Skip to content

พลิกปฐพี 182-2

ตอนที่ 182-2

นายน้อยมู่ผู้ใช้มารยา!

เซวียฉงไม่ได้เชิญพวกเขาไปสถานที่ที่ดูหรูหราอะไร แต่กลับไปสถานที่ที่ใกล้กับลานฝึกมากที่สุด หาร้านที่บรรยากาศดีหน่อย จากนั้นก็นำพวกนางสองคนเข้าไปในห้องส่วนตัว

เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัว มู่ชิงเกอกับเจียงหลีก็มองเห็นอาหารอยู่เต็มโต๊ะ

อาหารเหล่านี้ดูสดใหม่และรสชาติไม่หนัก เป็นรสชาติที่ถูกปากของคนแคว้นอวี่แต่ทว่าสำหรับมู่ชิงเกอที่เป็นประเภทไม่เผ็ดไม่ชอบนี้ของเหล่านี้ก็ดูจืดไปหน่อย

แน่นอนว่า เมื่อตอนที่มองเห็นอาหารบนโต๊ะนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็มองออกว่าที่เซวียฉงเชิญตนเองนั้นไม่ใช่ความตั้งใจเพียงชั่ววูบ

เมื่อคนนั่งแล้ว เซวียฉงก็โบกมือ จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านก็ยกอาหารเข้ามาอีก

อาหารเหล่านี้ ล้วนแต่ค่อนข้างเผ็ด ทุกอย่างล้วนแต่วางอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ

“แคว้นฉินชอบรสเผ็ด ข้าไม่ค่อยถูกกับความเผ็ดนัก อาหารเหล่านั้นเป็นอาหารเผ็ดของทางร้าน ไม่ทราบว่าจะถูกปากคุณชายมู่หรือไม่’’ เซวียฉงกล่าวอธิบาย

เมื่อตอบตกลงทานอาหารกับเซวียฉง จุดมุ่งหมายของมู่ชิงเกอก็ไม่ใช่เพียงแค่ทานอาหาร เป็นอาหารอะไร ที่จริงแล้วยังไงก็ได้

ดังนั้นนางจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ได้ เสนาบดีเซวียใส่ใจแล้ว”

เซวียฉงยิ้มๆ ดูเหมือนเจียมเนื้อเจียมตัวมาก เขามองไปทางเจียงหลี “แคว้นกู่วู่ใกล้กับทะเล เรื่องการกินไต่ถามความก็เป็นอาหารทะเล คล้ายคลึงกับความชอบพอของแคว้นอวี่”

ถึงแม้ว่าตอนที่เจียงหลีอยู่กับมู่ชิงเกอจะพูดมากหน่อย แต่เมื่ออยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคย นางกลับมีความเยือกเย็นและค่อนข้างสงบ แลดูสูงส่ง

คำพูดของเซวียฉงทำให้นางมองเขาเพียงแวบหนึ่ง แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่พูดออกมา

ดีที่เซวียฉงก็ไม่ได้ใส่ใจ บอกให้คนทั้งสองทานอาหาร ทั้งยังรินเหล้าให้กับคนทั้งสอง

หลังจากกระบวนการทักทายเสร็จสิ้นแล้ว เซวียฉงถึงได้วางตะเกียบ เข้าสู่ประเด็นหลัก “ไม่ขอปิดบังท่านทั้งสอง ในตอนที่ข้าออกจากแคว้นอวี่นั้น ทางตระกูลก็ได้รับสาส์นจากน้องเจ็ดเซวียเฉียวเรียบร้อยแล้ว ภายในสาส์นบอกเล่าเรื่องการแต่งงานระหว่างเขาและท่านอาของคุณชายมู่และก็ระบุว่าตอนที่อยู่ในแคว้นกู่วู่ ก็ได้ฮ่องเต้หญิงเจียงเป็นเจ้าภาพในงานแต่งงาน”

เจียงหลีวางตะเกียบลง เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าเห็นแก่หน้าของชิงเกอ”

เซวียฉงยิ้มๆ ไม่ได้พูดต่อ

ความหมายของเจียงหลีนั้นเขาเข้าใจแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่ชิงเกอช่างไม่ธรรมดา!

มู่ชิงเกอก็วางตะเกียบลง หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก แล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าตระกูลเซวียคิดอย่างไรกับการแต่งงานในครั้งนี้?”

มุมปากของเซวียฉงขยับยิ้มขึ้น ไม่ได้เอ่ยในทันที

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ากำลังคิดหาคำพูด จากนั้นไม่นาน ถึงได้ยิ้มออกมา “คุณชายมู่เป็นคนฉลาด ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมกับคุณชายแล้ว ไม่ปิดบังคุณชายมู่ ในตอนแรกที่ได้รับสารจากน้องเจ็ดนั้น บิดาก็โกรธมาก ถึงแม้ว่าน้องเจ็ดจะไม่ชอบบุ๋น แต่ก็เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากของตระกูล ทางตระกูลก็ยังมีความคาดหวังสูงสำหรับเขา เพียงแต่ใครจะเคยคิดว่า เขาที่ออกท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียวจะนำภรรยากลับมาด้วย ซํ้าภรรยาผู้นี้ไม่เพียงจะมาจากแคว้นระดับสามเท่านั้นแต่ยังมีอายุมากกว่าเขาอีก”

เซวียฉงพูดถึงตรงนี้ ก็กวาดตามองสีหน้าของมู่ชิงเกอ

การสังเกตสีหน้าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของขุนนาง เขาหวังว่าจะสามารถมองเห็นอารมณ์บนใบหน้าของมู่ชิงเกอ แต่ทว่า เขากลับผิดหวัง เป็นครั้งแรกที่เกิดความสงสัยในความสามารถของตนเอง

มู่ชิงเกอเพียงแค่จิบชา ดูเหมือนไม่ได้สนใจมากในคำพูดของเขา ทั้งยังดูคล้ายกับว่าผู้หญิงในคำพูดของเขานั้นไม่ได้เป็นอาของตน

นัยน์ตาของเซวียฉงฉายแววสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่ง เดาไม่ออกถึงความคิดของมู่ชิงเกอ

ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้พูดต่อว่า “หรือว่าคุณชายมู่ไม่ได้กังวลถึงเรื่องหลังจากที่ท่านอาของท่านแต่งเข้าตระกูลเซวียอย่างนั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอวางแก้วชาในมือลง เงยหน้ามองเซวียฉง

ภายในแก้วชาเกิดเป็นไอสีขาวลอยขึ้น ดุจดงควัน ปิดบังใบหน้าของมู่ชิงเกอ นางเอ่ยอย่างสงบว่า “ท่านอาของข้าไม่ได้แต่งงานกับตระกูลเซวีย แต่แต่งงานกับเซวี ยเฉียว”

เซวียฉงชะงัก

เจียงหลีพิงพนักเก้าอี้ สองมือวางบนที่วางแขน นิ้วมือเคาะลงเกิดเสียง ‘กึก กึก’ นางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เกรงว่าเซวียเฉียวคงไม่ค่อยอยู่ในตระกูลเซวีย ท่านอา เหลียนหรงอยู่กับเขา ก็เกรงว่าจะไม่ค่อยได้อยู่ตระกูลเซวียเช่นเดียวกัน ตระกูลเซวียไม่พอใจนางแล้วอย่างไร? กล่าวไม่แน่ว่ายังต้องสูญเสียบุตรชายไปคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซวียเฉียวได้ให้คำสาบานในแคว้นกู่วู่ของข้าไปแล้ว หากว่าผิดคำสาบานที่เคยให้ไว้ในแคว้นกู่วู่แล้ว จุดจบจะเป็นอย่างไรนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ดีใช่หรือไม่?”

ดวงตาของเซวียฉงหดตัวเล็กลง

อารมณ์ตื่นตะลึงของเขาปรากฏออกมา “อะไรนะ? เซวียเฉียวถึงกับกล่าวสาบานในแคว้นกู่วู่อย่างนั้นหรือ?”

เจียงหลีเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ใช่แล้ว! ความตั้งใจของเขานั้น ด้วยเกรงว่าท่านอาเหลียนหรงจะวิ่งหนีไป ห้ามก็ห้ามไม่ทัน ก็กล่าวคำสาบานออกมาแล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของมู่ชิงเกอก็นิ่งขรึมลง

คำสาบานนั้นของท่านอาทำให้นางเป็นกังวล

ส่วนท่าทางของนาง ก็ยิ่งทำให้เซวียฉงยิ่งเชื่อถือในคำพูดของเจียงหลี เซวียเฉียวหน้าด้านอยากแต่งงานกับท่านอาของคนอื่น ไม่ใช่ดังการคาดเดาของคนบางคนในตระกูลที่ว่าเซวียเฉียวตกหลุมพรางของตระกูลมู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้เจอกับมู่ชิงเกอแล้ว ความสามารถที่เขาแสดงออกมาก็ไม่ได้จำเป็นต้องอาศัยตระกูลเซวียของพวกเขาเลย

“เสนาบดีเซวีย ข้าอยากจะฟังว่าเสียงในตอนนี้ของตระกูลเซวียเป็นเช่นไร” มู่ชิงเกอเอ่ยกับเซวียฉงด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชา ในเมื่อพูดแล้วว่าท่าทีของตระกูลเซวียที่มีต่อการแต่งงานของท่านอาตนเองไม่เป็นที่ยอบรับ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นจะต้องทำสีหน้าให้ดีสินะ?

ใบหน้าของเซวียฉงฉายแววกระดากใจ

หลังจากที่ตระกูลได้รับสารจากเซวียเฉียวแล้ว ก็เคลื่อนไหวใหญ่โต รีบส่งคนไปสืบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแคว้นฉิน แคว้นระดับสามและก็เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่มา ไม่อาจไม่พูด ผลสรุปจากการสืบทำให้ตระกูลของพวกเขาประหลาดใจ

ตระกูลเล็กๆ ที่กำลังตกตํ่าอย่างเช่นตระกูลมู่ กลับสามารถมีอำนาจอยู่ในแคว้นฉินขึ้นมาได้ ทั้งยังมีสัตว์ประหลาดอย่างมู่ชิงเกอออกมา

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ตระกูลมู่เป็นฮ่องเต้ที่แท้จริงของแคว้นฉิน สถานะของมู่เหลียนหรงก็เปรียบเหมือนกับองค์หญิงของแคว้นแคว้นหนึ่ง แต่ว่า ตระกูลเซวียนั้นแม้แต่องค์หญิงแห่งแคว้นอวี่ก็มีพันธะหมั้นหมายด้วยแล้วจะไปสนใจผู้หญิงตระกูลชั้นสูงของแคว้นระดับสามแคว้นหนึ่งด้วยเหตุใด? ถึงแม้ว่าสถานะของนางจะไม่ต่างจากองค์หญิงก็ตาม

ดังนั้น ตระกูลเซวียจึงได้รังเกียจการปรากฏตัวของมู่เหลียนหรง

การเดินทางมาอาณาจักรเซิ่งหยวนของเขาในครั้งนี้ มีภารกิจหนึ่งก็คือติดต่อกับมู่ชิงเกอ

เมื่อได้สัมผัสกับคนของตระกูลมู่ด้วยตนเองแล้ว จากนั้นค่อยเริ่มวางแผนการระยะยาว

“คุณชายมู่ในตอนที่ข้าออกจากแคว้นอวี่นั้น น้องเจ็ดก็ยังไม่ได้นำท่านอาของท่านกลับถึงบ้าน รอเรื่องในอาณาจักรเซิ่งหยวนเสร็จสิ้นแล้ว เซวียฉงอยากจะขอเชิญคุณชายมู่ไปแคว้นอวี่สักครั้ง ถึงตอนนั้นข้าก็จะขอทำการต้อนรับเป็นอย่างดี” เซวียฉงเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

แววตาของมู่ชิงเกอวาววาบเล็กน้อย ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับเซวียฉงว่า “ได้ วันข้างหน้าต้องไปแคว้นอวี่สักครั้ง”

เมื่อได้รับสัญญาจากมู่ชิงเกอแล้ว เซวียฉงก็ยืนขึ้น บอกลาแก่คนทั้งสอง “ข้าไม่ขอรบกวนท่านทั้งสองทานอาหารแล้ว ขอแยกตัวไปก่อน ค่าใช้จ่ายนั้นข้าได้จัดการหมดแล้ว ร้านนี้มีห้องพักผ่อน ถ้าหากว่าทั้งสองท่านเหนื่อยล้า ก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้ห้องพักสองห้องติดกัน ข้าได้สั่งการให้ทางร้านเก็บเอาไว้ให้แล้ว” พอพูดจบ เซวียฉงก็หันกายออกจากห้องส่วนตัว ดูเหมือนคิดว่าหลังจากเขาจากไปแล้ว พวกนางทั้งสองคนคงจะกินข้าวกันอย่างมีความสุข

หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เจียงหลีก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูมึนงง “คำพูดนั้นของเขาหมายถึงอะไรกัน? อะไรคือเรียกให้พวกเราทั้งสองพักผ่อนด้วยกัน ห้องติดกัน? เหตุใดข้าจึงได้รู้สึกว่าเขากำลังปกปิดแอบซ่อนอะไรอยู่?”

มู่ชิงเกอเหลือบมองนางแวบหนึ่ง หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ในตอนนี้จะมีใครยังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าอีก?”

เจียงหลีชะงัก ใบหน้าดูขมขื่น เอ่ยขึ้นอย่างอดสูว่า “มู่ชิงเกอเจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของข้า เจ้าต้องรับผิดชอบข้า!”

“รับผิดชอบ รับผิดชอบ หากว่าภายหน้าเจ้าไม่ได้แต่งงานจริงๆ ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเป็นอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยพร้อมหัวเราะ

เจียงหลีกลับดึงเก้าอี้ออก รักษาระยะห่างกับนาง ในนํ้าเสียงแฝงความอึดอัดใจเอ่ยว่า “อย่า เจ้าอยู่ห่างข้าหน่อยเป็นดี ข้าไม่อยากตายโดยไม่รู้สึกตัว เขาคนนั้นของเจ้า หากจะฆ่าข้าแล้วก็คงง่ายดายเหมือนกับฆ่าปลาตัวหนึ่ง”

“เจ้าผิดแล้ว” มู่ชิงเกอหัวเราะและเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “อย่างมากเจ้าก็สามารถเปรียบเทียบได้กับงูเพียงเท่านั้น”

เจียงหลีคิดถึงคำพูดของนางในหัวอยู่รอบหนึ่ง จึงเข้าใจขึ้นมา นางจ้องมองและกัดฟันพุ่งเข้าหามู่ชิงเกอ ปากเอ่ยเตือนว่า “มู่ชิงเกอเจ้าอยากตายหรือ!”

ทั้งสองคนเล่นกันอยู่พักหนึ่ง ถึงค่อยเงียบลง เจียงหลีเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “สุดท้ายที่เซวียฉงเชิญเจ้าไปแคว้นอวี่นั้นหมายความว่าอย่างไร?”

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ค่อยๆ เอ่ยว่า “จากน้ำเสียงของเขา ท่าทีของตระกูลเซวียนั้นชัดเจนมาก เขาให้ข้าไปตระกูลเซวีย ก็คือให้ไปสนับสนุนท่านอาเท่านั้น เขาเป็นคนของตระกูลเซวีย มีคำบางคำไม่อาจพูดได้ดีเท่ากับข้าที่เป็นคนนอกพูด”

เจียงหลีครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ดูแล้ว ความประทับใจที่เขามีต่อเจ้าในช่วงเวลานี้นั้นจะไม่เลว อย่างน้อยก็คิดว่าเจ้านั้นมีศักยภาพมาก จึงไม่ได้ต่อต้านการแต่งงานในครั้งนี้อีก แต่ว่า ก็ต้องรู้ว่าหากจะใช้เพียงแค่คำพูดไปพูดกับตระกูลนั้นก็จะดูไม่น่าเชื่อถือ จึงให้เจ้าไปสักครั้ง เพื่อหยั่งเชิงดู อย่างน้อยเขาก็ยอมรับในงานแต่งงานในครั้งนี้แล้ว”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “เซวียฉงเป็นคนในแวดวงขุนนาง ที่เขาสนใจนั้นไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างท่านอากับเซวียเฉียว ที่เขาสนใจนั้นเพียงแค่การเกี่ยวดองเชื่อมโยงอำนาจเพียงเท่านั้น สนใจว่ามันจะนำผลประโยชน์มาให้แก่ตระกูลเซวียได้หรือไม่ แน่นอนว่า ที่เขาให้ความสำคัญก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในตระกูลเซวียให้ความสำคัญ หลังจากที่เขามาอาณาจักรเซิ่งหยวน อาจจะมองเห็นท่าทีที่จักรพรรดิหยวนมีต่อข้า หรือเพราะว่ารู้เรื่องที่ข้านั้นเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ หรือว่าเรื่องในตำหนักหลีกงทำให้เขารู้สึกว่าคุณค่าของข้านั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็หากจะพูดว่าเขายอมรับท่านอา ยังไม่สู้พูดว่าเขาให้ความสำคัญในผลประโยชน์ที่ข้าคุณชายมู่ผู้นี้จะนำไปให้เสียมากกว่า”

คำพูดของมู่ชิงเกอประโยคนี้พูดเสียจนทำให้เจียงหลีส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ไม่ยอมรับในคำพูดของมู่ชิงเกอ แต่เป็นเพราะนางคิดว่า แม้ว่าเซวียฉงจะได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็นอัจฉริยะ แต่หลังจากเข้าสู่วงการขุนนางแล้ว ก็ยากที่จะใสสะอาดไม่แปดเปื้อนได้อีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!