Skip to content

พลิกปฐพี 140-1

ตอนที่ 140-1

คนนอกแดนพวกเจ้าคิดจะก่อเรื่องหรือ

ในขณะที่อยู่บนหลังม้า จูหลิงหันไปถามโย่วเหอว่า “คุณชายของพวกเจ้าแต่งงานแล้วหรือ”

เรื่องราวนี้โย่วเหอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้จูหลิงฟังอย่างไร จึงทำได้เพียงพยักหน้า

จูหลิงพูดด้วยความสงสัยว่า “ผู้หญิงอย่างไรกันที่จะเข้าไปอยู่ในใจของศิษย์น้องมู่ได้”

แต่ทว่า พอคิดได้ว่า หญิงผู้นั้นได้จากไปแล้ว นางก็เสียใจแทนมู่ชิงเกอ

ตอนนี้สุสานของภรรยาสุดที่รักกำลังจะถูกทำลาย ไม่แปลกที่ศิษย์น้องมู่จะโกรธเช่นนี้

“ศิษย์น้องมู่กลับลั่วตูไปแล้วหรือ” จูหลิงถามขึ้นอีก

โย่วเหอพยักหน้า “คุณชายได้นำกำลังคนไปแล้ว กลุ่มของพวกเราต้องรีบไปห้ามไม่ให้สุสานขององค์หญิงหย่งฮวนถูกขุด หลังจากที่จัดการเสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับไปรวมตัวกับคุณชายที่ลั่วตู”

จูหลิงกัดฟันและพยักหน้า “แม้ว่าพลังเวทของข้าจะสู้ไม่ได้ แต่การปรุงยาถือว่าใช้ได้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการบาดเจ็บ”

โย่วเหอเผยรอยยิ้มให้นางทีหนึ่ง แต่ไม่ได้อธิบายอะไรมาก

ความจริงแล้ว ร่างกายคุณชายของพวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว แล้วจะบาดเจ็บง่ายๆ ได้อย่างไร

คิดถึงก่อนไป สิ่งของกองโตที่อยู่ๆ คุณชายเอาออกมา ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างเป็นที่สุด!

สุสานของฉินอี้เหลียน เป็นที่ๆ มู่ชิงเกอเลือกด้วยตนเอง สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ยากที่จะสังเกตเห็น คนที่รู้มีไม่มากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ฉินจิ่นหยางจึงยากที่จะหาเจอได้ในเวลาอันสั้น

ขณะที่โย่วเหอและฮวาเยวี่ยนำองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็จูหลิงมาถึง ก็เห็นการต่อสู้ของคนสองกลุ่มจากข้างนอก ท่ามกลางคนเหล่านั้น กลุ่มหนึ่งสวมชุดทหารรักษาพระองค์ อีกกลุ่มสวมชุดสีดำ โย่วเหอมองครู่หนึ่ง แล้วสั่งกองทหารเขี้ยวมังกรทันทีว่า “ฆ่าทหารเหล่านี้!”

องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่รอช้ารีบเข้าไปสู้กับเหล่าทหารพร้อมกับกลุ่มของคนชุดดำ

ทหารราวหนึ่งร้อยคนนี้พบกับการลงมืออย่างโหดเหี้ยมของชายชุดดำก็รับไม่ค่อยไหวอยู่แล้ว ตอนนี้ มีองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามาอย่างกะทันหัน ยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

“อย่า พอได้แล้ว! ข้ายอมแพ้…” ท่ามกลางกลุ่มทหาร มีคนทนไม่ไหวจนร้องออกมาด้วยความกลัว

หัวหน้าของกลุ่มชายชุดดำอึ้งไปครู่หนึ่ง องครักษ์เขี้ยวมังกรกลับฟันหัวของเขาหลุดออกจากบ่าทันที

คราบโลหิตสาดออกมา ทำให้คนอื่นๆ ที่ตกอยู่ท่ามกลางความอึ้งตื่นตัว

ไม่นาน ทหารราวหนึ่งร้อยนายก็ตายทั้งหมด

หลังจากที่ภารกิจสำเร็จแล้ว องครักษ์เขี้ยวมังกรยืนอยู่กับที่และมองชายชุดดำอย่างเย็นชา

ในขณะนี้เอง ผู้เป็นหัวหน้าก็เดินเข้ามาและพูดกับองครักษ์เขี้ยวมังกรว่า “พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลมู่หรือ”

องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่ตอบ โย่วเหอเดินออกมามองพวกเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นคนของผู้แทนพระองค์หรือ”

ความจริงแล้ว ฐานะของทั้งสองฝ่ายต่างเดาได้ไม่ยาก ตอนนี้ในลั่วตู ผู้ที่รู้ที่ตั้งของสุสานขององค์หญิงหย่งฮวนและปกป้องเช่นนี้ นอกจากฉินจิ่นเฉินแล้ว ก็มีเพียงมู่ชิงเกอ ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ตอบ แต่ความหมายนั้นชัดเจนอยู่แล้ว โย่วเหอมองศพทหารที่กองอยู่บนพื้น แล้วพูดกับคนของฉินจิ่นเฉินว่า “ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องการปกป้องสุสานขององค์หญิงก็ฝากพวกเจ้าด้วย เรายังต้องเร่งเดินทางกลับลั่วตู”

หัวหน้าของอีกฝ่าย ตาเป็นประกายและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายกลับมาแล้วหรือยัง”

โย่วเหอมองเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบ

คนผู้นั้นก็ไม่ได้ฝืน เพียงเม้มปากและใช้นํ้าเสียงที่แฝงการอ้อนวอนพูดว่า “ที่นี่เราจะดูแลให้ แม่นางเดินทางกลับลั่วตูอย่างสบายใจเถิด หากยังมีใครกล้ามารบกวน ความสงบขององค์หญิงหย่งฮวน จะต้องข้ามศพเราไปก่อน แต่ก็ฝากแม่นางไปบอกคุณชายว่า เจ้านายของเราไม่เกี่ยวอะไรด้วย ซํ้ายังถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและเป็นห่วงความปลอดภัยของตระกูลมู่ ในขณะที่คุณชายลงมือ โปรดช่วยเจ้านายของเราด้วย ข้าขอบคุณมาก!”

พูดจบ ทุกคนก็หันไปคุกเข่าตรงหน้าโย่วเหอและคนอื่นๆ

สายตาของโย่วเหอเปลี่ยนไปและพูดด้วยนํ้าเสียงอันแนบนิ่งว่า “คำพูดของเจ้า ข้าจะบอกให้”

ท่ามกลางสายตาที่แฝงคำขอบคุณของคนกลุ่มนั้น โย่วเหอพาทุกคนออกไป

ระหว่างทางไปลั่วตู จูหลิงพูดพร้อมยิ้มเศร้า “ดูเหมือนว่า นักปรุงยาอย่างข้าไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเจ้าเลย”

การต่อสู้กันเมื่อครู่หนึ่ง ทำให้นางเห็นความเหี้ยมโหดขององครักษ์เขี้ยวมังกรอีกครั้ง

การรบเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาได้บาดแผลอันใดแม้แต่น้อย

โย่วเหอมองนางแวบหนึ่ง “แม่นางจูอย่าได้ดูถูกตัวเอง”

จูหลิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไร

โย่วเหอพูดอีกว่า “คุณชายสั่งว่า หลังจากที่เราส่งแม่นางจูไปในที่ๆ ปลอดภัยแล้ว ค่อยเร่งเดินทางกลับลั่วตู”

ทันทีที่จูหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าทันที “อย่าเสียเวลาเพราะข้า ไปลั่วตูเลย”

พูดจบ นางก็หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมว่า “ข้าจะไม่เป็นภาระของพวกท่านและพวกท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของข้า ข้าดูแลตัวเองได้”

“นี่มัน…” โย่วเหอขมวดคิ้วและแฝงความลังเล

นางและฮวาเยวี่ยมองหน้ากับแวบหนึ่ง ทั้งสองตัดสินใจด้วยความเงียบ

นางหันมองจูหลิง แล้วพูดพร้อมพยักหน้า “เอาเถิด ตอนนี้เวลาเหลือน้อย เราจะเสียเวลาไม่ได้แล้วจริงๆ หากแม่นางจูยืนยันเช่นนั้นก็ไปกับเรา แต่ทว่า เมื่อถึงลั่วตูแล้ว แม่นางจูควรจะแยกจากพวกเรา อย่าได้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง”

จูหลิงพยักหน้าเบาๆ ถือว่ายอมรับข้อเสนอของนาง

คนทั้งกลุ่มเข้าไปในลั่วตูอย่างรวดเร็ว

และในลั่วตู นอกวังหลวง ก็กำลังมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น

“มู่ชิงเกอ ถึงเวลาแล้ว หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะตัดสินโทษแล้ว!” เสียงของฉินจิ่นหยาง สะท้อนขึ้นท้องฟ้าเหนือวังหลวง

ประชาชนที่ถูกห้ามไม่ให้ออกไป ล้วนส่งเสียงร่ำไห้

อาวุธในมือขององครักษ์ส่วนพระองค์และทหารรักษาเมืองส่องประกายออกมา พวกเขาสับสน รู้สึกว่าการเล็งอาวุธไปตรงหน้าประชาชนของตนเองเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่คำสั่งของผู้เป็นเจ้าก็ไม่สามารถขัดได้ พวกเขาไม่สามารถเลือกได้เลยจริงๆ

เสียงของฉินจิ่นหยางหายไปในอากาศ

แต่มู่ชิงเกอก็ยังคงไม่ปรากฏตัว

ฉินจิ่นหยางกวาดสายตามองหา เมื่อไม่พบคนที่ควรจะปรากฏ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความบ้าคลั่งและความตื่นเต้น “มู่ชิงเกอเจ้าคนขี้ขลาด! กล้าอ้างตัวว่า เป็นวีรบุรุษแคว้นฉิน!”

คำพูดที่แฝงความบ้าคลั่งของฉินจิ่นหยาง ทำให้ฉินจิ่นเฉินหลับตาลง

ใต้กำแพงวังหลวง มีประชาชนจำนวนนับไม่ล้วนและตระกูลมู่ ตระกูลเช่าที่อยู่บนแท่นสังหารล้วนมองเขาด้วยสายตาที่แฝงความโกรธแค้น

“เจ้าฮ่องเต้ชั่ว! จะฆ่าก็ฆ่าเลย! เหตุใดจึงพูดมากเช่นนี้ ลูกพี่ของข้าใช่คนที่เจ้าจะหลอกล่อได้หรือ ถุย! ข้าขอบอกเจ้าว่า แม้ฮ่องเต้อย่างเจ้าก็เป็นตำแหน่งที่ลูกพี่ ของข้าไม่อยากได้จึงยกให้เจ้า มิใช่นั้น พวกเห็นแก่ตัวบ้าอำนาจอย่างตระกูลฉินของเจ้าที่ไม่รู้บุญคุณคน จะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้หรือ” เจ้าอ้วนเช่าทนไม่ได้โก่งคอออกมา ตะโกนขึ้นบนกำแพงด้วยความโกรธจนหน้าแดง

ฉินจิ่นหยางสายตาฉายความเคร่งขรึม มองเขาอย่างเย็นเยียบ

ใบหน้าที่ในตอนแรกดูเจิดจรัส ตอนนี้กลับเต็มไปความอำมหิต เขาพูดพร้อมรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “ได้ วันนี้ข้า จะแล่ไขมันเจ้าออกมาเป็นชั้นๆ เพื่อระบายความเกลียดชังในใจของข้า!”

พูดจบ เขาก็หันมองผู้นำทหารและสั่งว่า “คุมตัวประชาชนขึ้นมาหนึ่งร้อยคน ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากมู่ชิงเกอยังไม่ปรากฏตัว ก็ฆ่าพวกเขาทันที”

ทหารตกใจ และมองเขาด้วยความตะลึง กลับสบกับดวงตาที่แดงกํ่าเพราะความบ้าคลั่งของเขา

“ฉินจิ่นหยาง!” ฉินจิ่นเฉินอุทานอย่างเย็นเยียบ ดวงตาอันเด็ดเดี่ยวที่มองเขาราวกับสามารถสื่อความในใจได้ ฉินจิ่นหยางหันไปมองเขาและพูดด้วยเสียงอันเย็นชาว่า “ท่านผู้แทนชื่อของเราไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเรียกขานได้”

ฉินจิ่นเฉินกลับหันไปมองเขาและถามทีละคำว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้จริงหรือ”

“เหตุใดจึงทำไม่ได้” ฉินจิ่นหยางยิ้มอำมหิตและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาชี้ประชาชนที่อยู่ข้างล่าง แล้วพูดอย่างโหดเหี้ยม “พวกเขา มีใครบ้างที่เห็นข้าเป็นฮ่องเต้ ในใจของพวกเขาล้วนอยู่ข้างมู่ชิงเกอแห่งตระกูลมู่ พวกไม่จงรักภักดีเช่นนี้จะเก็บไว้ทำไม ฆ่าพวกเขาซะ แล้วทำให้ประชาชนรู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าชีวิตของพวกเขา!”

สายตาของจิ่นจิ่นเฉินแนบนิ่ง นํ้าเสียงกลับแฝงความเจ็บปวด “ฉินจิ่นหยาง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าไม่ใช่น้องชายคนที่ข้ารู้จักอีกต่อไป”

ฉินจิ่นหยางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จนแทบจะหัวเราะจนนํ้าตาไหล เขาชี้ตัวเอง และพูดกับฉินจิ่นเฉินว่า “ข้าบ้าไปแล้วจริงๆ และพวกเจ้าเป็นคนบังคับข้า แม้จะให้ข้าเป็นฮ่องเต้ มู่ชิงเกอก็ควรจะหายไป เสือสองตัวอยู่ถํ้าเดียวกันไม่ได้ ท้องฟ้าไม่สามารถมีพระอาทิตย์สองดวงได้ แคว้นหนึ่งแคว้นไม่สามารถมีผู้ปกครองสองคนได้ เสด็จพี่ท่านไม่เข้าใจหรือ”

“นี่เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันของเจ้า เขาไม่เคยคิดจะแย่งอะไร สิ่งที่เขาต้องการคือความปลอดภัยของตระกูลมู่!” ฉินจินเฉินอธิบาย

ฉินจิ่นหยางกลับยิ้มอย่างเย็นเยียบ “ใช่ เขาไม่ต้องการ จึงยกให้ข้า เขาใช้อำนาจในแคว้นฉิน มาแลกกับความปลอดภัยของตระกูลมู่ แต่ว่าเขามีสิทธิ์อันใดที่จะทำเช่นนี้”

ใบหน้าของฉินจิ่นหยางโหดเหี้ยม เบิกตาโตและถามว่า “เหตุใดเราจึงต้องฟังเขา ผืนแผ่นดินแคว้นฉินเป็นของตระกูลฉินตั้งแต่แรก เหตุใดจึงต้องยกให้เขา ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของเราอยู่แล้ว ขุนนางอย่างเขาจะเข้ามามีอำนาจสูงกว่า เรา ไม่ยอม!”

“ฉินจิ่นหยาง อย่าเสียเวลา” เล่อเทียนขมวดคิ้วและพูดอย่างหมดความอดทน

ร่างกายของฉินจิ่นหยางสั่นอย่างชัดเจนทีหนึ่งและเก็บใบหน้าอันโหดเหี้ยมทันที เขามองฉินจิ่นเฉินอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง หันไปพูดกับผู้นำทหารในทันที “คำสั่งของเราฟังไม่รู้เรื่องรึ”

ผู้นำทหารตกใจ เพราะสายตาอันโหดเหี้ยมของฉินจิ่นหยาง จึงจำต้องต้องเดินลงกำแพงไป

ไม่นาน ข้างล่างกำแพง ท่ามกลางประชาชนก็เกิดความชุลมุน ประชาชนหนึ่งร้อยคนก็ถูกทหารเอาตัวออกมา คุกเข่าอยู่หน้าแท่นประหาร ข้างหลังพวกเขาล้วนมีดาบที่ส่องประกายจ่ออยู่

มู่ซงเห็นแล้วสายตามีเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกิดขึ้น พลันเงยหน้าขึ้นมองฉินจิ่นหยางแล้วตะโกนว่า “ฝ่าบาท! พวกเขาเป็นประชาชนของฝ่าบาทนะ!”

ฉินจิ่นหยางกลับไม่แยแส เขาราวกับมีความสุขกับการที่มู่ซงต้อยตํ่ากว่าเขาและทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของมู่ซง เขาพูดอีกว่า “หนึ่ง”

ฉินจิ่นเฉินมองฉินจิ่นหยางด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉินจิ่นหยางหากเจ้าทำเช่นนั้นจริง ชีวิตการเป็นฮ่องเต้ของเจ้าก็ถือว่าจบสิ้นลง แล้ว!”

“สอง” ฉินจิ่นหยางราวกับไม่ได้ยินคำข่มขู่ของฉินจิ่นเฉิน

“ฉินจิ่นหยาง เจ้ายังไม่กลับตัวอีก!” ฉินจิ่นเฉินตะโกนออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!