Skip to content

พลิกปฐพี 167-4

ตอนที่ 167-4

อย่าได้คิดเทียบกับคุณชาย อันตราย

หัวชางซู่กลับไปที่พักของตน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ระบายโทสะ พูดด้วยนํ้าเสียงขุ่นแค้น “เป็นพวกมีตาแต่ไร้แววทั้งนั้น!”

ยามนี้ มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในห้อง แต่งกายด้วยชุดนักสู้ทั้งตัว บนใบหน้ามีรอยแผลบนหน้าเป็นทาง มองแล้วน่าหวั่นหวาด ดูน่ากลัว บรรยากาศเยือกเย็นแผ่ ซ่านออกมาจากทั่วร่างเขา ราวกับว่าเพิ่งเดินออกมาจากภูเขาซากศพทะเลโลหิต

“เวลาของพวกเราไม่มากแล้ว” คนผู้นั้นเมื่อปรากฏกาย ก็พูดกับหัวชางซู่เยือกเย็น

นํ้าเสียงที่เขาพูด ก็ไม่มีความเคารพให้เกียรตินัก

หัวชางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าครํ่าเคร่ง “ข้ารู้พรุ่งนี้ พรุ่งนี้หากพวกมันยังดื้อดึงไม่เข้าใจ ก็จะทำตามแผนที่วางไว้” พูดจบ เขาก็เงยหน้ามองคนผู้นั้นเอ่ยถามว่า “แล้วทางพวกเจ้าเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?”

คนผู้นั้นยิ้มเย็นที่ริมฝีปาก รอยบากบนหน้าเคลื่อนขยับราวกับมีชีวิต ทำให้เขายิ่งดูน่าหวาดผวา “คนมารวมกันได้เกือบครบแล้ว รอเพียงถึงเวลา ก็สามารถบุกเข้าโรงโอสถสาขาย่อยได้ปล้นฆ่าเผาทำลาย เมื่อถึงยามนั้น สาขาย่อยโรงโอสถก็จะหายไปจากแคว้นอวี๋ หัวหน้าโรงโอสถสาขาย่อยเยี่ยงเจ้าก็จะกลายเป็นผู้กล้าที่ออกมาช่วยจนตัวตาย เรื่องทั้งหมดก็จะถูกชำระไป แล้วยังมีศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน นักปรุงยาที่ตายตกไป หลังจากนั้น เจ้าก็จะปิดบังชื่อแซ่เร้นกาย พวกเราก็จะสร้างงานใหญ่ด้วยกัน!”

ดวงตาของหัวชางซู่ฉายแววยินดีที่แผนการของเขาจะสำเร็จ ราวกับเห็นวันที่ตนประสบความสำเร็จแล้ว

เขายิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ย “ให้พวกเขาตายไปก็น่าเสียดายนัก ศพเหล่านี้ถึงเวลาช่วยเหลือไว้ให้ข้าด้วย ข้าจะเอาไว้ทดลอง ให้เขากลายเป็นกองกำลังอมตะของเราในภายหน้า บุกเบิกสร้างแผ่นดินให้เรา! ส่วนพวกศิษย์ที่มีภูมิหลังดีน่ะหรือ…” เขายิ้มมากเล่ห์ “ก็จะกลายเป็นหมากลับของเรา เมื่อถึงเวลา พวกเขาก็ต้องมีประโยชน์แน่นอน!”

“ดี! เมื่อเจ้ามีฝีมือเช่นนี้ เมื่อรวมกับความสามารถของพวกเรา จะกังวลว่างานใหญ่จะไม่สำเร็จไปทำไม ทั่วทั้งดินแดนแคว้นระดับสาม ล้วนเป็นอาณาจักรของเรา! หรือแม้กระทั่งแคว้นระดับสอง ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล” คนผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพอง ทั้งสองคนราวกับมองเห็นอนาคตที่งดงาม มองสบตากัน พลางหัวเราะลั่นอย่างสะใจ

เมฆหมอกที่หัวชางซู่เคยโดนปฏิเสธก่อนหน้า ราวกับว่าจะโดนความฝันสวยหรูเหล่านี้กวาดออกไปจนหมด

“ผู้อาวุโสเซี่ยพวกเราลงไปกันก่อนเถอะ สัตว์อสูรดูสะดุดตาเกินไปแล้ว” เมื่อภาพของเมืองซางจื่อปรากฏให้เห็น มู่ชิงเกอจึงเอ่ยกับเซี่ยเทียนอู๋

เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้า ก่อนจะออกคำสั่งให้อสูรเวหาร่อนลงในพื้นที่ลับตา

มู่ชิงเกอร่อนกายลง ก่อนจะเหลือบไปมองสัตว์อสูรของเซี่ยเทียนอู๋ พลันก็ครุ่นคิดใคร่ครวญ

“เป็นอะไรรึ?” เซี่ยเทียนอู๋เดินมาถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเคลื่อนสายตามาองเขาก่อนจะถาม “ผู้อาวุโสเซี่ย ไม่รู้ว่าจะให้สัตว์อสูรของท่านช่วยอะไรหน่อยได้หรือไม่?”

ภายในเมืองซางจื่อ สงบเงียบยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นยามคํ่าคืนแต่ความเงียบเช่นนี้ ก็ไม่เหมือนปกติ สะท้อนความผิดปกติบางอย่างออกมา

มู่ชิงเกอพาเซี่ยเทียนอู๋ไปยังเรือนที่นางเคยพักระยะสั้นๆ แต่ว่าเมื่อมาถึงหน้าประตู นางก็รู้สึกได้ว่าภายในมีคน

ใครกันจะมาอยู่ที่นี่?

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็ตามนางกลับไปตั้งนานแล้ว เรือนเล็กแห่งนี้ว่างมานาน คนที่รู้ว่ามีที่แห่งนี้ก็มีไม่กี่คน

มู่ชิงเกอครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นรีบถีบเปิดประตู พุ่งเข้าไป

“ใครกันน่ะ?” ภายในเรือน มีเสียงตวาดดังขึ้น

สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คือเงาคมดาบที่พาดมา

มู่ชิงเกอพลิกร่างหลบ ก่อนจะตะโกนเสียงเยือกเย็น

“ศิษย์พี่จ้าว นี่ข้าเอง”

“หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เสียงร้อนใจแว่วดังตามมา

ปลายแหลมของกระบี่ที่พุ่งมาหามู่ชิงเกอ หยุดลงที่ปลายจมูกนาง

หลังจากนั้น มู่ชิงเกอก็เห็นร่างจ้าวหนานซิงพุ่งมาจากภายใน

“ศิษย์น้องมู่!” เมื่อเห็นมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงของจ้าวหนานซิงก็ผ่อนคลายลง

และเมื่อเขาเห็นเซี่ยเทียนอู๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอแล้ว ก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “สำนักใหญ่รู้เรื่องรวดเร็วเช่นนี้?”

มู่ชิงเกอกับเซี่ยเทียนอู๋งุนงง ทั้งสองคนมองสบตากัน มู่ชิงเกอเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยรับคำสั่งจากสำนักใหญ่ให้มาที่นี่ แต่ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น พวกข้าก็ไม่รู้”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” จ้าวหนานซิงพลันเข้าใจกระจ่าง

เมื่อได้สติ เขาก็รีบทำความเคารพเซี่ยเทียนอู๋

เซี่ยเทียนอู๋โบกมือพลางเอ่ย “ไม่ต้องสนใจธรรมเนียมมากมายแล้ว” พูดจบก็หันไปมองมู่ชิงเกอ ราวกับจะถามผ่านสายตาว่า ‘พวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสหรือยัง?’ หากจำไม่ผิดเมื่อครู่จ้าวหนานซิงยังเรียกมู่ชิงเกอว่าศิษย์น้องมู่

มู่ชิงเกอกะพริบตา

นางไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก เมื่อครั้งที่ประลองกับจิ่งเทียน ก็เคยพูดไว้จริงๆ ว่า หากใครชนะได้ก็จะเป็นผู้อาวุโสคนใหม่แห่งโรงโอสถ แต่ว่า หลังจากการประลองจบลง นางก็ได้พบกับท่านหัวหน้าโรงโอสถ เมื่อได้รับป้ายคำสั่งประจำตำแหน่ง นางก็พาซางจื่อซูจากไปทันที ไม่ได้พบกับพวกจ้าวหนานซิงมากเท่าใด

ปัญหาเรื่องคำเรียกขาน เป็นเรื่องที่นางไม่เคยใส่ใจ อีกอย่าง หากพวกเขามาเรียกนางว่าผู้อาวุโส นางก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง

ดังนั้น นางจึงไม่ตอบคำถามของเซี่ยเทียนอู๋ แต่กลับถามจ้าวหนานซิง “แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในสำนักสาขาย่อยเกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวหนานซิงจึงบอกเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดกับมู่ชิงเกอ

“หลังจากข้ากลับมาที่แคว้นอวี๋ เพราะต้องเข้าวังไปถวายรายงาน จึงได้แยกทางกับพวกศิษย์พี่เหมย หลังจากทำธุระเสร็จ ข้าก็พาองครักษ์ตามไปที่โรงโอสถ แต่ว่าในขณะที่ใกล้จะถึงเมืองซางจื่อ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยปกติ มีผู้ฝึกตนไร้สำนักอยู่ในเมืองซางจื่อจำนวนมาก ภายในเวลาสั้นๆ แล้วส่วนใหญ่เป็นโจรเลื่องชื่อที่เคยก่อคดีจนมีชื่อในบัญชีของทางการทั้งนั้น ข้าก็เลยนึกสงสัย จึงยังไม่ได้เร่งกลับไปที่โรงโอสถ แต่รอสืบเสาะเรื่องเหล่านี้อยู่ในเมือง แต่คิดไม่ถึง คนเหล่านี้ยิ่งนานวันยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย ข้าจึงนึกได้ถึง สถานที่ลึกลับแห่งนี้ ข้าเองก็เพิ่งสอบถามได้ความว่า พวกเขามารวมกันที่นี่เหมือนว่าจะเกี่ยวกับโรงโอสถ!”

มีความเกี่ยวพันกับโรงโอสถตามที่คาดหรือ?

ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เพ่งลง

“ถูกแล้ว จื่อซูล่ะ ทำไมไม่เห็นนาง?” จ้าวหนานซิงนึกขึ้นได้ว่ามู่ชิงเกอกับซางจื่อซูออกมาพร้อมกัน แต่วันนี้มู่ชิงเกอกลับมาแล้ว ซางจื่อซูก็ควรกลับมาด้วย

มู่ชิงเกอมองเขาพลางยิ้มขื่นๆ “ในระหว่างที่เดินทางกลับ ศิษย์พี่ซางคำนวณว่าพวกท่านคงกลับมาแล้ว จึงได้ล่วงหน้ากลับมาก่อน มีศิษย์พี่เหมยกับอาจารย์อยู่ด้วย ข้าก็เลยกลับไปแคว้นฉินมาก่อนรอบหนึ่ง”

“อะไรนะ! เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าจื่อซูอยู่ในสำนักสาขาย่อย?” จ้าวหนานซิงถามอย่างตระหนกตกใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“ไม่ได้การ! ข้าต้องไปที่สาขาย่อย!” จ้าวหนานซิงลนลานขึ้นมาทันที

มู่ชิงเกอห้ามเขาไว้ “ยามนี้สภาพการไม่แน่ชัด ท่านบุกเข้าไปไม่ใช่เป็นการเปิดเผยฐานะหรอกหรือ? พวกเราต้องรู้ว่าใครเป็นคนเรียกคนเหล่านี้มารวมตัวกันและมี เป้าหมายเพื่ออะไร!”

จ้าวหนานซิงเยือกเย็นลง แต่เขากลับยังขมวดคิ้วกับคำถามของมู่ชิงเกอ “คนเหล่านี้เหมือนได้รับคำสั่งรวมตัวให้มารวมกันในเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ ในคำสั่งรวมตัวนั้นมีการให้คำมั่น ขอเพียงผู้ได้รับคำสั่งมารวมตัว หลังเสร็จเรื่องจะมีรางวัลตอบแทนอย่างงาม ส่วนเรื่องว่า ทำไมและใครเป็นคนเรียกรวมตัวนั้น ข้าไม่รู้อะไรเลย”

“ใช่อันนี้ไหม?” มู่ชิงเกอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จากอ้อมอกส่งให้จ้าวหนานซิง

จ้าวหนานซิงรับไปอ่าน ดวงตาชะงักเป็นประกาย ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่ผิด เหตุใดเจ้าจึงมีได้?”

มู่ชิงเกอเอ่ยเล่าเสียงเรียบ “ระหว่างทางผู้อาวุโสเซี่ยได้ สังหารพวกโจรไป นี่ค้นจากตัวพวกมันมาได้” เมื่อนางเอ่ยเตือนขึ้นเช่นนี้ จ้าวหนานซิงจึงได้คิดได้ว่า เซี่ยเทียนอู๋โดนตนละเลยมาเสียนาน จึงได้รีบหันไปขออภัย เซี่ยเทียนอู๋สะบัดมือแสดงท่าทีว่าไม่ได้ใส่ใจก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อคนเหล่านี้ล้วนไม่รู้ พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย ควรจะคิดหาทางเข้าไปในสำนักสาขาย่อยแล้วค่อยสืบให้กระจ่าง” เรื่องนี้ มู่ชิงเกอและจ้าวหนานซิงล้วนเห็นพ้องกับเขา แต่จ้าวหนานซิงกลับขมวดคิ้วเอ่ยต่อไปว่า “คนพวกนั้น ปิดตายเส้นทางไปโรงโอสถไว้หมดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นการกันไม่ให้คนด้านในออกมาหรือกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้าไป”

“เรื่องนี้จัดการง่าย เมื่อถึงยามนั้นก็ใช้พลังของผู้อาวุโสมู่ ซ่อนพวกเราไว้เสีย ก็เข้าไปได้แล้ว” เซี่ยเทียนอู๋เอ่ยอย่างนึกสนุก

มีการกำบังจากยอดฝีมือขั้นพลังสีม่วง คิดอยากจะเข้าไปท่ามกลางสายตาของคนเหล่านี้ แน่นอนว่าง่ายราวพลิกฝ่ามือ

คำของเซี่ยเทียนอู๋ทำให้จ้าวหนานซิงตาเป็นประกาย ก่อนจะรีบพยักหน้า “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลว”

มู่ชิงเกอครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยกับจ้าวหนานซิง “ศิษย์พี่จ้าว พวกเราเข้าไปน่ะไม่ยาก แต่เรื่องภายนอกก็ไม่อาจละเลยไม่ใส่ใจ ที่นี่จะอย่างไรก็คือแคว้นอวี๋ เราจะทำสิ่ง ใดล้วนไม่ค่อยถนัด ขอรบกวนศิษย์พี่จ้าวเขียนหนังสือสักฉบับให้กองทัพแคว้นอวี๋มาที่แหล่งรวมตัวของเหล่าโจร”

จ้าวหนานซิงรับปากทันที ก่อนจะเรียกองครักษ์ข้างกาย หยิบเอาจดหมายของตนออกมา ให้เขาไปทำตามที่มู่ชิงเกอพูด

รอให้องครักษ์ออกไปแล้ว จ้าวหนานซิงจึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “แม่ทัพรักษาการณ์ที่ใกล้ที่สุด น่าจะรีบมาหลังจากที่ได้รับจดหมายของข้า อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองวัน พวกเราต้องหาทางถ่วงเวลาให้ได้สองวัน”

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเงยหน้ามองฟ้ายามคํ่าคืนพลางเอ่ย “พักผ่อนสักคืนก่อน เมื่อถึงยามฟ้าสาง พวกเราลองเข้าไปดูที่สำนักสาขาย่อย องครักษ์ที่เหลือของเจ้าให้อยู่คอยที่นี่เตรียมประสานกับกองทัพใหญ่”

ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรื่อเรือง แสงตะวันส่องผ่านป่าทึบ เกิดประกายแสงสะท้อนบนพื้นสำนักสาขาย่อย

โถงใหญ่ที่เป็นแหล่งคุมขังผู้คนโดนเปิดออกอีกครั้ง

แสงแดดแยงตาส่องเข้าไปภายใน ขับไล่ความหนาวเย็นออกไป ปกคลุมไปทั่วร่างของคนส่วนใหญ่

หัวชางซู่มายืนที่หน้าประตูอีกครั้ง แต่วันนี้ข้างกายเขามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่ง ใบหน้าของคนๆ นั้นมีรอยแผลเป็นดูบิดเบี้ยวน่ากลัว ไอรังสีชวนหวั่นผวาแผ่ซ่านไปทั่ว ชวนให้คนขนลุกทั้งที่ไม่ได้เหน็บหนาว

เหล่าผู้อาวุโสเหลือบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้นั้นไม่ธรรมดา มือเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน เป็นมือสังหารที่ฆ่าคนไม่เห็นเลือด มิฉะนั้น ทั่วร่างเขาคงไม่สะท้อนรังสีอำมหิตออกมาเข้มข้นเช่นนี้

“เป็นอย่างไร? พวกเจ้าคิดใคร่ครวญได้อย่างไรบ้าง? หากยินยอมติดตามข้า ก็เดินออกมาไปที่นอกประตู แต่หากยังไม่ยอม เหอะ ก็อยู่ที่นี่ต่อไป จะได้ส่งพวกเจ้า ง่ายๆ หน่อย” หัวชางซู่พูดเยือกเย็น

ราวกับว่าต้องการยืนยันคำพูดของหัวชางซู่ คนท่าทางอำมหิตที่อยู่ข้างกายเขาผู้นั้น จู่ๆ ก็ยกดาบเปื้อนเลือดออกมา เพียงมองตัวดาบก็ราวกับจะได้ยินเสียงหวีดร้องของวิญญาณที่ต้องตายตกอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อดาบเปื้อนเลือดถูกวางออกมา ทั่วทั้งโถงใหญ่ก็ราวกับว่าโดนปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอำมหิตดุดัน

พลัน ก็มีศิษย์คนหนึ่งถลาออกมา มองหัวชางซู่อย่างหวั่นผวา ร้องตะโกนเสียงดัง พลางพุ่งออกไปด้านนอก

“ข้าไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ” เสียงหวีดร้องตระหนกผวาของเขาดังแว่วมาจากภายนอก

เมื่อมีคนที่หนึ่ง ก็ต้องมีคนที่สอง

ลูกศิษย์ทยอยออกไปจากโถงใหญ่ทีละคนๆ ไม่นาน ในโถงใหญ่ก็มีคนลดลงไปราวสี่สิบถึงห้าสิบคน

“คนที่เหลือ ล้วนไม่กลัวตายหรือไง?” หัวชางซู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ สีหน้าชวนหวั่นเกรงเต็มที่

คนข้างกายเขาคนนั้น ก็กวาดสายตาอันน่ากลัวมองไปรอบๆ คนที่สบตาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ล้วนแต่ตัวสั่นด้วยความหวั่นเกรง หวาดกลัวทั้งนั้น

พลัน ดวงตาเขาก็เป็นประกายประหลาด หยุดจ้องมองที่ซางจื่อซูที่อยู่ข้างๆ โหลวชวนป่าย

ดวงตาเจ้าเล่ห์มักมากนั้น ราวกับหมาป่าที่หิวโหย มองเห็นฝูงแกะกระนั้น

แววตาคุกคามรุนแรงเช่นนั้น ซางจื่อซูเองก็สัมผัสได้

ไม่เพียงรู้สึกได้ แต่นางมองเห็นได้กระจ่างชัดเจน เพราะชายที่มีรอยแผลชวนผวาบนหน้ากำลังเดินตรงมาที่นาง ด้วยท่าทางไม่ประสงค์ดี

“เจ้าจะทำอะไร?” เหมยจื่อจ้งลุกยืนขึ้นบังร่างซางจื่อซูไว้

แต่ว่า ชายคนนั้นกลับเพียงมองเขาเยือกเย็นแวบหนึ่ง ก่อนจะซัดฝ่ามือเข้าที่กลางอกเหมยจื่อจ้ง จนร่างเขากระเด็นปลิวออกไป กระอักอาเจียนเลือดออกมา

“จื่อจ้ง!”

“ศิษย์พี่!”

โหลวชวนป่ายและซางจื่อซูตะโกนอย่างร้อนใจขึ้นพร้อมกัน

ซางจื่อซูจะเดินเข้าไป แต่กลับโดนชายคนนั้นดึงลากไปอยู่ข้างกาย

“เจ้าเดรัจฉาน ปล่อยมือซะ!” โหลวชวนป่ายร้อนใจ พุ่งเข้าใส่ชายคนนั้นทันที

แต่กลับโดนชายคนนั้นถีบเข้าเต็มแรง จนกระอักเลือดออกมา

การเปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นนี้ทำให้โถงใหญ่วุ่นวายสับสนขึ้นมา

ชายคนนั้นกลับยิ้มดุดัน มองหัวชางซู่ที่ยืนมองด้วยท่าทางราวกำลังดูละครที่ประตูว่า “ข้าต้องการสตรีนางนี้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!