Skip to content

พลิกปฐพี 131-4

ตอนที่ 131-4

ปรมาจารย์โหลวโปรดระงับความโศกเศร้า

เมื่อมู่ชิงเกอลืมตาขึ้นในใจรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ก็ฝึกพลังเวท ฝึกปรุงยาและไปกลั่นแกล้งจิ้งจอก ชีวิตเช่นนี้ช่างผ่อนคลายเสียจริง!

“มู่เกอ เหตุใดจึงดูอารมณ์ดีมากถึงเพียงนั้น” อยู่ๆ เหมยจื่อจ้งก็หันไปมองนาง

มู่ชิงเกอหันสายตาไปมองเขา เพื่อเผชิญหน้าชายผู้นี้ อยู่ๆ ก็ไม่เรียกนางว่าศิษย์น้องมู่ ทำให้นางไม่ค่อยคุ้นชินนัก

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร เพียงแค่คิดถึงเรื่องน่าสนใจบางอย่างเท่านั้น”

เหมยจื่อจ้งพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อ

หลังจากนั้นหลายวัน ในวันสุดท้ายของการทดสอบ ทั้งห้าได้เดินออกจากผืนป่าหมีเมิ่ง ในตอนนี้ นอกผืนป่าหมีเมิ่งไม่มีลูกศิษย์โรงโอสถเหลือแม้แต่คนเดียว เงียบสงบจนน่ากลัว

“เรากลับโรงโอสถกัน” เหมยจื่อจ้งสังเกตรอบๆ แล้วพูดกับทั้งสี่

จ้าวหนานซิงพูดพร้อมยิ้มเยาะ “พวกเตียวหยวนคงคิดว่า เราตายหมดแล้ว อยู่ๆ ข้าก็อยากให้ถึงโรงโอสถโดยเร็ว อยากเห็นภาพที่เขาเห็นว่าเรายังไม่ตาย และยังยืน อยู่ตรงหน้าเขา คงจะสาแก่ใจมาก”

“หากทุกคนรอไม่ไหวแล้ว เราก็ไปกันเถิด” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มตรงมุมปากแล้วพูดขึ้น

ภายในโอสถ บรรยากาศแตกต่างจากทุกๆ วัน ราวกับมีความเคร่งเครียดและความกดดันเพิ่มเข้ามา

ในลานใหญ่ที่สุดในโรงโอสถ ด้านบนสุดของอัฒจันทร์มีอาจารย์ปรุงยาทุกท่านของโรงโอสถนั่งอยู่ พวกเขานั่งอยู่บนเบาะรองนั่งและมองคนกลุ่มหนึ่งที่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางลาน

ด้านบนสุดของอัฒจันทร์มีหัวหน้าโรงโอสถย่อยหัวชางซู่ นั่งอยู่ และรองลงมาจากหัวชางซู่ ในระยะที่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยคือโหลวชวนป่าย

บนอัฒจันทร์ด้านล่างพวกเขาคืออาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ของโรงโอสถ

สองข้างของลานกว้าง เต็มไปด้วยลูกศิษย์ของโรงโอสถ มีทั้งที่ถูกปรมาจารย์รับเป็นศิษย์และผู้ที่ไม่ได้เป็น ในบริเวณที่ไกลออกไป ยังมีลูกศิษย์และคนงานของโรงโอสถกำลังเร่งรีบเข้ามา

พี่น้องตระกูลเว่ย ฟู่เทียนหลงและสุ่ยหลิงก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากที่เบียดเข้ามาอยู่ท่ามกลางผู้คน เว่ยกว่านกว่านก็ถามสุ่ยหลิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น เราเพิ่งมาจากสวนสมุนไพร รู้เพียงว่าในโรงโอสถเหมือนกับจะเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนจึงถูกเรียกให้มารวมกันที่นี่”

สุ่ยหลิงส่ายหน้าและขมวดคิ้ว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนแรกข้าและเทียนหลงอยู่ในห้องปรุงยา ได้ยินเสียงฆ้องเรียกให้มารวมตัว ทำให้ข้าเสียยาไปหม้อหนึ่ง”

เว่ยกว่านกว่านมองไปรอบๆ เห็นว่าผู้คนที่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จึงพูดเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่!”

ในขณะนั้นเอง เว่ยฉีก็เห็นว่าตรงกลางลานมีคนจำนวนสิบกว่าคนนั่งคุกเข่าอยู่ “นั้นเตียวหยวนมิใช่หรือ ยังมีพวกของซ่งอวี้ เหตุใดพวกเขาจึงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น”

“ที่ไกลออกไปหน่อยยังมีคนบางส่วนคุกเข่าอยู่เช่นกัน” อยู่ๆ ฟู่เทียนหลงก็พูด

ทันใดนั้น ทั้งสี่ก็หันไปมองด้านในของลาน

ฟู่เทียนหลงพูดอีกว่า “ข้าได้ยินมาว่า เตียวหยวนไปร่วมภารกิจการทดสอบที่ผืนป่าหมีเมิ่ง”

“พวกมู่เกอก็ไปนี่!” เว่ยกว่านกว่านนึกขึ้นได้

“แต่ไม่เห็นเขานะ” สุ่ยหลิงรีบกวาดสายตามองหารอบหนึ่ง พลันขมวดคิ้วแน่น ในสายตามีความเป็นห่วงซ่อนอยู่

“จริงด้วย! มู่เกอล่ะ” เว่ยฉียื่นคอออกไปหารอบๆ แต่ยังคงไม่เห็นว่าเงาร่างของมู่ชิงเกอจะปรากฏออกมา

“ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว” ฟู่เทียนหลงพูดด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึม

“จะเกิดเรื่องอะไรได้ มู่เกอเก่งกาจมากถึงเพียงนั้น หากจะเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับเขา!” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างแน่วแน่ แต่ว่า หากสังเกตดีๆ แล้ว กลับ มองเห็นถึงความกังวลหลายส่วนในแววตาของนาง

“ทุกคนใจเย็นๆ ดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ทั้งท่านผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถ อาจารย์ปรุงยา หัวหน้าและท่านปรมาจารย์โหลวก็อยู่ที่นี่ เราอย่าได้ก่อเรื่องอันใด จนเป็นภาระให้กับมู่เกอเมื่อเขากลับมา” เว่ยฉีพูดพร้อมเม้มปาก

คำพูดที่ดูเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้เมื่อออกจากปากของเขา ก็เป็นที่น่าแปลกใจไม่น้อย แต่ว่า ที่เหลืออีกสามคนกลับพยักหน้าเห็นด้วย แม้กระทั่งเว่ยกว่านกว่านที่ควบคุมตนเองได้น้อยที่สุดก็กัดริมฝีปาก และจับมือพี่ชายเอาไว้ด้วยความเคร่งเครียด

“เตียวหยวน เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ผืนป่าหมีเมิ่งมาให้ละเอียด” หัวชางซู่พูดขึ้นช้าๆ ผมสีเงินยวงของเขา เพิ่มกลิ่นอายความเป็นเทพให้เขาอยู่หลายส่วน

“ขอรับ ท่านอาจารย์’ เตียวหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มสายตาลงมองพื้น ทำให้ทุกคนไม่เห็นความเย็นเยียบในสายตาของเขา

“พวกเราลูกศิษย์โรงโอสถแยกกันเข้าสู่ผืนป่าหมีเมิ่ง ตอนแรกทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี และเข้าสู่ทะเลสาบเยวี่ยโดยไม่มีอุปสรรคอันใดมากนัก ในตอนที่เราไปถึง ทะเลสาบเยวี่ย ก็ได้พบกับพวกของศิษย์พี่เหมย พวกของศิษย์พี่เหมยมีศิษย์น้องจ้าว ศิษย์น้องซาง ศิษย์น้องมู่และศิษย์น้องจู หลังจากที่เราทั้งสองฝ่ายพบกันแล้ว ได้ มีความคิดว่าจะดำลงทะเลสาบเยวี่ยด้วยกัน เพื่อเด็ดหน่อจันทร์มายาและสำเร็จภารกิจ แต่ว่า…คิดไม่ถึงว่า ” อยู่ๆ เตียวหยวนก็พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา

โหลวชวนป่ายที่ยืนอยู่ข้างหัวซางซู่ เมื่อได้ยินชื่อลูกศิษย์ของตนเอง ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงร้อนใจขึ้นมา รวมทั้งเห็นท่าทางอํ้าๆ อึ้งๆ ของเตียวหยวนอีก จึงพลันเร่งอย่างตื่นตระหนก “ไม่คิดว่าอะไร เจ้าพูดมาสิ!”

เตียวหยวนเงยสายตาขึ้น และมองเขาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ไม่รอให้ใครเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสายตาของเขา ก็ก้มลงอีกครั้ง

ในขณะนี้เอง หัวชางซู่จึงพูดกับโหลวชวนป่ายว่า “ท่านปรมาจารย์โหลว อย่าได้ใจร้อนไป เรามาฟังเตียวหยวนพูดดีกว่า”

โหลวชวนป่ายหันมองหัวชางซู่แวบหนึ่ง ในสายตาของหัวชางซู่แฝงความได้ใจ ทำให้เขาอุทานอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง ก่อนจะเก็บสายตา

“เตียวหยวน เจ้าพูดต่อ” สายตาที่หัวชางซู่มองโหลวชวนป่ายมีความเย็นเยียบแฝงอยู่ พลันพูดกับเตียนหยวน

“รับทราบ ท่านอาจารย์” เตียวหยวนพูดต่อว่า “ในตอนแรกเราตกลงกันแล้วว่า จะไปเด็ดหน่อจันทร์มายาพร้อมกัน หลังจากที่ได้มาแล้ว เราจะแบ่งกัน ถือว่าทุกคนต่างก็สำเร็จภารกิจร่วมกัน แต่ว่าเรายังไม่ทันลงทะเลสาบ ก็เห็นนํ้าวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่บนผิวทะเลสาบอย่างกะทันหัน ในขณะนั้นเอง พื้นดินก็สั่นสะเทือน สายฟ้า ฟาดก้อง เรารีบถอยห่างออกจากทะเลสาบ กลับได้ยินเสียงคำรามดังมาจากใต้ทะเลสาบ…”

รอบข้าง เพราะคำพูดของเตียวหยวน เริ่มมีเสียงวิจารณ์ดังขึ้น

เหล่าลูกศิษย์โรงโอสถ ล้วนคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าอะไรที่ซ่อนอยู่ในทะเลสาบ

เว่ยฉีและทั้งสี่ก็ตึงเครียดไปด้วย พวกเขากลั้นหายใจ กลัวว่าจะพลาดหรือฟังคำใดคำหนึ่งผิดไป

เตียวหยวนมองซ่งอวี้แวบหนึ่ง ซ่งอวี้ตัวสั่น ก้มหัวต่ำจนไม่สามารถตํ่าต่อไปได้อีก และพูดออกมาทีละคำๆ ว่า “เรา เรา…เห็นมังกรวารีตัวหนึ่ง พุ่งขึ้นมาจากใต้

ทะเลสาบ…”

อะไรนะ!

มังกรวารี!

เสียงอื้ออึงดังขึ้น ราวกับทั่วทั้งลานกว้างโดนฟ้าผ่าลงมาอย่างนั้น ทุกคนล้วนตะลึง

มังกรวารีหมายความว่าอย่างไร มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้เชียวนะ!

“มังกรวารี! เจ้าบอกว่าในทะเลสาบเยวี่ยมีมังกรวารีอย่างนั้นหรือ” โหลวชวนป่ายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันชี้ไปยังตำแหน่งของเตียวหยวนแล้วตะโกน

“ใช่…ใช่…” ซ่งอวี้พูดสั่นๆ ราวกับยังติดตาและไม่ได้สติกับภาพอันน่าหวาดกลัว

เตียวหยวนพูดด้วยนํ้าเสียงที่ฉายความเจ็บปวด “การปรากฏตัวของมังกรวารี เกินจากที่เราคาดการณ์เอาไว้ มังกรวารีตัวนั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก ทันทีที่ปรากฏตัว ก็มาพร้อมกับพลังเวทสายม่วง พวกเรา…พวกเรา…ไม่กล้าสู้กับมันจริงๆ!”

พลังเวทระดับสายม่วงอย่างนั้นหรือ

ไม่เพียงแค่พบกับมังกรวารี แต่ยังเป็นมังกรวารีสายม่วงอย่างนั้นหรือ

นี่มันโชคชะตาอย่างไรกัน!

ท่ามกลางลูกศิษย์ของโรงโอสถ มีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกโชคดีที่ตนเองไม่ได้ใปร่วมการทดสอบในครั้งนี้ มิเช่นนั้น จะตายอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ โหลวชวนป่ายเซไปขณะหนึ่ง ร่างกายราวกับถูกฟ้าผ่า ในขณะนั้นเองหัวชางซู่จึงพูดว่า “พบกับศัตรูที่เหนือกว่า ถอยเป็นวิธีที่ดีที่สุด”

เตียวหยวนเงยหน้าขึ้น เผยสีหน้าเศร้าโศกออกมา “ใช่ เราล้วนถอยหนี แต่ว่าพวกของศิษย์พี่เหมยไม่ยอมแพ้ พวกเขาคิดว่าด้วยความสามารถของพวกเขา สามารถสู้ กับมังกรวารีและเด็ดหน่อจันทร์มายามาได้จึงไม่สนใจสิ่งที่เราห้าม ออกไปสู้กับมังกรวารี เราไม่สามารถห้ามได้ และไม่อยากทำให้ลูกศิษย์โรงโอสถคนอื่นๆ ต้องมาทิ้งชีวิต จึงทำได้เพียงแค่ออกจากการต่อสู้ จากนั้น เราก็เฝ้าอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาก็ไม่ปรากฏตัว สำหรับทะเลสาบเยวี่ยเราไม่กล้าเข้าไปอีก ทำได้เพียงแค่ถอยกลับมา พวกของศิษย์พี่เหมยคงจะ…”

“เจ้าพูดจามั่วซั่ว! จื่อจ้งไม่มีทางบ้าบิ่นเช่นนั้น!” โหลวชวนป่ายปฏิเสธคำพูดของเตียวหยวนด้วยความเจ็บปวด

คำพูดของเตียวหยวน ทำให้พวกของเหมยจื่อจ้งกลาย เป็นคนที่ดื้อด้าน ไม่ห่วงความปลอดภัยของลูกศิษย์โรงโอสถคนอื่นๆ และพวกบ้าบิ่นที่ไม่รู้จักประเมินความสามารถของตนเอง

แต่ว่า เรื่องนี้โหลวชวนป่ายกลับไม่เชื่ออย่างแน่นอน

อีกประการหนึ่ง คำพูดที่เตียวหยวนไม่ได้พูด เป็นการบ่งบอกว่าลูกศิษย์ผู้โดดเด่นของเขาได้กลายเป็นอาหารของมังกรวารีไปแล้ว!

“เจ้าพูดจามั่วซั่ว! มู่เกอไม่มีวันตายเด็ดขาด!” ท่ามกลางผู้คน เว่ยกว่านกว่านพูด โกรธจนแทบจะร้องไห้

เว่ยฉีพยายาม ควบคุมเว่ยกว่านกว่านเอาไว้ ไม่ให้นางก่อเรื่อง และกระซิบข้างหูนางไม่หยุดว่า “รออีกเดี๋ยวๆ เราต้องเชื่อในตัวมู่เกอ เราจะต้องรู้ความจริงให้ได้!”

เตียวหยวนจึงพูดว่า “หากท่านปรมาจารย์โหลวไม่เชื่อ สามารถถามคนอื่นดูได้ ตอนนั้นไม่ได้มีแค่เตียวหยวนที่อยู่ในเหตุการณ์ คนจำนวนมากก็เห็นภาพที่พวกของศิษย์พี่เหมยเข้าไปต่อสู้กับมังกรวารีสุดชีวิต”

“ช่างบ้าบิ่นเสียจริง! ไปสู้กับมังกรวารีได้อย่างไร!”

“ความกล้าแบบผิดๆ เอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ”

อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ล้วนส่ายหน้า ราวกับผิดหวังกับการกระทำของพวกเหมยจื่อจ้ง

ท่ามกลางผู้คนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมากมาย

เมื่อหัวชางซู่เห็นดังนี้ ก็ยิ่งได้ใจมากกว่าเดิม เขามองใบหน้าที่ขาวซีดของโหลวชวนป่าย ก็กระตุกรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก

“ว่ามา พวกเจ้าเห็นอะไร!” โหลวชวนป่ายไม่อยากจ เชื่อ พุ่งตัวลงจากอัฒจันทร์และดึงตัวลูกศิษย์ที่นั่งคุกเข่าอยู่คนหนึ่งมาถาม

“ข้า…ข้าเห็นพวกของศิษย์พี่เหมยไม่สนใจคำเตือนของศิษย์พี่เตียว…” ผู้ที่ถูกดึงขึ้น พูดอย่างติดๆ ขัดๆ เตียวหยวนยกยิ้มอย่างเย็นเยียบตรงมุมปาก ในสายตากลับฉายความเจ็บปวดเสียใจ

“เจ้าโกหกข้า!” โหลวชวนป่ายโยนเขาทิ้ง แล้วลากตัวอีกคนขึ้นมาถาม

แต่ว่า ถามอีกคน ก็ได้คำตอบเช่นเดียวกัน

ทำให้เขาแทบจะทรุดตัวลง!

เมื่อโหลวชวนป่ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเตียวหยวน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองโหลวชวนป่าย “ท่านปรมาจารย์โหลวระงับความโศกเศร้าเถิด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version