Skip to content

พลิกปฐพี 119-4

ตอนที่ 119-4

การแก้แค้นช่างเดินทางมาถึงไวนัก!

ทันใดนั้น ก็ทำให้เว่ยกว่านกว่านก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันทีและด่าอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ไอ้เว่ยฉีเจ้าห้าม แย่งบทพูดของข้า!”

“เจ้าดุถึงเพียงนี้อีกหน่อยจะแต่งงานได้อย่างไร!” เว่ยฉีรีบหนีไปอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ และเตือนน้องสาวของตนเอง

มือที่ยกขึ้นอีกหนของเว่ยกว่านกว่านชะงัก พลางมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาเขินอาย พลันสับเท้าและพูดว่า “แต่งไม่ได้ก็ไม่แต่ง เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”

“เอาเถิดๆ! เจ้าพูดๆ ข้าไม่แย่งเจ้าแล้ว มู่เกอยังรอฟังอยู่นะ” เว่ยฉีขอร้อง

พูดถึงมู่ชิงเกอ เว่ยกว่านกว่านก็เก็บท่าทางที่ไร้มารยาทของตนเอง พลางจ้องเว่ยฉีด้วยสายตาอาฆาตทีหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ในวันนี้ผู้ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือท่าน ท่านรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

หากเหมยจื่อจ้งไม่ได้มาหา บางทีมู่ชิงเกออาจจะรู้สึกประหลาดใจ

แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเว่ยกว่านกว่าน ในใจกลับเริ่มคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว

แต่ว่า พอเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยการรอคอยจากสาวน้อยนางนี้ นางจึงแสร้งส่ายหน้าตามที่อีกฝ่ายหวังเอาไว้ และถามว่า “เพราะเหตุใดหรือ”

เว่ยกว่านกว่านเผยรอยยิ้มในทันทีพูดอย่างกระหยิ่มใจว่า “มู่เกอ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว! ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านทำลายสถิติความแข็งแกร่งด้านพลังจิตของโรง โอสถ! และที่สำคัญคือ ท่านรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่ทำสถิติในอดีตคืออันดับหนึ่งอย่างศิษย์พี่เหมยจื่อจ้ง ข้าได้ยินมาว่า การทดสอบความแข็งแกร่งด้านพลังจิตที่เราได้ทำไปเมื่อวาน ข้างนอกเองก็สามารถมองเห็นได้ ตอนที่อาจารย์และลูกศิษย์แห่งโรงโอสถทั้งหลายเห็นท่านทำลายสถิตินั้นล้วนตกตะลึงกันไปหมด แม้กระทั่งหัว หน้าโรงโอสถเองก็ไม่เว้น!”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแต่ไม่ได้แสดงอาการใด เว่ยกว่านกว่านพูดด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมากว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่า วันนี้เราเห็นสีหน้าโมโหจนหน้าดำหน้าแดงของฟ่งอวี๋กุยหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของท่าน ฮ่าๆๆ”

“พอเถิด ไม่ได้มีอะไรน่ายินดี ข้าเพียงแค่มีความอดทนสูงกว่าคนอื่นก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ

“เก่งเพียงเล็กน้อยอะไรกัน เก่งมาก ๆ เลยต่างหาก!” เว่ยกว่านกว่านพูดเกินจริง เมื่อนางสงบลงจากความตื่นเต้น มู่ชิงเกอจึงพูดว่า “คืนนี้พักผ่อนให้ดี ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องตั้งใจและพยายามให้ดีที่สุด เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ปรุงยาโดยเร็ว จะได้ไม่ทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าขายหน้า”

คำพูดนี้ ทำให้ทั้งสองทำอะไรไม่ถูกในทันที ราวกับว่าเพราะมู่ชิงเกอกล่าวเตือนโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ พวกเขาจึงนึกขึ้นได้ว่า ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ท่านพ่อของพวกเขานับถือเป็นน้องชาย เมื่อนับตามลำดับแล้ว เป็นถึง ‘ท่านอา’ของพวกเขา ออกจากห้องของมู่ชิงเกอไปอย่างเชื่อฟัง มองไปยังดวงจันทร์ที่ประดับอยู่บนฟากฟ้า สองพี่น้องมองหน้ากันเงียบๆ แต่กลับถอนหายใจดั่งคนหัวอกเดียวกัน

ทั้งคืนผ่านไปอย่างเงียบเหงา มู่ชิงเกอตื่นแต่เช้าอีกแล้ว

สองวันนี้ ไม่มีคุณตัวประหลาดคอยรบกวน ความจริงแล้วนางควรจะได้นอนหลับอย่างสงบ แต่ไม่คิดว่าจะนอนไม่หลับ

จนสุดท้าย จะต้องใช้วิธีการพักผ่อนโดยการนั่งขัดสมาธิเพื่อฝึกพลังเวท

นวดขมับของตนเองหลายที มู่ชิงเกอไม่พอใจในความผิดปกติของตนเอง

ราวกับว่า นางได้ ‘โหยหา’ อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา

“นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเสียหน่อย! ” มู่ชิงเกอตบแก้มของตนเองหลายหน เพื่อเตือนสติตนเอง

ถอนหายใจทีหนึ่ง มู่ชิงเกอกระโดดลงจากเตียงและเปิดประตูเดินออกจากห้องของตนเองไป

ในวันนี้ ทุกคนจะเริ่มเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปไหนมาไหนโดยพร้อมเพรียงกันเหมือนเคย

และผู้ที่คอยติดตามของมู่ชิงเกออย่างพี่น้องตระกูลเว่ยก็เป็นเพราะการเรียนของคนงานนั้นไม่เหมือนของนาง ทำให้ไม่สามารถร่วมทางกับมู่ชิงเกอได้

มู่ชิงเกอหยุดคิดครู่หนึ่ง รอบข้างเงียบสงบ ราวกับมีเพียงแค่นางคนเดียว

ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ ไปที่สวนสมุนไพรหรือไปที่ห้องปรุงยา แต่ว่าตามที่ศิษย์ของโรงโอสถได้กล่าวเอาไว้ การเป็นศิษย์ไนช่วงทดสอบ จะต้องใช้เวลาอยู่ในสวนสมุนไพรครึ่งวัน บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะไปที่สวนสมุนไพรแล้ว

แต่ว่านางกลับไม่คิดที่จะไปสวนสมุนไพร

ปัดชุดที่มีเศษฝุ่นเกาะอยู่ทีหนึ่ง นางเดินมุ่งไปยังหอตำรา

สำหรับกฎเกณฑ์ หึ รอให้กฎเกณฑ์ทำให้นางเดือดร้อนก่อน แล้วค่อยว่ากัน

ในตอนนี้ มู่ชิงเกอยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหอตำรา

สิ่งที่บังเอิญคือ ภายในนั้น นางได้พบกับซางจื่อซูอีกหน แต่กลับแตกต่างกับที่ผ่านมา คือตอนที่นางเดินทางไป ถึงยังหอตำรา ซางจื่อซูยังไม่อยู่ที่นั้น หลังจากที่นางอยู่ในนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ซางจื่อซูจึงเดินขึ้นมาตามบันได

เมื่อพบกันอีกหน มู่ชิงเกอเพียงพยักหน้าเบาๆ และซางจื่อซูเองก็มองนางเพียงแค่เสี้ยวสายตาเดียว แล้วเดินขึ้นไป สูงส่งมิอาจจะแตะต้องได้ดังที่เล่าขานกันมา ทั้ง

เยือกเย็นและสวยสง่า

ความเย็นชาของซางจื่อซูไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจแต่อย่างไร

ในทางกลับกัน การทักทายเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกเป็นอิสระ และต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน

ถึงเวลาแล้ว มู่ชิงเกอถูกพลังจากมนต์ต้องห้ามดึงตัวออกมาอีกครั้ง ทำให้นางคิดว่าตนเองควรจะหาเวลาไปเปลี่ยนจากระดับตํ่าให้เป็นระดับกลาง

สำหรับระดับสูง…

ในตอนนี้ อาจารย์ปรุงยาระดับสูงในโรงโอสถมีเพียงสามท่าน

หากไม่จำเป็นนางไม่อยากไปเชิดหน้าชูตาอยู่บนนั้น

มู่ชิงเกอที่ถูกโยนตัวออกจากหอตำรา จัดชุดตัวหลวมของตนเองเบา ๆ แล้วเดินมุ่งไปยังสวนสมุนไพร ยังเหลือเวลาอีกมาก นางจะชื่นชมสวนสมุนไพรที่เว่ยกว่า นกว่านบอกว่ากว้างใหญ่สุดสายตา และจะไปดูสถานการณ์ของสองพี่น้องนี้

แต่ว่า นางยังไม่ทันจะเดินไปถึงสวนสมุนไพร เพิ่งจะเห็นสวนสมุนไพรอย่างเลือนราง หนทางข้างหน้าของนางก็มีคนขวางเอาไว้

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา

และแอบคิดในใจว่า คนในโรงโอสถ ล้วนชอบขวางทางคนอื่นเล่นหรือไง

เมื่อวานเหมยจื่อจ้ง แล้ววันนี้จะเป็นใครอีก ทันทีที่มู่ชิงเกอเห็นผู้มาเยือนชัดแล้ว ก็หรี่ตาลง นางคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ยืนขวางทางตนเอง จะเป็นอันดับสองของโรงโอสถ คือเตียวหยวนผู้ที่ถูกเรียกว่าอันดับสองหมื่นปีคนนั้น

เมื่อเห็นเตียวหยวนมองตนเองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน นางก็รู้สึกแปลกใจ

“เจ้าเองรึที่ชื่อมู่เกอ” นํ้าเสียงเย็นชาของเตียวหยวนดังขึ้น นัยน์ตาเย็นเฉียบ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

หากจะบอกว่าเหมยจื่อจ้งให้ความรู้สึกดั่งสายลมอุ่น อย่างนั้นเตียวหยวนผู้นี้ก็คงจะให้ความรู้สึกดั่งสายลมอันหนาวเหน็บ

“ไม่พูดงั้นหรือ ดีมาก” เตียวหยวนหรี่ตาลง พลันสาดฉายความชั่วร้ายออกมาจากดวงตา “ข้าจะถามคำถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้าต้องตอบตามความจริง”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้นกว่าเดิม คิดในใจว่า คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!

แต่ว่า เตียวหยวนกลับไม่สนใจสีหน้าที่ดูขบขันของมู่ชิงเกอและถามว่า “ในหอแห่งสติปัญญาเจ้าได้รับอะไรมา หากยอมส่งมาให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะรับประกันความปลอดภัยในการอยู่ในโรงโอสถของเจ้า”

เขาก็เพิ่งได้ยินท่านอาจารยพูดถึงเมื่อวานนี้ว่าแท้จริงแล้วในหอสติปัญญานั้นมีสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีค่าเป็นอย่างมากและเป็นสิ่งที่เหล่าอาจารย์ปรุงยาต่างปรารถนา เพียงแต่ว่าผู้ที่สามารถเดินไปยังเส้นชัยด้วยความแข็งแกร่งด้วยพลังจิตเท่านั้นจึงจะสามารถครอบครองมันได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา สมบัติชิ้นนี้ไม่เคยมีผู้ใดมีวาสนาได้ครอบครอง แต่ไม่คิดว่าผู้ที่มาทดสอบเมื่อวันก่อน เจ้าปีศาจอย่างมู่เกอกลับเดินจนถึงเส้นชัย เขาเดินจนถึงเส้นชัย เช่นนั้นสมบัติก็ต้องอยู่ในมือของ

เขาเป็นแน่

สำหรับเตียวหยวนแล้วสมบัติที่แม้กระทั่งท่านอาจารย์ก็ ยังให้ความสนใจและอยากครอบครองจะต้องเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

เพราะฉะนั้น ในวันนี้เขาจึงได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ

‘สิ่งที่ได้รับในหอแห่งสติปัญญาอย่างนั้น’ ในหัวของมู่ชิงเกอมีแสงวงกลมที่มีลักษณะคล้ายลูกบอลที่พบเจอตอนหมดสติไปปรากฏขึ้น

สิ่งนั้นคืออะไรจนถึงตอนนั้นนางเองก็ยังไม่รู้ แต่ทว่าสิ่งเดียวที่นางมั่นใจก็คือ ทันทีที่นางสัมผัสกับของสิ่งนั้น มันก็ได้แตกกระจายและพุ่งเข้าไปอยู่กลางหว่างคิ้วของนางก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

อย่าว่าแต่นางไม่สามารถเอาออกมาให้กับเตียวหยวนได้เลย เพราะถึงแม้ว่าวงแสงนั้นจะอยู่ในมือของนาง นางก็จะไม่ยอมยกให้เตียวหยวนเพื่อแลกกับความปลอดภัย ของตนเองในโรงโอสถเป็นแน่

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ แล้วมองเตียวหยวนอย่างไม่รู้สึกกลัว พลันพูดว่า “ข้าขอปฏิเสธ”

“เจ้าอยากตายรึ!” เตียวหยวนหรี่ตาทังสองข้างลง ความชั่วร้ายที่ฉายออกมาจากสายตามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มที่แฝงความเยาะเย้ยและพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ข้ารออยู่”

“หึ” เตียวหยวนอุทานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมก่อนจะหันหลัง แล้วเดินจากไป

เสียงอุทานนั้นเต็มไปด้วยไอสังหารอันมหาศาลและทำให้รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอหายไป

นางเพียงแค่อยากจะชื่นชมโรงโอสถอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับความเดือดร้อน จะว่าไปแล้ววงแสงนั้นคืออะไรกัน ที่ทำให้เตียวหยวนถึงกับมาร้องขอกับนางด้วยตนเองเช่นนี้

มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะไปหาคำตอบจากที่ใด จึงทำได้เพียงเก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน

เสียเวลาไปมากเพราะเตียวหยวน มู่ชิงเกอจึงรีบเดินมุ่งไปยังสวนสมุนไพร

เพิ่งจะเดินเข้าสวนสมุนไพร นางก็รับรู้ถึงความน่าทึ่งของสวนสมุนไพรที่กว้างใหญ่จนไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เว่ยกว่านกว่านได้เปรียบเปรยเอาไว้

“กว้างใหญ่มากจริง ๆ” มู่ชิงเกอมองไปยังสวนสมุนไพร ที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วชื่นชมจากใจจริง

“ศิษย์น้องมู่ใช่หรือไม่ ข้าขอนัดท้าประลองกับเจ้า! ” ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ขัดจังหวะการอุทานของมู่ชิงเกอ

นางหันหลังกลับไป เห็นชายหนุ่มที่มีป้ายหยกตรงเอว แสดงสถานะว่าอยู่ในระดับกลาง

ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี มีท่าทางเย่อหยิ่ง สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

“เจ้าเป็นใคร” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

ชายหนุ่มเชิดหน้า และพูดอย่างเย่อหยิ่งเป็นที่สุดว่า “ข้าอันดับแปด ซ่งอวี้”

“อ่อ ไม่รู้จัก” มู่ชิงเกอตอบอย่างแนบนิ่งคำหนึ่ง นัยน์ตาอันสว่างไสวไร้ซึ่งความรู้สึก นางไม่รู้ว่าเหตุใดชายที่ชื่อซ่งอวี้จึงมาหานาง แต่ว่า เมื่อนางเห็นเตียวหยวนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มามุงดู นางก็เข้าใจขึ้นมา

การแก้แค้นของเตียวหยวนนี้ มาไวกว่าปกติมากเสียจริง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version