ตอนที่ 189-2
ช่องว่างที่แปลกประหลาด ชิงเกอโมโหแล้ว!
ทิวทัศน์ด้านหน้าไม่เหมือนกับทุ่งหญ้ากระจกเงาเลยสักนิด แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับลักษณะของหุบเขา
“พวกเราในตอนนี้ถือว่าเดินออกมาหรือยัง?” เจียงหลีเอ่ยถามมู่ชิงเกออย่างไม่แน่ใจ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้นางไม่ค่อยมั่นใจ
ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นนางก็ตัดสินใจเอ่ยว่า “ลองเดินไปข้างหน้าดู”
สำหรับเรื่องนี้เจียงหลีไม่มีข้อคิดเห็น
ทั้งสองคนก้าวเท้าพร้อมกัน ทันทีที่ก้าวเท้า สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไป ที่เคยเป็นทุ่งหญ้ากระจกเงาก็ดูเหมือนว่าจะถูกคลื่นนํ้าซัดหายไป
แทนที่ด้วยหุบเหวลึกที่ดิ่งลึกลงไป
“นี่คือ…” เจียงหลีมองทั้งหมดตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสเปลี่ยนเป็นมีหมอกควันสีเทาๆ ทำให้การมองเห็นเปลี่ยนเป็นไม่ชัดเจน
ทั้งสองคนยืนอยู่บนพื้นหินกรวด ด้านซ้ายและด้านขวา ล้วนแต่เป็นหุบเหวลึก แง่งหินห้อยตกลงไปเป็นทิวแถว ดูแหลมคมเหมือนมีด บ้าคลั่งและน่ากลัว อยู่ด้านหน้าของพวกนางมีเส้นทางสายเดียวให้เดิน
เส้นทางนี้ดูเหมือนว่าจะแคบมาก ทุกครั้งสามารถเดินผ่านได้แค่คนเดียว ทั้งสองด้านถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ มองไม่ชัดเจน
“กลิ่นเลือดฉุนมาก” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
เจียงหลีย่นจมูก พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นกลิ่นเลือดจริงๆ อีกอย่างที่มาของเลือดก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ข้างหน้า” นางยกมือขึ้นชี้ไปที่ความมืดที่ด้านหน้า
“ดูแล้วที่นี่ก็คือหุบเหวมารโลหิตไม่ผิดแน่” มู่ชิงเกอ เอ่ยความคิดของตนเองออกมา
“เหตุใดเพียงครู่เดียวพวกเราก็เดินมาจนถึงที่นี่แล้ว?” เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอก หุบเขาที่ดูลึกเหล่านั้นก็ลึกจนดูเหมือนกับขุมนรกที่ลึกจนไม่เห็นก้น
พวกนางยืนอยู่บนพื้นจึงดูเล็กมาก
“บางทีอาจเป็นอาคมบางอย่าง หรือบางทีอาจเป็นพลังที่เราไม่รู้” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ
ในดวงตาของนางก็ฉายแววสงสัยเช่นเดียวกัน
ช่องว่างแห่งการทดสอบนี้ดูเหมือนว่าไม่ได้ง่ายดาย เหมือนที่นางเคยคิดเมื่อเริ่มแรก แค่เพียงเริ่มต้น ในตอนที่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ นางก็เคยสงสัยว่า ช่องว่างนี้เป็นเช่นเดียวกันกับเหมิงเหมิงหรือไม่ เป็นเศษชิ้นส่วนของช่องว่างขนาดเล็ก หรือว่าเป็นยุทธภัณฑ์ช่องว่าง แต่ว่าเมื่อเข้ามาแล้ว พอได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ มาระยะหนึ่ง กลับทำให้นางเริ่มสงสัยว่าน่าจะเป็นการคาดเดาแรกของตนเอง
อย่างน้อยช่องว่างที่เหมิงเหมิงสำแดงออกมาก็ไม่ได้แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้คนมีความรู้สึกเหมือนก้าวหนึ่งไปสวรรค์ก้าวหนึ่งไปนรก
เจียงหลีบ่นกับนางว่า “รอเจ้าออกไปแล้วได้พบกับมหาปราชญ์ก็ขอให้ท่านอธิบายให้ฟังแทนข้าที” พูดแล้ว ภายในดวงตาสีทองของนางก็ฉายแววตื่นเต้น “ที่นี่ ช่างทำให้คนเลือดร้อนได้จริงๆ!”
ท่าทางที่ไม่ยอมปล่อยให้เงียบเหงาเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอส่ายหน้าหัวเราะ
นางมองไปที่เส้นทางเดียวข้างหน้าสำหรับการออกไป แล้วก็เอ่ยกับเจียงหลีว่า “ในเมื่อมีเพียงแค่เส้นทางเดียว เช่นนั้นพวกเราก็เดินไปข้างหน้ากันเถอะ”
พูดแล้วนางก็เริ่มก้าวแรกออกไป
เจียงหลีรีบเดินตามมา เพียงแค่ทั้งสองคนเคลื่อนไหว ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอีก
หมอกสีดำที่ปิดกั้นเส้นทางแหวกถอยออกไปทั้งสองด้าน เผยเส้นทางที่แท้จริงแก่คนทั้งสอง
เมื่อมองเห็นข้างหน้าทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาของเจียงหลีกับมู่ชิงก็ก็หดตัวลงพร้อมกัน
ด้านหน้า เส้นทางแคบที่สามารถผ่านได้เพียงหนึ่งคนนั้น กลับเป็นสะพานหินที่ลอยตัวอยู่ในความมืดจนไม่เห็นปลายทาง ซ้ายและขวาของสะพานหินมืดมากจนมองไม่เห็นถึงความลึกด้านล่าง
หลังจากมู่ชิงเกอและเจียงหลีตกตะลึงแล้ว ก็มุ่งลงไปทางสะพาน
ภายในความมืดดูเหมือนว่าจะมีนัยน์ตาสีแดงวาววาบไปมาอยู่ตลอด จ้องมองพวกนางทั้งสองคน
“เจ้าว่าหากตกลงไปแล้วจะเป็นอย่างไร?” เจียงหลีหรี่ตาเอ่ยถามขึ้นมา
“ลองๆ ดูก็รู้” มู่ชิงเกอสะบัดมือ น่องขาของสัตว์อสูรชิ้นหนึ่งโผล่ออกมาจากกลางอากาศ ตกลงไปในความมืด นี่ เป็นเสบียงที่เตรียมไว้สำหรับหยินเฉิน เวลานี้ถือว่าใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ดวงตาสีทองของเจียงหลีจ้องไปที่น่องขาชิ้นนั้น
ตอนที่น่องขาตกลงไป ในตอนที่มันมีขนาดเล็กเท่ากำปั้น ก็มีเงาสีแดงสองสายวาบออกมาดุจดั่งสายฟ้าคาบน่องขาจมลงไป
“…” มู่ชิงเกอ
“…” เจียงหลี
ภายในความมืดมองไม่เห็นเงาของน่องขา แต่นัยน์ตาสีแดงเหล่านั้นยังคงซ่อนอยู่ที่ด้านล่างเปล่งประกายไปมา
“นั้นมันคืออะไร?” เจียงหลีเอ่ยถาม
ประโยคนั้นนางไม่ได้จะถามมู่ชิงเกอ แต่เป็นเพียงประโยคพูดลอยๆ
เงาสีแดงสองสายมาอย่างรวดเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็หายไป มองไม่เห็นถึงลักษณะ สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ก็คือสิ่งที่สามารถให้ความสนใจกับน่องขาที่เป็นอาหารเช่นนั้นได้แล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตบางชนิด
“ที่นี่ถูกเรียกว่าหุบเหวมารโลหิต เจ้าว่าสิ่งนี้จะเรียกว่าอะไร?” สายตาของมู่ชิงเกอดูสงบกวาดตามองรอบๆ
“มารโลหิต? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ย พูดจบนางก็มองไปรอบๆ ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง
“มู่ชิงเกอ” เจียงหลีร้องออกมา
มู่ชิงเกอหันไปตาม ในตอนที่สายตาของนางและเจียงหลีอยู่ในเส้นทางเดียวกัน นัยน์ตาก็หดตัวลงพร้อมกัน
เส้นทางที่พวกนางเดินผ่านมากลับหายไปแล้ว!
ด้านหลังของพวกนางมีเพียงแค่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าจะสามารถกลืนทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดเวลา ส่วนภายในความมืดก็มีสีแดงที่ดูคล้ายกับดวงตาวาววาบอยู่อย่างต่อเนื่อง
ถอนสายตากลับ มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ดูท่า นอกจากพวกเราจะต้องเดินไปด้านหน้าเรื่อยๆ ก็ไม่มีเส้นทางอื่นๆ ให้เลือกอีกแล้ว”
“พวกเรายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนาน มารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ไม่ได้ออกมาโจมตี เช่นนั้นก็สามารถบ่งบอกได้หรือไม่ว่าเพียงแค่ไม่ตกลงไปก็จะไม่เป็นไร?” เจียงหลีเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ตามข้อมูลที่มีในมือ การคาดการณ์ของเจ้าน่าจะไม่ผิด”
ไม่ได้ถ่วงเวลา ทั้งสองเดินหน้าต่อไป
และสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ไม่ได้โจมตีพวกนางจริงๆ
ขอเพียงพวกนางเคลื่อนตัวไปด้านหน้า เส้นทางด้านหลังก็จะหายไป ไม่ให้โอกาสให้พวกนางได้ถอยหลังกลับ สะพานหินใต้เท้าก็เปลี่ยนเป็นแคบลงเรื่อยๆ กรวดบนทางเท้าลื่นมากและยึดเกาะได้ไม่ดี หากไม่ระวัง ลื่นไปก็จะต้องตกลงไปในความมืดกลายเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตบางอย่างเหล่านั้น ทั้งสองคนเดินตามหลังกันไปบนสะพานหิน ทุกย่างก้าวล้วนแต่ระมัดระวัง ความเงียบเช่นนี้ ทำให้ความกลัวเริ่มขยายตัว ราวกับว่ากำลังถูกจ้องมองจากสายตานับล้านรอบด้าน สายตาที่มองตนเองเช่นนั้นดูคล้ายกับกำลังมองอาหารอันโอชะ
สะพานหินใต้เท้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เพียงแต่สามารถระบุได้ว่าสะพานหินยิ่งแคบเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้กับทางออกมากแค่นั้น
ที่นี่เป็นช่องว่างแห่งการทดสอบ ไม่ใช่เขตหวงห้ามบนแผนที่ เช่นนั้นก็จะต้องไม่ใช่เส้นทางแห่งความตายอย่างแน่นอน
“ถ้าหากพูดว่าทุ่งหญ้ากระจกเงาทดสอบจิตใจ เช่นนั้นหุบเหวมารโลหิตล่ะ? ทดสอบความกล้าอย่างนั้นหรือ?” เจียงหลีเอ่ยปากทำลายความเงียบที่ยากจะทนนี้
“ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าพูด” มู่ชิงเกอเคลื่อนที่ขณะพูดคุยกับเจียงหลี
ในสถานการณ์เช่นนี้หากเป็นคนที่มีความกล้าหรือความสงบไม่พอ ไม่แน่ว่าอาจจะตกลงไปตั้งแต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวแล้วก็ได้
“ไม่ใช่พูดว่าแผ่นป้ายห้าแผ่นอยู่ที่นี่มิใช่หรือ? นี่จะหาได้อย่างไร?” เจียงหลีมองไปรอบด้าน ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอกลับมีความมั่นใจ “ในเมื่อพวกเขาสามารถเอาแผ่นป้ายมาวางไว้ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องสามารถหาออกมาได้”
เจียงหลีพยักหน้า “เช่นนั้นนอกจากสนใจที่ใต้เท้าแล้วยังต้องมองดูรอบๆ ด้วย”
มู่ชิงเกอตอบรับไปคำหนึ่ง เดินไปข้างหน้าต่อ
เดินเพียงไม่นาน ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะค่อยๆ ปรับตัว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่กดดันนี้ได้แล้ว นอกจากพื้นสะพานหินใต้เท้าจะแคบลงจนมีขนาดเท่ากับแขนของชายฉกรรจ์แล้ว ทุกอย่างก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อ พวกนางได้อีกแล้ว
“กลิ่นเลือดดูเหมือนว่าจะฉุนขึ้นเรื่อยๆ” เจียงหลีย่นจมูก ขมวดคิ้วเอ่ย
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้าขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าได้ยินเสียงอะไรเคลื่อนไหวหรือไม่?”
“มีเสียงงั้นหรือ?” เจียงหลีกลั้นลมหายใจ แยกแยะความแตกต่างอย่างระมัดระวัง
มู่ชิงเกอก็เงียบลงเช่นเดียวกัน หลังจากที่ร่างกายของนางได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว สัมผัสทั้งห้าก็ดูจะเฉียบคมมากขึ้นว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป นางแน่ใจว่าหูของตนเองไม่มีปัญหา ด้านหน้าเหมือนจะมีเสียงของการต่อสู้
“ดูเหมือนว่า”””มีคนกำลังต่อสู้?” ไม่นาน เจียงหลีก็เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
มีคำพูดของเจียงหลี มู่ชิงเกอก็ยิ่งแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด
นางรีบเร่งฝีเท้า หินกรวดใต้เท้าลื่นตกลงไปในความมืดอย่างต่อเนื่อง
“ในเมื่อมีการต่อสู้ก็จะต้องมีคน พวกเราไปดูกันเถอะ”
เจียงหลีก็ไม่ได้คัดด้าน
ทั้งสองคนเร่งความเร็ว พุ่งไปทางที่มีเสียงการต่อสู้
ยิ่งใกล้เสียงก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ มู่ชิงเกอกับเจียงหลีสบตากัน ความรู้สึกในสายตาของแต่ละคนมีความชัดเจนมาก
เพราะว่านอกจากเสียงของอาวุธปะทะกันแล้วยังมีเสียงบางอย่างดังออกมาอีก
“อวี๋เฟยระวัง—–!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตะหนกดังขึ้นมา
ดวงตาของมู่ชิงเกอกับเจียงหลีวาววาบ ระบุได้ว่าเสียงนั้นเป็นจ้าวหนานซิงในทันที
“พวกเขาอยู่ด้านหน้า!” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม สะกิดเท้า ตัวคนก็ได้หายไปจากตรงหน้าของเจียงหลี
เจียงหลีรีบตามไป ในตอนที่มองเห็นมู่ชิงเกอ ก็พบว่านางยืนอยู่ที่ปลายสะพานหินแล้ว
“ให้ตายเถอะ! วางกับดักได้ร้ายกาจนัก!” ฉากตรงหน้าก็ทำให้เจียงหลีรีบหยุดชะงักตัวเองที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าในทันที
นางยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ ร่างกายของทั้งสองคนสั่นไหวเนื่องจากการสั่นสะเทือนของสะพานหินภายใต้เท้าของพวกนาง
ปลายสะพานหินมีความบางเท่านิ้วมือ
ด้านหน้า ก็เหมือนกับการเข้าไปในที่มืดอันเวิ้งว้าง ภายในความมืด มีก้อนหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยโผล่อยู่ ดูเหมือนกับเป็นส่วนเชื่อมต่อของสะพาน ในตอนนี้บนก้อนหินตรงหน้าบางก้อนก็มีคนยืนอยู่และกำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตสีแดงที่กำลังพุ่งไปทางพวกเขา
เสียง ‘จี จี จี’ เหล่านั้นมาจากปากของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ส่วนเหล่าคนที่กำลังต่อสู้นั้นก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับมู่ชิงเกอและเจียงหลี นอกจากจ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยแล้ว ก็ยังมีองครักษ์เขี้ยวมังกรส่วนหนึ่งกับผู้กล้าจากแคว้นทั้งสองของพวกเขา
จำนวนคนมีประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน
ดูแล้วพวกเขาน่าจะตกลงมาที่หุบเหวมารโลหิตโดยตรง เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะว่าเจียงหลีหยุดชะงักได้ทันพอดี เกรงว่าตอนนี้คงตกลงไปในความมืดแล้ว นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางพูดว่า ‘วางกับดักได้ร้ายกาจนัก’
ใครจะคิดว่าปลายสุดของสะพานหินจะต่อกับสถานที่เช่นนี้ได้!