Skip to content

พลิกปฐพี 186-2

ตอนที่ 186-2

สงครามระหว่างเสือและมังกร แพ้ชนะเพื่ออะไร?

ภายในกรง มู่ชิงเกอมองเฉินปี้เฉิงด้วยท่าทางที่ดูสงบ

อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงข้ามของนางประมาณสิบจ้างและนับจากที่เข้ามาก็หลับตา ลมหายใจสงบจนสามารถทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเขากำลังหลับได้

ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปเร่งเขา เพียงแค่ยืนรออย่างสงบ หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ในที่สุดเฉินปี้เฉิงก็ลืมตาขึ้น พูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เฉินปี้เฉิงก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นชายงาม แต่ว่าบนร่างของเขากลับมีกลิ่นอายของความน่าเกรงขามแผ่ออกมา ราวกับว่าโครงหน้าของเขาจะถูกก่อขึ้นจากคมมีดอันแหลมคมก็ไม่ปาน ดูขึงขังจริงจัง แต่มันก็กลับกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเขา

คนเช่นนี้ก็เหมือนกับว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก็จะทำให้ผู้คนเชื่อถือยอมรับได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาลืมตาขึ้น ในตอนนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกเหมือนว่ามีความจริงจังสองสายพุ่งออกมา

“ข้าเตรียมพร้อมดีแล้ว” เฉินปี้เฉิงเอ่ยเสียงเข้มกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าก็เตรียมตัวดีแล้ว”

ในตอนที่คำพูดนี้ของนางหลุดออกไป เฉินปี้เฉิงก็กระตุกข้อมือขวา ดาบโค้งยาวก็พลันปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขากำมันเอาไว้ แน่น ดาบยาวชี้ลงไปที่พื้น ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน บนดาบวงพระจันทร์เผยใบมีดที่ดูเยียบเย็น บนดาบสลักลวดลายที่ดูลี้ลับ ดูเหมือนว่ามีพลังอะไรที่ดูลี้ลับเป็นพิเศษอยู่ในนั้น

“ยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติชั้นยอด!” แววตาของมู่ชิงเกอวาววาบ พริบตาเดียวก็มองระดับยุทธภัณฑ์ของเฉินปี้เฉิงออก

นี่มาจากความสามารถพิเศษทางสายเลือดของนาง

คนทั่วไป หลังจากประมือกันไปแล้ว อิงตามความแข็งแกร่งของยุทธภัณฑ์ระบุระดับ ส่วนนางแค่เพียงมองแวบเดียว สายเลือดของนางก็สามารถบอกนางได้อย่างแม่นยำว่ายุทธภัณฑ์นี้อยู่ระดับอะไร ยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติชั้นยอดห่างจากยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะแค่ก้าวเดียว

เฉินปี้เฉิงนำยุทธภัณฑ์เช่นนี้ออกมาในการประลองในครั้งนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อมู่ชิงเกอมาก

“นี่คือดาบวงพระจันทร์มังกรคราม หนักสามร้อยหกสิบแปดจิน ใช้เหล็กดำในการสร้างทั้งหมด มีความสามารถในการเพิ่มความเร็ว ความแรง ตัดผ่านอากาศและกระหายเลือด สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของข้าที่นำออกมาจากซากปรักหักพังโบราณ สืบทอดมาสามชั่วอายุคน จึงตกมาอยู่ในมือของข้า” เฉินปี้เฉิงเอายุทธภัณฑ์ออกมา ไม่ได้โจมตีในทันที แต่กลับใช้คำอธิบายง่ายๆ แนะนำยุทธภัณฑ์ในมือของเขา

หลังจากที่พูดจบ เขาก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เอายุทธภัณฑ์ของเจ้าออกมา”

สายตาของมู่ชิงเกอเคลื่อนออกจากดาบวงพระจันทร์มังกรครามในมือของเฉินปี้เฉิงมาที่ร่างของเขา ในใจรู้สึกลังเลเล็กน้อย

นางมียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะอยู่หนึ่งชิ้น เฮยมู่นั้นรู้ดี ส่วนโหลวเสวียนเถี่ยเกรงว่าถึงแม้จะไม่เคยเห็นด้วยตาของตนเองก็ต้องรู้แล้ว มิเช่นนั้น คนของหอหลอมศาสตราคง จะไม่ร้องให้ส่งมอบหยวนหยวนกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะทุกครั้งที่ไล่ตามนาง

ดังนั้น สำหรับทวนหลิงหลงแล้วนางก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังอีก

ส่วนปัญหาที่นางกำลังขบคิดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการซ่อนหรือไม่ซ่อนทวนหลิงหลง แต่เป็นความเถรตรงของเฉินปี้เฉิง เขาอธิบายแนะนำยุทธภัณฑ์ของเขาอย่างละเอียดชัดเจนซึ่งก็คือการแสดงทัศนคติของเขากับมู่ชิงเกอ เขาอยากจะประลองอย่างยุติธรรมกับนางดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้ประโยชน์ใดๆ จากยุทธภัณฑ์ พลังของเขาร่วมกันกับดาบวงพระจันทร์มังกรคราม เขาถึงจะสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นในครั้งนี้ เขาจึงนำดาบวงพระจันทร์มังกรครามออกมา แต่ว่ามู่ชิงเกอก็กล้าแน่ใจว่าหากนางพูดว่าตนเองไม่มียุทธภัณฑ์ที่เทียมเท่ากันกับเขาแล้ว เฉินปี้เฉิงก็คงไม่พูดไม่จาละทิ้งการใช้ดาบวงพระจันทร์มังกรครามไปอย่างไม่ลังเล

ทวนหลิงหลงเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะในระดับชั้นก็เหนือกว่าดาบวงพระจันทร์มังกรคราม

ในเมื่อเฉินปี้เฉิงคิดอยากจะต่อสู้อย่างยุติธรรม เช่นนั้น นางจะสามารถนำทวนหลิงหลงออกมารังแกคนได้อย่างไร?

นางลังเลอยู่ในใจครู่หนึ่ง ข้อมือกระตุก ทวนยาวสีดำปรากฏขึ้นในมือของนาง ทวนเล่มนี้ เป็นนางสุ่มเอาออกมาจากคลังอาวุธในช่องว่าง

ในตอนที่ถือทวนสีดำนั้น รายละเอียดเกี่ยวกับทวนสีดำก็เข้ามาอยู่ในหัวนางอย่างอัตโนมัติ

“ทวนซ่อนเงา หนักสามร้อยยี่สิบหกจิน สร้างขึ้นจากเหล็กดำเช่นเดียวกัน มีคุณสมบัติด้านความเร็ว ทะลวงเกราะป้องกัน ภาพมายาและเคล็ดวิชาดื่มโลหิต” มู่ชิงเกอกุมทวนซ่อนเงา ทวนสีดำแผ่กลิ่นอายอำมหิตเยียบเย็นออกมา

การปรากฏตัวของทวนซ่อนเงาทำให้แววตาของเฉินปี้เฉิงเปล่งประกายริมฝีปากที่เม้มแน่นโค้งขึ้นเล็กน้อย พ่นคำออกว่า “ดีมาก” ออกมา ยกดาบวงพระจันทร์ มังกรครามขึ้นสูง

บนระเบียง ในตอนที่มู่ชิงเกอหยิบทวนซ่อนเงาออกมา คิ้วของโหลวเสวิยนเถี่ยก็ขมวดขึ้น เขาเอ่ยเสียงเข้มกับเอ่ยมู่ว่า “ไม่ใช่พูดว่าเขามีทวนสีเงินชั้นเทวะอยู่หนึ่งชิ้นมิใช่หรือ?”

นัยน์ตาของเฮยมู่ฉายแวววาววาบ ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เกรงว่าคงจะไม่ยอมนำออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ว่านี่ก็จะเป็นอย่างไร? เขาโอ้อวดหยิ่งผยองก็เพราะแค่จะแสดงว่าในตัวของเขายังมีสมบัติอีกมากมาย ทวนเล่มนี้ก็เป็นของดีชิ้นหนึ่ง!”

เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของเฮยมู่ก็ฉายแววแห่งความโลภออกมา

โหลวเสวียนเถี่ยก็เผยรอยยิ้มอำมหิต เห็นด้วยกับคำพูดของเฮยมู่ “ไม่ผิด ครั้งนี้เพื่อเล่นงานเขา พวกเราก็สูญเสียทรัพยากรไปมากมาย หากว่าไม่มีกำไรกลับมาก็ไม่ใช่ว่าจะต้องขาดทุนไปมากแล้ว?”

เฮยมู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย

ทั้งสองคนลอบสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนแต่เข้าใจในความหมายของกันและกัน

“คุณชายมู่ โปรดชี้แนะด้วย!” เฉินปี้เฉิงกล่าวออกมา ใช้มือเดียวยกดาบวงพระจันทร์มังกรครามที่หนักสามร้อยหกสิบแปดจินกระโดดไปด้านหลังก้าวหนึ่ง ใช้ทักษะสงครามออกมาตรงๆ

“รวดเร็วดุจดาราเพลิง—–!”

เฉินปี้เฉิงตะโกนชื่อของทักษะสงครามออกมา เขาตวัดดาบวงพระจันทร์มังกรครามในมือ เกิดเป็นดวงไฟเท่ากำปั้นลอยพุ่งไปทางมู่ชิงเกออย่างต่อเนื่อง

ดวงไฟเหล่านี้รวดเร็วมาก พุ่งเข้าไปล้อมรอบมู่ชิงเกอ เพียงพริบตา ทั่วทั้งกรงก็ดูเหมือนตกอยู่ในทะเลเพลิง

อุณหภูมิสูงขึ้น เปลวไฟเชื่อมกัน

เฉินปี้เฉิงมีพลังเพียงพอ เพิ่งเริ่มต้นก็ออกกระบวนใหญ่ ดูเหมือนเพียงเริ่มต้นก็กดดันมู่ชิงเกอลงไป แต่ว่าก็ไม่อาจจะทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึงได้ง่ายๆ

ในตอนที่เฉินปี้เฉิงใช้รวดเร็วดุจดาราเพลิง ทวนซ่อนเงา ในมือของนางก็ได้ขยับแล้ว ใช้ทวนซ่อนเงาออกกระบวนท่าของทวนหลิงหลง เริ่มแรกจึงรู้สึกลำบากเล็กน้อย

เงาทวนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่รอบกายของมู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าเป็นม่านป้องกันของนางที่ป้องกันไม่ให้อะไรลอดผ่านเข้าไปได้

ดวงไฟที่เฉินปี้เฉิงใช้เหล่านั้นโจมตีเข้าใส่เงาของทวนไม่หยุด

‘ปัง ปัง—–’

เกิดระเบิดขึ้น ภายในกรงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ลอยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า บดบังจากสายตาของทุกคน

ฉากนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

นี่ก็เป็นเหมือนกับช่วงเวลาที่สำคัญแล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นตาบอด

เวลานี้ จักรพรรดิหยวนที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ก็สะบัดมือขึ้นในทันใด พายุขนาดใหญ่พัดเข้ามา พัดไปทางหมอกควันนั้น พริบตาเดียวก็พัดสลายไป ภาพภายในกรงเผยให้เห็นได้อีกครั้ง

“ทวนดูดวิญญาณ!” ทันในนั้นมู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางเฉินปี้เฉิงด้วยนัยน์ตาที่วาววาบ

ตามคำพูดของนาง นางกับทวนซ่อนเงาก็ดูเหมือนกับมีร่างเดียวกัน กลายเป็นแสงที่น่ามหัศจรรย์สายหนึ่ง แทงเข้าทำลายดวงไฟของเฉินปี้เฉิง นำเสียงแหวกอากาศ โจมตีเข้าใส่เฉินปี้เฉิง

ทวนดูดวิญญาณเดิมเป็นหนึ่งในกระบวนท่าของทวนหลิงหลง

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทักษะสงคราม อย่างไรก็ตามมันก็สามารถแสดงพลังแห่งการโจมตีของทวนหลิงหลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

มู่ชิงเกอพลิกจากป้องกันเป็นโจมตี ก็ทำให้เฉินปี้เฉิงรู้สึกสนใจเช่นกัน

ภายในดวงตาของเขา ผสมไปด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม หันร่างกลับ ยกดาบวงพระจันทร์มังกรครามขึ้นรับ

ปัง—–

ทั้งสองคนปะทะกันอย่างรุนแรง พลังจิตของทั้งสองคนล้วนแต่แผ่สีม่วงเข้มออกมา นี่เป็นสัญลักษณ์ของระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นสุดยอด เกิดลมหมุน พุ่งเข้าใส่ผนังรอบด้าน ทำให้ผนังสั่นสะเทือน ฝุ่นฟุ้งกระจาย เผยให้เห็นรอยแตกเล็กน้อย

เสียงอาวุธปะทะกันยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังจิตระดับพลังชั้นสีม่วงพุ่งเข้าโจมตีกัน เกิดเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง—–

กรงที่มู่ชิงเกอและเฉินปี้เฉิงอยู่เกิดเสียงคำรามและการสั่นสะเทือนออกมาไม่หยุด ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะระเบิด แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ตลอดเวลา

นี่ทำให้คนภายนอกหยุดกิจกรรมของตัวเอง ยืนหรือไม่ก็นั่งอยู่ที่เดิม มองอย่างตกตะลึงไปทางกรงที่ถูกปิดผนึกนั่น

“เป็นใครอยู่ในนั้น?” จ้าวหนานซิงที่เพิ่งจะออกมาจากกรงพลาดฉากที่มู่ชิงเกอและเฉินปี้เฉิงเดินเข้าไปในกรง

เขาถูกฉากนี้ทำให้ตกใจ หันไปถามคนข้างๆ

ตอนนั้น คนที่อยู่ข้างกายของเขาก็คือผู้กล้าคนหนึ่งของแคว้นหรง นับจากที่ก้าวเข้ามาในเทียนตู ดูเหมือนว่าคนของแคว้นหรงจะดูแคลนคนของแคว้นระดับสามมาโดยตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกๆ ครั้งตอนที่มู่ชิงเกอนำพวกเขาให้เป็นจุดเด่น ภายในสายตาของทุกคนพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกไม่ดีกับคนของแคว้นระดับสาม

หากเป็นเวลาปกติ การถามเช่นนี้ของจ้าวหนานซิง ก็อาจจะโดนดูแคลน

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่จ้าวหนานซิงถาม คนๆ นั้นก็ตอบอย่างมึนงงว่า “เป็นคุณชายมู่แห่งแคว้นฉินแล้วก็ยังมีเฉินปี้เฉิง แห่งตระกูลเฉิน”

เมื่อพูดจบเขาก็เกิดกลัวขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นี่ต้องเป็นพลังระดับไหนกันถึงสามารถเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาได้?” หลังจากที่เขาพูดจบ ถึงได้หันไปเผชิญหน้ากับคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่

หลังจากที่มองเห็นว่าเป็นจ้าวหนานซิงแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก่อนจะรีบจากไป

จ้าวหนานซิงก็ไม่ได้สนใจเขา นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง

มองไปทางกรงที่มู่ชิงเกออยู่

ตอนนี้ กำแพงของกรงสั่นสะเทือนไม่หยุด ดินเป็นชั้นๆ หล่นลงมา บนยอดของกำแพงสูง แสงสีม่วงปะทะกัน ดูเหมือนต้องการต่อสู้เพื่อหาบทสรุป

ต้องรู้ว่ากำแพงสูงนี้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บใช้พลังจิตสร้างขึ้น

กรงทุกกรงก็เหมือนจะขวางกั้นด้านนอกเอาไว้ราวกับอยู่คนละมิติกาลเวลา

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพียงใด คนด้านนอกก็ไม่อาจสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้ การต่อสู้ของทั้งสองคนภายใน เหมือนกับสัตว์ป่าสองตัวที่กำลังโจมตีกำแพงอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าจะต้องพังกำแพงลงมาให้ได้ถึงจะยอมเลิกรา

ฟ่งอวี๋เฟยที่เพิ่งเสร็จจากการแข็งขัน ตอนนี้ก็เดินมาข้างกายของจ้าวหนานซิง เอ่ยด้วยสีหน้าที่ซีดขาวว่า “เฉินปี้เฉิงร้ายกาจเช่นนี้ ภายในพวกเรา เกรงว่าคงจะมีแต่คุณชายแล้วถึงจะสามารถเป็นคู่ต่อกรให้เขาได้”

จ้าวหนานซิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับฟ่งอวี๋เฟยว่า “พวกเราก็อย่าได้ชักข้าอีกเลย ยังเหลืออีกไม่ถึงสามวันก็จะสรุปผลการแข่งขันแล้ว ชิงเกออยู่ด้านในต่อสู้เพื่อแคว้นระดับสาม พวกเราก็ไม่อาจล่าช้าได้”

ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้าอย่างตั้งใจ มองไปทางด้านกรงที่มู่ชิงเกออยู่อีกครั้ง หันกายเดินไปยังประตูเหล็กสีดำของกรงอันอื่นที่เปิดอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version