Skip to content

พลิกปฐพี 155-1

ตอนที่ 155-1

สงครามอันโหดร้ายที่แม่นํ้าไร้พรมแดน

และความโกรธของซือมั่ว!

แม่นํ้าไร้พรมแดน กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แม่น้ำสีดำแฝงไปด้วยกับดักทุกหนทุกแห่ง ไม่ระวังตัวเพียงนิดเดียวก็จะถูกดูดลงไปในดินโคลนจนต้องจบชีวิต ในที่สุด

ฟองอากาศเล็กๆ คล้ายนํ้าเดือดค่อยๆ ลอยขึ้นมา จากนั้นก็เหมือนกับหนองนํ้าจะกินอิ่มแล้ว ก่อนจะมีอาการสะอึกพ่นเงาร่างคนออกมา

ปฏิกิริยาของเงาคนปราดเปรียวว่องไว เพิ่งจะปรากฏตัวบนหนองนํ้าก็เบี่ยงตัวกลิ้งตลบหลายรอบรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เสื้อกันฝนบนตัวของมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยดินโคลนของแม่นํ้า นางมองทิวทัศน์โดยรอบด้วย สีหน้าว่างเปล่า

แม่นํ้าสีดำ สารพิษสีเขียว ที่นี่คือแม่นํ้าไร้พรมแดนไม่ผิดแน่ แต่ว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้? ไม่ใช่ว่านางอยู่ในเขาวงกตใต้ดินหรือ

มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์ ทบทวนความทรงจำช่วงก่อนหน้านี้อย่างละเอียด

หลังจากสังหารติงเหม่าแล้ว ตามความทรงจำของนางคือไปรออยู่ที่ทางออกเขาวงกต เดิมทีคิดว่าจะฉวยโอกาสที่คนด้านนอกกำลังต่อสู้พัวพันกันอยู่ ตัวเองหา จังหวะหลบหนีออกไป

แต่ไม่คิดว่าพอไปถึงใกล้ๆ กับปากทางเข้า ลอบฟังความเคลื่อนไหวของด้านนอกกลับไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อีก ขณะที่นางกำลังสงสัยอยู่นั้นก็สัมผัสได้ว่าด้านบนของ ทางเข้านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง มีแรงดึงดูดขุมใหญ่ฉุดร่างนางทะยานไปในส่วนลึกของเขาวงกตโดยที่ไม่อาจจ้านทานได้ หลังจากนั้นนางก็มาอยู่ที่นี่

“ดูด้านนี้ให้ทั่ว ดูสิว่าจะเจออะไรบ้าง?”

ขณะที่มูชิงเกอกำลังงงงวยสงสัยในสิ่งที่ตนเองประสบพบเจอ ก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งลอยแว่วมา ยุติความคิดของนางในทันที

‘มีคน!’

แววตาของมู่ชิงเกองุนงง มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันใด

ตอนนี้ผู้ที่อยู่ในแม่นํ้าไร้พรมแดนนอกจากคนของหอหลอมศาสตราแล้วก็มีสำนักหมื่นอสูร คนของสองสำนักขั้วอำนาจในตอนนี้ นางเจอใครไม่ได้เลย

นัยน์ตาเป็นประกาย มู่ชิงเกออาศัยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแม่นํ้าไร้พรมแดนพรางตัวและผนึกกลิ่นอายตนเอง

ขณะที่นางทำทุกอย่างเสร็จนั้นก็มองเห็นเรือลำน้อยของหอหลอมศาสตราลำหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในสายตา…

คนของหอหลอมศาสตราห้าคนยืนอยู่บนเรือลำน้อยนั้น ในมือของพวกเขาถืออาวุธครบครัน หันหน้าออกด้านนอก ล้อมเป็นวง คล้ายกับว่ากำลังหาอะไรอยู่

หนึ่งในนั้นหาแล้วไม่พบเจออะไรก็เลยเอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าเด็กนั้นที่กล้ามาสวมรอยเป็นคนของหอหลอมศาสตราของพวกเรา จะออกไปจากแม่นํ้าไร้พรมแดน แล้ว? ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกเราสองสำนักใหญ่ร่วมมือกันค้นหาแล้วยังไม่มีแม้ข่าวคราว?”

มีผู้หนึ่งเอ่ยตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ แม่นํ้าไร้พรมแดนกว้างใหญ่เพียงนี้ หากไม่ใช้เวลาหลายวัน ไหนเลยจะออกไปได้ง่ายๆ? ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้บรรดาผู้อาวุโสก็ดักล้อมข้างนอกไว้แล้วแม้ว่าเขาจะเดินออกไปข้างนอก ก็ไม่อาจผ่านด่านผู้อาวุโสไปได้”

อีกคนเสริมขึ้นว่า “ไม่ผิด ตอนนี้ด้านนอกยังไม่ส่งข่าวมา นั้นหมายความว่าเจ้าเด็กนั้นยังอยู่ในแม่นํ้าไร้พรมแดนนี้ แต่ไม่รู้ว่าไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”

บทสนทนาของพวกเขาลอยแว่วเข้าหูของมู่ชิงเกอ ไม่กี่ประโยคนั้นก็เพียงพอให้นางสามารถตัดสินได้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้

‘ดูท่าว่าฐานะของนางถูกเปิดโปงเสียแล้ว’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ อีกทั้งเกรงว่าจะไม่ใช่แค่ฐานะถูกเปิดโปง ยังทำให้คนของหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรรู้ว่า ตนเองได้ของสำคัญมา ตอนนี้ถึงได้ออกตามล่านาง

เรื่องราวยุ่งยากขึ้นแล้วสิ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว จากบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่คาดว่าจะออกไปจากแม้นํ้าไร้พรมแดนอย่างเงียบๆเกรงว่าจะ ไม่ง่ายเสียแล้ว

“ศิษย์พี่ รอเดี๋ยว ข้าขอทำธุระหน่อย” จู่ๆ บนเรือลำน้อยก็มีเสียงคนพูดขึ้น

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและก่นด่า

“เจ้านี่นะ ช่างเป็นจอมขี้เกียจที่ขับถ่ายบ่อยจริงๆ รีบไป รีบไป”

ศิษย์หอหลอมศาสตราได้แต่หัวเราะแหะแหะ ก้มลงมัด เชือกที่รองเท้า พันไปมาจนรอบ จากนั้นออกจากเรือลำ เล็กไปยังบริเวณแม่นํ้าที่ลึกขึ้น

พวกที่เหลืออีกสี่คนคล้ายกับใช้โอกาสนี้พักผ่อน ไม่มีการเตรียมป้องกันภัยเช่นเมื่อครู่

มู่ชิงเกอคิดๆ จากนั้นเข้าไปใกล้ศิษย์หอหลอมศาสตราที่อยู่ห่างจากเรือลำน้อยผู้นั้นเงียบๆ ลอบไปข้างหลังและลงมือสังหารเขาในจังหวะที่เขากำลังทำธุระส่วนตัวอยู่

ศพถูกแม่นํ้าไร้พรมแดนกลืนกินลงไป

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงที่เขาเคยยืน ถอดเสื้อคลุมออกมาจากร่างของเขา ในมือถืออาวุธของเขา

“เอ้ หลิวหยวน เจ้าเร่งมือหน่อย”

บนเรือลำน้อยนั้นแว่วเสียงร้องเรียกลอยมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นชา ปากแดงระเรื่อยกโค้งขึ้น กดเสียงทุ้มตํ่าแฝงไม่ชัดเอ่ยขึ้น “มาแล้ว มาแล้ว” พูดจบนางก็หมุนตัว ก้มศีรษะลงเล็กน้อย รีบวิ่งไปที่เรือลำเล็กด้วยความเร็ว นางขึ้นไปบนเรือลำเล็กได้โดยไม่ถูกกีดขวางเลยแม้แต่น้อย เมื่อยืนได้ที่ก็ได้ยินเสียงแฝงความสงสัยลอยแว่วมาจากเหนือศีรษะ “เอ๊ะ? ใต้เท้าของเจ้า…”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค ก็เห็นเพียงประกายแสงสีม่วง ราวกับว่าทั้งสี่คนโดนยันต์สั่งตาย ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย มองดูดีๆ จะพบว่าบนลำคอพวกเขาก็ทิ้งรอยแดงบางๆ เส้นหนึ่งเท่าเส้นไหมเอาไว้

พวกเขาแต่ละคน หลับตาลงไม่ส่งเสียงหืออือแม้สักนิด

มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองคนทั้งสี่ที่ไร้ชีวิตไปแล้ว ไม่เอ่ยอันใด เพียงจัดท่าทางพวกเขาให้เหมือนกับรูปแบบก่อนหน้านี้

ส่วนตัวนางเองก็ยืนในตำแหน่งที่หลิวหยวนยืนก่อนหน้านี้

มองเผินๆ ก็คล้ายกับว่าพวกเขากำลังปฏิบัติภารกิจค้นหาอยู่

เรือลำน้อยแล่นไปเรื่อยๆ ออกจากควันพิษ ออกค้นหาร่องรอยเบาะแสของ ‘มู่ชิงเกอ’ ท่ามกลางความมืดมิดของแม่นํ้าไร้พรมแดน

ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็มีศิษย์สำนักหมื่นอสูรขี่อสูรวิญญาณผ่านมาทางข้างเรือลำน้อย เป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง พวกนางดูอ่อนเยาว์ แต่นัยน์ตากลับแฝงความเยือกเย็น หลายส่วน

เมื่อเห็นเรือลำน้อยของหอหลอมศาสตรา สตรีที่นำขบวนอยู่ด้านหน้าก็ยิ้มเยาะเอ่ยทักขึ้นว่า “อ้าว นี่ไม่ใช่บรรดาศิษย์พี่ของหอหลอมศาสตราหรอกหรือ หาอะไรเจอบ้างหรือเปล่า? แค่คนๆ เดียวแฝงตัวเป็นศิษย์หอหลอมศาสตราขโมยของสำคัญ คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะไม่รู้ ซํ้ายังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ช่างน่าขันเสียจริง”

พอนางพูดจบ บรรดาสตรีที่มาด้วยกันก็พากันหัวเราะขึ้นมา

ใต้เสียงหัวเราะมีร่องรอยความเย้ยหยันที่ปิดไว้ไม่มิด

บนเรือลำน้อย นอกจากมู่ชิงเกอแล้วนอกนั้นต่างก็เป็นคนตาย ย่อมไม่สามารถตอบกลับพวกนางได้ มู่ชิงเกอปรับเสียงทุ้มตํ่าเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดพวกศิษย์น้องสำนักหมื่นอสูรถึงได้ลำพองใจเช่นนี้? นายน้อยของพวกเจ้า มิใช่ว่า…เกือบทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วมิใช่หรือ?” เดิมทีนางคิดจะพูดว่าไท่สื่อเกาตายไปแล้ว แต่เห็นว่าสตรีเหล่านี้ไม่มีทีท่าเศร้าโศกที่นายน้อยพรรคตายไป ก็เลยเปลี่ยนคำพูดหยั่งเชิง

“เจ้า! หึ นายน้อยของพวกเราเพียงแค่ไม่ทันได้ตรวจสอบจึงโดนแผนสังหารอันชั่วร้ายของเจ้าหัวขโมยนั่นเข้าก็เท่านั้น รอให้เขาพักฟื้นเสียก่อนจะต้องไปเอาชีวิตเจ้าหัวขโมยนั้นด้วยตัวเองแน่นอน!” ศิษย์หญิงของสำนักหมื่นอสูรเอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวโกรธ

ไท่สื่อเกายังไม่ตายจริงๆ ด้วย!

มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ ก้นบึ้งนัยน์ตาแฝงความเยือกเย็น

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเขาวงกตใต้ดิน นางก็รู้สึกว่าไท่สื่อเกาตายง่ายเกินไป แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะใช้แผนการ อำพรางฟ้าข้ามทะเล สร้างภาพลวงตบตาอีกฝ่าย

ไท่สื่อเกายังไม่ตาย หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาย่อมต้องเล่าเหตุการณ์ที่ประสบเบื้องล่างออกมา มิน่าละ คนกลุ่มนี้ถึงได้ระบุชัดมาที่ตนเอง ออกคำสั่งให้เร่งตามหา!

ไท่สื่อเกายังไม่ตาย แต่ติงเหม่าตายแล้วแน่นอน มู่ชิงเกอนัยน์ตาเป็นประกายแสร้งทำเป็นโศกเศร้าเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ติงของพวกเราไม่ได้โชคดีเช่นนายน้อยของพวกเจ้า”

พอเอ่ยถึงติงเหม่า เหล่าศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรต่างพากันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้สองขั้วอำนาจมีศัตรูคนเดียวกัน

ศิษย์หญิงที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ ตอนนี้ด้านในแม่นํ้าไร้พรมแดนมีผู้อาวุโสเฝิงของพวกเจ้ารับผิดชอบค้นหาอยู่ ส่วนด้านนอกก็โอบล้อมด้วยผู้อาวุโสจินของพวกเจ้ากับผู้อาวุโสเฮยมู่ของพวกข้ารับผิดชอบจับตาเฝ้ามองอยู่ ต่อให้เจ้าหัวขโมยนั้นจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหนก็หนีออกไปไม่ได้”

“ขอรับ เช่นนั้นพวกเราไปตามหาร่องรอยของเจ้าหัวขโมยนั้นต่อแล้วกัน” มู่ชิงเกอพูดคล้อยตามอยู่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็บังคับเรือแล่นจากไป

จู่ๆ ก็มีศิษย์ผู้หญิงของสำนักหมื่นอสูรผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาว่า “เฮ้ ฝั่งนั้นเป็นอาณาเขตการค้นหาของพวกเราสำนักหมื่นอสูร ส่วนของพวกเจ้าอยู่อีกด้านหนึ่ง”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง บังคับหัวเรือลำน้อย เอ่ยกับศิษย์สำนักหมื่นอสูรว่า “ทราบแล้ว ทราบแล้ว ข้ากำลังหันหัวเรือ”

หมุนหัวเรือกลับแล่นไปตามทิศทางที่ศิษย์สำนักหมื่นอสูรชี้นำ

รอให้เรือลำน้อยหายไปในควันพิษแล้ว เหล่าศิษย์สำนักหมื่นอสูรถึงได้จากไปค้นหาต่อ

‘นึกไม่ถึงว่ายังมีการแบ่งเขตค้นหา’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ

นางปลอมตัวเป็นศิษย์หอหลอมศาสตราก็เพื่อสืบข่าวเพิ่มเติม แล้วก็เพื่อหาโอกาสหนีไปจากที่นี่ แต่ว่าตอนนี้ เท่าที่ได้ยินมาจากศิษย์สำนักหมื่นอสูร เกรงว่าจะจากไปไม่ง่ายเสียแล้ว

อีกอย่าง หากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังต้องเจอเข้ากับผู้อาวุโสเฝิง

‘ดูท่าช่วงนี้คงยังออกไปไม่ได้’ มู่ชิงเกอตะโกนอยู่ในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!