Skip to content

พลิกปฐพี 182-3

ตอนที่ 182-3

นายน้อยมู่ผู้ใช้มารยา!

ตอนที่มู่ชิงเกอกับเจียงหลีมาถึงลานฝึกอีกครั้งนั้น ก็มองเห็นว่าบนอัฒจันทร์ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว

ดูแล้ว การแข่งขันในรอบแรกนั้น จะไม่ได้น่าดึงดูดใจ สำหรับคนอื่นๆ

มู่ชิงเกอเดินไปข้างกายของจ้าวหนานซิง เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

จ้าวหนานซิงหันมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยตอบว่า “ตอนนี้ แคว้นฉินได้คะแนนยี่สิบเจ็ด แคว้นตี๋ยี่สิบสี่ แคว้นอวี่ ยี่สิบเอ็ด แคว้นหรงสิบแปด แคว้นลี่สิบเอ็ด แคว้นอวี๋… แปดคะแนน”

“เหตุใดแคว้นอวี๋เพิ่งได้แปดคะแนน?’’มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างขมขื่นเอ่ยว่า “การป้องกันล้มเหลว ถูกหยุดไปหนึ่งรอบ ในการโจมตีสิบรอบ ก็ประสบผลสำเร็จเพียงสี่ครั้ง”

มู่ชิงเกอมองไปทางจ้าวหนานซิง เห็นว่าเขาเป็นเพราะคะแนนรั้งท้ายจึงเร่งรีบ แต่นัยน์ตาก็ยังคงมีขวัญกำลังใจ หลังจากยื่นมือออกไปตบเบาๆ ที่ไหล่ของเขาแล้ว ก็เดินไปทางเวทีของแคว้นฉิน

บนเวทีของแคว้นฉิน การป้องกันขององครักษ์เขี้ยวมังกร นั้นมีประสิทธิภาพมาก เพราะว่าตอนนี้แคว้นฉินนำอยู่ จึงทำให้แคว้นระดับสองทั้งสามแคว้นหรง แคว้นอวี่และแคว้นตี๋ล้วนแต่จ้องมองแคว้นฉิน คิดจะโจมตีให้สำเร็จ บีบบังคับให้แคว้นฉินหยุดหนึ่งรอบ

แน่นอนว่าจิตนาการนั้นถึงแม้จะสวยงาม แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย

องครักษ์เขี้ยวมังกรเป็นองครักษ์ประจำตัวที่มู่ชิงเกอตั้งใจบ่มเพาะขึ้นมา เพียงแค่การแข่งขันบนเวทีจะทำ ให้พวกเขาพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร? ดังนั้น คนของฝั่ง โจมตีจึงล้มเหลวไม่หยุด และก็ส่งคะแนนให้แคว้นฉินไม่หยุดเช่นกัน

ฝั่งโจมตีนั้น แคว้นฉินก็ไม่ได้เกิดความกดดันอะไร

คะแนนในเจ็ดวันเจ็ดคืนนี้ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเกมส์ขององครักษ์เขี้ยวมังกร

มู่ชิงเกอมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็โบกมือให้แก่หัวหน้าขององครักษ์เขี้ยวมังกร

คนๆ นั้นเดินมาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ คำนับนางแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย”

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “คะแนนของแคว้นอวี๋ตอนนี้ค่อนข้างตํ่า พวกเจ้าสนใจหน่อย”

องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าใจในคำสั่ง ถอยออกไป ไม่นานกลุ่มโจมตีของแคว้นฉิน ก็ขึ้นไปบนเวทีของ แคว้นอวี๋สองกลุ่มต่อกรกันไม่กี่กระบวนท่า องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ถูกโจมตีจนลงมาจากเวที แคว้นอวี๋ได้คะแนน

ส่วนแคว้นอวี่ที่จ้องแคว้นอวี๋ ก็ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรโจมตีสำเร็จถูกบีบให้หยุดหนึ่งรอบ

เมื่อสายลมมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนของแคว้นอื่นๆ ลอบด่าว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ทำตัวตํ่าช้า

แต่ว่า นอกจากนี้จะทำอะไรได้?

องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่ได้แหกกฎ ชอบที่จะช่วยสหายในการจัดการศัตรู เจ้าจะทำอะไรได้? นี่เรียกว่าความรักระหว่างมิตรภาพ!

ท่าทางเคียดแค้นกัดฟันของคนของแคว้นระดับสอง ไม่ได้มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมู่ชิงเกอ นางดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็จากไปกับเจียงหลี ไม่ได้เหมือนกับจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยที่คอยระวังอยู่ที่นั่น ไม่กล้าจากไป

คะแนนของเจ็ดวันเจ็ดคืน ในวันแรกๆ นั้นค่อนข้างจะน่าเบื่อ เกรงว่าคงมีเพียงสองวันสุดท้ายเท่านั้น ในตอนที่จะตัดสินลำดับ ถึงจะดึงดูดให้คนสำคัญหลากหลายแคว้นมาสนใจ

การแข่งขันในรอบแรกมู่ชิงเกอไม่ได้สนใจมาก

นางสนใจในการแข่งขันรอบที่สอง

การแข่งขันรอบที่สองเป็นการประลองรายบุคคล เลือกตัวแทนหกคนของแต่ละแคว้นออกมาและคะแนนที่ได้รับจะจัดเรียงตามลำดับ

การประลองรายบุคคลจะให้ความสำคัญกับระดับพลังของคนและประสบการณ์ในการต่อสู้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีผู้เยาว์ของตระกูลใหญ่ทั้งสี่เข้าร่วมด้วย

สามวันต่อมา มู่ชิงเกอไม่ได้ไปลานฝึกอีกเลย นางอยู่ในเรือนรับรอง แต่ในความเป็นจริงนั้นอยู่ภายในช่องว่างของตนเอง

เวลาทั้งสามวัน นางก็ได้หลอมยาขั้นจิตวิญญาณขึ้นมา

เมื่อเอาทั้งสามเม็ดแบ่งเก็บไว้ในขวดหยกสามขวดดีแล้ว มู่ชิงเกอก็เก็บพวกมันเอาไว้

หานฉายไฉ่เคยเผยออกมาว่า ในการจัดงานประมูลของหอสรรพสิ่งในครั้งนี้ มีแผนที่ฝั่งตะวันตกของโลกแห่งยุคกลางด้วย นางจะต้องไปโลกแห่งยุคกลางเพื่อตามหาตระกูลของมารดาก่อน แผนที่นี้สำหรับนางแล้ว จำเป็นต้องได้มันมา

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด นางจึงตั้งใจเตรียมยาชั้นระดับจิตวิญญาณสามเม็ดนี้ไว้ หากว่าถึงตอนนั้นเงินไม่พอก็ใช้ยาแทน

เมื่อเตรียมการทั้งหมดดีแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้มาที่ตรงหน้าของไข่สีรุ้ง

หลังจากที่มันมีปฏิกิริยาเล็กน้อยในตอนที่อยู่ในแคว้นกู่วู่ ช่วงเวลานี้มันก็เงียบสงบลงไป ดุจดังกำลังหลับ

นางเคยถามเจียงหลี

ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังประลองกัน นางก็รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรบางอย่าง ถึงทำให้ยอมแพ้ไป

เจียงหลีพูดอย่างจริงจัง แต่ว่าคำตอบกลับดูคลุมเครือ

แรงกดดันที่นางสัมผัสได้นั้นเป็นแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้าสู่เส้นชีพจรภายในร่างกายของนาง เห็นได้ชัดว่าสัตว์อสูรที่มีแรงกดดันนั้นไม่ธรรมดา ต้องมีระดับชั้นที่สูงมาก!

แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นตัวอะไรนั้นนางกลับไม่ชัดเจน รู้สึกได้เพียงรางๆ ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือว่าคล้ายกันกับงูที่เป็นสัตว์อสูรเทวะไม่ใกล้ไม่ไกลนี้

ตามที่เจียงหลีได้พูด ไข่สีรุ้งที่มู่ชิงเกอมีนั้นก็เหมือนจะเป็นถึงสัตว์อสูรระดับมหาเทพแล้ว

แต่ว่าเรื่องจริงนั้นใช่หรือไม่ ยังคงต้องรอให้มันปรากฏกายถึงจะรู้

มู่ชิงเกอเดินไปอยู่ด้านหน้าของไข่เจ็ดสี ยื่นมือออกไปดีดเปลือกมันเบาๆ ไข่สีรุ้งที่เงียบสงบก็ส่ายไปซ้ายขวาในทันที เหมือนลูกข่าง

“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่? ต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ถึงจะกะเทาะเปลือกออกมาได้?” มู่ชิงเกอพึมพำกับไข่สีรุ้ง น่าเสียดาย นอกจากที่ไข่สีรุ้งจะส่ายไปมาไม่กี่ครั้งแล้ว ก็ ไม่ได้ตอบคำถามของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากยังไม่ออกมาอีก ข้าก็จะต้มจนเจ้ากลายเป็นไข่ต้มแล้วก็จะกินแล้วนะ!”

ดูเหมือนว่าไข่สีรุ้งจะได้ยินคำข่มขู่ของมู่ชิงเกอ พลันปรากฏแสงอันดำมืดพุ่งออกมาจากเปลือกไข่สีรุ้ง

แววตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้น หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ดูท่า เจ้าจะสามารถได้ยินและเข้าใจในคำที่ข้าพูด ดังนั้น ข้าจะให้เวลาเจ้าไปอีกสักพักหนึ่ง ถ้าหากยังไม่ออกมา ก็อย่าได้โทษว่าข้าโหดเหี้ยมต่อไข่อย่างเจ้าก็แล้วกัน!”

หลังจากข่มขู่ไข่สีรุ้งอย่างแค้นเคืองไปรอบหนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นอย่างได้ใจ เดินออกไปข้างนอก

บนผืนหญ้า เหมิงเหมิงกับหยวนหยวนกำลังเล่นด้วยกัน

สำหรับหยวนหยวนแล้ว เขาดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเป็นพิเศษ เพียงแค่มู่ชิงเกอสามารถหาพญาเพลิงมาได้เรื่อยๆ ให้เขาได้กลืนกิน เขาก็สามารถพัฒนาตัว เองได้

ส่วนเหมิงเหมิง รู้จักนางมาตั้งนาน มู่ชิงเกอก็ไม่เคยเห็นนางฝึกฝนเลย

เมื่อถามนางก็ถูกนางเอ่ยอย่างดูแคลนว่า ‘เจ้านาย ท่านเคยเห็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธฝึกวิชาไหมเล่า? ความแข็งแกร่งของข้านั้นมาจากท่าน! ท่านยิ่งแข็งแกร่ง ปลดผนึกช่องว่างได้มากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น!’

โดยสรุปแล้วเหล่าพวกแปลกประหลาดในช่องว่างของนางนั้นอกจากนางแล้วก็มีเฉพาะหยินเฉินที่ตั้งใจเรื่องการฝึกฝน

มู่ชิงเกอเดินไปที่ที่หยินเฉินอยู่ เห็นมันม้วนเป็นก้อนหลับตา ดูเหมือนว่ากำลังฝึกฝน

นางขมวดคิ้วขึ้น ในช่วงนี้หยินเฉินเปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมา จมอยู่กับการฝึกฝนทั้งวัน ในอดีต เขายังไปพูดคุยกับเหมิงเหมิงและหยวนหยวนบ้าง แต่ในตอนนี้กลับไม่ได้ไปใกล้ชิดกับพวกเขาเลย

ความผิดปกติเช่นนี้ไม่รู้ว่าทำไม ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกไม่สบายใจเลย

เหมิงเหมิงเคยพูดว่า หยินเฉินหากอยากจะกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะที่แท้จริง คิดจะพัฒนาไปสู่ระดับมหาเทพ ในอนาคตนั้นก็จำเป็นจะต้องผ่านเคราะห์เป็นตาย ผลัด หนังเปลี่ยนกระดูก แต่ช่วงเคราะห์เป็นตายของหยินเฉิน นั้นเว้นช่วงไม่มาอยู่นาน เรื่องนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกห่วงเป็นอย่างมาก

นางไม่รู้ว่าสัตว์อสูรจะต้องผ่านเคราะห์เป็นตายอย่างไรบ้าง แต่ว่าความแปลกประหลาดของหยินเฉินในช่วงนี้ กลับทำให้นางคิดว่าเคราะห์เป็นตายที่ว่านั้นได้ถูกบีบให้ใกล้เข้ามาแล้ว

ลอบมองหยินเฉินเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ออกจากช่องว่างไป

เมื่อกลับมาถึงภายในเรือนรับรอง ท่าทีที่ขมวดคิ้วของ

นางก็ยังไม่จางหายไป

เมื่อลองคำนวณเวลาแล้วคะแนนของการแข่งขันเจ็ดวันเจ็ดคืนในรอบแรกมันก็ได้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังเหลืออีกสามวันก็จะได้ผลสรุป ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของคะแนนในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

มู่ชิงเกอเดินออกจากเรือนรับรอง มุ่งไปทางลานฝึก

เพิ่งจะเดินไปถึงนอกลานฝึก มู่ชิงเกอก็พบกับเฉินปี้เฉิงที่ขวางทางอยู่

เงยหน้ามองเขา เจ้าบ้าเฉินนั้นกลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ว่า “การแข่งขันในรอบที่สอง เจ้าต้องสู้กับข้า!”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

หลังจากที่เฉินปี้เฉิงพูดประโยคนี้เสร็จ ก็เดินผ่านข้างนางไป แล้วเขาก็หยุดลงในทันที เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าต้องการแข่งขันกับเจ้าอย่างยุติธรรม ดังนั้นตระกูลใหญ่ทั้งสี่จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวยาวๆ จากไป

มู่ชิงเกอมองเฉินปี้เฉิงจากไปอย่างสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า การแข่งขันระหว่างพวกเขากับการเข้าร่วมของสี่ตระกูลใหญ่นั้น มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน

“คิกๆ” ทันใดนั้น ด้านหน้าก็มีเสียงหัวเราะที่ทรงเสน่ห์ ดังขึ้น

มู่ชิงเกอหันมองไป มองเห็นฮวาฉินฉินคุณหนูแห่งตระกูลฮวาคนนั้น

“คุณหนูฮวา” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยทักทายออกไป

ฮวาฉินฉินย่อกายลง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ไม่ เข้าใจในคำพูดของเจ้าบ้า เฉินใช่หรือไม่? ให้ข้าอธิบายให้ท่านฟังเป็นอย่างไร?”

มู่ชิงเกอครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าตอบ

ฮวาฉินฉินเดินเข้าไปใกล้นาง ชม้ายชายตาแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีตระกูลใหญ่ทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการแข่งขัน ก็สามารถเข้าไปในเศษซากโบราณได้ แต่ว่าเจ้าบ้าเฉิน อยู่ดีๆ ก็เสนอกับจักรพรรดิหยวน ว่าเขาอยากจะเข้าร่วมในการแข่งขันในครั้งนี้ เพื่อที่จะได้ประลองกับท่านอย่างยุติธรรม เขาอยากจะรู้ว่าเหตุใดเขาที่คุกเข่าที่นอกตำหนักหลีกงอยู่หนึ่งปีไม่อาจทำให้มหาปราชญ์สนใจได้ ส่วนท่านกลับสามารถพบได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ขึ้นไปตำหนักหลีกง เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเขาแค่คนเดียว แต่ว่าประมุขตระกูลหลานและตระกูลจิ่งกลับอาศัยโอกาสนี้เสนอว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝนคนรุ่นเยาว์ของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงได้ร่วมเสนอชื่อ เสนอขอให้ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบที่สอง และการแข่งขันในรอบที่สาม แน่นอนว่า ข้อแลกเปลี่ยน ก็คือไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ล้วนแต่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิทธิ์ของแคว้นระดับสองและแคว้นระดับสาม”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!

ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เข้าใจ ว่าเหตุใดงานชุมนุมใหญ่แผ่นดินหลินชวนในครั้งนี้ เหล่าลี่ตระกูลใหญ่ที่มีสิทธิ์อยู่แล้วยังต้องมาเข้าร่วมอีก

ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุการณ์นั้นในตำหนักหลีกงนั้นเอง แต่แน่นอนว่านั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมด

เพราะว่าระหว่างนางกับเฉินปี้เฉิงนั้น เดิมก็มีสัญญาประลองกันอยู่แล้ว

“คุณชายมู่หากพบฉินฉินบนเวที ขอให้ท่านเอ็นดูบ้าง” อยู่ดีๆ นํ้าเสียงของฮวาฉินฉินก็เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

อยู่ดีๆ ฮวาฉินฉินเข้ามาหามู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอร่างกายขยับวูบ หลบหลีกออก ฮวาฉินฉินสะดุดเล็กน้อย เมื่อยืนอย่างมั่นคงดีแล้ว ดวงตาที่มองมู่ชิงเกอก็เต็มไปด้วย ความเศร้า

“คุณหนูฮวา โปรดให้เกียรติตัวเองด้วย” มู่ชิงเกอพยักหน้าให้นางเบาๆ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ จากไป

“ช่างเป็นพวกที่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย!” ฮวาฉินฉินกระทืบเท้า กัดฟันมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!