Skip to content

พลิกปฐพี 120-1

ตอนที่ 120-1

นางต่างหากที่เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสูง!

ข้าไม่รู้จัก

คำพูดนี้ ราวกับเป็นฝ่ามือพิฆาตที่ตบลงกลางใบหน้าของซ่งอวี้อย่างจัง ทำให้ในสายตาอันเย่อหยิ่งของเขามีความโหดเหี้ยมเกิดขึ้นในทันที

“เจ้าพูดอีกรอบ!” ซ่งอวี้กัดฟันแน่นและจ้องมู่ชิงเกอด้วยสายดุร้าย

ราวกับว่า หากนางพูดคำว่า ‘ไม่รู้จัก’ อีกหน เขาจะพุ่งไปสังหารนางให้แหลกละเอียด

มู่ชิงเกอรับรู้ถึงคำข่มขู่อันรุนแรง แต่กลับพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ข้าบอกว่า ไม่รู้จัก” “เจ้า!”

ใบหน้าที่ดูสูงส่งของซ่งอวี้บิดเบี้ยวขึ้นมา พลัน พูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเย็นเยียบจาง ๆ “เป็นเพียงศิษย์ที่เพิ่งเข้ามา ริบังอาจกระทำกิริยาเช่นนี้!”

“เจ้าเองยังบอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในโรงโอสถ การไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากอย่างเย้ยหยัน

รอบข้างมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาในทันที เสียงหัวเราะดังอยู่ในหูของซ่งอวี้ มันเป็นเสียงที่หัวเราะเยาะที่แฝงความเย้ยหยัน ทำให้สีหน้าของเขาทั้งซีดทั้งแดง “ข้าจะประลองการปรุงยากับเจ้า!” ซ่งอวี้ฟังเสียงหัวเราะที่ดังอยู่รอบข้าง และพลันนึกถึงเป้าหมายการมาของตนเองและภารกิจที่เตียวหยวนมอบให้จึงพูดขึ้นอีกครา

สายตาของมู่ชิงเกอแฝงความเย็นเยียบเล็กน้อย รอยยิ้มตรงมุมปากเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย และพูดออกมาทีละคำว่า “มี สิทธิ์ อัน ใด”

ซ่งอวี้ขมวดคิ้วในทันที สายตาเติมไปด้วยไอสังหาร “ก็มีสิทธิ์เพราะข้าเอ่ยปากอย่างไรเล่า”

“เพียงแค่เจ้าเสนอ ข้าก็ต้องยอมอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่ชอบใจ

ท่าทางอันเนิบนาบของนาง ทำให้เสียงหัวเราะที่ดังอยู่รอบข้างจางหายไป ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนเบี่ยงความสนใจมาที่นางผู้ที่ ‘โด่งดังที่สุด’

“หรือว่าเจ้าไม่กล้า” ซ่งอวี้ยิ้มอย่างเยาะเย้ย

มู่ชิงเกอเพียงแค่ยิ้ม สายตาของนางกวาดมองคนที่อยู่รอบข้างด้วยความสงสัยและแนบนิ่ง พลันยิ้มเย็นเยียบ “เจ้าเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับกลาง ทั้งเป็นบุคคลต้น แบบอันดับแปดของโรงโอสถ จะมาประลองกับข้าผู้ที่เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับตํ่า เจ้าคิดจะเรียนรู้วิธีการปรุงยาระดับตํ่าหรือเจ้าคิดจะเยาะเย้ยข้ากันแน่”

ซ่งอวี้หรี่ตาลง เขาไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะพูดเบื้องลึกเบื้องหลังที่แฝงอยู่ของเรื่องนี้ออกมาเช่นนี้!

รอบข้างเสียงดังอึ้ออึง

ใช่! เขาได้รับคำสั่งจากเตียวหยวนให้มาสั่งสอนมู่ชิงเกอ ให้เขาได้รู้ว่าในโรงโอสถแห่งนี้ คนประเภทใดที่ไม่ควรทำให้ไม่พอใจ และควรจะมอบสิ่งนั้นออกมาแต่โดยดี

แม้ว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เตียวหยวนต้องการคืออะไร แต่ทว่า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่อุปสรรคต่อความจงรักภักดีที่เขามีต่อเตียวหยวน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของทุกคน ซ่งอวี้รู้สึกอยากจะหนีออกไปจากที่นี่เสียตอนนี้

แต่ทว่า เมื่อเขามองเห็นสายตาที่แฝงความเย็นเยียบของเตียวหยวนที่จับจ้องตนเองอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาก็สะดุ้งทีหนึ่งและพูดต่ออย่างจำใจว่า “หึ เจ้าเป็นคนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งที่สุดมิใช่หรือ การที่ข้าจะประลองกับเจ้าก็ไม่ได้ถือเป็นการรังแกเจ้า”

“ความแข็งแกร่งทางพลังจิตหมายความถึงความเก่งกาจด้านการปรุงยาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา

ผู้คนที่ยืนมุงอยู่ต่างแยกเป็นสองข้าง จนเกิดเป็นทางเดินเล็ก ๆ เผยให้เห็นเจ้าของเสียง มู่ชิงเกอเงยสายตาขึ้นมอง เห็นเหมยจื่อจ้งในชุดสีขาว ลอยเข้ามาดั่งปุยเมฆจนคล้ายเป็นภาพลวงตา

“ศิษย์พี่เหมย!”

“ศิษย์พี่เหมย!”

“ศิษย์พี่เหมยจริง ๆ ด้วย!”

“ศิษย์พี่เหมยมาถึงที่นี่เชียว!”

“ศิษย์พี่เหมย!

ทันทีที่เหมยจื่อจ้งปรากฏตัวขึ้น กลิ่นไอความเป็นเซียนในตัวก็ทำให้ทุกคนต่างคารวะเขาอย่างนอบน้อมจากใจจริง

ภาพนี้สะท้อนอยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอและซ่งอวี้ ในขณะเดียวกันก็อยู่ในสายตาของเตียวหยวน

เหมยจื่อจ้งได้รับความชื่นชมจากผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ แต่เขาที่เป็นอันดับสองหมื่นปีกลับเป็นได้เพียงแค่อันดับสอง ราวกับว่าตราบใดที่ยังมีเหมยจื่อจ้งอยู่ก็ไม่มีใครมองเห็นเขาเตียวหยวน

ในสายตาอันโหดเหี้ยมของเตียวหยวน ตอนแรกคิดจะสั่งสอนมู่ชิงเกอเพียงเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เหมยจื่อจังปรากฏตัวขึ้นที่นี่

‘หรือว่าเหมยจื่อจ้งเองก็สนใจในของสิ่งนั้นด้วย’ การคาดการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ท่าทางของเตียวหยวนเย็นเยียบลงกว่าเดิม

“สิ่งที่ข้าเตียวหยวนปรารถนาจะต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

“ศิษย์พี่เตียว ท่านว่าอย่างไรนะ” แม้เสียงโทนตํ่าของเตียวหยวนเข้าหูผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ แต่กลับได้ยินไม่ถนัดนัก

มองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ศิษย์…ศิษย์พี่เหมย” การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเหมยจื่อจ้ง ทำให้ซ่งอวี้กระตุกมุมปาก เหงื่อไหลลงตามไรผมและทำได้เพียงแค่ประสานหมัดทำความ เคารพ

มองเขาด้วยสายตาอันเย็นชาแวบหนึ่ง จนไม่สามารถรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง หลังจากที่รับการทำความเคารพจากซ่งอวี้ เหมยจื่อจ้งก็เลื่อนสายตาไปที่มู่ชิงเกอ “ข้าบอกว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนให้มาหาข้าไม่ใช่หรือ”

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก เมื่อครู่นั้นนางเพิ่งจะถูกขวางทางเอาไว้ เหมยจื่อจ้งก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วอย่าว่าแต่ที่นางไม่เคยคิดจะไปหาเหมยจื่อจ้งเลย เพราะถึงแม้นางจะคิด แต่ก็ไม่มีโอกาสให้นี่นา!

ท่าทางพูดอะไรไม่ออกของมู่ชิงเกอสะท้อนอยู่ในดวงตาของเหมยจื่อจ้ง ทำให้ดวงตาทั้งคู่ที่นิ่งสงบแฝงรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อเขาหันสายตากลับไปมองซ่งอวี้ที่ตัวสั่น จึงพูดอย่างช้า ๆ ว่า “หากเจ้าอยากจะเรียนรู้การปรุงยากับมู่เกอ ก็รอให้เขาฝ็ก’ฝีมืออีกสักนิดก็ยังไม่สาย”

“นี่…” ใบหน้าของซ่งอวี้เต็มไปด้วยความอึดอัดจะเดินหน้าก็ไม่ได้จะถอยหลังก็ไม่ได้

หากเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องเด็กใหม่อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ อีกประการหนึ่งเด็กใหม่คนนี้ยังเป็นคนที่เข้าตาหัวหน้าโรงโอสถ แต่ทว่าเตียวหยวนยังคงจับจ้องอยู่ห่าง ๆ หากว่าเขายอมถอยเช่นนี้ จุดจบอาจจะไม่สวยงามนัก

ซ่งอวี้แอบมองเตียวหยวนที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ราวกับกำลังรอคำสั่งใหม่ แต่ว่าเมื่อใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและชั่วร้ายของเตียวหยวนสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา เขาก็พลันตื่นตระหนกและจำใจพูดต่อว่า “เหตุใดศิษย์พี่เหมย ถึงได้พูดเข้าข้างเขา นี่เป็นการประลองระหว่างเขาและข้า หากจะปฏิเสธศิษย์

น้องมู่ก็ต้องเป็นคนเอ่ยด้วยตนเอง”

มู่ชิงเกออยากจะบอกว่า เมื่อครู่นี้ตนเองได้ปฏิเสธไปแล้วอย่างชัดเจน แต่คำพูดต่อไปของซ่งอวี้กลับทำให้นางเปลี่ยนใจในทันที

“บางทีศิษย์น้องมู่อาจจะยังไม่รู้ว่า การประลองของเจ้าและข้าถือเป็นการสร้างทางลัดให้แก่เจ้า เพราะหากเจ้าชนะข้าได้ก็จะมาแทนที่อันดับแปดของข้ากลายเป็นบุคคลต้นแบบอันดับหนึ่งในสิบไม่ว่าคุณสมบัติจะเป็นอย่างไร ในทุก ๆ เดือนจะมีโอกาสขึ้นไปศึกษาตำราบนชั้นบนสุดของตึกตำราหนึ่งครั้ง” ซ่งอวี้พยายามอย่างสุดชีวิต คิดหาทุกวิถีทางในการกระตุ้นให้มู่ชิงเกอตอบรับการประลอง เพื่อจะได้เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับจากเตียวหยวน

การเป็นบุคคลต้นแบบไม่ใช่สิ่งที่มู่ชิงเกอเห็นความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

แต่ว่า สิทธิ์ของการเป็นบุคคลต้นแบบ ทำให้นางตาเป็นประกาย ชั้นบนสุดของตึกตำราต้องมีของดีเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องมีการมอบรางวัลแก่บุคคลต้นแบบเช่นนี้

หลังจากที่คิดทบทวนในใจ มู่ชิงเกอจึงพูดว่า “ได้ ข้าตกลง”

คำตอบของนางทำให้จิตใจที่เป็นกังวลของซ่งอวี้ผ่อนคลายลง และคิดในใจว่า เจ้าหนุ่มเจ้ารู้แค่ผลประโยชน์จากการชนะเหตุใดจึงไม่คิดว่าหากแพ้จะเกิดอะไรขึ้น

“ศิษย์น้องมู่ช่างเด็ดขาด!” กลัวว่ามู่ชิงเกอจะคืนคำ ซ่งอวี้จึงรีบพูด

เรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างอึ้งไป แม้กระทั่งเหมยจื่อจ้งก็มองมู่ชิงเกออย่างงุนงง พลันขมวดคิ้วเบา ๆ เมื่อได้ยินคำตอบของมู่ชิงเกอ เตียวหยวนก็จ้องเหมยจื่อจ้งอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“หากศิษย์น้องมู่ตอบตกลง เรามานัดวันเวลากันดีหรือไม่” ท่าทางของเขากลับมาเย่อหยิ่งอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่ามู่ชิงเกอจะชนะและไม่รู้สึกว่าตนเองจะแพ้

“ได้ข่าวว่าในอีกสองวันข้างหน้า จะมีการประลองการปรุงยาและเป็นการประลองระหว่างคนเก่าและคนใหม่เช่นกัน” มู่ชิงเกอพูดอย่างแฝงความขบขัน

ซ่งอวี้ตะลึง

เพราะมีข่าวที่ว่าฟ่งอวี๋กุยเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสูง และปิดบังความสามารถที่แท้จริงของตนเอง เตียนหยวนจึงส่งคนไปกลั่นแกล้งอยากจะใช้การประลองการ ปรุงยาในการพิสูจน์คำเล่าลือว่าเป็นความจริงหริอไม่ เรื่องนี้เขารู้อยู่เต็มอกแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงได้พูดถึงเรื่องนี้

เมื่อไม่เข้าใจซ่งอวี้จึงพยักหน้า มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ดี การประลองของเรา จัดขึ้นหลังจากพวกเขา” ซ่งอวี้ตาเป็นประกายและพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “หาก เป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้างหน้าขอให้ศิษย์น้องมู่โชคดี

ขอตัว!

พูดจบ เขาก็มองเหมยจื่อจ้งอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะกล่าวลาแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

แม้ซ่งอวี้จะจากไปแล้ว แต่ผู้คนที่มุงกันยังคงอยู่เพราะข้าง ๆ มู่ชิงเกอยังมีอีกคน ที่น่าดึงดูดมากกว่าและทั้งสองนี้เทียบกันไม่ติดเลย

“เหตุใดเจ้าจึงตอบตกลงเขา” เหมยจื่อจ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองเขาพลางขมวดคิ้วราวกับยิ้มและไม่ยิ้มในเวลาเดียวกัน “ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”

สำหรับเหมยจื่อจ้ง นางไม่ได้มีหน้าที่อธิบาย อีกประการหนึ่งเตียนหยวนกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ แม้นางปฏิเสธ วันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะส่งใครมาอีก นางไม่ได้มีเวลามารับมือกับเรื่องพวกนี้ รวบยอดให้จบภายในครั้งเดียวเลยน่าจะดีกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version