ตอนที่ 189-4
ช่องว่างที่แปลกประหลาด ชิงเกอโมโหแล้ว!
“เวลาของที่นี่ดูเหมือนว่าจะเดินช้า” มู่ชิงเกอที่เงยหน้ามองท้องฟ้าบนยอดไม้อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
คำพูดของนางดึงดูดให้คนอื่นๆ สนใจ
เจียงหลีก็พูดตามว่า “ตอนที่พวกเราเข้ามาจากเขตหวงห้ามของพระราชวังก็เป็นยามเช้า จากนั้น ข้ากับมู่ชิงเกอก็ตกลงไปในทุ่งหญ้ากระจกเงา เดินนานมากถึงออกมาได้ เวลาในตอนนั้นก็น่าจะถึงเที่ยงแล้ว จากนั้นเมื่อเข้าไปในหุบเหวมารโลหิต ก็เดินบนสะพานหินนั้นอย่างยาวนานจนกระทั่งเจอกับพวกเจ้า จากนั้นก็เดินร่วมทางกันอย่างยาวนาน หากจะอิงจากระยะทางที่พวกเราเดินทาง ตอนนี้ก็น่าจะเข้าสู่ยามคํ่าแล้ว…’’
แต่ว่า—–
ทุกคนมองขึ้นไปบนยอดต้นไม้ตามรอยแยกของกิ่งไม้ ส่วนที่โผล่ออกมาก็คือท้องฟ้าที่ยังคงเป็นสีฟ้าสดใสดุจดังหยุดนิ่ง
“หากไม่ใช่ว่าการไหลของเวลาไม่ถูก ก็ต้องหมายความว่าพวกเราอยู่ในหุบเหวมารโลหิตหนึ่งวันเต็มๆ อย่างนั้นหรือ?” ฟ่งอวี๋เฟยเสนอความคิดของตนเองออกมา
แต่ว่า ในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำให้’ทุกคนเห็นด้วยได้
“หุบเหวมารโลหิต หุบเหวมารโลหิต…” มู่ชิงเกอพึมพำซํ้าไปมา
“เป็นอะไร?” เจียงหลีเอ่ยอย่างสงสัย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “พวกเราเข้าไปในหุบเหวมารโลหิตก็ไม่ใช่ถํ้า แต่เหตุใดจึงถูกห้อมล้อมไว้ด้วยความมืด? อีกอย่างเมื่อออกมาจากถํ้า หากว่าหุบเหวมารโลหิตเป็นถํ้าขนาดใหญ่ก็น่าจะถูกเรียกว่าถํ้ามารโลหิตมากกว่ามิใช่หรือ? เหตุใดจึงถูกเรียกว่าหุบเหว”
คำพูดของมู่ชิงเกอก็ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวพันกับชื่อของช่องว่างแห่งการทดสอบ
แต่ในความเป็นจริง เมื่อขบคิดอย่างละเอียดก็สามารถฟังถึงความหมายในคำพูดของนางออกมาได้สิ่งที่นางจะสื่อถึงไม่ใช่ชื่อของช่องว่างแห่งการทดสอบ แต่เป็น ลักษณะของช่องว่างแห่งการทดสอบ
ช่องว่างแห่งการทดสอบนี้ระหว่างพื้นที่ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกัน ดูเหมือนว่าจะแปลกประหลาดมาก
กะทันหันและไม่มีความต่อเนื่อง
จ้าวหนานซิงนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้คิดไปก็ไม่ มีประโยชน์ในเมื่อที่นี่แปลกประหลาดมาก เช่นนั้นป่าต้นอู๋ถงนี้ก็คงจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร เพียงแต่ไม่รู้ว่าภายในป่าไม้โบราณที่หนาแน่นเหล่านี้จะซ่อนกับดักอันตรายอะไรเอาไว้”
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “นี่ก็เป็นเพียงแค่เขตปลอดภัยเท่านั้น หากว่าเป็นที่ที่ถูกเรียกว่า เขตหวงห้ามก็คงไม่อาจเข้าใกล้ได้แล้ว ที่นั่นจะอันตราย ถึงขนาดไหนกัน?”
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะผ่านไปหรอกใช่ไหม?” ดวงตาของเจียงหลีเปล่งประกาย จ้องมองนาง
มู่ชิงเกอมองนาง หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ท่าทางของเจ้าดูไม่เหมือนจะห้ามข้าไม่ให้เข้าไปเลย”
“อ้า—–!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตกใจดังขึ้น
ในนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวแหวกอากาศดังเข้ามา ทุกคนที่กำลังพักผ่อน เร่งรีบพากันยืนขึ้น เข้าสู่สถานะเตรียมพร้อมในทันที
พวกมู่ชิงเกอทั้งสี่คนก็ลุกขึ้นมาจากพื้น เงยหน้าไปมองทางทิศที่เกิดเสียงขึ้นมา
ทันใดนั้น ป่าไม้ที่สงบเงียบก็เข้าสู่ความสับสนอลหม่านในทันใด ระหว่างช่องว่างของต้นไม้หนาทึบ เกิดเมฆดำกลุ่มใหญ่เป็นชั้นๆ ปรากฏขึ้นปกคลุมท้องฟ้า
“ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จ้าวหนานซิงเอ่ยปากขึ้นมา
เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป ก็เห็นเงาคนปรากฏอยู่ในป่าไม้โบราณที่รกครึ้ม พริบตาเดียวก็มีหลายสิบคนพุ่งออกมาพร้อมกันวิ่งมาทางที่พวกเขาอยู่อย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าของพวกเขาดูหวาดกลัว ดูเหมือนกับว่าด้านหลังจะมีอะไรที่น่ากลัว ตามมา
“คนเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนของตระกูลจิ่ง!”
“ยังมีคนของพวกเราอีกด้วย!” ฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยต่อ ในบรรดาคนที่พุ่งเข้ามา สวมชุดไม่เหมือนกัน ดูคล้ายกับเป็นกองกำลังคนละกอง ภายในนั้นส่วนใหญ่สวมชุด ของตระกูลจิ่ง
ที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกออย่างจิ่งเทียนก็อยู่ในนั้น
อีกส่วนหนึ่งเล็กๆ สวมชุดขององครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ยังมีชุดของผู้กล้าแคว้นลี่และแคว้นอวี๋
ในคนกลุ่มนี้ยังมีหญิงสาวเจ็ดแปดคน บนร่างกายของพวกนางสวมชุดของตระกูลฮวา
บรรดาคนในกลุ่มนั้น นอกจากคนของตระกูลจิ่งและตระกูลฮวาที่มีท่าทีที่แตกตื่น ใบหน้าดูหวาดกลัวแล้ว คนของแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ก็มีใบหน้าซีดขาว ทั้งวิ่งทั้งมองไปด้านหลัง
มู่ชิงเกอเพ่งมองไป ที่ตามมาด้านหลังล้วนแต่เป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรของนาง
ส่วนด้านหลังองครักษ์เขี้ยวมังกร เหมือนลมกระโชกแรง เงาร่างของสิ่งที่ไล่ตามทุกคน ในที่สุดก็ถูกเปิดเผยออกมา
“นั่นเป็นตัวประหลาดอะไรกัน!”
เมื่อมองชัดถึงสิ่งที่ไล่ตามมา จ้าวหนานซิงก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงออกไป
ส่วนมู่ชิงเกอกลับจ้ององครักษ์เขี้ยวมังกร นัยน์ตาลุกโชนเป็นไฟ!
พระราชวังแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน จักรพรรดิหยวน หวงฝู่เฮ่าเทียนยืนอยู่ในพระตำหนักของพระองค์ประทับอย่างไม่สงบสุข
ทางเข้าของช่องว่างแห่งการทดสอบปิดไปครึ่งวันแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครถอยออกมา ใครก็ไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายในว่าเกิดอะไรขึ้น
ถ้าหากว่ามีผู้เยี่ยมยุทธขั้นกักเก็บลอบเข้าไปแล้ววางแผนการร้ายต่อมู่ชิงเกอจริงๆ ทำให้มู่ชิงเกอได้รับบาดเจ็บหรือตายแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขา……………………
แค่คิดถึงสิ่งที่จะเป็นไปได้ มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อของหวงฝู่เฮ่าเทียนก็สั่นสะท้านขึ้นมา สีหน้าซีดขาว
เขาไม่อาจจะเผชิญหน้ากับโทสะขององค์มหาปราชญได้ ราชวงศ์หวงฝู่ก็เกรงว่าคงจะถูกฝังในตอนนั้น!
ความเป็นไปได้เช่นนี้ ทำให้ในใจของ เขา เกิดความโกรธแค้นเหล่าคนที่วางแผนการร้ายต่อมู่ชิงเกอ
“ทหาร!” เขาร้องตะโกนขึ้นในทันที
อย่างรวดเร็ว หัวหน้าองครักษ์หลวงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา
“นำทหารไปล้อมเรือนรับรองของสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตรา จับตัวไท่สื่อเกา เฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยมาให้ข้า!”
หัวหน้าองครักษ์หลวงรับคำสั่งก่อนจะเร่งถอยออกไป
หวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ผู้อาวุโสหกอยู่ที่ใด?”
คำพูดของเขาเพิ่งหลุดออกไป มุมของพระตำหนักก็ค่อยๆ ปรากฏเงาคนออกมา
เมื่อมองเห็นเขา ท่าทางของหวงฝู่เฮ่าเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคารพยำเกรง เขาเอ่ยกับผู้อาวุโสหกว่า “ผู้อาวุโสหก ตระกูลหลานกล้าดีเกินตัว กลัวว่าจะทำให้มหาปราชญ์ พิโรธ คงขอเชิญให้เหล่าผู้อาวุโสออกหน้า ช่วยข้ากดดันตระกูลหลานแล้ว”
จากนั้น เขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังรอบหนึ่ง ผู้อาวุโสหกฟังจบแล้วก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จะคุ้มค่าหรือที่จะทำเรื่องให้ใหญ่โตเพียงเพราะเด็กจากแคว้นระดับสามแค่คนเดียว?”
หวงฝู่เฮ่าเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสหก คุณชายมู่ผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่เกรงว่าจะไม่ธรรมดากับมหาปราชญ์ มหาปราชญ์เอ่ยปากด้วยตัวเองว่าให้ราชวงศ์ห่วงฝู่ดูแล หากว่าตอนนี้เขาถูกคนฆ่าในช่องว่างแห่งการทดสอบ เกรงว่าพวกเราทั้งราชวงศ์หวงฝู่ล้วนแต่ต้องโชคร้าย”
“ผู้อาวุโสเจ็ดมีข่าวคราวจากตำหนักหลีกงว่าอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสหกเอ่ยถาม
หวงฝู่เฮ่าเทียนถอนหายใจ “ตำหนักหลีกงยากที่จะขึ้นไป ตอนนี้ผู้อาวุโสเจ็ดก็ยังไม่มีข่าวส่งมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เพื่อหลบเลี่ยงจากความพิโรธขององค์มหาปราชญ์ ท่าทีของพวกเราราชวงศ์หวงฝู่ก็คงยังต้องแสดงออกไป”
ผู้อาวุโสหกนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว” เมื่อพูดจบก็หายไปจากที่เดิม
หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว ใจของหวงฝู่เฮ่าเทียนก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าก็ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในช่องว่างแห่งการทดสอบ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หวงฝู่ฮ่วนก็ถูกผู้อาวุโสเจ็ดส่งกลับวังหลวง
นัยน์ตาของหวงฝู่เฮ่าเทียนเปล่งประกายรีบเอ่ยขึ้นว่า “มหาปราชญ์ว่าอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของหวงฝู่ฮ่วนกลับดูซีดลงก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราก็ไม่ได้พบกับมหาปราชญ์”
“อะไรนะ!” หวงฝู่เฮ่าเทียนตกใจจนหน้าซีดขาว
หวงฝู่ฮ่วนครุ่นคิด นัยน์ตาฉายแววกังวลเอ่ยกับพระบิดาของตน “เสด็จพ่อ ข้าสงสัยว่ามหาปราชญ์จะไม่ได้อยู่ในหลินชวน”
นัยน์ตาของหวงฝู่เฮ่าเทียนหดตัวลง มองหวงฝู่ฮ่วนอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ
หวงฝู่ฮ่วนรีบเอ่ยต่อว่า “ลองคิดดูแล้ว หากว่าองค์มหาปราชญ์อยู่ในหลินชวน อยู่ในเทียนตู อยู่ในตำหนักหลีกง แล้วเหตุใดจึงต้องให้ราชวงศ์หวงฝู่ลอบคุ้มครองดูแลคุณชายมู่อีก? ท่านผู้เฒ่าดูแลเองจะไม่ดีกว่าหรือ? อีกอย่างในครั้งนี้ที่ข้ากับผู้อาวุโสเจ็ดขึ้นไปที่ตำหนักหลีกงแม้แต่ใต้เท้าทมิฬก็ไม่พบ”
ทุกประโยคที่เขาพูดก็ดูเหมือนจะกำลังยืนยันความจริงที่ว่าองค์มหาปราชญ์นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่
แต่ว่าความจริงนี้ สำหรับพวกเขาในตอนนี้แล้วกลับเป็น สิ่งที่ไม่คาดหวังให้เป็น…