Skip to content

พลิกปฐพี 120-2

ตอนที่ 120-2

นางต่างหากที่เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสูง!

“หากไม่ยอม ก็ไม่มีใครบังคับเจ้า” เหมยจื่อจ้งพูดอย่างเคร่งขรึม

เพียงแต่ ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา ผู้ที่ตะลึงไม่ใช่มู่ชิงเกอแต่เป็นผู้คนที่อยู่รอบข้าง ทั่วทุกสารทิศล้วนมีเสียงที่แฝงความตื่นตระหนกดังขึ้น ราวกับได้ยินความลับยิ่งใหญ่อะไรอย่างนั้น!

“สวรรค์! ศิษย์พี่เหมยพูดเช่นนี้กับเขา เจ้านี่ช่างโชคดีเสียจริง!”

“มีศิษย์พี่เหมยคอยดูแล ต่อจากนี้เขาคงจะทำอะไรก็ได้ ในโรงโอสถ”

“ฮี่ๆ เจ้าก็พูดเกินไป เราต่างรู้ดีว่าศิษย์พี่เหมยเป็นคนอ่อนโยน ไม่ชอบขัดแย้งกับใคร มีท่านคอยดูแลถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก แต่พวกเจ้าอย่าได้ลืมใครอีกคนไป หากทำให้ศิษย์พี่เหมยไม่พอใจเพียงแค่สำนึกผิดจากใจจริงก็พอแล้ว แต่หากทำให้เขาคนนั้นไม่พอใจจุดจบจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ ซ่งอวี้นั้นเป็นคนของใครเราต่างก็รู้กันดีอยู่”

“ซ่งอวี้เป็นใคร เราต่างก็รู้กันดีและศิษย์พี่เหมยเองก็รู้ แต่เขาก็เลือกที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือว่าในคราวนี้ เขาต้องการจะ…กับฝั่งนั้นจริงๆ”

“ชู่ว! เรื่องพวกนี้รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว” เสียงวิพากษ็วิจารณ์ค่อยๆ หายไป ไม่รู้ว่าเพราะใครคอยห้ามปราม

มุมลับมุมหนึ่งในระยะที่ไกลออกไป ร่างอันงดงามสองร่างยืนเคียงข้างกัน

จูหลิงพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความริษยาว่า “เหตุใด ศิษย์พี่เหมยจึงดีกับเขามากถึงเพียงนี้ เขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในโรงโอสถก็เท่านั้น”

นางเข้ามาอยู่ในโรงโอสถนานหลายปี ไม่เคยเห็นเหมยจื่อจ้งใส่ใจกับเรื่องของใครมากถึงเพียงนี้ กระทั่งยอมพูดจาเช่นนั้นต่อหน้าทุกคน

ซางจื่อซูค่อยๆ หรี่ตาลงและพูดอย่างแนบนิ่งว่า “บางทีศิษย์พี่เหมยอาจจะเสียดายคนมีฝีมือ”

“เสียดายคนฝีมืออย่างนั้นหรือ” จูหลิงนึกถึงในวันที่นั่งอยู่หน้าแท่นศิลา…เพื่อดูการทดสอบพลังจิตที่ตึกแห่งสติปัญญา แล้วพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ความสามารถ ของศิษย์น้องมู่คนนั้นถือว่าไม่ธรรมดา แต่นั้นก็เพียงแค่เป็นการยืนยันว่าเขามีพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ปรุงยาระดับสูงได้!”

“เจ้าอย่าลืมว่า ความแข็งแกร่งด้านพลังจิตนั้นเป็นสิ่งที่สูงสุด เป็นพื้นฐานของอาจารย์ปรุงยาที่เก่งกาจ ไม่ว่าทักษะการปรุงยาของเขาในตอนนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็ถือว่าได้เปิดทางสว่างในการเป็นอาจารย์ปรุงยา” ซางจื่อซูพูดอย่างแนบนิ่ง

จูหลิงมองนางด้วยความแปลกใจ “นาน ๆ ทีจะเห็นเจ้าพูดมากถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าเองก็สนใจในตัวศิษย์น้องมู่”

พูดจบ นางก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ นัยน์ตาแฝงความขบขัน

นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของซางจื่อชูสั่นเบา ๆ ทีหนึ่ง แต่กลับพูดอย่างแนบนิ่งเป็นที่สุดว่า “อัจฉริยะพลิกฟ้าเช่นนี้แน่นอนว่าจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ”

“จะว่าไปแล้วข้ารู้สึกว่าศิษย์น้องมู่ผู้นี้หน้าตาคุ้น ๆ ราวกับเคยเจอกันที่ไหน! อ๊า! ใช่แล้ว!” จูหลิงกระจ่างในที่สุด “เขาก็คือคนที่ไปหาเรื่ององค์ชายสามฟ่งแห่ง แคว้นลี่ ในวันที่เราไปที่ทะเลสาบชุ่ย เขาเป็นชายหนุ่มชุดแดงผู้ที่งดงามจนน่าทึ่งผู้นั้น!”

ซางจื่อซูเงียบไม่พูดอะไร เพียงมองเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่แท้จริงแล้วกำลังมองใครนั้น คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่อาจจะคาดเดาได้

“ขอบคุณความหวังดีของศิษย์พี่เหมยเป็นอย่างมาก แต่ข้าไม่ต้องการ” มู่ชิงเกอปฏิเสธการปกป้องจากเหมยจื่อจ้งอย่างเย็นชา

ความไม่เข้าใจในดวงตาของเหมยจื่อจ้งมากขึ้นเป็นทวีคูณ เขาราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงปฏิเสธความหวังดีจากเขา

เม้มปากเบา ๆ ทีหนึ่ง เขาพูดอีกหนว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าเข้าสู่สำนักของท่านอาจารย์ของข้าเพียงเพราะเรื่องนี้”

“ศิษย์พี่เหมยคิดมากเกินไปแล้ว” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่เหมยที่มาช่วยด้วยความหวังดี แต่ว่าข้าเป็นคนที่ชอบ จัดการปัญหาของตนด้วยตัวของข้าเอง เพราะฉะนั้น คราวหน้าไม่จำเป็นต้องทำให้ศิษย์พี่เหมยคอยลำบาก” พูดจบ นางก็ประสานหมัดให้กับเหมยจื่อจ้งก่อนจะหันหลังและเดินจากไป ตอนแรกนางคิดจะไปหาพี่น้องตระกูลเว่ย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ไปจะดีกว่า

“เขาปฏิเสธอย่างนั้นหรือ”

“สมองมีปัญหาหรือเปล่า! เรื่องน่ายินดีเช่นนี้เขากลับปฏิเสธ!”

“ช่างเป็นข่าวใหญ่เสียจริง! ยอมรับการประลองการปรุงยาจากซ่งอวี้แล้วปฏิเสธการปกป้องจากศิษย์พี่เหมย เด็กใหม่อย่างศิษย์น้องมู่เป็นใครกันแน่”

“เจ้ายังขาดไปอีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์น้องมู่ผู้นี้ก็คือผู้ที่สามารถทำลายสถิติของศิษย์พี่เหมยในตึกแห่งสติปัญญาได้!”

“อะไรนะ! เขาคือคนผู้นั้นงั้นรึ!” ทันใดนั้น ผู้คนก็ตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนกอีกหน

เหมยจื่อจ้งมองมู่ชิงเกอจนลับสายตาไป ส่วนเสียงวิจารณ์จากบริเวณรอบข้างที่ลอยเข้าหูของเขา เขาก็ทำราวกับไม่ได้ยิน

จนกระทั่งมู่ชิงเกอเดินห่างออกไปไกล เขาจึงหันหลังแล้วเดินจากไป

ผู้ที่ผ่านการเป็นศิษย์เตรียมของโรงโอสถจะมีสิทธิ์ในการเลือกที่พักของตนเอง

หากเข้าเป็นศิษย์อาจารย์ท่านใด จะต้องอยู่กับอาจารย์ของตนเอง การอยู่ร่วมกันนี้ หมายถึงการอยู่ในอาณาเขตเดียวกันไม่จำเป็นต้องอยู่ห้องเดียวกัน แม้จะอยู่ติดกัน แต่ก็จะไม่รบกวนซึ่งกันและกัน

เมื่อเหมยจื่อจ้งกลับไปถึงที่พักของตนเอง ก็เห็นจ้าวหนานซิงยืนกอดอกพิงเสารอเขาอยู่

ฝีเท้าค่อย ๆ หยุดลง เขามองจ้าวหนานซิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

จ้าวหนานซิงกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ปล่อยมือทั้งสองข้าง แล้วเดินเข้าไปหาเขา พลันพูดอย่างจำใจว่า “ท่านอาจารย์รบลูกศิษย์มาแล้วสามคน ท่านและจื่อซู คนหนึ่งนิ่งสงบดั่งสายนํ้า เหินห่างดั่งเมฆา อีกคนเย็นชาดังนํ้าแข็ง น่าภาคภูมิราวดอกเหมย ข้าแทรกอยู่ตรงกลาง อยากจะพูดคุยกับพวกท่านก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ข้าหวังให้มีศิษย์น้องสักคนที่จะคอยพูดคุยกับข้า”

สายตาอันสว่างและแนบนิ่งของเหมยจื่อจ้งแฝงรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้แล้ว” จ้าวหนานซิงยักไหล่ “ศิษย์พี่ที่เป็นดั่งเทพเซียนแห่งโรงโอสถออกรับหน้าด้วยตนเอง จะยังมีเรื่องราวอันใดที่ไม่รู้”

เหมยจื่อจ้งค่อย ๆ ก้มสายตาลง ขนตาอันยาวงอนบดบังความรู้สึกที่ฉายออกมาจากสายตาของเขา “ดูเหมือนว่า เรื่องนี้ข้าจะคิดไม่ถี่ถ้วน เช่นนี้ถือเป็นการมัดมือชกศิษย์น้องมู่จริง ๆ”

“ศิษย์พี่ท่านรู้หรือไม่ว่า การที่ศิษย์น้องมู่แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในการทดสอบ แต่กลับมิมีใครรับเขาเป็นศิษย์นั้นเป็นเพราะเหตุใด” อยู่ ๆ จ้าวหนานซิงก็พูดจากใจจริง

เฮ้อ ศิษย์พี่ผู้นี้ของเขามีความสามารถระดับสูงด้านการปรุงยา แต่สำหรับทางโลกนั้นถือว่าไร้เดียงสามากไป

เหมยจื่อจ้งเงยสายตาขึ้น มองเขาอย่างฉงนใจ

จ้าวหนานซิงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้  “เพราะอาจารย์ปรุงยาทุกท่านล้วนรู้ว่า ศิษย์น้องมู่เข้าตาหัวหน้าโรงโอสถ และอย่างไรก็ต้องเข้าไปอยู่ในสำนักของ หัวหน้าโรงโอสถ ใครจะกล้าเข้าไปแย่งบ้าง แน่นอนว่านอกจากท่านอาจารย์ของเรา แต่ว่าในเวลานี้ท่านมิได้อยู่ในโรงโอสถ ตอนนี้หัวหน้าโรงโอสถยังแอบดีใจที่คนที่กล้าแย่งชิงกับท่านไม่อยู่ จึงมีเวลาสังเกตการณ์ศิษย์น้องมู่ผู้นี้ แต่ท่านกลับไปรับศิษย์แทนท่านอาจารย์อย่างเปิดเผย ทั้งยังเปิดเผยว่าจะแย่งลูกศิษย์ รวมถึงปกป้องต่อหน้าทุกคน อย่างที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ ศิษย์น้องมู่ผู้นี้ได้ถูกท่านบีบบังคับ อาจถึงขนาดที่ถูกมัดมือชก” เหมยจื่อจ้งเงียบ ราวกับกำลังตั้งใจฟังคำพูดของจ้าวหนานซิง

“เรื่องของซ่งอวี้ ข้าไม่รู้ว่ามีเตียวหยวนคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ได้แสดงให้ทุกคนในโรงโอสถเห็นว่า เราต้องการจะแย่งคนของหัวหน้าโรงโอสถ หากว่าเราชนะก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากแพ้เล่า มีหรือที่ทางหัวหน้าโรงโอสถจะยอม ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่อยู่ มีเพียงแค่เราสามคน จะรับมือกับฝ่ายของหัวหน้าโรงโอสถและรักษาศิษย์น้องมู่เอาไว้ใต้อย่างไร” จ้าวหนานซิงพูดต่อ

ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นตามมานี้ เหมยจื่อจ้งคิดไม่ถึง

ถูกจ้าวหนานซิงเตือนเช่นนี้เขาก็ได้สติขึ้นมาในทันที และพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเคร่งขรึม “ข้าจะรีบส่งข่าวให้ท่านอาจารย์รีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

“ไม่ต้องแล้ว” จ้าวหนานซิงเชิดใส่เขาทีหนึ่ง “ก่อนที่ท่านจะกลับมา ข้าได้ส่งคนไปบอกข่าวลับนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบแล้ว”

เหมยจื่อจ้งโล่งอกในทันทีและโน้มตัวลงคารวะจ้าวหนานซิงอย่างจริงใจ “ขอบคุณศิษย์น้องมาก ไม่เช่นนั้นข้าคงสร้างปัญหาใหญ่”

“เราล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้” จ้าวหนานซิงยกมือขึ้นห้ามอย่างไม่ใส่ใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version