ตอนที่ 190-3
องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เคยก้มหัวให้ใคร!
เจียงหลีฝืนยกยิ้มแข็งทื่อขึ้นมา “การคาดเดาของเจ้าข้อนี้จะดีที่สุดก็ขออย่าให้เป็นความจริง เฟิ่งหวงไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ”
“เฟิ่งหวงต่อกรด้วยไม่ง่าย แต่พวกมันก็ไม่ได้เป็นเฟิ่งหวง!” มู่ชิงเกอตอบกลับเสียงขรึม ในแววตาก็ได้ฉายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เจียงหลีมองไปทางนางอย่างหวาดผวา
แต่มู่ชิงเกอกลับตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถาม “เจ้าคิดว่าแผ่นป้ายยี่สิบแผ่นที่ถูกซ่อนเอาไว้ที่นี่ มีความเป็นไปได้ว่าจะซ่อนเอาไว้ที่ไหนมากที่สุด” พอกล่าวจบ นางกับเจียงหลีก็พากันเคลื่อนสายตาไปยังยอดไม้หนาด้านบนพร้อมกัน
จากนั้นทั้งสองคนก็ดึงสายกลับมาแล้วลอบสบตากันหนหนึ่ง
บ่งบอกว่าพวกนางล้วนแต่ได้รับคำตอบอย่างเดียวกัน!
ปัญหาก็คือตอนนี้พวกนกกำลังพักอยู่ในรัง แล้วพวกนางจะเข้าไปในรังได้ยังไง
“ท้องฟ้าของที่นี่อยู่ๆ ก็มืดครึ้มลง” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็มองไปทางท้องฟ้าด้านบนยอดไม้
เจียงหลีกล่าวว่า “ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าสัตว์เวหาของที่นี่อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับสีนํ้าเงินขึ้นไป อีกทั้งส่วนมากก็ยังอยู่ในระดับสีม่วง…”
คำตอบนี้ก็ทำเอาจ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยที่ห่างจากพวกนางออกไปไม่ไกลต้องสูดลมหายใจเย็น ขบริมฝีปากแน่นสนิท
สัตว์เวหาที่มืดฟ้ามัวดินเช่นนี้กะคร่าวๆ แล้วก็ไม่ตํ่ากว่าหนึ่งพันตัว อีกทั้งระดับพลังก็ยังสูงขนาดนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อกรได้!
“ก็คงทำได้แค่รอ” มู่ชิงเกอเอ่ย “รอหลังจากรอท้องฟ้าเปลี่ยนสี และพวกมันจากไปแล้ว พวกเราก็จะต้องรีบทำเวลาค้นหา”
ตอนนี้พวกเขาก็กำลังอยู่ใต้ตาของสัตว์เวหาพวกนี้ คงไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ ก็ทำได้เพียงหยุดการเคลื่อน
ไหวเอาไว้ก่อน
“คนของตระกูลจิ่งกับตระกูลฮวาเมื่อครู่ก็เพิ่งจากไปได้ไม่นาน” ฟ่งอวี๋เฟยอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
การกำชับเตือนของนางก็ทำให้พวกเขาจำขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ก็เป็นตอนที่ตระกูลฮวากับตระกูลจิ่งเพิ่งจากไปได้ไม่นาน อิงความเร็วของพวกเขา ตอนนี้ก็แน่นอนว่าจะต้องอยู่ใกล้ๆ ห่างจากพวกเขาออกไปไม่ไกล
ฟ่งอวี๋เฟยที่อยู่ๆ เอ่ยถึงพวกเขาไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขา
แต่เป็นกำลังเตือนพวกเขาไม่กี่คนว่าถ้าหากคนของตระกูลจิ่งกับตระกูลฮวาไปดึงดูดความสนใจของพวกสัตว์เวหาเข้า เกรงว่าคงจะทำให้พวกเขาต้องได้รับลูก หลงไปด้วย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ่ยขึ้นเสียงขรึมกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ใกล้ๆ นาง “ถ่ายทอดลงไป หากไม่มีคำสั่งของข้าไม่ว่าใครก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพละกาล’’
พอองครักษ์เขี้ยวมังกรรับคำสั่งล่าถอยออกไปแล้ว
มู่ชิงเกอถึงค่อยหันมาเอ่ยวาจา “ถ้าหากยังฉลาดอยู่ ตอนที่พบกับอันตรายจริงๆ พวกเขาก็ควรจะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายถอยออกไป”
ใช่! ยังมียันต์เคลื่อนย้าย!
คำกล่าวของมู่ชิงเกอก็ทำให้พวกเขาไม่กี่คนถอนหายใจโล่งอกออกมา
เจียงหลีเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้น “ก็ไม่รู้ว่าท้องฟ้านี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตอนไหนกัน”
การรอคอยเป็นการทรมานคนที่ร้ายกาจที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรอคอยที่ไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าไร นั่นก็ยิ่งทรมานนัก
ในช่องว่างแห่งการทดสอบแห่งนี้ก็ราวกับว่าวันเวลาในแต่ละสถานที่ก็จะมีไม่เหมือนกัน วันเดือนปีก็ไม่มี กฎเกณฑ์ในการอ้างอิงในป่าอู๋ถงแห่งนี้ ก่อนหน้าเป็นท้องฟ้าแจ่มใส แต่ชั่วพริบตาก็อาจมีความมืดมิดเข้าปกคลุมได้
การรอคอยอันเงียบสงบก็ทำเอาคนส่วนมากเลือกที่จะนั่งลงไปฝึกปรือพลัง
มู่ชิงเกอก็ไม่ยกเว้น นางก็นับคำนวณเวลาเงียบๆ อยู่ในใจ ในตอนที่นางอิงตามเวลาปกตินับไปได้ถึงห้าชั่วยามแล้ว เสียงร้องของสัตว์เวหาด้านบนยอดไม้ก็ทำให้นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ท้องฟ้าสว่างแล้ว” มองไปยังท้องฟ้าที่กลายเป็นสว่างขึ้นอีกครั้ง มู่ชิงเกอก็กล่าวเสียงเบา
ด้านบนยอดไม้ก็ดังสะท้อนมาด้วยเสียงกระพือปีกบาดแก้วหู นกยักษ์พวกนั้นก็เริ่มที่จะทยอยกันออกจากรังไป แล้วมุ่งยังทิศทางที่ไกลออกไป กิ่งไม้จำนวนไม่น้อยก็ถูกสั่นกระแทกจนร่วงลงมา ในตัวป่าอยู่ๆ ก็เหมือนกับว่าเกิดฝนใบไม้อย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปไม่ทันไรเสียงร้องก็ค่อยๆ ไกลออกไป มู่ชิงเกอพลันออกคำสั่ง กลุ่มคนที่เร้นกายหลบซ่อนมาอย่างยาวนานก็พลันพุ่งออกจากที่ซ่อน ต่างคนต่างแยกย้ายกันปีนขึ้นไปด้านบนต้นไม้โบราณ
มู่ชิงเกอเลือกต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็สามารถจำได้รางๆ ว่า ตอนนั้นสัตว์เวหาที่ร่อนลงบนยอดไม้ด้านบนต้นไม้ต้นนี้ ก็มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งขนปีกก็ดูมีสีสันสดใส ดูแล้วงดงามนัก
โคจรพลังไปยังฝ่าเท้า มู่ชิงเกอก็สามารถกระโดดไปยังกิ่งไม้ด้านบนได้อย่างสบายๆ ค่อยๆ มุ่งไปยังยอดกิ่งไม้ที่รกครึ้ม
ในตอนที่นางทะลุผ่านช่องกิ่งไม้ออกไปถึงยอดไม้แล้ว ก็ได้พบกับผืนฟ้าและผืนดินอันเวิ้งว้าง ในใจอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอันเวิ้งว้างขึ้นมา หลังจากอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึกๆ แล้ว นางถึงค่อยดึงสายตาเคลื่อนกลับมาที่ยอดไม้
ยอดไม้นั้นใหญ่มาก ใหญ่เหมือนกับผืนดินที่เต็มไปด้วยสีเขียว
ตรงใจกลางของมันมีจุดเว้าจุดหนึ่ง สร้างไว้เป็นรังนก
รังนกใหญ่มาก ใหญ่ราวกับขนาดห้องห้องหนึ่ง
และตรงกลางของรังนกก็ตั้งอยู่ด้วยไข่นกใบหนึ่ง ไข่นกใบนั้นมีขนาดใหญ่ประมาณศีรษะของคนวัยผู้ใหญ่ เปลือกไข่เรียบลื่นแวววาว ทั้งยังมีแสงสีแดงสดหมุนวนรอบมันไปมาอยู่รางๆ
แต่ว่าที่ดึงดูดสายตาก็มู่ชิงเกอก็ไม่ใช่เพียงไข่นกใบนั้น แต่ยังมีแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งที่ถูกไข่นกใบนั้นทับเอาไว้!
แผ่นป้ายนี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่ได้ดูแปลกตาแต่อย่างใด แผ่นป้ายหลายชิ้นก่อนหน้าที่ได้มาจากหุบเหวมารโลหิตกับแผ่นป้ายตรงหน้านี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างมาก
‘ไม่ใช่ว่าจะโชคดีขนาดนั้นกระมัง!’ มู่ชิงเกอรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ต้นไม้ที่นี่มีเป็นร้อยเป็นพัน แต่แผ่นป้ายนั้นมีเพียงยี่สิบชิ้น นางแต่เดิมนึกว่าตัวเองจะต้องปีนขึ้นไปหลายต้นถึงจะสามารถหาเจอได้ คิดไม่ถึงว่าบนต้นไม้ต้นแรกก็จะถูกนางเจอเข้าเสียแล้ว?
แววตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอ เปล่งแสงวาววับขึ้นสายหนึ่ง
ไม่รู้ว่าสัตว์เวหาพวกนั้นจะกลับมาเมื่อตอนไหน นางแน่นอนว่าจะต้องทำเวลา
มู่ชิงเกอร่างกายขยับวูบกระโดดเข้าไปในรังนก
พอตัวเองเข้าไปอยู่ในรังนก นางก็ถึงค่อยสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตของรังนกได้อย่างแท้จริง
มู่ชิงเกอเดินไปที่ด้านหน้าไข่นกใบนั้น ชันเข่าลง ก่อนจะดึงเอาแผ่นป้ายออกมาจากด้านล่างของมัน การเคลื่อนไหวของนางก็ทำให้แสงสีแดงบนไข่นกกะพริบสั่นไหวขึ้นมาหลายที
หลังจากเก็บแผ่นป้ายเสร็จแล้ว สายตาของมู่ชิงเกอก็ร่วงตกไปที่บนตัวไข่อีกครั้ง
นางจ้องเขม็งไปที่ไข่ แววตาเปล่งแสงแวววับขึ้นรางๆ กล่าวกระซิบกระซาบขึ้น “ในเมื่อเคยมีไข่มาสองใบแล้วก็ คงไม่มากไปถ้าจะมีเจ้าอีกใบหนึ่ง! องครักษ์เขี้ยวมังกรก็กำลังขาดแคลนพาหนะที่บินได้พอดี!”
มุมปากของมู่ชิงเกอยกขึ้นด้วยรอยยิ้มสายหนึ่ง มือวาดสะบัดเบาๆ คว้าไข่เอามาไว้ในมือ ก่อนจะพุ่งออกจากรังนกอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่ร่อนลงไปถึงพื้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มือเปล่ากลับมาจากบนต้นไม้ มีแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถหาแผ่นป้ายเจอ
ในตอนที่เห็นว่าในมือนางถือไข่นกเอาไว้ใบหนึ่ง เจียงหลีก็พลันกลอกตาไปมา “มู่ชิงเกอเจ้าก็ว่างมากจนมีเวลาขโมยของในรังนกงั้นรึ?”
มู่ชิงเกอไม่สนใจนาง แต่เป็นหันไปกล่าวกับองครักษ์เขี้ยวมังกรของนาง “ข้าจะมอบภารกิจให้กับพวกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง แต่ละคนตอนที่ค้นหาแผ่นป้ายก็ให้ขโมยไข่มาด้วยสามใบ องครักษ์เขี้ยวมังกรของพวกเราจะสร้างกองทัพอากาศ!”
“ขอรับคุณชาย!”
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่จงรักภักดีถึงแม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจว่าอะไรคือกองทัพอากาศ แต่นั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบิติตามคำสั่งของมู่ชิงเกออย่างเคร่งครัดของพวกเขา ก็แค่รื้อค้นรังนกแล้วขโมยไข่นกไม่ใช่รึ?
พวกเขา ตอนนี้คนที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอมีไม่ถึงสองร้อยคน คุณชายที่ให้พวกเขาหนึ่งคนเอาไข่มาสามใบก็เพราะว่านับส่วนของคนที่ยังพลัดหลงกับพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ไม่ได้มายังเทียนตูเข้าไปด้วย
“ดี ทำเวลาด้วย” มู่ชิงเกอเอาไข่ที่ตนเองหยิบมาเก็บลงไป ก่อนจะทะยานขึ้นไปยังต้นไม้อีกต้น คนหลายร้อยคนก็เหมือนกับตั๊กแตนก็ไม่ปานรื้อค้นควานหาไปตามต้นไม้แต่ละต้นจนว่างเปล่า องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกออย่างเคร่งครัด ขอแค่เป็นรังที่มีไข่ พวกเขาก็จะเลือกเอาแต่ใบที่ใหญ่ที่สุดกับใบที่สวยที่สุดหยิบออกไป พอครบสามใบพวกเขาก็จะไม่แตะต้องไข่นกใบอื่นๆ อีก แม้แต่ใบเดียวก็ไม่หยิบ
การรื้อค้นกวาดหาดำเนินไปได้ไม่ทันไรก็หาแผ่นป้ายเจอไปเจ็ดแปดชิ้น
ในตอนที่พวกเขาออกห่างไปจากจุดเดิมในตอนแรกไกล แล้วท้องฟ้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นมืดครึ้มลงอีกครั้ง ไกลออกไปเสียงกระพือปีกของสัตว์เวหาที่เหมือนราวกับเสียงฟ้าฟาดก็ดังสะท้อนพุ่งเข้ามา
มู่ชิงเกอเร่งรีบสั่งการให้ทุกคนทำการหลบซ่อน สะกดไอพลัง
ผ่านไปเพียงไม่ทันไรก็มีเสียงร้องของสัตว์เวหาจำนวนไม่น้อยดังก้องสะท้อนมา ราวกับมันได้คันพบแล้วว่าไข่ของตนถูกขโมยไป
ยังดีที่จำนวนของสัตว์เวหาที่นี่มีมากมายนัก รังนกที่มีไข่ ก็มีจำนวนไม่น้อย พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ได้เบาปัญญา รู้ว่าควรที่จะหนึ่งรังขโมยหนึ่งใบ ดังนั้นถึงแม้พวกสัตว์เวหาจะรู้สึกเกรี้ยวกราดที่ไข่ของตัวเองหายไป แต่ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวที่ดุดันเกรี้ยวกราดมากเกินไป
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงร้องเกรี้ยวกราดพวกนั้น ก็ค่อยๆ กลายเป็นสงบลง
ในตอนที่ท้องฟ้าของป่าอู๋ถงสว่างขึ้นอีกครั้ง พวกสัตว์เวหาก็บินจากไป จากนั้นพวกมู่ชิงเกอก็เริ่มปฏิบัติการขึ้นอีกครั้ง
มีคนบางพวกที่เลียนแบบองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอ ขโมยไข่นก แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถึงขั้นกระทำการอย่างอุกอาจเช่นนี้
จะต้องรู้ว่าหากถูกพวกสัตว์เวหาค้นพบเข้า จะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าหวาดกลัวเพียงใดขึ้น!
มู่ชิงเกอก็เอาไข่สัตว์เวหาทั้งหมดที่ถูกขโมยมาพวกนั้น เก็บเข้าไปในช่องว่าง ดับกลิ่นไอของมันไป หากไม่ทำเช่นนั้นนางก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าสัตว์เวหาที่ไข่หายไปพวกนั้นจะไม่ถ่อมาคิดบัญชีกับนางอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านการ ‘ลงแรง’ อันยากลำบากไปอีกหนึ่งวัน องครักษ์เขี้ยวมังกรก็สามารถปฏิบัติภารกิจของมู่ชิงเกอได้สำเร็จ ในเวลาเดียวกันจำนวนของแผ่นป้ายที่รวบรวมได้ในป่าอู๋ถงก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบสองแผ่นป้าย
ในตอนนั้นเองชายขอบของป่าอู๋ถงก็ปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ แล้ว แววตากระจ่างชัดของจ้าวหนานซิงกวาดตานับจำนวนแผ่นป้ายที่อยู่ในมือ ก่อนจะเดินไปด้านข้างมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น “แผ่นป้ายหนึ่งร้อยอัน ตอนนี้ที่พวกเราหาเจอก็มีสิบหกอันแล้ว ในหุบเหวมารโลหิตห้าอัน พวกเราหาเจอสี่อัน ป่าอู๋ถงยี่สิบอันพวกเราหาเจอสิบสองอัน ตอนนี้จะออกไปเลยดีไหม หรือจะหาอีกแปดอันที่เหลือต่อให้พบ?”
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากครุ่นคิด กล่าวตัดสินใจขึ้น “ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาต่อไป พวกเราก็ลองเปลี่ยนสถานที่ดู ตอนนี้ก็ยังมีแผ่นป้ายอีกเจ็ดสิบห้าอันที่ไม่ได้อยู่ในป่าอู๋ถง เป้าหมายก็ถือว่าใหญ่กว่า”
คำกล่าวของนาง กลุ่มคนก็ถือว่าเห็นด้วย ดังนั้นกลุ่มคนก็พากันทยอยเดินออกไปทางชายขอบของป่าอู๋ถง