ตอนที่ 152-4
ถูกความโง่ของตัวเองทำให้ร้องไห้ โชคมาแล้ว!
“พวกเขามากันกี่คน?” เฝิงคุนไห่เอ่ยถามศิษย์ที่เข้ามาส่งข่าว
ศิษย์คนนั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “มีเกินร้อยคน”
เกินร้อยคน?!
คนของทางหอหลอมศาสตรา ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์ ก็ล้วนมีสีหน้าที่ไม่น่าดู
ศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรเกินร้อย รวมทั้งอสูรวิญญาณของพวกเขาอีก หากว่าอีกฝ่ายมาเพราะพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนจริง ๆ เช่นนั้นจะต่อสู้อย่างไร?
จินกุ้ยมองเฝิงคุนไห่แล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นผู้อาวุโสนำคณะในครั้งนี้ จะทำอย่างไรต่อไป?”
นัยน์ตาของเฝิงคุนไห่ฉายแววเยียบเย็นออกมา ในใจลอบด่า “จิ้งจอกเฒ่า!” ก่อนหน้านี้ทำท่าทางเหมือนไม่อยากยอมรับเขา ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าสำนักหมื่นอสูรเข้ามาวุ่นวาย ก็รีบหลบไปอีกข้าง ให้เขาออกหน้าในทันที
ในใจของเฝิงคุนไห่ยิ้มอย่างเย็นชา มองความคิดของจินกุ้ยออกอย่างชัดเจน
เขาไม่ใช่ว่ากลัวสุดท้ายแล้วจะทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วจะถูกต่อว่ามิใช่หรือ? ดังนั้นถึงได้ผลักเขาออกมา
แต่ว่า เขานั้นเป็นผู้อาวุโสที่ประมุขหอมอบหมายให้นำคณะจริง ๆ หลบไม่ได้
เขาคิดแล้วคิดอีกจึงเอ่ยขึ้นว่า “ภายในแม่นํ้าไร้พรมแดน ไม่มีสิ่งมีชีวิต ข้าคิดไม่ออกว่าจุดมุ่งหมายของสำนักหมื่นอสูรที่มาที่นี่นั้นเป็นอะไร เกรงแต่ว่าจะเป็น เพราะพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน พวกเขามีคนและกำลังมาก พวกเราไม่เหมาะที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาซึ่ง ๆหน้า ตอนนี้ทำได้แค่เพียงเข้าไปในแม่น้ำไร้พรมแดนก่อน รีบตามหาพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน จากนั้นก็รีบจากไป พยายามหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งหมด ให้ถือเอาความสำเร็จของภารกิจเป็นสำคัญ!”
คำพูดของเขานั้นเป็นคำที่แทงใจบรรดาศิษย์หอหลอมศาสตรา
ในพวกเขาใครก็ไม่ยอมที่จะต่อสู้กับคนของสำนักหมื่นอสูร ยิ่งไม่ยินยอมที่จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในแม่น้ำไร้พรมแดน
เรื่องนี้ แม้แต่คนที่ไม่ถูกกับเฝิงคุนไห่อย่างจินกุ้ยก็ไม่มีข้อโต้แย้ง
เมื่อความคิดตรงกันแล้ว คนนับร้อยของหอหลอมศาสตราก็รีบเคลื่อนตัวเข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดน
วิธีของพวกเขาดูคล้ายกันกับวิธีของมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่เหมือนกัน
เพื่อการเดินทางในครั้งนี้ พวกเขาสร้างเรือที่สามารถล่องบนแม่นํ้าไร้พรมแดนได้ขึ้นมาเป็นพิเศษ ทุก ๆ ลำ สามารถบรรทุกคนได้สิบคน เรือสิบกว่าลำมุ่งไปข้าง หน้า เข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดน
กลิ่นอายพิษเหล่านั้น พวกเขาก็ได้ซื้อยาถอนพิษจากโรงโอสถมาเตรียมไว้นานแล้ว เตรียมไว้อย่างเพียบพร้อม หลังจากเข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดนแล้ว เฝิงคุนไห่ก็อิงตามทิศทางที่คำนวณได้ก่อนหน้านี้ นำทางทุกคนไป
ที่บังเอิญก็คือ ทิศทางที่พวกเขาเข้าไป เป็นทางเดียวกันกับที่มู่ชิงเกอเดินมั่วไป!
คนของหอหลอมศาสตราเข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดน ทั้งยังตามมาด้านหลังของตนเอง เรื่องนี้มู่ชิงเกอไม่ได้รู้เรื่องเลย
เดิมนางคิดจะใช้พลังจิตวิญญาณนำทาง ตามหาร่องรอยของพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน แต่ว่า นางกลับค้นพบเรื่องเหนือความคาดหมายที่ว่า พลังจิตของตน เองไม่สามารถทะลุผ่านกลิ่นอายพิษสีเขียวเหล่านั้นไปได้ไกลสักเท่าไหร่เลย
โดยทั่วไป การใช้พลังจิตค้นหาเส้นทางกับใช้ดวงตาของนางมองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
เมื่อรับรู้ผลลัพธ์นี้แล้ว มู่ชิงเกอก็ล้มเลิกความคิดที่จะใช้พลังจิตในการค้นหาเส้นทาง และใช้โชคในการเดินทางในแม่น้ำไร้พรมแดนอย่างมุ่งมั่นต่อไป
แม่นํ้าไร้พรมแดนอันไร้ขอบเขต ก่อนหลังเชิญชวนคนมาสองกลุ่ม
หลังจากคนของหอหลอมศาสตราหายเข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดนแล้ว ชายขอบก็ปรากฏกลุ่มคนอีกกลุ่มออกมา
คนกลุ่มนี้ จำนวนคนมีพอๆ กันกับคนของหอหลอมศาตรา แต่ว่าข้างกายของพวกเขา ล้วนแต่มีอสูรวิญญาณหนึ่งตัว อสูรวิญญาณหลากหลายชนิดต่างเชื่องกับเจ้าของ ไม่ได้มีกลิ่นอายความป่าเถื่อนของอสูรวิญญาณในป่าเลยแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาก็คือศิษย์ของสำนักหมื่นอสูร ที่นำคณะมานั้นเป็นผู้อาวุโสที่มีอสูรวิญญาณระดับกลางในครอบครองถึงสี่ตัว ส่วนการฝึกปรือของเขาเองก็อยู่จุดสูงสุดของสายม่วง
ดังนั้นพูดได้ว่า พลังการต่อสู้ของเขาอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของบรรดาคนที่เข้ามาในแม่นํ้าไร้พรมแดนทุกคน
เขานั่งอยู่บนหลังของหมาป่าสีดำ มองไปยังแม่นํ้าไร้พรมแดนสีดำ แต่ก็ไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป
อยู่ด้านหลังของเขาก็คือบรรดาศิษย์ของสำนักหมื่นอสูร ในบรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ ส่วนมากล้วนแล้วแต่มีอสูรวิญญาณสองตัวขึ้นไป โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นศิษย์ที่ สำนักหมื่นอสูรให้ความสำคัญ พวกเขาตามผู้อาวุโสมาที่นี้ ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย รู้แต่เพียงว่า นี่เป็นภารกิจทดสอบของพวกเขา
พวกเขาต้องมาเอาของสิ่งหนึ่งจากแม่นํ้าไร้พรมแดน
ในบรรดาคนทั้งหมด คนที่รู้เรื่องราวที่แท้จริงนั้น นอกจากผู้อาวุโสที่นำคณะมาแล้ว เกรงว่าคงจะมีแค่นายน้อยของสำนักหมื่นอสูรที่อยู่ด้านข้างของเขา ไท่สื่อเกา เท่านั้นที่รู้
อสูรวิญญาณของไท่สื่อเกานั้นเป็นเสือดำที่มีเขา
ส่วนตัวเขากลับชอบสวมชุดสีขาวทั้งตัว ดุจดั่งพวกบัณฑิต
ในมือยังถือพัด คลี่พัดๆ เป็นครั้งคราว ดูเหมือนกับเหล่าบัณฑิตที่ออกมาเผชิญโลกกว้าง ยกเท้าถีบเสือดำเบาๆ เสือดำค่อยๆ เดินไปข้างหน้า ไปถึงข้างๆ ของหมาป่าสีดำ ไท่สื่อเกาโบกพัดเอ่ยกับผู้อาวุโสเฮยมู่ “ผู้อาวุโสเฮยมู่ เหตุใดจึงไม่เดินต่อแล้ว?”
เฮยมู่มองดูแม่นํ้าไร้พรมแดนที่นิ่งสงบแล้วก็เอ่ยตอบเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเคยรวมตัวกันอยู่ที่นี่ กลิ่นอายลมหายใจของพวกเขาก็ยังอยู่” ดวงตาของไท่สื่อเกาหรี่เล็กลงเหมือนกำลังครุ่นคิด นัยน์ตาวาววาบดูเยียบเย็น “มีคนเข้าไปในแม่นํ้าไร้พรมแดนก่อนอย่างนั้นหรือ?”
“กลัวว่าจะเป็นเช่นนั้น” เฮยมู่พยักหน้า
เห็นเขาแน่ใจเช่นนั้น ไท่สื่อเกาก็เก็บพัดขึ้นทันใด หว่างคิ้วฉายแววอำมหิต “หรือว่าข่าวคราวจะรั่วไหลออกไป มีบางคนก็มาเพื่อมันด้วย?”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฮยมู่กลับไม่แน่ใจ ส่ายหน้า “นอกจากจะพบเจอพวกเขา จับมาสอบถามแล้วถึงจะรู้”
“เช่นนั้นก็เข้าไปกัน” ไท่สื่อเกาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
“ไม่รีบ” เฮยมู่ยับยั้งการตัดสินใจของไท่สื่อเกา
นี่ทำให้ไท่สื่อเกาขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่โมโหออกมา เพียงแค่ถามว่า “ผู้อาวุโส ตัดสินใจจะทำอย่างไร?”
เฮยมู่มองสีท้องฟ้า แล้วก็มองกลิ่นอายพิษบนแม่นํ้าไร้พรมแดน แล้วจึงเอ่ยกับไท่สื่อเกา “ดูแล้ว ฝนกำลังจะตก เมื่อฝนตกแล้ว กลิ่นอายพิษในที่นี่จะเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้น โอสถป้องกันพิษที่พวกเรานำมาเกรงว่าจะไม่อาจยับยั้งพิษได้หมด รอฝนหยุดแล้ว พวกเราค่อยเข้าไป”
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิต ไท่สื่อเกาจึงไม่หยัดยืนในความคิดเห็นก่อนหน้า
เขาพยักหน้า ถือว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเฮยมู่