Skip to content

พลิกปฐพี 148-2

ตอนที่ 148-2

บอกว่าจะสั่งสอนเจ้า ก็ไม่มีทางไว้หน้าเจ้า!

พอสามารถหยุดการโต้เถียงอันไร้สาระภายใต้สายตาของจิ่งเทียนลงได้แล้ว เสียงหัวเราะขำรอบด้านก็พลันหายไป ทำให้จิ่งเทียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขาก็ไม่ ได้หาเรื่องกับพวกมู่ชิงเกอไม่กี่คนต่ออีก ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตน

ถามขึ้นด้วยเสียงสั่งการ “เจ๋อซิ่ว ได้ยินมาว่าเจ้าเปิดการเดิมพัน?”

คนที่ถูกขานชื่อก็ยืนอยู่ด้านหน้าของจ้าวหนานซิง เขาพลันมีสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา ก่อนจะหันไปตอบจิ่งเทียน “เรียนศิษย์พี่จิ่งเทียน เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ว่าก็ได้จบสิ้นลงแล้ว”

“อ้อ? เช่นนั้นก็แสดงว่ามีผลลัพธ์แล้ว?” จิ่งเทียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างหยิ่งยโส สายตาขยับไปยังป้ายหิน แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ได้ออกมาตั้งนานแล้ว บนป้ายหินสีดำก็เลยไม่มีจุดแสงอะไรอีก คิ้วทั้งสองข้างของจิ่งเทียนขมวดเข้าหากัน ราวกับว่าผลสรุปนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

เขาพอได้รับข่าวก็เร่งรีบรุดมา ต่อให้ผลลัพธ์ของการทดสอบในหอสติปัญญาจะจบลงแล้ว แต่จิตวิญญาณของคนด้านในก็ต้องลดน้อยไปมาก อย่างน้อยก็ต้องพัก อยู่ด้านในเป็นเวลาชั่วคราว นี่ทำไมถึงไม่เห็นแล้ว?

จิ่งเทียนคิดไม่ออก สายตาก็ตกไปที่ร่างของศิษย์รอบด้านอีกครั้ง

ราวกับว่าอยากจะได้คำตอบที่น่าพึงใจจากตัวพวกเขา เพียงแต่ว่าทุกคนที่ได้สบตากับเขากลับพากันก้มหน้าลงกันหมด ตัวหดลีบไปด้านหลัง หลบสายตาสอบถามจากเขา

การตอบสนองเช่นนี้ก็ทำเอาความสงสัยในใจของจิ่งเทียนยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ท่าทางหลบหลีกของกลุ่มคนก็ทำเอาในอกของจิ่งเทียนรู้สึกโกรธขึ้นมา เขากล่าวไปทางเจ๋อซิ่ว “ในเมื่อเป็นการเดิมพันที่เจ้าตั้งขึ้น เช่นนั้นก็ให้เจ้าเป็นคนบอกผลลัพธ์แก่ข้า”

ประโยคนี้ก็ทำเอาคนจำนวนไม่น้อยพากันลอบถอนหายใจโล่งอก แต่กลับทำให้ในใจของเจ๋อซิ่วรํ่าร้องขึ้นมา!

เขาก่อกรรมอะไรเอาไว้ แต่เดิมคิดว่าจะเป็นการเดิมพันที่นำพามาซึ่งเงินก้อนใหญ่ แต่ไม่คาดกลับเสียหายพ่ายแพ้จนแม้แต่กางเกงในก็คงไม่มีเหลือ แล้วยังต้องมารองรับอารมณ์ของจิ่งเทียนอีก!

จิ่งเทียนเป็นคนยังไง คนที่อยู่ในสาขาหลักมาช่วงหนึ่งก็คงจะรู้ดี

พรสวรรค์ของเขานั้นสมบูรณ์แบบ แต่ไหนแต่ไรมาก็หยิ่งในความสามารถของตนมาจนชินมาตั้งนานแล้ว แล้วจะไปยอมให้มีคนไปตีเสมอเคียงข้างเขา? จนถึงขนาดที่ว่าก้าวข้ามเขาไปได้อย่างไร?

ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ใช่เขาเจ๋อซิ่ว แต่หากมันพูดออกมาจากปากของเขา เกรงว่าจะต้องโดนลูกหลงจากความโมโหของจิ่งเทียนเป็นแน่

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมทุกคนถึงต้องหลบหลีก แอบซ่อน ไม่ยิมยอมบอกออกไป

เพียงแต่ว่าเขาถูกจิ่งเทียนขานชื่อแล้ว หากไม่พูด จิ่งเทียนก็เหมือนกับจะไม่ยอมปล่อยเขาไป!

หลังจากคิดผลสรุปในใจของตัวเองออกแล้ว เจ๋อซิ่วก็ขืนตัวเงยหน้าขึ้นกล่าวออกไปอย่างติดๆ ขัดๆ “ผ่าน…ผ่านแล้ว…”

เพียงแค่คำสองคำ กลับทำเอาเจ๋อซิ่วสูญเสียพลังไปมาก

ตอนที่เขากำลังผ่อนลมหายใจโล่งอกกับคำตอบของตัวเองอยู่นั้น เสียงของจิ่งเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผ่านแล้ว? ผ่านแล้วอะไร?”

เจ๋อซิ่วหัวใจเต้นระรัวขึ้นมา ลอบมองไปยังจิ่งเทียน เห็นดวงตาทั้งสองข้างของเขาหรี่เล็กลง กลิ่นไอดุดันค่อยๆ ล้อมเข้ามาที่คอของเขา

เจ๋อซิ่วยกมือขึ้นไปลูบคอของตนตามสัญชาตญาณ ดึงเก็บสีหน้าแววตา ก่อนจะตอบออกไปอยากระมัดระวังอีกครั้ง “ก็ ก็คือผ่าน ผ่านแล้ว ผ่าน…ระดับความ…ความยากทั้งหมด”

พอคำพูดของเจ๋อซิ่วจบลง บนลานกว้างรอบป้ายหินสีดำก็เหมือนกับถูกพายุหนาวเย็นพัดกระหน่ำเข้ามาสายหนึ่ง อีกทั้งจุดที่มีความหนาวยะเยือกก็มาจากจุดตรงกลางที่จิ่งเทียนยืนอยู่

“ผ่านทุกระดับความยาก? จะเป็นไปได้ยังไง เจ้าไม่ใช่ว่าตาลายหรอกรึ!” สุนับรับใช้เบอร์สองพลันแย้งขึ้นมา

สีหน้าไม่เชื่อถือ ก่อนจะได้การสนับสนุนสอดเสริมจากสุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว!

เจ๋อซิ่วในใจก็ทดท้อนัก

เขาก็หวังให้ตัวเองตาลาย เพียงแต่…

“จริงๆ แล้วเป็นเช่นไรกันแน่?” เสียงของจิ่งเทียนกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา

เจ๋อซิ่วนิ่งชะงักไป กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ก็คือ…ก็คือ…ผ่านระดับความยากทั้งหมด ไม่เพียงแค่ข้าเห็นคนเดียว ทุกคนที่นี่ก็เห็นด้วยกันทั้งหมด!” เขายกมือชี้ออกไป ก่อนจะดึงเอาทุกคนลงเหวไปด้วยกัน

สีหน้าท่าทางของผู้คนรอบด้านก็พลันกลายเป็นทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา

‘มีคนผ่านมันได้จริงๆ รึ? เดินในหอสติปัญญาครบทุกชั้น ทำลายสถิติของจิ่งเทียน?’

สุนับรับใช้เบอร์หนึ่งกับสุนัขรับใช้เบอร์สองหันมองไปทางจิ่งเทียนพร้อมกัน จิ่งเทียนพลันมีสีหน้าเย็นยะเยือกเคร่งขรึมลง ทำเอาผู้คนที่มองอยู่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

ตอนนั้นเองในกลุ่มคนก็พลันมีคนชี้ไปทางมู่ชิงเกอ ร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “ศิษย์พี่จิ่งเทียน เป็นเขา! เป็นคนที่ใส่ชุดสีแดงผู้นั้น!”

หลังจากคำพูดจบลง เขาก็เร่งรีบดึงมือกลับ แอบซ่อนเข้าไปในกลุ่มคน

สุนับรับใช้เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองแววตาฉายแววตกตะลึง ยิ่งตะลึงงันมองไปทางมู่ชิงเกอ แต่คนที่ถูกกล่าว ถึงกลับยิ่งนิ่งเงียบราวกับว่าที่คนอื่นพูดก็ไม่ใช่นาง

แววตาดำทะมึนของจิ่งเทียนค่อยๆ ร่วงตกลงไปที่ร่างของมู่ชิงเกอ กล่าวเสียงดุดัน “เป็นเจ้าอีกแล้ว?”

คำสามคำก็คงความหมายเอาไว้มากมาย

แต่ว่าเหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับมีอยู่น้อยมากที่สามารถฟังเข้าใจ

พวกเขาก็สามารถคาดเดาจากคำพูดของจิ่งเทียนได้แค่ว่าก่อนหน้านี้จิ่งเทียนกับมู่ชิงเกอก็เคยเผชิญหน้ากัน แต่สำหรับมู่ชิงเกอนั้นกลับสามารถฟังเข้าใจความหมายของจิ่งเทียนได้ดี

‘เป็นเจ้าอีกแล้ว’ ประโยคนี้ก็หมายถึง—–ระดับความแข็งแกร่งในการปรุงยากับจิตวิญญาณ

ที่มู่ชิงเกอกลายเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณก็ราวกับว่าจะไปกระตุ้มต่อมอะไรบางอย่างของจิ่งเทียน ดังนั้นถึงได้อยากกลั่นแกล้งสะกดข่มศิษย์สาขาย่อยสักเล็กน้อย น่าเสียดายกลับถูกเซี่ยเทียนอู๋ขัดขวางเข้าเสียก่อน เลยทำให้แผนของเขาต้องล้มเหลว

เพียงแต่ ยังไม่ทันรอให้เขาไปท้าทายอีกครั้ง มู่ชิงเกอกลับทำเรื่องน่าตกตะลึงนี้ขึ้นในสาขาหลักเสียก่อนแล้ว เดินผ่านทุกระดับความยากของหอสติปัญญา! นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ตั้งแต่โรงโอสถก่อตั้งมาก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่นางกลับทำมันได้

จิ่งเทียนสามารถคาดเดาได้เลยว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน เรื่องเรื่องนี้ก็ต้องแพร่กระจายไปถึงหูของพวกผู้อาวุโส

ลูกศิษย์ที่เปรียบกับเขาแล้วยังร้ายกาจกว่าผู้นี้อีกไม่นานก็จะกลายเป็นที่จับจ้องของผู้คนไปจนถึงขั้น…เข้ามาแทนที่เขาอย่างช้าๆ…

และชัดเจนว่าผลลัพธ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่จิ่งเทียนไม่มีทางรับได้เป็นอันขาด!

แต่อย่างไรก็ตามมู่ชิงเกอก็ฟังความหมายของเขาออก แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องตอบกลับเขา นางแม้กระทั่งมองก็ไม่มองจิ่งเทียนแม้แต่ตาเดียว กล่าวไปทางจ้าวหนานซิง “ไปได้รึยัง?”

จ้าวหนานซิงหันมายิ้มให้นางก่อนจะหันไปมองเจ๋อซิ่ว หลักฐานการเดิมพันในมือโบกไปมา “เจ้ากำลังคิดจะหนีหนี้ใช่หรือไม่?”

เจ๋อซิ่วสีหน้าบิดเบี้ยว ทั้งโมโหทั้งเคืองแค้น แต่ก็ยังอดกลั้นตอบกลับ “เจ้าวางใจ ขอเวลาข้าเตรียมพร้อมสามวัน หลังจากนี้สามวันก็จะจ่ายเงินเดิมพันให้กับเจ้า”

คำตอบนี้ก็ยังนับว่าทำให้จ้าวหนานซิงรู้สึกพอใจอยู่บ้าง

เขาเก็บเอาหลักฐานการเดิมพันกลับ ก่อนจะเดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอ

ทั้งสามคนพอรวมตัวกันก็หมุนกายเตรียมจะจากไป

“ช้าก่อน!” จิ่งเทียนคำรามขึ้นเสียงเย็น ขัดขวางการไปของพวกเขา

สุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งกับสุนัขรับใช้เบอร์สองรู้หน้าที่ พุ่งออกไปด้านหน้าของทั้งสามคน ยืนขวางทางไปของพวกเขาเอาไว้

พอเห็นเจ้าสุนัขขวางทางด้านหน้า สีหน้าของมู่ชิงเกอก็ยังคงเรียบเฉย นางค่อยๆ หมุนกาย หันไปสบตากับจิ่งเทียน ราวกับอยากจะถามให้ชัดเจนว่าเขาต้องการจะทำอะไร

มู่ชิงเกอมองไปยังจิ่งเทียนอย่างเรียบเฉยราวกับกำลังถามว่า ‘มีอะไรจะชี้แนะ’

ความสุขุมของนางก็ปิดโอกาสในการควบคุมบงการสถานการณ์ของจิ่งเทียน

จิ่งเทียนจ้องมองไปที่นาง แววโกรธเกรี้ยวในดวงตาก็ค่อยๆ กลายเป็นความชิงชัง ราวกับว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้ร้าย ที่ทำลายฆ่าล้างตระกูลของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ความริษยาเพราะว่าจิตใจคับแคบ เพราะว่าจิตใจนึกอิจฉานี้ มู่ชิงเกอก็ยากที่จะเข้าใจ นางที่เห็นอารมณ์ในแววตาที่ไม่คิดปิดของจิ่งเทียนแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นบ้างแล้ว

“นี้พวกเจ้า เรียกพวกเราเอาไว้แล้วยังไม่พูดอะไร เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ประโยคนี้ก็ไม่สะดวกที่จะให้มู่ชิงเกอถาม ดังนั้น จูหลิงก็พลันออกตัวถามแทนนาง

ในความเป็นจริงสำหรับจูหลิงที่คิดจะรั้งอยู่ในโรงโอสถกลางแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรถาม

แต่ว่านางก็ยังถามออกไป ทั้งไม่ได้คิดจะกันตัวเองเอาไว้ด้านนอก

นี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอต้องหันไปมองนางหนหนึ่ง

ดวงตาที่ดูอันตรายคู่นั้นของจิ่งเทียนหรี่เล็กลง มองไปทางจูหลิง “เจ้านับว่าเป็นอันใด มีค่าพอจะพูดกับข้าหรือ?”

“เห ข้าวันนี้เพิ่งมาถึงสาขาหลัก ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นตัวอันใด” จูหลิงก็ตอบกลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

“หญิงชั้นตํ่าเจ้าพูดอะไร!” สุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งไม่ยอมความอีก ราวกับว่าจะพุ่งเข้ามาจัดการสั่งสองจูหลิงสักรอบ

มู่ชิงเกอยกมือขึ้น บังขึ้นไปด้านหน้าของจูหลิง ดึงตัวนางไปหลบด้านหลังของตน

การกระทำนี้ก็ทำเอาจิ่งเทียนยิ้มขึ้น “ดูไม่ออกว่าจะเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ” ในคำพูดของเขาก็มีความนัยซ้อน

ความนัย ราวกับว่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง

บางทีอาจเป็นการหลบไปด้านหลังมู่ชิงเกอโดยไม่รู้ตัวของซางจื่อซูเมื่อครั้งก่อนหน้า ถึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ จนทำให้กล่าววาจาในตอนนี้ออกมา

สำหรับคำ ‘วิจารณ์’ ของจิ่งเทียนนั้นมู่ชิงเกอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบกลับ

นางกล่าวว่าอย่างเรียบๆว่า “มีธุระก็พูดออกมา”

ท่าทีเช่นนี้ก็ราวกับว่าจะอวดดียิ่งกว่าเขายิ่งนัก!

สีหน้าของจิ่งเทียนพลันกลายเป็นไม่น่าดูขึ้นอย่างยิ่ง แววตาดำทะมึนอย่างถึงที่สุดจ้องมองไปหานาง

ศิษย์สาขาหลักที่ดูชมอยู่รอบด้านตอนนี้ก็แค่เห็นได้ชัด ถึงความเป็นศัตรูของคนทั้งสอง เพียงแต่พวกเขาก็เดาไม่ออกว่า มู่ชิงเกอจริงๆ แล้วเป็นใครถึงทำให้จิ่งเทียนโกรธขึ้นมาได้

ทันใดนั้นความเกรี้ยวกราดบนใบหน้าของจิ่งเทียนก็ถูกเก็บกลับ มองไปยังท่าทางมั่นใจของมู่ชิงเกอก่อนจะหัวเราะขำขึ้นมา “เจ้ากล้าประลองโอสถกับข้าหรือไม่!”

“ประลองโอสถ!”

“ศิษย์พ็จิงเทียนถึงกับท้าเขาประลองโอสถ? ไม่มีทางเป็นไปได้!”

“ศิษย์พี่จิ่งเทียนเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ ศิษย์จากสาขาย่อยผู้นี้ถึงแม้ว่าจะมีจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งเกินคน แต่ว่าศาสตร์การปรุงยาเล่า?”

“ดุเขายังอายุน้อยเช่นนี้ไหนเลยจะเป็นคู่มือกับศิษย์พี่จิ่งเทียนได้?”

หลังจากคำพูดของจิ่งเทียนจบลงก็ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนที่ดูตื่นตระหนกมากกว่ามู่ชิงเกอเสียอีก

และแน่นอนทิศทางของคำวิพากษ์วิจารณ์ก็ล้วนแต่เป็นการดูเบามู่ชิงเกอ

แต่กลับไม่มีใครกล่าวท้วงความไม่เป็นธรรมออกมา—–

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!