ตอนที่ 187-3
รากวิญญาณเพลิงโดยกำเนิด การแข่งขันรอบที่สาม!
ใครจะรู้ สีหน้าที่ดูอ่อนโยนของเหมิงเหมิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นในทันที เอ่ยเตือนมู่ชิงเกอว่า “ไม่เพียงแต่อยู่ในหลินชวน แม้ว่าเจ้านายจะเข้าไปในโลกแห่งยุคกลาง ในตอนที่ตนเองยังไม่มีพลังปกป้องตนเองแล้วก็อย่าได้เปิดเผย” พูดแล้ว นางก็เปลี่ยนคำพูด “ไม่ ทางที่ดีที่สุดก็คือเวลาไหนๆ ก็อย่าได้เปิดเผยเป็นอันขาด ขอเพียงรากวิญญาณของเจ้านายถูกเล่าลือออกไป จะต้องดึงดูดปัญหาต่างๆ มากมายเข้ามาไม่หยุดหย่อน”
เหมิงเหมิงยังคงไม่พูดสาเหตุออกมาเหมือนเดิม แต่จากนํ้าเสียงของนางก็ทำให้มู่ชิงเกอรู้แล้ว เกรงว่าจะต้องหลบเลี่ยงเรื่องของรากวิญญาณมากขึ้นในโลกแห่งยุค กลาง
ไม่ได้เอ่ยถามต่อ มู่ชิงเกอพยักหน้า
ประเด็นกลับมาอยู่ที่เฉินปี้เฉิง “พูดเช่นนี้แสดงว่าเฉินปี้เฉิงจะต่องมีความก้าวหน้ามากในอนาคต”
เหมิงเหมิงพยักหน้า “ตามเหตุผลก็เป็นเช่นนี้ แต่ก็ต้องดูที่ตัวเขาเอง ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มีจิตใจไล่ตามความแข็งแกร่งก็จะเป็นเพียงแค่อัจฉริยะธรรมดา”
“รากวิญญาณเพลิงโดยกำเนิด! มิน่าเขาถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้ไม่ได้ลำบากก็สามารถฝึกฝนถึงระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุดได้ ทั้งยังสามารถสร้างทักษะสงครามได้ด้วยตนเองอีก” มู่ชิงเกอพูดอย่างอิจฉาเฉินปี้เฉิง
เหมิงเหมิงเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ขอร้องละเจ้านาย ถึงเขาจะมีรากวิญญาณเพลิงและสร้างทักษะสงครามด้วยตนเองได้ แต่นั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ! ทักษะสงครามของคนอื่นจากเริ่มถึงสุดท้ายก็เป็นของคนอื่น มีเพียงแค่ของที่ตนเองสร้างขึ้นมาเองเท่านั้นถึงจะเป็นของตนเอง สามารถรวมข้อดีของตนเองได้จุดๆ นี้เจ้าคนนั้นถือว่า ทำได้ไม่เลว”
มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วจิตใจของนางก็รู้สึกขมขื่น “ข้าก็มีรากวิญญาณสายฟ้า ทำไมข้าถึงไม่มีทักษะสงคราม?”
ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเหมิงเหมิงเหลือบมองมาอย่างดูแคลน “เจ้านาย ท่านสามารถมองดูตัวเองสักหน่อยได้ไหม? เจ้านั้นสามารถสร้างทักษะสงครามด้วยตนเอง นั้นก็เป็นเพราะว่าตั้งแต่เขาเกิดมาจนบัดนี้ ก็คิดถึงแต่เรื่องการฝึกฝนฝีมือ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ส่วนท่านเล่า? ทั้งวันก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง วิ่งไปวิ่งมา ช่วยเหลือคนไปทั่ว ที่สำคัญ เจ้านายลืมไปแล้วหรือว่าท่านเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนวิชาอย่างจริงจังเมื่อสี่กว่าปีก่อนนี้เอง?”
มู่ชิงเกอกะพริบตา รู้สึกว่าคำพูดของเหมิงเหมิงดูเหมือนจะถูกต้อง
นางหลบเลี่ยงดวงตาเล็กๆ ของเหมิงเหมิงแล้วก็ยิ้มอย่างกระดากใจออกไป
ระงับความสงสัยในใจชั่วคราว มู่ชิงเกอกับเหมิงเหมิงเดินออกจากบ่อสายฟ้า
ทันทีที่ออกมาก็มองเห็นหยวนหยวนทำตัวน่าสงสารนั่งอยู่ด้านนอก มองเห็นพวกเขา ทันทีที่เห็นนางออกมา หยวนหยวนก็ลุกขึ้นอย่างดีใจ ตัวเจ้าเนื้อพร้อมใบหน้าขาวนวลก็เต็มไปด้วยความคิดถึง
มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูดอะไรก็รู้สึกว่าเหมิงเหมิงคว้าเสื้อและปีนขึ้นมาในอ้อมอกของตนเอง สองมือยึดจับชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น ประกาศสิทธิ์กับหยวนหยวนอย่างได้ใจ “เจ้านายเอ็นดูข้าที่สุด! มาใหม่ก็ไปต่อแถวด้านข้าง!”
ใบหน้าของมู่ชิงเกอมืดครึ้มขึ้นเอ่ยเสียงเข้มกับเหมิงเหมิง “นี่เจ้าทำอะไร?”
เหมิงเหมิงกะพริบตาให้นาง เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านาย ข้ากำลังให้การสั่งสอน ไม่สามารถให้หยวนหยวนเจ้าเด็กคนนี้จากเล็กก็ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ จนคิดว่าทุก คนล้วนแต่เอ็นดูเขาได้!”
มู่ชิงเกอรู้สึกไร้คำพูด
เหมิงเหมิงที่ไม่ได้โตไปมากกว่าหยวนหยวนสักเท่าไหร่ กลับพูดคำว่าให้การสั่งสอนออกมาได้แล้วหรือ?
ภาพนี้ คิดอย่างไรก็ดูตลก
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ลากเหมิงเหมิงลงมา เดินไปตรงหน้าหยวนหยวนที่กำลังเบ้ปากกัดฟันเพียงลำพัง
ท่าทางของหยวนหยวนทำให้นางใจอ่อนล้วงเอาขวดๆ หนึ่งจากอกมอบให้แก่หยวนหยวน
หยวนหยวนรีบเปลี่ยนใบหน้าที่กำลังร้องไห้ในทันที สองมือรับขวด เอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอบคุณลูกพี่ท่านแม่!” รับแล้วก็ส่งสายตาไปที่เหมิงเหมิง
เหมิงเหมิงยืนอยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง โกรธจนกัดฟัน
มู่ชิงเกอหันกายเอาขวดออกมาอีกขวด วางเข้าไปในอกของเหมิงเหมิง “เหมิงเหมิงของเจ้า”
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของเหมิงเหมิงก็เผยรอยยิ้มได้ใจออกมา
ถึงตอนนี้มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยกับหยวนหยวนและเหมิงเหมิงว่า “ในเมื่อมีวาสนาได้อยู่ด้วยกันแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันก็จะต้องรักใคร่กัน อาวุธต้องเอาไว้ต่อกรกับคนนอก ไม่อาจจะทำให้ข้างในวุ่นวาย ” มู่ชิงเกอเอ่ยสงสอนรอบหนึ่ง พูดจนทั้งสองเริ่มมึนศีรษะ แล้วจึงหันกายออกไปจากช่องว่าง
มู่ชิงเกอที่กล่าววาจาอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่พอหายไป หยวนหยวนกับเหมิงเหมิงก็สบตากันแวบหนึ่ง
ในดวงตาเล็กๆ ยังคงฉายแววไม่ชอบใจใส่กันและกัน
“เจ้านายคิดอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ที่ลูกพี่ท่านแม่พูดนั้นหมายความว่าอย่างไร?”
หลบหนีออกจากช่องว่างแล้ว มู่ชิงเกอพอยืนอยู่ที่ห้องของตนเองในเรือนรับรอง นางก็อดไม่ได้ที่จะลูบๆ คิ้วของตนเอง
นางไม่เหมาะกับหน้าที่การสั่งสอนจริงๆ
นางคิดที่จะสั่งสอนให้เหมิงเหมิงกับหยวนหยวนรักใคร่ ช่วยเหลือกัน อย่าได้แย่งชิงอิจฉากัน แต่แล้วพูดมาถึงสุดท้ายแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่? จึงได้หลบหนีออกจากช่องว่างอย่างทุลักทุเลเช่นนี้
พอได้ฝึกฝนอยู่ในบ่อสายฟ้ามันก็ได้ทำให้มู่ชิงเกอฟื้นจากอาการเหนื่อยล้าแล้ว
รอนางเปิดประตูเดินออกไปถึงได้พบว่าด้านนอกนั้นฟ้ามืดสนิท
พอรู้สึกว่าท้องเริ่มหิว มู่ชิงเกอก็เดินมุ่งไปทางห้องโถงด้านหน้า
ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากห้องโถงด้านหน้า ดึงดูดให้ฝีเท้าของนางเร่งความเร็วขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว
“หอมจริงๆ!” มู่ชิงเกอตามกลิ่นหอมมา เพิ่งจะก้าวเข้าไปในประตูห้องโถงก็มองเห็นบนโต๊ะกลมมีคนสามคน กำลังลิ้มรสอาหารทั้งโต๊ะนั้นอยู่
ดวงตาของนางเปล่งประกายเอ่ยเสียงดังขึ้นในทันที “ดีจริง! ถึงกับกินอาหารอร่อยลับหลังข้าได้!”
ทันทีที่นางส่งเสียง จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็หันมา มองนางในทันที
มีเพียงแค่เจียงหลีที่ผ้าคลุมหน้าลีทองได้ถูกนางถอด ออกวางไว้อีกทางกำลังง่วนอยู่กับการแทะกระดูก
กระดูกชิ้นนั้นมีขนาดเท่ากับใบหน้าของนาง ดูแล้วน่าตกตะลึงจริงๆ
“ชิงเกอ เจ้าพักผ่อนเสร็จแล้วหรือ?” จ้าวหนานซิงเอ่ยยิ้มๆ
ฟ่งอวี๋เฟยก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมาได้เวลาพอดี พวกเราเพิ่งจะนั่งลง เพราะรู้ว่าคุณชายกำลังพักผ่อนจึง ไม่ได้ไปรบกวน”
มู่ชิงเกอเดินเข้ามา นั่งลงบนที่ว่าง ด้านหน้าฟ่งอวี๋เฟยได้จัดเตรียมถ้วยและตะเกียบเอาไว้ให้นางแล้ว
มองเห็นเจียงหลีวุ่นวายจนแม้แต่จะสบตานางสักแวบก็ไม่มี ทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร? ทางอาณาจักรเซิ่งหยวนไม่ได้จัดเตรียมอาหารให้เรือนรับรองของแคว้นกู่วู่หรือ? เหตุใดฮ่องเต้เจียงผู้ยิ่งใหญ่ถึง
ได้มาทานที่เรือนรับรองของแคว้นระดับสามของพวกเราได้?”
เจียงหลีใช้ฟันกัดชิ้นเนื้อติดกระดูกออกมาชิ้นหนึ่ง—เคี้ยว—เข้าไปในปากแล้วกลืนลง นี่ถึงได้มีเวลาว่างเงยหน้ามองไปทางมู่ชิงเกอ ใบหน้าของนางไม่เหมือนกับคนทั่วไป ใบหน้าที่งดงามและมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาเผยขึ้นต่อหน้าของคนทั้งสาม ทำให้นัยน์ตาของคนทั้งสามฉายแววตกตะลึง
พูดตามจริง ใบหน้านี้ของเจียงหลีไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกตกตะลึงเพียงครั้งแรกที่ได้เห็นเท่านั้น แต่ยิ่งมองไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เห็นแววตกตะลึงในดวงตาของทั้งสามคน เจียงหลีแลบลิ้นสีชมพูของนางออกมาเลียคราบนํ้ามันที่มุมปาก มองมู่ชิงเกออย่างเอือมๆ “เจ้าผิดแล้ว”
“ข้าผิด?” มู่ชิงเกอมองนางอย่างแปลกประหลาด
ในตอนนั้นนางก็ไม่ได้สนใจถึงนัยน์ตาของจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยที่ล้วนแต่ฉายแววเก้อเขิน
เจียงหลีหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก พยักหน้าเอ่ยว่า “อาหารเหล่านี้ ข้าเป็นคนนำมา หากจะบอกว่ากิน ก็คือพวกเจ้ากินของข้าถึงจะถูก”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก กวาดสายตาไปทางจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย ดูเหมือนว่ากำลังเอ่ยกับพวกเขา ‘พวกเราไม่มีของกินแล้วหรือ? ทำร้ายนางจนอับอายเช่นนี้ได้’
ทั้งสองคน ‘เหอ เหอ’ หัวเราะออกมา หลบเลี่ยงสายตาที่เฉียบคมของนาง หยิบตะเกียบของตนเองขึ้นมากินอาหารไป
อา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอและเจียงหลีไม่ใช่เรื่องที่คนภายนอกจะสามารถก้าวเข้าไปเกี่ยวข้องได้
แม้แต่เริ่มแรกฟ่งอวี๋เฟยก็รู้สึกว่าคนทั้งสองช่างเหมาะสมกันจนหวังว่าทั้งสองคนจะสามารถกลายเป็นคู่รักกันได้ แต่หลังจากสนิทกันมาสักพักหนึ่งก็ค้นพบว่าความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอและเจียงหลีไม่ได้เป็นเหมือนกันที่เล่าลือกันภายนอกเลย
มู่ชิงเกอหยิบตะเกียบที่อยู่ตรงหน้า คีบอาหารตรงหน้าของตนเองขึ้นมาด้วยท่าทางที่เรียบเฉย กินไปหนึ่งคำก็ เอ่ยกับเจียงหลีว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
เจียงหลีทั้งลงมือวุ่นวายกับกระดูกในถ้วยของตนเองต่อ พร้อมทั้งเอ่ยว่า “ข้ามาแสดงความชื่นชมต่อรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของหลินชวนในปัจจุบัน!”
“ผู้เยาว์อันดับหนึ่งของหลินชวน?” มู่ชิงเกอมองนางอย่างแปลกใจ แม้แต่อาหารบนตะเกียบก็ลืมที่จะเอาเข้าปาก
เจียงหลีพยักหน้าแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ว่างสนใจมู่ชิงเกอ ยกมือชี้ไปทางจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยว่า “ให้พวกเขาทั้งสองคนอธิบายให้เจ้าฟังเถอะ”
มู่ชิงเกอวางตะเกียบลง มองไปทางจ้าวหนานซิง
จ้าวหนานซิงยิ้มๆ วางตะเกียบในมือของตนเองลง อธิบายง่ายๆ ให้มู่ชิงเกอฟังว่า “เดิมทีเฉินปี้เฉิงก็ถูกยอมรับว่าเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของหลินชวน ตอนนี้เจ้าเอาชนะเขาได้ชื่อเสียงนี้ก็ตกมาอยู่บนหัวของเจ้า” เมื่ออธิบายจบ เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นอีกครั้ง ทานต่อไป
มู่ชิงเกอไร้คำที่จะเอ่ย
นางเพียงแค่พักผ่อนชั่วครู่ เหตุใดภายในเทียนตูจึงมีข่าวลือเกี่ยวกับนางเพิ่มขึ้นอีกแล้ว?
ตอนนี้นางกลายเป็นประเด็นเรื่องเล่าอันดับหนึ่งในเทียนตูไปจริงๆ แล้ว!