ตอนที่ 135-4
ศิษย์น้องมู่เจ้าจงใจ!
บนเวทีที่สอง มู่ชิงเกอพูดกับเตียวหยวนด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เตียว ออมมือแล้ว”
สีหน้าของเตียวหยวนเย็นเยียบดั่งนํ้าแข็ง ในดวงตาอันโหดเหี้ยมมีไอสังหารปะทุออกมา แต่ก็หันหลังเดินลงจากเวทีไป และมุ่งไปยังเวทีที่เก้า
มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเวที แล้วมองเตียนหยวนจนลับสายตาไป
การแข่งขันยังคงดำเนินไป แต่กลับมีสถานการณ์ประหลาดเกิดขึ้น
พวกของเหมยจื่อจ้งราวกับจ้องประลองเพียงแค่ลูกศิษย์ของหัวชางซู่ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ของหัวชางซู่ครองเวที พวกเขาก็จะปรากฏตัวและทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ทว่า หากเป็นลูกศิษย์จากสำนักอื่น พวกเขากลับไม่สนใจ
ส่วนมู่ชิงเกอ ราวกับจับจ้องแต่เตียวหยวน ทุกครั้งที่เตียวหยวนชนะสองครั้ง มู่ชิงเกอจะต้องปรากฏตัวและเอาชนะเขา
นานไป ลูกศิษย์ที่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์ก็พอจะดูออกแล้ว
นี่มันใช่การแข่งขันหรือ นี่มันคือการแก้แค้นโดยแท้!
และการตาม ‘โจมตี’ เตียวหยวนของมู่ชิงเกอ ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวและรู้ว่าอะไรคือคำที่กล่าวว่า ข้าไม่ฆ่าเจ้าให้ตายในทีเดียว แต่จะค่อยๆ ทรมานจนเจ้าตาย ในตอนนี้เปลวเพลิงแห่งความโกรธใจของเตียวหยวนคงใกล้จะปะทุออกมา และแทบจะเอามีดแทงมู่ชิงเกอให้ตาย!
การแข่งขันดำเนินไปสามวันสามคืน ซึ่งเป็นการทดสอบ ความสามารถและจิตใจของผู้เข้าแข่งขัน
ผู้ชนะมากขึ้นเรื่อยๆ เหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิงและอีกสองคนเองก็เลือกที่จะชนะเพราะมู่ชิงเกอแอบส่งสายตา ทว่าสำนักของหัวชางซู่กลับไม่มีผู้ชนะเลย
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้หัวชางซู่โกรธจนแทบจะระเบิดและออกจากที่นี่!
เมื่อเหลือเพียงหนึ่งสิทธิ์แล้ว บนเวทีที่หนึ่ง มู่ชิงเกอและเตียวหยวนยืนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ทุกคนล้วนรู้ว่า สิทธิ์สุดท้ายจะต้องเป็นของคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ บนเวทีอื่นๆ จึงได้ว่างเปล่าอย่างรู้ผลลัพธ์
เปลวเพลิงแห่งความโกรธในใจของเตียวหยวนได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาพูดกับมู่ชิงเกอต้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบว่า “มู่เกอ เจ้าจะเล่นอย่างนี้ใช่ไหม ได้! ข้าจะเล่น ด้วย! ครั้งนี้ มาดูกันว่าเจ้าเก่งกว่าหรือว่าข้าเก่งกว่า!”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม “การที่ศิษย์พี่เตียวมีความมั่นใจนับว่าเรื่องที่ดี แต่ควรจะรู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเองจะดีกว่า”
ความหมายก็คือ ก่อนหน้านี้แพ้ข้ามาหลายรอบ ตอนนี้พูดจาเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด
คำพูดนี้หากคิดทบทวนดี ๆ แล้ว อำมหิตเป็นอย่างมาก
หากเป็นวันปกติ เตียวหยวนคงจะเข้าไปเปิดศึกกับมู่ชิงเกอโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ เขากลับเพียงยิ้มเยาะและพูดเย้ยหยันมู่ชิงเกอว่า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าเพียงแค่เห็นว่าเจ้าอยากเล่น จึงได้เล่นเป็นเพื่อนเท่านั้นต่างหาก”
“ทั้งสองเคยมีความขัดแย้งกันหรือ” เซี่ยเทียนอู๋ถามโหลวชวนป่ายตามตรง
โหลวชวนป่ายยิ้มและพูดว่า “ข้าก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดเตียวหยวนมักจะสร้างความลำบากให้กับลูกศิษย์ของข้า ลูกศิษย์คนนี้ของข้านิสัยอ่อนโยนและมนุษย์สัมพันธ์ ดี แต่ก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดไม่กล้ามีเรื่อง เมื่อถูกก่อกวนมากจนเกินไป จึงกลายเป็นฝ่ายลงมือเองเสียเลย”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เซี่ยเทียนอู๋พูดอย่างเข้าใจ
หัวชางซู่ได้ยินแล้วจึงกัดฟัน พร้อมพูดอย่างเหลืออดว่า “ท่านผู้อาวุโสเซี่ยก็เห็นกับตาแล้วนี่ว่าใครหาเรื่องใครกันแน่”
พูดจบ เขาก็มองโหลวชวนป่ายแล้วอุทานอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง
เซี่ยเทียนอู๋เพียงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบ
กู่หยาเงียบฟังบทสนทนาจนจบ และปฏิเสธในใจว่า คุณชายตระกูลมู่เป็นคนอ่อนโยน และมนุษย์สัมพันธ์ดี อย่างนั้นหรือ เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าคำเปรียบเปรยนี้ช่าง ไม่คุ้นเคยเลย!
เซี่ยเทียนอูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดกับโหลวชวนป่ายว่า “ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านปรมาจารย์โหลวที่สั่งสอนลูกศิษย์ให้โดดเด่นได้เช่นนี้”
สามวันนี้ เขารู้แล้ว ว่าเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิงและซางจื่อซูล้วนเป็นลูกศิษย์ของโหลวชวนป่าย ทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นนักปรุงยาระดับสูง ช่างชวนให้ประหลาดใจโดยแท้
พูดถึงลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจ โหลวชวนป่ายก็พูดอย่างชื่นชมว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึง ดูเหมือนว่าการเก็บตัวในช่วงที่ผ่านมา พวกเขาจะเก็บเกี่ยวได้เป็นอย่างดี”
เขายอมรับว่า การที่จ้าวหนานซิงและซางจื่อซูทะลวงสู่นักปรุงยาระดับสูงในเวลานี้ทำให้เขาทั้งดีใจและคิดไม่ถึง
หัวชางซู่ได้ยินแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง!
ท่ามกลางลูกศิษย์ของเขา จูหลิงเองก็กลายเป็นนักปรุงยาระดับสูงแล้ว น่าเสียดายที่เป็นศัตรูกับอาจารย์อย่างเขา ผู้ที่ไม่อยู่ข้างเขา แม้จะเป็นนักปรุงยาระดับสูง แล้วจะอย่างไร
ผู้ที่หักหลังเขา จะต้องตายสถานเดียว!
“มู่เกอ เจ้าคิดว่าตนเองเก่งกาจจริงๆ หรือ” เตียวหยวนพูดกับมู่ชิงเกอ
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอกลับไม่ลดลง “ศิษย์พี่เตียว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนเก่ง เหนือฟ้ายังมีฟ้า หลักการข้อนี้ข้าเข้าใจดี”
“หึ เจ้าถ่อมตัวมากถึงเพียงนี้เชียว?” เตียวหยวนเย้ยหยัน
มู่ชิงเกอพูดตามความจริงว่า “ข้าถ่อมตัวมาตลอด”
บทสนทนาของทั้งคู่ ดุเดือดเป็นอย่างมาก
หลี่เหรินพูดเยาะเย้ยว่า “ดูเหมือนว่า จะแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้วสินะ”
บนเวที ท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ตัดสิน มองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วประกาศว่า “เริ่มการแข่งขัน—–!”
เตียวหยวนกวาดสายตามองยาสมุนไพรบนโต๊ะ แล้วพูดกับท่านผู้อาวุโสว่า “ข้ายังต้องการเพิ่มยาสมุนไพรอีกหลายชนิด”
ท่านผู้อาวุโสพูดพร้อมพยักหน้า “ว่ามา”
ด้านล่างเวที ลูกศิษย์ที่มีหน้าที่จัดยาเดินมาจดในทันที
เตียวหยวนมองมู่ชิงเกอด้วยพร้อมรอยยิ้มอันเย็นเยียบ
แวบหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมพูดว่า “ดอกเก้าหยก เม็ดกระวานดำ หญ้าเปลวเพลิง อวี้เซียงขาว……….” เตียวหยวนพูดชื่อยาสมุนไพรสิบชนิดออกมาในทีเดียว และ ทุกชนิดล้วนเป็นสมุนไพรอันลํ้าค่า
ท่านผู้อาวุโสบนเวทีได้ยินแล้วอึ้งไปเล็กน้อย ยาที่สมุนไพรเหล่านี้ปรุงออกมาจะต้องไม่ธรรมดาแน่
หลี่เหรินทวนยาสมุนไพรที่เตียวหยวนต้องการ หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เขากำลังจะปรุงยาลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน”
“ลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานอย่างนั้นหรือ” หยวนหูแปลกใจ
“ลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานถือเป็นยาระดับสูง แต่ว่า ท่ามกลางยาระดับสูง มันถือว่าเป็นยาที่ปรุงสำเร็จยากมาก เพราะขั้นตอนการปรุงมีความยาก และใกล้เคียงกันยา ระดับจิต”
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลว หากเตียวหยวน สามารถปรุงลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานได้จริง หากต้องการเอาชนะคงจะต้องปรุงยาระดับจิตออกมาให้ได้เท่านั้นแล้ว” ในขณะที่พูด เขาก็มองโหลวชวนป่ายแวบหนึ่ง
โหลวชวนป่ายเม้มปากและขมวดคิ้ว
เคียวหยวนสามารถปรุงยาที่ยากมากถึงเพียงนั้นออกมาได้หรือ
ความสามารถของเตียวหยวน โหลวชวนป่ายรู้ดี หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้เป็นนักปรุงยาระดับสูง เพียงแค่เดือนกว่า จะสามารถปรุงยาที่มีความยากและใกล้ เคียงกับยาระดับจิตอย่างลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานได้อย่างนั้นหรือ
ลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน โหลวชวนป่ายเองก็เคยปรุง ความยากนั้น เขารู้ดี
แม้แต่เขาเอง ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะสำเร็จทุกครั้ง แล้วเตียวหยวนเอาความมั่นใจจากไหนมา มั่นใจว่า จะปรุงยาเช่นนี้ในการแข่งขัน นี้ไม่ใช่การประลองการปรุงยา ที่มีโอกาสสามครั้ง ในการแข่งขันเพื่อการคัดเลือกมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว
หากเตียวหยวนมีการเตรียมพร้อมมาจริง แล้วมู่เกอจะทำอย่างไร
โหลวชวนป่ายแอบเป็นห่วงแทนมู่ชิงเกอ ครั้งก่อนเห็นการประลองการปรุงยาของมู่ชิงเกอกับตา รู้ว่าเขาคงจะสามารถทะลวงเข้าสู่นักปรุงยาระดับจิตได้ในอีกไม่นาน แต่ว่า หนทางนั้นยังต้องสั่งสมประสบการณ์ไม่ใช่ว่า เพียงสองสามเดือนก็จะสามารถทะลวงได้
หากสามารถทะลวงสู่นักปรุงยาระดับจิตได้ง่ายถึงเพียงนั้น เขาและหัวชางซู่จะหยุดอยู่เพียงแค่นักปรุงยาระดับสูงมานานหลายปีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
แต่ว่า ไม่ว่าในใจจะเป็นกังวลมากเพียงใด โหลวชวนป่ายก็ไม่สามารถขึ้นไปหยุดการแข่งขันบนเวทีได้
หัวชางชู่ฟังบทสนทนาของพวกเขา แล้วรู้สึกกระหยิ่มใจไม่น้อย
เขาไม่กลัวว่าเตียวหยวนจะแพ้มู่ชิงเกอ เพราะในความคิดของเขา มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือเมื่อตอนที่เตียวหยวนใช้ของสิ่งนั้น อย่าทำให้องค์มหาปราชญ์เห็นก็เป็นพอ
ข้างเวทีที่หนึ่ง ลูกศิษย์จัดยาจดยาสมุนไพรที่เตียวหยวนต้องการ แล้วมองท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนเวที ท่านผู้อาวุโสมองมู่ชิงเกอและพูดว่า “เจ้าต้องการยาสมุนไพร ชนิดใดเป็นพิเศษหรือไม่”
มู่ชิงเกอกวาดสายตาบนสมุนไพรนับพันชนิดบนโต๊ะ อย่างแนบนิ่งแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ “ไม่ต้องแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการล้วนอยู่ในนี้’
หลังจากคำตอบของนาง ลูกศิษย์จัดยาก็หันหลังและเดินจากไป
ในระหว่างที่รอยาสมุนไพร เพื่อความยุติธรรม ทั้งสองยังไม่สามารถเริ่มการแข่งขันได้
เพราะฉะนั้น เตียวหยวนและมู่ชิงเกอจึงยืนว่างอยู่บนเวที และต่างมองหน้ากัน
เหล่าท่านผู้อาวุโสที่มาจากโรงโอสถกลาง จากยาสมุนไพรที่เตียวหยวนต้องการ พอจะเดาออกแล้วว่าเขา จะปรุงยาอะไร สำหรับยาที่มู่ชิงเกอจะปรุงนั้น กลับไม่รู้
เลย
คนอื่นๆ ที่อยู่บนอัฒจันทร์กลับรอคอยอย่างเงียบๆโดย ไม่รู้อะไรเลย
พวกของเหมยจื่อจ้งที่ได้เข้ารอบไปแล้วก็จ้องสถานการณ์บนเวทีเงียบๆ
จ้าวหนานซิงพูดกับเหมยจื่อจ้งอย่างเป็นห่วงว่า “ความสามารถของเตียวหยวนสู้ศิษย์นองมู่ไม่ได้ แต่เหตุใดในครั้งนี้เขาจึงมีความมั่นใจในชัยชนะถึงเพียงนี้”
เหมยจื่อจ้งส่ายหน้าเล็กน้อย ในสายตาของเขาเองก็มีความกังวลซ่อนอยู่เล็กน้อย “บางทีเขาอาจจะมีวิธี ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หวังให้ศิษย์น้องมู่โชคดี”
“ดูเหมือนว่า ที่เขาพ่ายแพ้ในครั้งที่ผ่านมา จะเป็นการจงใจ” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูด
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า “เขาเองก็คงรอจนถึงโอกาสสุดท้ายเช่นนี้ เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นการแกล้งแพ้ แต่เพียงแค่ เขาไม่ได้ใชไพ่ใบสุดท้ายออกมาก็เท่านั้น”
“ศิษย์พี่เหมยพูดถูก หากเตียวหยวนใช้ความสามารถของตนเอง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์น้องมู่แน่ ในตอนนี้ เขามั่นใจถึงเพียงนี้บางนี้อาจจะเป็นเพราะหัวชางซู่ให้ไพ่ตายอะไรแก่เขา” จูหลิงพูด
“ถ้าเช่นนั้น การแข่งขันในครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงมาก” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วพูด ซางจื่อซูพูดเบาๆ ว่า “เราต้องเชื่อในตัวศิษย์น้องมู่” คำพูดนี้ทุกคนล้วนเห็นด้วยและเงียบไปในทันที
บนเวที สายตาของซือมั่วยังคงจ้องมู่ชิงเกอ สำหรับเตียนหยวนที่อยู่ตรงข้ามนางนั้น เขาไม่มองเลยแม้เพียงเสี้ยวสายตาเดียว บางที ตอนนี้หากถามว่าผู้ที่ประลองการปรุงยาหน้าตาเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้
“ท่านประมุข ท่านไม่กังวลหรือ” เห็นท่าทางของท่านประมุข กู่หยาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม แม้แต่เขาเองก็ดูออกว่าเจ้าคนที่ดูโหดเหี้ยมอยู่บนเวทีนั้น เป็นศัตรูของมู่ชิงเกอ เหตุใดคนขี้หวงอย่างท่านประมุขของตนเองจึงไม่แสดงอาการ
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ย่อมมีวิธีรับมือ” นํ้าเสียงของซือมั่วเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวมู่ชิงเกอ
กู่หยากระตุกมุมปาก กระจ่างแล้ว ที่แท้เจ้านายของพวกเขาไม่เห็นผู้ที่เข้ามาเป็นศัตรูอย่างชัดเจนอยู่ในสายตา เขาสนใจเพียงพวกหญิงชายที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายคุณชายตระกูลมู่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น
เขามองกู่เย่ ท่าทางฉายความทุกข์ทรมานใจอย่างไม่มีสาเหตุ
กู่เย่ใช้สายตาในการพูดเสริมว่า ควรจะพูดว่า การที่คุณชายตระกูลมู่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็สามารถทำให้ท่านประมุขของพวกเขาระเบิดความหึงหวงออกมาได้
กู่หยาพยักหน้าเศร้า เขาเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ของกู่เย่!
ไม่นาน ลูกศิษย์จัดยาที่ไปหายาสมุนไพรก็กลับมา หลังจากที่ท่านผู้อาวุโสโรงโอสถรับมา ก็ยื่นให้กับเตียนหยวนด้วยตนเอง
หลังจากที่เขาตรวจสอบเสร็จแล้ว จึงพยักหน้าและพูดกับท่านผู้อาวุโสว่า “เริ่มได้แล้ว”
ในขณะนี้เองท่านผู้อาวุโสโรงโอสถจึงประกาศให้ทั้งสองเริ่มปรุงยาได้
ขั้นตอนก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา จึงมีลูกศิษย์ฝึกหัดจัดการให้
เตียวหยวนและมู่ชิงเกอต้องทำเพียงแค่ใส่ยาที่บดเสร็จลงในหม้อเพียงหลอมละลาย และทำให้เป็นเม็ดก็ถือว่า สำเร็จ
เพื่อความยุติธรรม หม้อที่ใช้ในการแข่งขันปรุงยา ล้วนเหมือนกัน ซึ่งทางโรงโอสถเป็นคนเตรียมให้
ยาสมุนไพรตรงหน้าของทั้งสองมีเพียงชุดเดียว หากการปรุงเกิดข้อผิดพลาด ก็ถือว่าแพ้ หากว่าสำเร็จทั้งสองคน ก็ต้องตัดสินกันที่ระดับของยา หากอยู่ในระดับเท่ากัน ก็ต้องวัดกันที่ความยากง่ายและคุณภาพของยา
หลังจากที่ทั้งสองเริ่ม บรรยากาศก็น่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
คนที่อยู่รอบๆ ล้วนเงียบลง ลูกศิษย์บนอัฒจันทร์ไม่กล้า แม้กระทั่งหายใจเสียงดัง กลัวว่าจะรบกวนทั้งสองที่อยู่ในการแข่งขัน
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านตื่นเต้นจนโน้มตัวไปข้างหน้า สุ่ยหลิงเองก็ประสานมือ อธิษฐานให้กับมู่ชิงเกอ ฟู่เทียนหลงกลับมองข้างบนสุดของที่นั่งชมและขมวดคิ้วคิด ราวกับว่า เขายังคงคิดถึงเรื่องที่ว่าองค์มหาปราชญ์ ใช่คนเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของมู่ชิงเกอหรือไม่อยู่ ตอนแรก เขาคิดว่าท่ามกลางผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ เขามององค์มหาปราชญ์คงจะไม่ถูกจับได้ แต่ว่า เขากลับสบกับดวงตาอันลึกซึ้งที่แฝงแรงกดดันขององค์มหาปราชญ์พอดี พลันตกใจ จนแทบจะลืมแม้กระทั่งวิธี หายใจ
‘แย่แล้ว! คราวนี้แย่แล้ว!’ ฟู่เทียนหลงรํ่าไห้ในใจ
แต่ว่า ดวงตาดวงโตที่ทรงพลังนั่นก็ค่อยๆ เคลื่อนออกจากเขา และในขณะที่เขากำลังจะโล่งอก ก็มีสายตาอันเคร่งขรึมอีกสองคู่หยุดอยู่บนตัวเขาแทน ทำให้เขาตัวสั่นทีหนึ่ง กล้ามเนื้อเกร็งจนชา
“มู่เกอ เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง ข้าเริ่มหลอมโอสถได้แล้วนะ” เตียวหยวนมองมู่ชิงเกออย่างเย็นเยียบ ในสายตาเผยให้เห็นความลำพองใจ
มู่ชิงเกอพูดด้วยใบหน้าอันแนบนิ่งว่า “ศิษย์พี่เตียวไม่ต้องเป็นห่วงข้า ท่านดูแลหม้อโอสถของตนเองให้ดีเถิด ระวังระเบิด”
สายตาของเตียวหยวนฉายความเคร่งขรึม และพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ “หึ ข้าจะให้เจ้าได้ดูว่าวันนี้เจ้าจะพ่ายแพ้อย่างไร!”