ตอนที่ 159-2
ท่านแม่! ลูกพี่? ลูกพี่ท่านแม่!
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นยิ้มขันน้อยๆ “ท่านเจ้าหุบเขาคิดอยากกุมตัวข้าไปแลกเงินรางวัล?” ระหว่างนั้นนางก็ลอบเตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าสู่สภาวะการของต่อสู้ได้ทุกขณะ
“หุบเขาสงบใจก็มีธรรมเนียมไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หากทำเช่นนั้นมันก็จะมีผลดีกับข้าอย่างไร? อีกอย่าง ท่านก็นับได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าไม่มีทางทดแทนบุญคุณด้วยความแค้น ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าท่านจริงๆ แล้ว เป็นใครกันแน่?” กงเสวี่ยหยาพลันรีบอธิบายท่าทีของตน
กงเจี้ยงเสวี่ยก็ฟื้นกลับขึ้นมาจากความตื่นตระหนก เปิดปากขึ้น “คุณชายมู่โปรดวางใจ หุบเขาสงบใจไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดต่อคำพูด”
“แล้วก็ขนาดวั่นเจี้ยนเฟิงยังทำอันใดท่านไม่ได้ข้าก็จะสามารถทำอะไรท่านได้กัน?” กงเสวี่ยหยาเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง ยิ้มหยันพร้อมกล่าวว่า “ข้าก็ยังไม่ได้โง่ถึงขนาดเอาไข่ไปกะเทาะกับหิน จุดจบของเมืองวั่นเฟิงก็วางอยู่ตรงหน้า หรือคิดว่าข้าจะไม่กังวลใจว่าหุบเขาสงบใจจะกลายเป็นเมืองวั่นเฟิงแห่งที่สองอย่างงั้นรึ”
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ ในรอยยิ้มนั่นก็แฝงไว้ด้วยความมั่นใจไร้ซึ่งความกังวล ราวกับว่าความกังวลใจของกงเสวี่ยหยาอาจจะสามารถกลายเป็นความจริงได้
แต่ถึงอย่างนั้น นางในตอนนี้กลับไม่มีพลังหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“สามารถใช้ความสามารถของตนเองเพียงผู้เดียวกวาดล้างทำลายจนเมืองวั่นเฟิงจนฟ้าถล่มดินทลายได้อีกทั้งยังสามารถสังหารผู้อาวุโสของหอหลอมศาสตรา ทำให้ผู้อาวุโสเฮยมู่ของสำนักหมื่นอสูรบาดเจ็บสาหัส เรื่องราวเช่นนี้คนธรรมดาสามัญก็ไม่มีทางทำได้ ท่านตอนนี้ที่อยู่ในแคว้นหรงก็ถือเป็นศัตรูของส่วนรวม ท่านไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยรึ? หรืออาจจะกล่าวได้ว่าท่านจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่คนของแคว้นหรง ดังนั้นก็เลยไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้?” กงเสวี่ยหยาถามออกไปตรงๆ
มู่ชิงเกอยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าแน่นอนว่าไม่ใช่คนแคว้นหรง ทว่าการกลายเป็นศัตรูของแคว้นหรงก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ เพียงแต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามต้องการชีวิตของข้า ข้าก็คงไม่มีทางไปมอบตัวยอมแพ้เพียงเพราะรู้สึกกลัว”
“เช่น…เช่นนั้นขอถามคุณชายมู่ได้หรือไม่ว่าท่านมาจากที่ไหน? แควันตี๋ แคว้นอวี่ ไม่ แคว้นอวี่ดูไม่ค่อยเป็นไปได้ ขุมอำนาจของสำนักหมื่นอสูรก็มีในแคว้นอวี่ ถ้าหากท่านเป็นชาวแคว้นอวี่ ก็คงไม่มีทางเผชิญหน้ากับคนของสำนักหมื่นอสูรตรงๆ หรือว่า ท่านจะเป็นคนของอาณาจักรเซิ่งหยวน! เป็นคนของตระกูลใหญ่บางตระกูล!” กงเสวี่ยหยาพอกล่าวถึงประโยคหลัง นํ้าเสียงก็กลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมา
ราวกับว่าจะเป็นการยืนยันการคาดเดาของตัวเอง แววตากระจ่างวูบขึ้นก่อนจะกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว! สายสืบตอนกลับมายังบอกอีกว่าท่านใช้สถานะ ของผู้อาวุโสของโรงโอสถเข้าไปในเมืองวั่นเฟิง ท่านเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถจริงๆ รึ?”
คำกล่าวของกงเสวี่ยหยาประโยคนี้ มู่ชิงเกอก็ทำเพียงแค่ยิ้มหัวเราะแต่ไม่กล่าววาจา
‘ผู้อาวุโสของโรงโอสถ? เขาอายุน้อยขนาดนี้! แต่กลับสามารถมีความก้าวหน้าเช่นนี้ได้ นี่ก็เป็นอัจฉริยะของอาณาจักรเซิ่งหยวนรึ?’ กงเจี้ยงเสวี่ยกล่าวในใจอย่างตกตะลึง
รอจนกงเสวี่ยหยากล่าวจบและกงเจี้ยงเสวี่ยกำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก มู่ชิงเกอก็หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามพวกนั้นพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าหุบเขาจริงๆ แล้วต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
กงเสวี่ยหยาตอนนี้ก็กลายเป็นนิ่งเงียบไปแล้ว แต่นางก็ยังไม่ลืมความตั้งใจเดิมของนาง
นางมองไปทางลูกสาวของตนราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก็ไม่ปาน ถามไปทางมู่ชิงเกอว่า “ไม่…ทราบว่าคุณชายมู่ตอนนี้มีคู่ครองแล้วหรือยัง?”
คำถามเช่นนี้…
มู่ชิงเกอแววตาดำมืดลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบขึ้นไปด้วยท่าทางจริงจัง “มีภรรยาแล้ว” นางแน่นอนว่ามอบสถานะภรรยาให้แก่เหลียนเหลียนแล้ว การกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นการโกหก
“มีภรรยาแล้ว ” พอได้ฟังคำตอบนี้ กงเจี้ยงเสวี่ยก็กล่าวกระซิบกระซาบขึ้นรอบหนึ่ง นํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความผิดหวัง ไปจนขั้นแววตากระจ่างใสดุจสายนํ้าของนางคู่นั้นกลายเป็นหมองหม่นลง
แต่ว่ากงเสวี่ยหยาก็ไม่ได้เผยท่าทางผิดหวังอันใดออกมา แต่เป็นพยักหน้าขึ้นอย่างเงียบขรึม “ด้วยความสามารถและรูปลักษณ์ของคุณชายมู่ ที่บ้านจะมีภรรยาอยู่ก็ไม่แปลก” พูดไปพลางก็มองไปทางลูกสาวของตน อยู่ๆ ก็ถามขึ้น “คุณชายมู่ ท่านคิดว่าลูกสาวของข้าเป็นเช่นไร?”
มู่ชิงเกอลอบทอดถอนใจขึ้นเบาๆ นางก็เดาได้แล้วว่ากงเสวี่ยหยาต้องการจะพูดอะไร
นางลุกยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวไปทางกงเสวี่ยหยากับกง เจี้ยงเสวี่ย “นายหญิงน้อยทุกอย่างล้วนแต่ดีหมด เพียงแต่ข้าได้ให้คำสัตย์เอาไว้ว่าจะแต่งภรรยาเพียงคนเดียว จะไม่แต่งอนุ ดังนั้น…”
“คิดไม่ถึงว่าคุณชายมู่เป็นคนที่ยึดมั่นในความรัก” กงเสวี่ยหยากล่าวอย่างทอดถอนใจ ในนํ้าเสียงก็แฝงไว้ด้วยความเสียดายที่ปิดเอาไว้ไม่มิด
นางราวกับว่าจะยังไม่คิดยอมแพ้ กล่าวอีกครั้งว่า “คุณชายมู่เป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นนักปรุงยา การเป็นนักปรุงยาแล้วมีพญาเพลิงไว้ใช้หลอมโอสถ ก็เกรงว่าจะเป็นความไฝ่ฝันของใครๆ หลายๆ คน ถ้าหากข้ายินยอมให้ใช้พญาเพลิงเป็นสินเดิมเล่า? ท่านจะยอมเปลี่ยนคำมั่นสัญญาหรือไม่?”
“ท่านแม่!” คนที่ได้สติก่อนก็ไม่ใช่มู่ชิงเกอแต่เป็นกงเจี้ยงเสวี่ย
นางก็รู้สึกชื่นชมมู่ชิงเกอที่ให้คำมั่นสัญญาต่อภรรยา แล้วก็ยิ่งไม่ยินยอมที่จะใช้วิธีการและเล่ห์กลเช่นนี้ไปแต่งเข้าไปในบ้านตระกูลมู่
มู่ชิงเกอวาดสายตามองไปทางกงเจี้ยงเสวี่ยหนหนึ่ง ก่อนจะหันมากล่าวกับกงเสวี่ยหยา “ท่านเจ้าหุบเขา ไม่ทราบว่าข้าสามารถพูดคุยกับท่านเพียงลำพังได้หรือ ไม่?”
กงเสวี่ยหยาแววตาฉายแววยินดี กล่าวว่ากับกงเจี้ยงเสวี่ย “เจี้ยงเสวี่ย เจ้าออกไปก่อน”
กงเจี้ยงเสวี่ยกลับขมวดคิ้วปฏิเสธขึ้น “ท่านแม่ ข้าไม่แต่ง”
นางเองก็มีศักดิ์ศรีของนาง เมื่อวานมู่ชิงเกอก็ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว วันนี้ก็ยังมาปฏิเสธอีกครั้ง หรือว่ายังอยากให้นางไปขอคนเขาแต่งเข้าอีกหรือไร?
กงเสวี่ยหยานํ้าเสียงหนักแน่นขึ้นอีกหลายส่วน “เจ้า ออกไปก่อน”
กงเจี้ยงเสวี่ยที่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมมารดาของตัวเองได้ ก็หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่ ข้าเลื่อมใสท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเหตุผลบางอย่างแล้วล้มเลิกความตั้งมั่นของตน”
พอกล่าวจบ นางก็จ้องมองไปทางมารดาอย่างลึกลํ้าหนหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินออกไปจากตำหนักใหญ่