Skip to content

พลิกปฐพี 151-1

ตอนที่ 151-1

ทูตพิทักษ์ดอกไม้ ไว้ชีวิตคนใต้กระบอกปืน

“บุตรสาวบ้านใดกัน ถึงได้งามเฉิดฉายเช่นนี้?”

นํ้าเสียงยั่วเย้าลอยแว่วมา ทำเอาซางจื่อซูกระอักกระอ่วนพาให้รู้สึกอึดอัด

มู่ชิงเกอหันไปตามเสียงก็เห็นเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งเดินแหวกฝูงชนตรงเข้ามาทางพวกนาง มู่ชิงเกอลอบขมวดคิ้วเข้าหากัน ยืนอยู่ข้างหน้าซางจื่อซูเงียบๆ เอาตัวบัง นางไว้ข้างหลัง การกระทำอันอ่อนโยนเช่นนี้กลับทำให้นัยน์ตาเยือกเย็นของซางจื่อซูฉายแววความรู้สึกอบอุ่น

“โอ้! หนุ่มน้อยผู้นี้ก็หน้าตาไม่เลว! จุ๊จุ๊ ใบหน้าเช่นนี้อยู่กับบุรุษช่างน่าเสียดายจริงๆ” คนกลุ่มนั้นเบียดเข้ามา ตอนที่มองหน้ามู่ชิงเกอต่างก็มีดวงตาเป็นประกาย ชายผู้ที่เอ่ยปากยั่วเย้าก่อนหน้านี้มองมู่ชิงเกอและซางจื่อซูด้วยสายตาหยาบโลน

เขากำลังประเมินมู่ชิงเกออย่างละลาบละล้วง มู่ชิงเกอเองก็กำลังประเมินทีท่าเขาอยู่เช่นกัน

ผู้มาใหม่ทั้งสามคนสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ช่วงบริเวณหน้าอกปักด้วยตัวอักษร ‘ศาสตรา’ สีทอง ส่วนอาวุธที่พวกเขาพกมานั้น ชาวบ้านรอบด้านต่างหลีกหนี ด้วยความหวาดกลัวไม่กล้าแสดงอารมณ์

นัยน์ตาเป็นประกาย มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ก็ศิษย์หอหลอมศาสตรานี่เอง”

หอหลอมศาสตรา?

ชื่อนี้สำหรับตัวซางจื่อซูแล้วไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง นางเงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ ทบทวนความทรงจำในหัวอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งจึงนึกขึ้นได้ว่าที่หลินชวนแห่งนี้มีอยู่สองสำนักใหญ่ๆ แบ่งเป็นโรงโอสถและหอหลอม

ศาสตรา

‘หรือว่า นี่ก็คือศิษย์ของหอหลอมศาสตราที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับโรงโอสถ?’ ซางจื่อซูคาดเดาอยู่ในใจ

“โอ้โห! เจ้าหนุ่มนี่สายตาพอมีแววอยู่บ้าง รู้จักประวัติ ของพวกพี่ชาย” ชายที่ยืนอยู่หน้าสุดถูกมู่ชิงเกอมองออกถึงฐานะในแวบแรกที่เห็นก็ยืดหลังตรงมากขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่ลง มุมปากฉีกยิ้มที่ดูคล้ายไม่มีแต่แฝงความรู้สึกเยือกเย็น

ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างสัมผัสได้ถึงไอความเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง แต่คนของหอหลอมศาสตราทั้งสามไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสไม่ได้หรือว่าไม่สนใจกลับยิ่งเอ่ยวาจาอวดเบ่งเหิมเกริมมากขึ้น “ในเมื่อรู้ว่าพวกข้าเป็นใคร เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาให้มากความ ให้สาวงามด้านหลังเจ้าตามพวกเราไปแต่โดยดี”

“ไปไหน?” ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่ลงจนเหลือเพียงเส้นเดียว ในนํ้าเสียงแฝงความลึกลํ้า

ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าเผยรอยยิ้มกักขฬะ ทำท่าทางตํ่าทราม “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะไปไหน หากมิใช่เพราะพี่ชายไม่นิยมบุรุษคงได้พาเจ้าไปด้วยกันแล้ว” พูด จบเขาก็ยื่นมือมาหมายจะจับปลายคางของมู่ชิงเกอ ภาพนี้ทำเอาซางจื่อซูที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ มีสายตาเย็นชา ในมือปรากฏแสงสีเขียว

แต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะลงมือ ก็ได้ยินเสียงคนจากหอหลอมศาสตราร้อง “ไอหยา!”โอดโอยด้วยความเจ็บปวด และชักมือกลับด้วยความรวดเร็ว

นางมองด้วยความตกใจพบว่าชายผู้นั้นเอวงอ กุมมือที่ยื่นออกมาไว้แน่น บนพื้นยังมีรอยเลือดหยดเป็นหย่อมๆ

ชายผู้นั้นเจ็บปวดจนใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาเต็มหน้า มองมู่ชิงเกอด้วยแววตาเคียดแค้น

พอมองไปที่มู่ชิงเกอนางกลับทำท่าเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ลากนิ้วลูบปลอกนิ้วบนนิ้วชี้เบาๆ มองคนทั้งสามที่มาจากหอหลอมศาสตราอย่างเย็นชา

“เจ้ากล้าทำร้ายข้า!” ชายผู้โดนทำร้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด

อีกสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขา คนหนึ่งวุ่นอยู่กับการช่วยเขาห้ามเลือด ส่วนอีกคนหนึ่งถือยุทธภัณฑ์ชี้มาทางมู่ชิงเกอ แววตาเต็มไปด้วยความระวังภัย

‘เร็วเกินไปแล้ว! เร็วเกินไปแล้ว! เมื่อครู่นี้พวกเขายังไม่ทันเห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของศิษย์พี่แล้ว’

นัยน์ตามู่ชิงเกอเยือกเย็นดุจนํ้าแข็ง เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไป หากมีครั้งหน้าอีกจะตัดเท้าเจ้าทิ้ง” คำกล่าวนี้มีความหมายแฝง นั่นย่อมหมายความว่าเมื่อ ครู่นั้นนางยังยั้งมือไว้ใมตรี มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ใช่เพียงมือของเขาที่บาดเป็นแผล แต่จะเป็นโดนตัดทั้งมือ และก็ไม่ได้หมายความว่ามู่ชิงเกอกลัวมีเรื่อง ถ้าหาก เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นที่อื่นนางคงจัดการสังหารผู้ที่กล้ามายั่วเย้านางไปนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้นางมาแคว้นหรงด้วยเรื่องด่วน ไม่สะดวกที่จะจัดการกับเรื่องแทรกซ้อน ดังนั้นจึงแค่ตักเตือนไม่ได้ลงมือหนักหน่วง

“เจ้า!” การข่มขู่ของมู่ชิงเกอทำให้ชายผู้นั้นมีสีหน้าเคร่งขรึม เหลือไว้เพียงอารมณ์ความเคียดแค้นในดวงตา

“ศิษย์พี่” ชายที่เฝ้าระวังมู่ชิงเกอยับยั้งศิษย์พี่ของตนเอง เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คนผู้นี้มีฝีมืออยู่บ้าง ตอนนี้ท่านได้รับบาดเจ็บ พวกเรารีบไปจากที่นี่เพื่อรักษาแผลก่อนดีกว่า รอสืบที่มาของเจ้านั้นได้แล้ว พวกเราค่อยกลับมาแก้แค้นก็ยังไม่สาย!”

คำพูดของศิษย์น้อง อีกทั้งความปวดที่แผ่มาจากฝ่ามือ ทำเอาแขนข้างนั้นของเขาไหวสั่น

เขามองหน้ามู่ชิงเกอ ดวงตาแฝงแววอาฆาตชัดเจนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เหอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ” ฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง จากนั้นสามอันธพาลที่เดินเบียดฝูงชนออกไป ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าของมู่ชิงเกอและซางจื่อซู

รอจนพวกเขาเดินไปไกลแล้ว ซางจื่อซูจึงมีสติมองมู่ชิงเกอด้วยความกังวล เอ่ยขึ้นว่า “เป็นข้าสร้างเรื่องยุ่ง”

มู่ชิงเกอหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับนางพลางส่ายหน้าเบาๆ “พวกเขายังไม่นับว่าเป็นความยุ่งยากอะไร ศิษย์พี่อย่าได้เก็บมาใส่ใจ ไปกันเถอะ พวกเราไปพักผ่อนที่ โรงเตี๊ยมกันก่อน”

พวกนางอยู่บนถนนสายหลักของเมืองเยว่เฉิง สองข้างทางต่างก็เป็นร้านรวงของโรงเหล้า ยังมีโรงเตี๊ยมเล็กๆ

มู่ชิงเกอมองหาตามใจคิด ก็มองเห็นป้ายโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแขวนอยู่ไม่ไกล

มองเผินๆ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ได้หรูหราแต่ก็ไม่ได้ซอมซ่อ มีความเรียบหรูอยู่หลายส่วน

“พวกเราพักที่นี่แล้วกัน” มู่ชิงเกอชี้นิ้วไปที่ป้ายโรงเตี้ยมแห่งนั้น บอกแก่ซางจื่อซู

ซางจื่อซูย่อมไม่มีความเห็นเป็นอื่น เดินตามมู่ชิงเกอไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้น

เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเห็นเหตุการณ์ระหว่างมู่ชิงเกอกับศิษย์หอหลอมศาสตราที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พบว่าพวกเขาทั้งสองคนเดินมาทางโรงเตี๊ยม จึงระลํ่าระลักรีบร้องเรียกเถ้าแก่

“นายท่าน ต้องการห้องพักหรือขอรับ?” เถ้าแก่ที่ถูกเสี่ยวเอ้อเรียกออกมาอย่างรีบร้อน ยิ้มทักมู่ชิงเกอและซางจื่อซูที่กำลังก้าวเท้าเดินผ่านประตูร้านเข้ามา

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ เสี่ยวเอ้อได้เล่าให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว

เขาย่อมรู้ถึงจุดประสงค์ที่เสี่ยวเอ้อทำเช่นนี้เป็นอย่างดี “เถ้าแก่ ห้องพักชั้นบนสองห้อง” มู่ชิงเกอวางเงินตำลึงทองไว้บนโต๊ะคิดเงิน

เห็นเงินตำลึงทองนั้นแล้ว เสี่ยวเอ้ออดไม่ได้ที่จะกลืนนํ้าลายด้วยความละโมบ แม้แต่เถ้าแก่อ้วนๆ ก็หนังตากระตุกอยู่ในอาการตกตะลึง ความรํ่ารวยที่มู่ชิงเกอแสดงออกมาทำให้พวกเขามีอาการลังเลต่อการตัดสินใจเมื่อครู่

เสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่ด้านหลังลอบกระตุกเสื้อของเถ้าแก่ เถ้าแก่ได้สติละสายตาจากทองก้อนนั้น เอ่ยแก่พวกมู่ชิงเกอยิ้มๆ ว่า “เรียนนายท่านทั้งสองตามตรง ห้องชั้นบนของเราตอนนี้เต็มหมดแล้ว ขอเชิญมองหาที่อื่นเถิดขอรับ”

ช่วงเวลาที่ความคิดขัดแย้งกันนั้น เถ้าแก่ยังคงเลือกรักษาชีวิตมิใช่เงินทอง

“ไม่มีห้องว่างแล้ว?” มู่ชิงเกอมุมปากตวัดโค้งขึ้น ดวงตากระจ่างใสกวาดตาประเมินไปทั่วรอบหนึ่ง ห้องโถงของที่นี่มีแขกอยู่เพียงหนึ่งโต๊ะ ดูไม่เหมือนลูกค้าเต็มร้าน ห้องพักเต็ม

“ขะ…ขอรับ” เถ้าแก่พยักหน้ายิ้มแหยๆ

มู่ชิงเกอหัวเราะเสียงแข็งคราหนึ่ง หยิบทองบนโต๊ะหันหลังเดินออกไป

ซางจื่อซูที่เดินตามอยู่ข้างหลัง เอ่ยกับนางว่า “เถ้าแก่นั่นโกหก”

“ข้ารู้” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยนํ้าเสียงราบเรียบ

“แต่ว่าทำไม” ซางจื่อซูไม่เข้าใจอยู่บ้าง

มู่ชิงเกอหันกลับไปมองเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อที่ลอบยกชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยบอกซางจื่อซูว่า “เมืองเยว่เฉิงอยู่ใกล้กับหอหลอมศาสตรา ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างโรงโอสถสาขาย่อยกับเมืองซางจื่อ คนที่นี่ย่อมทั้งยำเกรงและหวาดกลัวศิษย์ของหอหลอมศาสตรา เมื่อครู่นี้พวกเรามีเรื่องขัดแย้งกับศิษย์ของหอหลอมศาสตรา พวกเขาย่อมไม่กล้าให้พวกเราเข้าพัก เป็นธรรมดา กลัวว่าจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับคนของหอหลอมศาสตราแล้วทำให้ตัวเองเดือดร้อน”

ซางจื่อซูฟังรายละเอียดแล้วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ดูท่าว่าหนึ่งในสามคนเมื่อครู่นี้มีฐานะไม่ธรรมดา”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย

แล้วจะอย่างไรล่ะ? คงไม่ใช่ว่าเพราะฐานะของพวกเขาไม่ธรรมดาแล้วนางจะยอมให้อีกฝ่ายกดขี่ข่มเหง? ต้องยิ้มรับยอมให้ซางจื่อซูตามพวกเขาไป?

นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังมีอะไรให้ต้องกังวล? เตือนไปแล้วรอบหนึ่ง ถ้าหากไม่รู้จักรักตัวกลัวตายกล้าเข้ามาตอแยอีก เช่นนั้นนางก็ทำ ได้เพียงต้องสังหารคนแล้ว

ก้นบึ้งนัยน์ตาของมู่ชิงเกอสะท้อนแววตาเยือกเย็นพาดผ่านก่อนเลือนหายไปชั่วพริบตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!