Skip to content

พลิกปฐพี 177-3

ตอนที่ 177-3

ข้าก็คือผู้หญิงของเขา!

เมื่อรอให้ประมุขตระกูลเฉินจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เข้ามาถึงฝั่ง

เมื่อกวาดตามองสภาพเละเทะรอบๆ แล้ว นางก็กระตุกมุมปาก ก่อนจะหันไปเอ่ยหวงฝู่เฮ่าเทียนที่อยู่ตรงข้ามว่า “จักรพรรดิหยวน ขออภัย”

หวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไร ใช้อุทยานหลวงของเรามาเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นตาเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก”

คำพูดของจักรพรรดิหยวน ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกละอายใจ จนหน้าร้อน

คนเขาเชิญเจ้ามาเป็นแขก แต่เจ้ากลับมาพังบ้านเขาเสีย จะพูดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล

ลังเลกังวลในใจขึ้นมาครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงเอ่ยอย่างตัดใจว่า “ไม่อย่างนั้น จักรพรรดิหยวนพระองค์ทรงรวมค่าเสียหาย กระหม่อมจะชดใช้ให้ตามจริง”

“ฮ่าๆๆๆ…ไม่ต้องหรอก” หวงฝู่เฮ่าเทียนหัวเราะเสียงดังพลางโบกมือ ต่อมา เขาก็เอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนว่า “คุณชายมู่ก็เหนื่อยแล้ว ฮ่วนเอ๋อร์เจ้าไปส่งคุณชายมู่ที่เรือนรับรองเถอะ”

“พ,ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” หวงฝู่ฮ่วนรับคำสั่ง

หลังจากนั้น หวงฝู่เฮ่าเทียนก็พยักหน้าให้มู่ชิงเกอ ก่อนจะหมุนกายจากไป หลังจากเจ้าตระกูลเฉินมาถึงแล้ว ผู้อาวุโสเจ็ดที่พยายามรักษาความเงียบ ลดความโดดเด่นของตนก็ออกไปพร้อมกัน

เมื่อมองคนทั้งสองจากไปแล้ว มู่ชิงเกอที่พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าก็หรี่ตาเพ่งพลางเอ่ยถาม “ชายแก่รูปร่างผอมแกร็นที่ยืนข้างๆ จักรพรรดิหยวนเป็นใครกัน?”

หวงฝู่ฮ่วนยิ้มเรียบๆ แต่ก็ไม่ไต่ปิดบังมู่ชิงเกอ “นั้นคือผู้อาวุโสเจ็ดแห่งวังหลวง แต่ละรุ่นได้รับการเลี้ยงดูจากราชสำนัก ผู้อาวุโสเช่นนี้ของตระกูลหวงฝู่มีเพียงเจ็ดคน พวกเขาฟังแต่คำสั่งของเจ้าตระกูลหวงฝู่เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เจ็ดคน?” มู่ชิงเกอตกใจ ก่อนจะเอ่ยไปตามจริง “เขาแข็งแกร่งมาก” อย่างน้อยก็แกร่งกว่านางในยามนี้ คนที่ยืนบนฝั่งทั้งสามคน นางก็สังเกตได้ตั้งแต่แรก หรือจะว่า ไปคนที่น่าสนใจที่สุดก็คือผู้อาวุโสเจ็ด เพราะบรรยากาศรอบตัวโดนกักเก็บกดทับ แต่กลับสร้างความรู้สึกกดดันยากจะคาดเดาให้นาง

คนเช่นนี้อยู่ในราชสำนักอาณาจักรเซิ่งหยวนถึงเจ็ดคน ก็พอจะคาดถึงความแข็งแกร่งได้

สำหรับความร่วมมือของหวงฝู่ฮ่วนนั้น มู่ชิงเกอนึกสงสัยอยู่ในใจ หากจะว่าตามธรรมดา เรื่องเช่นนี้ไม่ควรพูดกับคนอื่น นอกจากว่า เรื่องการที่ตระกูลหวงฝู่มีผู้อาวุโสเจ็ดคนนั้น คนในเทียนตูก็รู้กันไม่น้อย

ความจริงแล้วมู่ชิงเกอไม่รู้ว่า ที่นางคิดไปนั้นเป็นเพียงสาเหตุด้านหนึ่ง ยังมีอีกด้านหนึ่งก็คือหวงฝู่ฮ่วนเห็นว่าผู้หนุนหลังมู่ชิงเกอก็คือท่านมหาปราชญ์ เรื่องผู้อาวุโสทั้งเจ็ดนั้นจะถือว่าเป็นอะไรได้? หากยังปิดบังช่อนเร้น กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่ามีแผนการ

ในเมื่อตัดสินใจจะผูกสัมพันธ์กับมู่ชิงเกอ เขาย่อมไม่ยอมให้เรื่องเล็กๆ มาทำให้เกิดช่องว่างหวาดระแวง

เมื่อส่งมู่ชิงเกอจนถึงนอกเรือนรับรองแล้วก่อนที่จะจากไป หวงฝู่ฮ่วนก็พูดกับมู่ชิงเกอว่า “อ้อ จริงด้วย เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องการซ่อมปรับปรุงอุทยานหลวง ตอนที่สู้กับเจ้าบ้าตระกูลเฉิน ประมุขตระกูลเฉินได้ออกหน้าขอรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแล้ว”

มู่ชิงเกออึ้งไป ก่อนจะยิ้มออกพลางเอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณที่แจ้งให้กระหม่อมทราบ”

เมื่อบอกลาหวงฝู่ฮ่วน มู่ชิงเกอก็เข้าไปในเรือนรับรอง

ยามนี้ที่นางต้องการก็คือการนอนพักให้สบายสักตื่น

หวงฝู่ฮ่วนกลับมาถึงวังหลวง พียงแค่มาถึงประตูวัง เขาก็โดนขันทีรับใช้ของจักรพรรดิหยวนพาตัวไป บอกว่าจักรพรรดิหยวนกำลังรอเขา

เมื่อได้พบจักรพรรดิหยวนอีกครั้ง จักรพรรดิหยวนได้ทรงสรงนํ้าแต่งองค์เรียบร้อยแล้ว ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ เป็นเครื่องทรงมังกรน่าเกรงขาม

“เสด็จพ่อ” หวงฝู่ฮ่วนเดินตรงเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพจักพรรดิหยวน

หวงฝู่เฮ่าเทียนเดินมาที่เก้าอี้ก่อนจะทรุดกายลงนั่งเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนว่า “ลุกขึ้นเถอะ ส่งคุณชายมู่กลับไปแล้วหรือ?”

หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้าถามว่า “เสด็จพ่อให้ตามลูกมา มีเรื่องใดจะหารือหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หวงฝู่เฮ่าเทียนพยักหน้า ไม่ได้ปิดบังความคิดในใจตน “เจ้ากับมู่ชิงเกอคุยกันได้ความว่าอย่างไร? ได้ถามไหมว่าเหตุใดท่านมหาปราชญ์ถึงได้พึงใจในตัวเขา?”

หวงฝู่ฮ่วนตาเป็นประกาย ก่อนจะหลุบตาตอบไปว่า “ลูกไม่ได้ถาม”

“เจ้าไม่ได้ถาม?” เสียงของหวงฝู่เฮ่าเทียนดังขึ้น

หวงฝู่ฮ่วนบิดริมฝีปากพลางเอ่ย “ลูกไม่ได้ถาม เพียงแต่ให้เขาช่วยลูกหนึ่งเรื่อง”

“ช่วยอะไร?” หวงฝู่เฮ่าเทียนถามอย่างร้อนใจ

หวงฝู่ฮ่วนนิ่งไปก่อนจะเอ่ย “ลูกขอให้เขาถามท่านมหาปราชญ์ว่าท่านมหาปราชญ์จะพอรับลูกเป็นศิษย์ได้ไหม”

“เขารับปากแล้ว?” คำพูดของหวงฝู่ฮ่วนทำให้หวงฝู่เฮ่าเทียนตื่นเต้นจนลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้

“รับปากแล้ว” หวงฝู่ฮ่วนตอบเรียบๆ

“ดี! ดี! เช่นนี้ก็ดี” หวงฝู่เฮ่าเทียนนั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะถอนใจเอ่ย “หากท่านมหาปราชญ์ยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ ไม่ว่าจะจ่ายอะไรไปก็คุ้มทั้งนั้น แต่หากไม่ยอม…” เขามองหวงฝู่ฮ่วนอย่างเป็นกังวล

หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยด้วยท่าทางสบายใจ “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น หากท่านมหาปราชญ์ไม่ยอมรับลูก ก็แสดงว่าลูกยังไม่ดีพอ ขอเพียงลูกพยายามมากขึ้น ไม่ ละทิ้งไปง่ายๆ ให้เสด็จพ่อกับมหาปราญ์มาดูถูกได้เด็ดขาด”

“ดี! นี่สิถึงจะเป็นลูกที่ดีของข้า!” หวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยอย่างภูมิใจ เขาไม่ได้แทนตัวว่า ‘เรา’ แต่กลับใช้คำว่า ‘ข้า’ เห็นได้ว่าเขาโปรดปรานหวงฝู่ฮ่วนลูกชายคนนี้จากใจจริง

ท่านมหาปราชญ์จะรับหวงฝู่ฮ่วนเป็นศิษย์หรือไม่ นี่ก็เป็นเรื่องกังวลของเขาเรื่องหนึ่ง

วันนี้ เรื่องที่เขากังวลมีทางออกแล้ว ก็ทำให้เขาเบาใจลงไปมาก

เพียงแต่ว่า เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเลียบเคียงถามหวงฝู่ฮ่วน “ฮ่วนเอ๋อร์จากที่เจ้าเห็น วันหน้าตระกูลหวงฝู่ควรมีท่าทีอย่างไรต่อมู่ชิงเกอดี?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นมิตร ไม่อาจเป็นศัตรู!” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยตอบอย่างไม่ต้องคิด

หวงฝู่เฮ่าเทียนมองจ้องเขาครู่หนึ่ง ราวกับว่าไม่คิดว่า หวงฝู่ฮ่วนจะตอบเช่นนี้

เขานิ่งไปก่อนจะถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะคัดเลือกองค์หญิงที่เหมาะกับเขา แล้วยกแต่งให้เป็นภรรยาเขาดีไหม?”

“ไม่ได้เด็ดขาด!” หวงฝู่ฮ่วนลุกขึ้นปราม

เขามองหวงฝู่เฮ่าเทียนจริงจังพลางเอ่ย “เสด็จพ่อ จากที่ลูกได้สัมผัสมา มู่ชิงเกอไม่ใช่คนที่จะเข้าใกล้หรือผูกมิตรไว้ด้วยวิธีธรรมดาๆ ได้ หากใช้การสมรส หรือวิธีการที่ดูตั้งใจมากไป กลับจะยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี ยิ่งวางตัวห่างออกไปอีก แล้วอีกอย่างหากตระกูลหวงฝู่เราเข้าใกล้เขามากไป หากท่านมหาปราชญ์รู้เข้าจะคิดอย่างไร?”

หวงฝู่เฮ่าเทียนขมวดคิวครุ่นคิด ก่อนจะคลายลงพลางเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเห็นว่าควรทำอย่างไร?”

“เป็นมิตรอย่างจริงใจก็พอ ไม่ต้องจงใจเข้าใกล้มากเกินไป” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยตอบ

“เป็นมิตรอย่างจริงใจ…” อักษรห้าตัวนี้ในสายตาฮ่องเต้แล้ว เป็นเรื่องประหลาดไม่มีที่เปรียบ ดวงตาหวงฝู่เฮ่าเทียนฉายแววครุ่นคิดสงสัย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มองหวงฝู่ฮ่วน ก่อนจะถอนใจว่า “ฮ่วนเอ๋อร์ดูท่าเราคงแก่แล้ว เกือบจะเป็นคนแก่เลอะ เลือนที่ทำเรื่องไร้สติ”

“เสด็จพ่อ…” หวงฝู่ฮ่วนมองหวงฝู่เฮ่าเทียนอย่างสับสน เขาเป็นรัชทายาทแห่งแคว้น เรียนรู้หลักการเป็นฮ่องเต้ มาแต่ยังเล็ก หลักการเข้าใจผู้คน แล้วเหตุใดเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเสด็จพ่อ? สำหรับฮ่องเต้แล้ว คนแบ่งเป็นสองประเภทคือมีประโยชน์กับไร้ประโยชน์

ความจริงใจ โดนทิ้งไปตั้งแต่วันที่ครองบัลลังก์แล้ว

นี่คือสิ่งที่ต้องแลกไป

ไม่มีถูกผิด แต่นี่คือผลที่กำหนดไว้แล้ว

โอรสสวรรค์ไร้ใจ ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้ต้องเลือดเย็นไร้ความรู้สึก แต่หมายความว่า ในฐานะประมุข ปกครองแผ่นดินแว่นแคว้น ก็ต้องละทิ้งความรู้สึกและประโยชน์ส่วนตนทิ้งไปได้ทั้งหมด เป็นธรรมเคร่งครัด ทุกอย่างต้องคำนึงถึงแผ่นดินเป็นหลัก

เมื่อเห็นเสด็จพ่อเป็นเช่นนนี้หวงฝู่ฮ่วนเองก็ลำบากใจ เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่อยากขึ้นครองตำแหน่งนั้น เขาไม่รู้ว่าตนจะเป็นประมุขที่ดีพอได้หรือไม่ สามารถละทิ้งความรู้สึกส่วนตนทิ้งไปได้หมดจริงหรือไม่ แน่นอนว่า ความรับผิดชอบก็ทำให้เขาไม่อาจละทิ้งจากไปได้ง่ายๆ

ดังนั้น เขาจึงหาเหตุผลให้ตัวเอง

ถ้าหาก…ถ้าหากว่าท่านมหาปราชญ์รับเขาเป็นศิษย์ บางทีเขาก็สามารถออกจากวังหลวงที่เป็นกรงขังนี้ ออกไปเจอโลกใหม่ๆ หากไม่รับ เขาก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ ของตนเป็นฮ่องเต้ที่ดีเช่นเสด็จพ่อให้ได้

เมื่อเดินออกจากตำหนักของจักรพรรดิหยวน แสงตะวันก็ส่องไปทั่วภายนอก

หวงฝู่ฮ่วนโดนแสงอบอุ่นโอบล้อม รู้สึกอุ่นสบายไปทั่วร่าง เป็นความสบายที่พูดไม่ถูก แต่ว่าร่างกายของเขาก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ใบหน้าสง่างามราวหยกสลักมีแสงนวลอาบไล้

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กระตุ้นเตือนตัวเอง ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!