนึ่ง ในสายตาราวกับยังมีความตื่นตระหนกและความสงสัยหลงเหลืออยู่

เพียงแต่ว่า เขาก็ได้เก็บสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว

ความผิดปกติเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเบา ๆ อีกหน

นางรู้สึกว่าตนเองราวกับว่าจะตกเป็นจุดสนใจมากเกินไปแล้ว!

เดินตามศิษย์ชุดขาวไปพักใหญ่ ทุกคนจึงได้มายืนอยู่หน้าต้นไม้เก่าแก่ต้นใหญ่

บนต้นไม้เก่าแก่ ท่ามกลางต้นไม้แก่มีบ้านไม้ตั้งอยู่เจ็ดถึงแปดหลัง ส่วนหลังที่อยู่ไกลพวกเขามากที่สุดคือหลังที่ใหญ่ที่สุด เป็นดั่งปราสาทที่อยู่ในโลกภายนอกและฉายพลังอันแรงกล้า

“สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ช่างเป็นการสร้างที่ประณีตมาก!” ท่ามกลางผู้คน มีความอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม

ในขณะนี้เอง ศิษย์ชุดขาวก็ได้หันหน้ากลับมา พร้อมพูดกับทุกคนว่า “ต่อไป สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องทำการทดสอบคือทักษะในการปรุงยา ใครที่สามารถปรุงยา ออกมาให้ได้มาตรฐานได้ ไม่ว่ายานั้นจะอยู่ในระดับ หรือคุณภาพใด ก็จะสามารถเป็นลูกศิษย์เตรียมของโรงโอสถได้ หากไม่สามารถปรุงได้ แต่สามารถแยกชนิดของยาสมุนไพรทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ สามารถบดยา คัดประเภทได้ ก็จะมีโอกาสอยู่ในโรงโอสถได้ในฐานะคนงาน เมื่อไหร่ที่สามารถปรุงยาได้ด้วยตนเอง ก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ปรุงยา หากไม่สามารถปรุงยาได้และไม่สามารถเป็นคนงานได้ หลังจากที่การทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องจากไป”

หลังจากที่อธิบายกฎกติกาจนเป็นที่เข้าใจแล้ว ศิษย์ชุดขาวก็เอียงตัวไปยืนอยู่ข้างๆ เพื่อเปิดทางให้ทุกคนเข้าสู่ห้องโถง

ฟ่งอวี๋กุยเดินเข้าไปเป็นคนแรก ทำให้สาวกชุดขาวเผยรอยยิ้มที่แฝงความเหยียดหยาม และพูดเสียดสีว่า “หวังว่าศิษย์ผู้นี้จะสามารถปรุงยาระดับสูงได้ เพื่อเปิด เผยให้ทุกคนได้เห็นความสามารถ”

สีหน้าของฟ่งอวี๋กุยมืดมนลง พลันอุทานอย่างเย็นเยียบต่อหน้าเขาทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดเสื้อและเดินเข้าห้องโถงไป

หลังจากที่ฟ่งอวี๋กุยเข้าไปแล้ว ผู้ติดตามคนใหม่ ๆ ทั้งหลายของเขาก็รีบตามไป ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเดินตามกันเข้าไปภายในห้องโถง

“มู่เกอ ทำอย่างไรดี ข้าไม่เคยปรุงยาเลย” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างกระวนกระวาย

เว่ยฉีเองก็กำหมัดแน่น และพูดด้วยใบหน้าไม่สู้ดีมากนัก “การแบ่งชนิดของยานั้นยังถือว่าพอใช้ใด้ แต่ว่าการปรุงยาเราทั้งสองไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจริงๆ”

“จะเป็นกังวลไปเพื่ออะไร หากไม่เคยปรุงยา ก็ทำการแบ่งชนิดและขนาดของยาให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เพียงแค่มีพื้นฐานที่แน่นพอ การจะเป็นอาจารย์ปรุงยาก็ไม่ไกลเกินเอื้อม” มู่ชิงเกอพูดอย่างแนบนิ่ง

“แต่ว่า หากเป็นเช่นนี้จะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าหรือ” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างรู้สึกผิด

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ “จะทำให้ข้าเสียหน้าได้อย่างไรกัน ทำในส่วนของพวกเจ้าให้ดีที่สุดเถิด อีกประการหนึ่ง ข้าหวังให้พวกเจ้าจงตระหนักว่า พวกเจ้า มาที่โรงโอสถนี้เพื่อจุดประสงค์อันใด คำตอบนี้ข้าหวังว่าไม่ใช่เพื่อข้านะ”

พูดจบ นางก็เดินเข้าไปในห้องโถงเป็นคนแรก

“ไม่ต้องตื่นเต้น” สุ่ยหลิงตบไหล่เว่ยกว่านกว่านเพื่อให้กำลังใจ และหลังจากที่มองเว่ยฉีด้วยสายตาที่แสดงถึงการให้กำลังใจ ก็เดินเข้าไปในห้องโถงเช่นกัน

ฟู่เทียนหลงรีบตามไป เมื่อพี่น้องตระกูลเว่ยเห็นว่าทุกคนเดินเข้าไป ก็ต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันก่อนจะเดินเข้าห้องโถงไป

พอเข้าไปภายในห้องโถง มู่ชิงเกอจึงค้นพบว่า ด้านซ้ายและขวาของโถงถูกแบ่งเป็นห้องจำนวนมาก ห้องที่มีคนเดินเข้าไป อัญมณีที่อยู่บริเวณประตูหน้าห้องก็จะส่องแสงประกายขึ้นในทันที ส่วนห้องที่ยังไม่มีคนเดินเข้าไป อัญมณีที่อยู่ตรงหน้าห้องก็ยังคงหม่นแสง

‘ดูเหมือนว่า การทดสอบการปรุงยาในครานี้ก็ต้องแยกกันทำ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี การปรุงยาต้องใช้ความสงบ ไม่อาจโดนรบกวน’ มู่ชิงเกอพูดในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version