ตอนที่ 172-4
ดวงตาสุนัข มักมองคนต่ำต้อย!
ยามราตรีเพิ่งคืบคลานเข้ามา โคมไฟส่องสว่างทั่วนครเทียนตู ราวเป็นเวลากลางวัน
โรงนํ้าชาคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ ดูครึกครื้นผิดปกติ ราวกับไม่ใช่ยามราตรี
พวกของมู่ชิงเกอทั้งสามคน นั่งอยู่ในรถม้าที่ฉิวเกานำมา เคลื่อนที่ไปช้าๆ บนถนนสายหลักของเมืองเทียนตู ด้านหลังรถม้าเป็นองครักษ์สิบนายประจำตัวของแต่ละคนส่วนคนที่เหลือยังรอที่เรือนรับรอง
รถม้าของฉิวเกาอยู่ด้านหน้าคอยนำทางไม่ได้มานั่งปนกับพวกเขา แต่นี่กลับตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการในใจ ฟ่งอวี๋เฟยเปิดผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่ง ชื่นชมวิวยามค่ำคืนของเมืองเทียนตู แสงโคมเหล่านั้นสะท้อนจากดวงตาของนางเป็นสีสดพราวเห็นเด่นชัด
เมื่อมองครู่หนึ่งนางก็ปิดม่านลงบังแสงไฟเรืองรองและเสียงเฮฮาจากภายนอก
“คิดไม่ถึงว่าเมื่อฟ้ามืดแล้ว ที่นี่จะคึกคักยิ่งกว่ายามกลางวัน” ฟ่งอวี๋เฟยมองมู่ชิงเกอพลางเอ่ย
มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ “อย่างไรก็เป็นใหญ่ที่สุดแห่งหลินชวน ก็ย่อมไม่เหมือนเมืองอื่นๆอยู่แล้ว”
จ้าวหนานซิงก็เอ่ยตามว่า “เทียนตูไม่เหมือนเมืองหลวงของแคว้นเราที่เมื่อถึงยามราตรี ก็มีระเบียบห้ามออกเรือน เทียนตูไม่มีระเบียบเช่นนั้น ตลาดกลางคืนเหล่านี้ก็จะเปิดจนฟ้าใกล้สางถึงจะปิดร้านไป”
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า “หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะอาณาจักรเซิ่งหยวนแข็งแกร่ง ถึงทำเช่นนี้ได้” ความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่นั้น เป็นเหตุให้ไม่ต้องเกรงว่าใครจะมาฉวย โอกาสก่อเรื่องในความมืด ความมั่นใจได้แก้ไขปัญหาไปจนหมด
จู่ๆ มู่ชิงเกอก็ยิ้มขึ้น
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยมองนางก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “เจ้ายิ้มอะไร?”
มู่ชิงเกอปัดฝุ่นบนชายเสื้อที่ไม่ได้มีอยู่เลยบนชายเสื้อ รอยยิ้มไม่ได้จางลง “จู่ๆ ข้าก็นึกว่า พวกเราพักอยู่ที่นี่ก็ดี ได้สัมผัสภาพที่แท้จริงแห่งเทียนตูได้อย่างใกล้ชิด” ทั้งสามคนคุยกันเรื่อยๆ ผ่านไปครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง
“ถึงแล้วรึ?” ฟ่งอวี๋เฟยพูดจบ ก็เปิดม่านขึ้นมองไปนอกรถม้าอีกครั้ง
มองอยู่ครู่หนึ่งนางจึงได้ละสายตา ก่อนจะหมุนกายมาทางมู่ชิงเกอกับจ้าวหนานซิงพลางเอ่ยว่า “นึกว่าถึงแล้ว คิดไม่ถึงว่าเพิ่งมาถึงประตูในกำแพงเมือง”
นางเพิ่งพูดขาดคำ รถม้าก็เคลื่อนขยับอีกครั้ง
ราวกับว่าการตรวจสอบเพิ่งจะเสร็จสิ้นลง
ก่อนจะเคลื่อนตัวโยกเยกไปมาอีกครู่ใหญ่ รถม้าจึงได้หยุดลง
จ้าวหนานซิงยิ้มพลางเปิดม่านขึ้น “ครั้งนี้คงจะถึงจริงๆ แล้ว”
เป็นไปตามที่คาด เมื่อเขาปล่อยม่านลง เสียงฉิวเกาก็ดังแว่วมาจากรถม้าคันหน้า
“คุณชายมู่ รัชทายาทหญิง องค์ชาย พวกเรามาถึงด้านนอกของวังหลวงแล้ว ตามระเบียบภายในวัง ไม่ว่าใครที่จะเข้าไปในวังล้วนต้องปลดอาวุธ หากทั้งสามท่านพกอาวุธมา ได้โปรดส่งออกมาด้วย ตอนกลับข้าจะนำมาคืนทุกท่านในขณะเดียวกันก็ขอให้ทุกท่านโปรดกำชับ ให้ผู้ติดตามส่งอาวุธออกมาเช่นกัน”
มู่ชิงเกอลอบขมวดคิ้ว ลูบปลอกนิ้วที่นิ้วชี้เบาๆ ใคร่ครวญชั่วครู่ ก่อนจะปลดออกมา โยนเข้าไปเก็บในช่องว่าง
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยไม่ได้พกอาวุธอะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องส่งมอบสิ่งใด
หลังจากที่มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ แล้ว จ้าวหนานซิงจึงได้เอ่ยกับฉิวเกาว่า “รู้แล้ว”
เมื่อได้รับการตอบรับ ฉิวเกาจึงหมุนกายจากไป
ในตอนที่เข้าไปในวัง องครักษ์ประจำประตูวังเปิดประตู แง้มขึ้นมองพวกเขาด้วยแววตาสำรวจตรวจสอบครู่หนึ่ง
ก่อนจะปล่อยบานประตู
ต่อมา ทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันเบาๆ จากนอกรถ
ดูท่า คนที่พวกนางพามาด้วย คงกำลังส่งมอบอาวุธตามคำสั่งของพวกเขา
หลังจากนั้น องครักษ์ประตูวังจึงได้เปิดทาง เปิดประตูกว้างให้พวกเขาเข้าไป
ที่อยู่ติดกับประตูวังก็คือทางเดินทอดยาว มองจากหน้าต่างรถก็เห็นว่าที่ยืนเป็นแถวแนวสองข้างนั้นก็คือ องครักษ์หลวงประจำวัง
บริเวณรอบๆ เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงล้อรถม้าและเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้น
ความเงียบเช่นนี้ สร้างความกดดันและหวั่นกลัวในใจได้อย่างไม่รู้ตัว
เมื่อฟ่งอวี๋เฟยนับเลขในใจได้ถึงห้าร้อย พวกเขาถึงได้รู้สึกว่ารถม้าหยุดลง แล้วก็มีเสียงประตูวังเปิดขึ้น รถม้าเข้าไปในประตูชั้นที่สอง ความกดดันแปลก ประหลาดนั้นก็ค่อยๆหายไป
ฟ่งอวี๋เฟยพ่นลมหายใจ ในมือชื้นไปด้วยเหงื่อ นางมองมู่ชิงเกอที่ทำท่าหลับตา ก่อนจะมองจ้าวหนานซิงที่หน้าซีด ก่อนจะถาม “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
จ้าวหนานซิงส่ายหน้า
ในพวกเขาทั้งสามคนพลังเขาต่ำที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึงรับแรงกดดันนั้นไปมากที่สุดหากเขาไม่ตั้งใจให้แน่วแน่ เกรงว่าคงต้องพ่ายแพ้ให้กับความกดดันเมื่อครู่ไปแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าเขาค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ฟ่งอวี๋เฟยจึงยิ้มขื่นๆ อย่างล้อเลียน “ดูท่า นี่คงเป็นการข่มขู่จากราชสำนักเซิ่งหยวน”
เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าทหารหยาบคายที่ประตูเมืองนั่น เทียบไม่ได้เลยสักนิด
มีลมพัดแผ่วมาจากนอกรถ จนผ้าม่านเปิดขึ้น
ลมแผ่วเบา พาเอาแสงจากภายนอกลอดเข้ามาด้วย จนทำให้ภายในรถม้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
รถม้าหยุดลงอีกครั้ง ม่านรถเปิดขึ้นอีก ใบหน้าฉิวเกาโผล่ขึ้นมา
“คุณชายมู่ องค์รัชทายาทหญิง องค์ชาย พวกเรามาถึงแล้ว เส้นทางหลังจากนี้ ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ขอเชิญทุกท่านลงจากรถด้วย” ฉิวเกาเอ่ย
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้าง ดวงตาใสวาวมองจ้องที่ร่างฉิวเกา
ฉิวเการู้สึกหวนวาบในใจอย่างไร้สาเหตุ เพียงพริบตาก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกหลายส่วน
เขาไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติใด กลับถอยหลบฉากไปอย่างนอบน้อม เปิดทางให้คนทั้งสามลงจากรถ มู่ชิงเกอลงจากรถ หลังจากเท้าแตะพื้นแล้ว จึงได้เห็นว่า พวกนางอยู่ที่ลานจัตุรัสเล็กๆ แห่งหนึ่ง รอบๆลานจัตุรัส มีโคมหลวงแขวนเรียงราย ส่องสว่างทั่วบริเวณ
รอบๆ ลานจัตุรัส ก็มีทหารองครักษ์หลวงยืนขนาบเฝ้าคุ้มกัน สีหน้าเยือกเย็นเคร่งขรึม
“ท่านทั้งสาม เชิญทางนี้” ฉิวเกาเดินมาด้านหน้าทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขา
คณะของมู่ชิงเกอทั้งสามคนเดินไปที่ประตูวังชั้นที่สาม คนที่พวกเขาพามาต้องหยุดรอภายนอก จากสามสิบคน
คัดเข้าไปได้เพียงสิบห้าคน
สิบห้าคนที่เหลือต้องรออยู่ตรงนี้จนกว่างานเลี้ยงจะเลิก
และสิบห้าคนที่เข้าไปด้วยนั้น ต้องเป็นคนที่คอยรับใช้ใกล้ชิด
ประตูวังชั้นที่สามค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ทางเดินยาวค่อยๆ ปรากฏขึ้น ยังดีที่ทางสายนี้ไม่ยาวมากนัก คะเนด้วยตา ก็ราวๆ ร้อยจ้าง
คนทั้งคณะ เริ่มเดินเข้าไปในทางเดินนั้น
ทั้งสองข้างไม่มีทหารหลวง มีเพียงกำแพงวังสูงลิบ มู่ชิงเกอสังเกตได้ว่าบนกำแพงเมืองสูงลิบนั้นมีช่องมองจำนวนมาก
“ช่องพวกนี้มีประโยชน์อะไร?” ฟ่งอวี๋เฟยก็สังเกตเห็นช่องเหล่านั้นได้เช่นกัน
จ้าวหนานซิงเอ่ยอธิบายว่า “ได้ยินว่า ในกำแพงเมืองจะ มีช่องว่างในช่องว่างเหล่านั้นจะมีนํ้ามันไฟ หากมีคนบุกเข้ามา ก็เปิดกลไกจุดไฟ นํ้ามันไฟก็จะพุ่งออกมา ขอเพียงธนูเพลิงดอกเดียว ที่นี่ก็จะกลายเป็นทะเลเพลิง แผดเผาผู้บุกรุกทันที”
ฟ่งอวี๋เฟยฟังพลางหวั่นผวาในใจ กลไกที่แฝงในทุกชั้นในวังหลวงอาณาจักรเซิ่งหยวน ทำให้นางเปิดหูเปิดตาได้อีกมาก
ฉิวเกาที่เดินหน้าสุดได้ยินที่จ้าวหนานซิงพูด จึงหันมาเอ่ยกับเขาว่า “องค์ชายทรงรอบรู้กว้างขวางนัก มองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจประโยชน์ของสิ่งนี้ได้ทันที” จ้าวหนานซิงพยักหน้าเบาๆ ยิ้มจางๆ เมื่อออกจากทางเดิน ก็เป็นลานกว้างอีกแห่งที่รอรับพวกเขาอยู่ แต่ว่า ลานกว้างแห่งนี้ ไม่ใช่ลานโล่งๆ นอกจากโคมไฟ แล้ว ยังมีห้องพักผ่อนอีกหนึ่งแห่ง
แต่ว่า ห้องพักผ่อนนี้ ก็ดูทรุดโทรมเล็กน้อย ราวกับว่าเป็นเพิงที่ก่อขึ้น
“พวกเรารอที่นี่สักครู่?” ฉิวเกาชี้ไปที่เพิงหลังนั้น
รอที่นี่?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “รอคนจากแคว้นระดับสอง?”
เมื่อโดนมู่ชิงเกอพูดจี้จุด ฉิวเกากลับไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วน เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผู้น้อยเพียงแต่ทำตามคำสั่ง คุณชายมู่อย่าได้กล่าวโทษ”
เขาเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงรถม้าแว่วมา
พวกเขาเงยมองตามไปก็เห็นรถม้าสี่คัน ผ่านประตูชั้นสามเข้ามาตรงมาที่นี่
ฟ่งอวี๋เฟยขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดพวกเขาถึงนั่งรถมาที่นี่ได้ แต่พวกเราถึงต้องเดินมา?”
“เพราะว่าพวกเจ้ามาจากแคว้นชั้นต่ำอย่างแคว้นระดับสามไงเล่า!”
เสียงพูดของฟ่งอวี๋เฟยยังไม่ทันหายไป ฉิวเกาก็ยังไม่ทันได้พูดจา ก็ได้ยินเสียงพูดอันหยิ่งยโสดังออกมาจากรถม้าคันที่หนึ่ง
แล้วก็ยังมีเสียงหัวเราะเยาะแว่วตามมา!