ตอนที่ 134-4
เดี๋ยวนะ ท่านบอกว่าใครมานะ!
ทั้งสี่ที่ลงมาจากสัตว์ปีก เดินไปอยู่ตรงหน้าซือมั่วพร้อมกัน โค้งตัวลงและพูดว่า “องค์มหาปราชญ์ ข้าน้อยเป็นอาวุโสผู้ดูแลรับผิดชอบโรงโอสถกลาง หยวนหู”
อีกสามคนก็พูดตาม——–
“ข้าน้อยเป็นอาวุโสผู้ดูแลรับผิดชอบโรงโอสถกลาง ชา
งเออร์จือ”
“ข้าน้อยเป็นอาวุโสผู้ดูแลรับผิดชอบโรงโอสถกลาง หลี่
เหริน”
“ข้าน้อยเป็นอาวุโสผู้ดูแลรับผิดชอบโรงโอสถกลาง เซี่ยเทียนอู”
“พวกเรา คารวะองค์มหาปราชญ์!”
ซือมั่วก้มสายตาลง ขนตาอันยาวงอนบดบังความรู้สึกในดวงตาของเขา เขาราวกับไม่ได้ยินคำพูดของทั้งสี่คนนี้
และทั้งสี่คนไม่มีใครกล้าแสดงอาการไม่พอใจ เพียงแต่ระมัดระวังมากขึ้น กู่เย่ก้าวออกมา “ท่านประมุขไม่ชอบพิธีการ ครั้งนี้มา ดูการแข่งขันเพื่อคัดเลือก อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องเสียเวลา”
ทั้งสี่ยิ้มอย่างอึดอัดและถอยหลังออกไป ท่ามกลางผู้คน ท่านผู้อาวุโสที่นามว่าหยวนหูส่งสายตา ให้กับหัวชางซู่ที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วรีบเดินเข้ามา และพูดกับซือมั่วว่า “องค์มหาปราชญ์ข้าน้อยคือหัวหน้าโรงโอสถย่อย หัวชางซู่”
พูดจบ เขาก็มองกู่เย่และพูดอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้าท่านนี้ การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ให้องค์มหาปราชญ์ตามข้าน้อย เข้าไปก่อนดีหรือไม่”
กู่เย่มองซือมั่ว หลังจากที่เห็นว่าเขาพยักหน้าเล็กน้อย จึงพูดกับหัวชางซู่ว่า “เข้าไปเถิด”
หัวชางซู่รีบหันหลังกลับไปนำทาง คนนับพันล้วนแยกออกจากกัน เผยให้เห็นเป็นทางเดิน เพื่อให้ซือมั่วเดิน
จนกระทั่งเงาร่างของหัวชางซู่หายไปจากบริเวณประตูโรงโอสถ เว่ยฉีจึงพูดพร้อมสูดหายใจเฮือกใหญ่ว่า “พวกเจ้าว่า องค์มหาปราชญ์ใช่คนเดียวกับลูกพี่ลูก น้องของมู่เกอหรอไม่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า พวกเขาเหมือนกันมาก”
เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างเป็นกังวล “ข้ารู้สึกว่า แม้ลูกพี่ลูกน้องของมู่เกอจะไม่ชอบพูด แต่ก็น่าคบ แต่มหาปราชญ์…ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนในโลกเดียวกับเรา
“เหลวไหล มหาปราชญ์เป็นดั่งเทพสวรรค์ แน่นอนว่าไม่เหมือนเรา” สุ่ยหลิงพูดอย่างอดไม่ได้
“แล้วเขาเป็นคนๆ เดียวกันหรือไม่” เว่ยฉีเกาหัว พร้อมพูดอย่างกระวนกระวายใจ ทันใดนั้น ฟู่เทียนหลงก็พูดขึ้นว่า “คำถามนี้ รอพบมู่เกอแล้วก็จะรู้เอง”
ณ ที่พักของโหลวชวนป่าย ในขณะที่มู่ชิงเกอออกจากห้องก็รับรู้ได้ว่ารอบข้างเงียบเป็นพิเศษ
การเก็บตัวของนางในช่วงนี้ไม่ได้อยู่ในห้องอย่างที่ทุกคนคิด ทว่าอยู่ในช่องว่างของนาง ช่วงเวลาเดือนกว่า นางไม่มีกะจิตกะใจกระทำเรื่องใด นอกจากฝึกปรุงยาอยู่ในห้องปรุงยาในช่องว่าง ในช่วงหลัง อยู่ๆ นางก็เข้าสู่ช่วงสภาวะที่ยอดเยี่ยมมากชนิดหนึ่ง ทำให้นางมีการตระหนักรู้ใหม่ๆ ในการปรุงยาเกิดขึ้น
หากไม่ใช่เพราะยังจำได้ว่าวันนี้มีการแข่งขัน บางทีนางอาจจะยังคงฝึกต่อไป
“หายไปไหนกัน” มู่ชิงเกอสังเกตว่ารอบๆ ตัวนางไม่มีคน พลันรู้สึกแปลกใจ
ในขณะที่กำลังตามหา นางเห็นข้อความที่จ้าวหนานซิ
งทิ้งเอาไว้บนประตูห้อง เมื่อเปิดมาดูจึงรู้ว่า พวกเขาถูกเรียกตัวไปคุกเข่าต้อนรับ ผู้ยิ่งใหญ่นอกประตูโรงโอสถ มู่ชิงเกอรู้สึกโชคดีมาก ‘โชคดีที่ตนเองออกมาช้า มิเช่นนั้นก็ต้องไปทนทุกข์ทรมานมิใช่หรือ’
มู่ชิงเกอวางกระดาษในมือลง ก็เห็นจ้าวหนานซิงวิ่งมาอย่างเร่งรีบในทันที
“ศิษย์น้องมู่ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว!” ทันทีที่จ้าวหนานซิงเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ในเรือน ความตื่นตระหนกบนใบหน้าก็หายแวบไป
”เกิดอะไรขึ้น’’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม
จ้าวหนานซิงเร่ง “รีบไปกับข้า ไม่รีบไปเดี๋ยวจะไม่ทัน”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เจ้านี่ไปคุกเข่าต้อนรับผู้ใหญ่มิใช่หรือ
“เดินไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า” จ้าวหนานซิงเร่งให้มู่ชิงเกอเดินทาง และเห็นว่านางเดินตามตนเองมา จึงอธิบายว่า “เพราะมหาปราชญ์มา หัวหน้าจึงตัดสินใจว่าจะ เริ่มการแข่งขันก่อนครึ่งชั่วยาม หลังจากธูปก้านหนึ่งหมดลงแล้ว ลูกศิษย์ที่ไม่อยู่ ณ สถานที่แข่งขันจะถูกตัดสิทธิ์ทั้งหมด”
“เดี๋ยวก่อน ท่านบอกว่าใครมานะ” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุด พลันเบิกตาโตมองจ้าวหนานซิง
จ้าวหนานซิงคิดว่า มู่ชิงเกอตกใจเพราะรู้ว่ามหาปราชญ์มาเยือนอย่างกะทันหัน จนทำให้ตื่นตระหนก จึงพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “ข้าก็เหมือนเจ้า เมื่อรู้ว่ามหา ปราชญ์มาเยือนโรงโอสถของเราก็ตกใจ มิหนำซํ้ายังคิดว่าตนเองฝันไป แต่ไม่คิดว่า เขาจะมาจริงๆ! เสียดายที่ เจ้าไม่ได้เห็นตอนที่เขาปรากฏตัว เขาค่อยๆ ลงมาจากฟากฟ้า ราวกับเทพสวรรค์มาเยือน! ข้ารู้สึกว่า เพียงแค่เขากระดิกขาทีหนึ่ง ทั้งหลินชวนก็สามารถสั่นสะเทือนได้แล้ว”
มู่ชิงเกอฟังแล้วขมวดคิ้วและแอบคิดในใจว่า ‘ไอ้เฒ่าตัวประหลาดคนนี้ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้’
จ้าวหนานซิงพูดจบ เห็นว่ามู่ชิงเกอกำลังขมวดคิ้ว คิดว่าเขาเสียใจที่ไม่ได้เห็นความสง่าของมหาปราชญ์กับตา จึงรีบปลอบใจว่า “ศิษย์น้องมู่ไม่ต้องห่วง อีกประเดี๋ยว การแข่งขันก็จะเริ่มขึ้นและจะได้พบกับมหาปราชญ์แล้ว”
ใครอยากพบเขากัน!
มู่ชิงเกอตะโกนในใจ!
ตั้งแต่ครั้งก่อน หลังจากที่ชายสมควรตายผู้นี้พูดจาชวนขนลุกเอาไว้ นางก็ไม่อยากจะพบเขาอีกเลย
มู่ชิงเกอหันหน้าหนี ราวกับกำลังใช้ท่าทางในการแสดงความรู้สึกในใจ
นาง ไม่ อยาก พบ เขา จริงๆ!
“หืม? ศิษย์น้องมู่เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงทำหน้าแปลกๆ เช่นนี้” จ้าวหนานซิงเห็นท่าทางที่ ผีเข้าผีออก ของมู่ชิงเกอแล้วถามด้วยอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอจับใบหน้าของตนเองและหลุดพูดออกมาว่า “ใครแปลก!”
จ้าวหนานซิงขมวดคิ้ว พูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องมู่ อาการเจ้าดูแปลกไป เหนื่อยจากการเก็บตัวมากไปหรือเปล่า”
มู่ชิงเกอรีบเอามือลง บนใบหน้าอันงดงามแฝงความเคร่งขรึม “ไม่มีอะไร”
“เจ้าแน่ใจนะ การขึ้นสู่เวทีการแข่งขันไม่ใช่เรื่องง่าย และการปรุงยาก็จะต้องมีจิตใจที่จดจ่อ หากว่าเจ้าไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้หรือหากไม่สบายก็จะต้องบอก จะได้แก้ไขให้ทันเวลาและจะได้ไม่กระทบต่อการแสดงความสามารถ” จ้าวหนานซิงพูดอย่างจริงจัง
มู่ชิงเกอคิดในใจ ‘ปัญหาเดียวของนางก็คือ อยากจะไล่ไอ้แก่นามซือมั่วนั่นไปเสีย’ แต่ว่า นางทำเช่นนี้ได้หรือ
“ข้าไม่เป็นอะไร ไปเถิด ท่านบอกว่าจะไม่ทันแล้วมิใช่หรือ” มู่ชิงเกอพูดบ่ายเบี่ยงด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด จ้าวหนานซิงเห็นว่านางไม่ยอมพูด จึงไม่ได้บังคับ พยัก หน้าและพูดกับนางว่า “เจ้าจำไว้ว่า หากเป็นอะไรจะต้องรีบบอก”
“รู้แล้ว” มู่ชิงเกอพูด เมื่อทั้งสองมาถึงสนามที่แข่งขัน จึงพบว่าท่ามกลาง สถานที่แห่งนี้ ได้มีการเตรียมเวทีไว้สิบเวที ข้างบนมีธงปักเอาไว้และเขียนเลขหนึ่งสองสามสี่เอาไว้ รอบๆ เวทีแข่งขัน มีที่นั่งชมอันสูงตระหง่าน ทำให้ผู้ที่นั่ง อยู่สามารถมองเห็นทุกอย่างบนเวทีได้อย่างชัดเจน
และบนที่นั่งที่สามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด มีทั้งหมดสามขั้น ข้างบนสุด มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ชุดสีขาวนั่น มู่ชิงเกอไม่จำเป็นต้องมองหน้าเขาก็รู้ว่าเป็นใคร อีก ประการหนึ่ง กู่หยาและกู่เย่ยังยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของเขา
“ศิษย์น้องมู่เจ้าดู ท่านนั้นคือองค์มหาปราชญ์องค์เดียวที่ได้รับการยอมรับจากหลินชวน” จ้าวหนานซิงเห็นว่ามู่ชิงเกอหยุดสายตาบนที่นั่งชม จึงก้มหน้าลงแนะนำ
มู่ชิงเกอมองซือมั่วและอีกฝ่ายก็ราวกับจะสัมผัสได้ พลันหันมองนาง ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน มู่ชิงเกอก็หลบสายตาอย่างเย็นชา ราวกับไม่เห็นเขา
ซือมั่วขมวดคิ้ว มุมปากยกขึ้นเบาๆ ดูเหมือนว่า เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาไม่ได้ต้องการพบเขาที่นี่
มู่ชิงเกอมองทอดไปบนเวทีผู้ชม เห็นคนแปลกหน้าทั้งสี่ ที่อยู่ในชุดสีเทาขาว
“สี่ท่านนั้นเป็นอาวุโสผู้ดูแลที่มาจากโรงโอสถกลาง” จ้าวหนานซิงไขข้อข้องใจให้แก่มู่ชิงเกอ
ขั้นที่สามคงไม่ต้องแนะนำแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่คือเหล่าผู้อาวุโสของโรงโอสถแห่งนี้ หัวชางซู่และโหลวชวนป่ายเองก็อยู่ในนั้น
มู่ชิงเกอพบว่า แม้จะมีคนอยู่นับพัน แต่กลับเงียบจนราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว
นางขมวดคิ้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นเพราะใคร
ดูสิ การแข่งขันที่น่าประทับใจและน่าตื่นเต้นเพียงใด แต่เพราะคนเพียงคนเดียว กลับทำให้ห่อเหี่ยวและราว กับนํ้าที่นิ่งจนอึดอัดไม่สามารถไหลไปได้ คนบางคนก็ไม่รู้ตัว ยังคงนั่งอยู่ข้างบนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรงหน้าของหัวชางซู่มีกระถางธูปอยู่หนึ่งอัน ในนั้นมีธูปยาวก้านหนึ่ง ที่ในตอนนี้เผาไหม้จนเหลือเพียงเศษเสี้ยวสุดท้าย
เมื่อแสงธูปหายไป หัวชางซู่ก็ยืนขึ้นและพูดกับผู้คนรอบเวทีแข่งขันว่า “เอาเถิด ถึงเวลาแล้ว ลูกศิษย์ที่มาไม่ทัน จะถูกตัดสิทธิ์ออก ลำดับต่อไป ข้าขอรายงานกฎ
กติกาของการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งก็เหมือนกับปีอื่นๆ ครั้งนี้ยังคงใช้การรักษาตำแหน่ง อันดับทั้งสิบ ขึ้นไปรักษาตำแหน่งของตนเองตามลำดับ คนอื่นๆ สามารถเลือก ประลองกับใครก็ได้ ผู้ที่ชนะติดต่อกันห้าครั้งจะถือว่าชนะไป การแข่งขันจะดำเนินไปจนกว่าจะได้ตัวแทนทั้งหมดสามสิบคน!”
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว ความหมายก็คือ ผู้ที่จะมารักษาตำแหน่งในรอบแรก คือ อันดับทั้งสิบ ผู้ที่ไม่สามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ใด้ ผู้ชนะจะต้องรักษาตำแหน่งแทน ผู้ที่ชนะสามครั้งจะได้เลื่อนขั้นไป แล้วคนที่เหลือก็แย่งชิงอับดับที่ต้องรักษาตำแหน่งที่เหลือต่อไป
เมื่อได้ตัวแทนส่งยาทั้งสามสิบคนแล้ว การแข่งขันก็จบลง
แต่ว่า นางยังมีอีกคำถาม นางจึงตัดบทคำพูดของหัวชางซู่ในทันที “หัวหน้าหัว ไม่ทราบว่าผู้รักษาตำแหน่งจะสามารถท้าประลองผู้ที่เป็นผู้รักษา ตำแหน่งด้วยกันได้หรือไม่”
ใบหน้าของหัวชางซู่เคร่งขรึมขึ้นมาในทันที เขาไม่คิดว่า ในเวลานี้มู่ชิงเกอจะกล้าตัดบทคำพูดของเขา…