Skip to content

พลิกปฐพี 18

ตอนที่ 18

เจียงกุ้ยเฟย แผนร้ายของสองแม่ลูก

กลางดึก ณ พระราชวังแคว้นฉิน

ภายในกำแพงวังอันสูงตระหง่าน สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่คือ ความงดงามแห่งราชวังขององค์ฮ่องเต้แคว้นฉิน

ตำหนักฟ่งหยี เป็นตำหนักประทับของพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ตำหนักของเจียงกุ้ยเฟย แค่ฟังชื่อตำหนักก็สามารถคาดเดาได้ถึงฐานะของนางใน พระราชวังแห่งนี้

(ฟ่ง หมายถึง นกฟินิกซ์หรือหงส์ไฟ ซึ่ง ในจีนจะถือว่าหงส์เป็นสัตว์สูงส่งคู่กับมังกร หงส์จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของฮองเฮา)

หนำซํ้า นางยังเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวอีกด้วย

สาวใช้ในตำหนักต่างช่วยกันจุดไฟสลายความมืดในยามคํ่าคืน

วันนี้ วันที่ 1 ตามปฏิทินสุริยะคติของจีนคือวันพระ

วังหลังของแคว้นฉินมีกฎว่าทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ของ ทุกเดือน ฮ่องเต้ต้องประทับอยู่ในตำหนักของฮองเฮา เพราะฉะนั้นคืนนี้ตำหนักฟ่งหยีจึงดูเงียบเหงา

ภายในตำหนักอันงดงาม มีผ้าม่านโปร่งบางปกคลุมอยู่ทั่วตำหนัก

หนึ่งหญิงผู้สูงศักดิ์ สวมอาภรณ์ที่สวยงามหรูหรา แต่บนศีรษะกลับไร้ซึ่งเครื่องประดับ ราวกับว่าพระนางพร้อมที่จะเข้าบรรทมแล้ว แต่กลับถูกเรียกให้ออกมาอย่างกะทันหัน

“ออกไปให้หมด” พอมาถึงหลังม่าน หญิงผู้สูงศักดิ์ใด้ใช้นํ้าเสียงหยิ่งยโสเอ่ยสั่ง นางกำนัลเฝ้าตำหนักซ้ายขวาทั้งคู่

นางกำนัลต่างก็โค้งคำนับและถอยออกไปตามคำสั่ง ในตำหนักอันโอ่อ่า เหลือเพียงเงาร่างสง่างามเย้ายวนที่ยืนอยู่หลังม่าน และเงาของร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าม่านเท่านั้น

“มากลางดึกกลางดื่นแบบนี้ มีเรื่องด่วนอะไรเหรอ?’’ เสียงของหญิงนางนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ถามเงาร่างสูงใหญ่ อย่างเป็นธรรมชาติ

เงาสูงใหญ่นั้นสวมชุดสีดำสนิทตลอดทั้งร่าง เผยให้เห็นรูปร่างกำยำได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะยืนอยู่เพียงลำพัง แต่ก็ยากจะปิดบังความโดดเด่นสง่างาม เมื่อได้ยินคำถาม เขาก็โค้งคำนับแสดงความเคารพแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ เหอเฉิงกลับไปแล้ว แต่ว่า” เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่หอเด็ดบุปผาให้นางฟังคร่าวๆ

พอเขาเล่าจบ มือขาวเนียนละเอียดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากหลังม่าน ดึงม่านออกเบาๆ แล้วค่อยๆ ก้าวออกมา

แสงเทียนส่องกระทบลงบนร่างนั้น เห็นเพียงใบหน้าอันงดงามหยาดเยิ้มของนาง กริยาท่าทีเย้ายวน งามเฉิดฉันดั่งดอกไม้ แต่ก็อ่อนโยนดุจสายนํ้า ทุกท่าทางของนางดูงามสง่ายั่วยวนชวนให้หลงใหล

แต่แววตานั้นซ่อนแฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโส ท่าทางสูงส่ง ยากจะเข้าถึง

นางก็คือนางสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้ นามว่าเจียงกุ้ยเฟย และเป็นพระมารดาของรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวและองคหญิงฉางเล่อ

สายตาเย็นชาของเจียงกุ้ยเฟยมองลูกชายด้วยความเข้มงวด ลูกชายเป็นความภาคภูมิใจของนาง ถ้าเทียบกับลูกชายของนังแพศยานั้นแล้ว นางรู้สึกว่าลูกชายของตนเองเหมาะที่จะเป็นรัชทายาทมากกว่าเสียอีก

แต่น่าเสียดายที่ต้องเรียงตามลำดับอาวุโสและเพราะ ฐานะที่แตกต่างกัน แม้ว่านางจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าลูกชายของนางเป็นเพียงลูกของภรรยาน้อยไปได้

“ห้าวเอ๋อร์ ครั้งนี้ลูกประมาทเกินไปแล้ว” เจียงกุ้ยเฟยตำหนิ

ฉินจิ่นห้าวที่หยิ่งยโสเย็นชาต่อหน้าทุกคนในตอนนี้กลับไม่กล้าแก้ตัวสักคำเพราะว่าในใจของเขา เสด็จแม่คือสตรีที่เก่งกล้าเหนือบุรุษวิธีการแต่ละอย่างชวนให้คนเลื่อมใส

เจียงกุ้ยเฟยลูบปอยผมตัวเองแล้วพูดขึ้น “ที่ลูกมาคืนนี้ คงจะมาบอกแม่ให้ทิ้งหมากตระกูลเหอเม็ดนี้ไปสินะ” ฉินจิ่นห้าวไม่ได้ปฏิเสธ “พะยะค่ะ เสด็จแม่ ตอนนี้เหอเฉิงกลายเป็นตัวตลกในลั่วตูไปแล้ว หากลูกยังใช้เขาต่อไป เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงต้องแปดเปื้อน อีกอย่างเพราะเหอเฉิงเองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร เรื่องแค่เล็กน้อยก็ยังทำพลาด”

ในนํ้าเสียงของชินจิ่นห้าวนั้นเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ ซึ่งทุกอย่างไม่สามารถเล็ดรอดไปจากสายตาของเจียงกุ้ยเฟยได้

สีหน้าของเจียงทุ้ยเฟยเปลี่ยนไป “ที่ลูกพูดถึง ก็คือเรื่องที่ให้เหอเชิงไปสั่งสอนมู่ชิงเกอแห่งตระกูลมู่ใช่ไหม”

ฉินจิ่นห้าวเงียบ

เห็นลูกชายผู้เก่งกล้าเก็บอารมณ์ไม่อยู่แบบนี้ทำให้เจียงกุ้ยเฟยโกรธมาก นางเดินลงมาตามขั้นบันได มาหยุดอยู่ข้างๆ “ฉินจิ่นห้าว ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าให้อดทน ให้นึกถึงงานใหญ่เข้าไว้ แต่เจ้ากลับแอบส่งเหอเฉิงไปทำให้มู่ชิงเกอต้องอับอาย จนเขาต้องไปพบกับอันตราย ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่องครักษ์ของเขาช่วยไว้ เขาอาจจะตายไปแล้ว และถ้าเขาตาย เรื่องทั้งหมดที่เราวางแผนไว้ก็จะได้รับผลกระทบไปหมด ยังมีมู่ซงอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรออกมาบ้าง”

ฉินจิ่นห้าวถูกตำหนิจนสีหน้าเริ่มดูไม่ดี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้ตนเอง “ลูกทนสายตาที่มู่ชิงเกอมองลูกแบบนั้นไม่ไหวจริงๆ เสด็จแม่ หรือว่าเสด็จแม่ไม่รู้ว่าตอนนี้ในหมู่ประชาชนมีข่าวลือของลูกกับเขาว่าดูใกล้ชิดสนิทสนมกัน เป็นพวกมีใจรักชอบเพศเดียวกัน ลูกจะทนเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเสด็จพ่อทรงเชื่อข่าวลือพวกนั้น มันก็จะไม่เป็นผลดีต่อแผนการใหญ่อนาคตของลูกด้วย ที่ลูกให้เหอเฉิงจัดการ ตอนแรกก็แค่อยากจะสั่งสอนเขาให้เขาได้อาย ให้เขาหยุดเสียที ใครจะรู้ว่าเขาจะวิ่งไปหาความตายถึงลั่วรื่อ อีกอย่างพอรู้เบาะแสของเขา เพื่อแสดงถึงความเป็นห่วง ลูกก็ไปตามหาเขาที่ลั่วรื่อพร้อมกับมู่ซงแล้วนี่พะยะค่ะ”

“เหลวไหล! เจ้าช่างเหลวไหลจริงๆ! แค่สายตาของมู่ชิงเกอเจ้าก็ทนไม่ได้แล้วจะทำการใหญ่สำเร็จได้อย่างไร?! หากมู่ชิงเกอไม่รู้จักแยกแยะเพศหลงรักเจ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเจ้าไม่ใช่รึ?” เจียงกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะชี้ช่องทางให้คนตรงหน้า

“เสด็จแม่!” ฉินจิ่นห้าวตกใจ

เห็นเขายังไม่เข้าใจอะไรเลย เจียงกุ้ยเฟยถึงกับส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ “ลูกอย่าลืมว่ามู่ชิงเกอเป็นน้องเขยในนามของลูก ตอนแรกแม่ให้ลูกเข้าใกล้เขา เพี่อหาโอกาสตีสนิท และทั้งหมดก็เพื่อฉางเล่อ ฉางเล่อเป็นน้องสาวแท้ๆ ของลูก กลับถูกไทเฮาสั่งให้แต่งงานกับมู่ชิงเกอที่เป็นแค่คนไร้ค่า แม้ว่าเขาจะหน้าตาหล่อเหลาเป็นหนึ่งเพียงใด แต่จะคู่ควรกับลูกสาวของแม่ได้อย่างไร แต่ว่านี่เป็นคำสั่งของไทเฮา ขนาดฮ่องเต้เองก็ไม่อาจขัดพระบัญชาได้ เราก็ทำได้แค่ทน แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เราก็ต้องทำให้มู่ชิงเกอมีค่าขึ้นมา ให้เขามาเป็นเครื่องมือของเรา มู่ชิงเกอเป็นหลานชายสายตรงเพียงคนเดียวของมู่ซง ถ้าลูกสามารถทำให้เขามาเป็นพวกเดียวกับเราได้ จะเป็นผลดีต่อสิ่งที่ลูกจะทำในอนาคต อีกอย่าง ยิ่งเพราะมีความสัมพันธ์กับฉางเล่อ ก็จะไม่มีใครกล้าพูดได้ ว่าลูกแอบวางแผนเพื่อจะดึงเอาทายาทของตระกูลที่มีเส้นสายเพื่อมาเพิ่มกำลังให้กับตนเองอย่างลับๆ แต่ลูกกลับ…”

สีหน้าของฉินจิ่นห้าวที่ถูกตำหนิดูเปลี่ยนไป เอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “เสด็จแม่ ”

เหตุผลพวกนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ว่าเสด็จแม่ไม่รู้ว่าความอึดอัดจากการที่ต้องใกล้ชิดมู่ชิงเกอ แล้วต้องทำเป็นฝืนยิ้มแกล้งทำตัวเป็นคนอ่อนโยนนั้นมันทรมานขนาดไหน

เป็นแค่คนไร้ค่าและเป็นจอมเสเพลที่ไร้ประโยชน์เจ้าคนชอบไม้ป่าเดียวกันน่ารังเกียจ ทำไมเขาต้องไปเสียเวลาเข้าใกล้คนแบบนั้นด้วย แค่คิดก็ทำให้เขารู้สึกขยะแขยง จนกินอะไรไม่ลงแล้ว ในตระกูลมู่ ถ้าเปลี่ยนเป็นใครอีกคนที่มาหลงรักเขาแบบนี้ล่ะก็ อย่างเช่นเป็นป๋ายซีเยวี่ยที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลมู่นางนั้น

ผิวพรรณขาวเนียนนุ่ม เงาร่างอันบอบบางพลันโผล่เข้ามาในหัว ทำให้ฉินจิ่นห้าวตกอยู่ในภวังค์

“ห้าวเอ๋อร์ ห้าวเอ๋อร์?”

เสียงไม่พอใจของเจียงกุ้ยเฟยดึงสติของฉินจิ่นห้าวกลับมา

ตอนที่เขาสบตากับนาง ก็ไต้ยินการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด “ลูกคิดอะไรอยู่? แม่คุยกับลูกอยู่ ลูกกลับเหม่อ? ถ้าจิตใจลูกไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ ดูแล้วเหมือนว่าลูกจะไม่อยากดำเนินแผนการขั้นต่อไปแล้ว เรื่องของตระกูลมู่ครั้งนี้ สิ่งที่ลูกทำ ทำให้แม่ผิดหวังจริงๆ เพื่อให้ลูกจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ และต่อไปจะได้รู้จักควบคุมตัวเอง แม่ขอลงโทษลูกด้วยการกักบริเวณ 10วัน ใน 10 วันนี้ ลูกต้องอยู่แต่ในตำหนักรุ่ยอ๋อง ศึกษาแผนและกลยุทธ์ทางการทหาร เรื่องตระกูลเหอก็คงต้องหยุดไปก่อน รอให้ข่าวลือเงียบไปลูกค่อยไปปลอบใจตระกูลเหอ ลูกยังไม่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์หากไปตัดขาดตระกูลเห อแบบนั้น เกรงว่าจะทำให้ใครต่อใครไม่พอใจ พอเถอะ แม่เหนื่อยแล้ว ลูกกลับไปก่อนเถอะ”

ฉินจิ่วห้าวเดินออกจากตำหนักฟ่งหยีด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้รับคำติเตือนที่รุนแรง ขนาดนี้มาก่อนเลย!

เป็นเพราะมู่ชิงเกอคนเดียว!

หลังจากโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของคนที่ตนเกลียดแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินจิ่นห้าวก็ยังคงดูบูดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นเป็น หมัด

‘จะต้องมีสักวัน ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย เพื่อล้างความอัปยศอดสูที่เจ้านำมาให้ข้า!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!