ตอนที่ 191-3
มู่ชิงเกอ ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว
คนกลุ่มหนึ่ง มีสภาพอิดโรยประปรายช่วยกันพยุงกันและกันมุ่งเข้ามาใกล้เจดีย์สูง
ในบรรดาพวกเขา ก็มีคนสามสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บแตกต่างกันไป แต่ว่าอาการบาดเจ็บเหล่านี้เพียงแค่ผิวเผินไม่นับว่าสาหัส
จากนั้น มู่ชิงเกอก็ค้นพบจุดที่แตกต่างกัน นั้นก็คือจำนวนคนของตระกูลเฉินและตระกูลฮวา เมื่อเทียบกับตอนที่เข้ามาในช่องว่างแห่งการทดสอบแล้วลดลงไปจำนวนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้เดินหายไป ก็เป็นในยามคับขันใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกจากช่องว่างนี้ไปแล้ว
เมื่อมองเห็นพวกมู่ชิงเกอ คนของตระกูลเฉินและตระกูลฮวาก็ตะลึงเช่นกัน นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความระมัดระวัง
เฉินปี้เฉิงจ้องหน้ามู่ชิงเกอ เงียบขรึมอยู่สักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราต้องการพักผ่อน”
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่ตาลง เบี่ยงกายไปข้างๆ ราวกับยินยอมรับการเข้าใกล้ของพวกเขา เฉินปี้เฉิงพยักหน้าลงพาคนของตระกูลเฉินเข้าไปในเจดีย์สูง ส่วนฮวาฉินฉินเมื่อเดินผ่านมู่ชิงเกอก็ส่งสายตาขุ่นข้องให้นางและเจียงหลี กัดริมฝีปากก่อนจะตามคนของตระกูลเดินเข้าไปในเจดีย์สูง
เจียงหลีเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ดูท่าว่านางจะยังไม่ตัดใจจากเจ้านะ!”
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ข้าปฏิเสธไปชัดเจนแล้ว”
เจียงหลีกลับยิ้มๆ โดยไม่ได้เอ่ยอันใด
นางสงสัยจริงๆ ว่ามู่ชิงเกอไม่เข้าใจความคิดผู้หญิงหรืออย่างไร?
บางครั้งยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งกระตุ้นให้ผู้หญิงคิดอยากจะเอาชนะ แน่นอนว่าในกรณีของมู่ชิงเกอ นอกจากการตอบปฏิเสธแล้วก็เหมือนว่าไม่มีวิธีอื่นให้เลือกอีก
เมื่อจัดแจงคนในตระกูลตนเองเรียบร้อยแล้ว เฉินปี้เฉิงก็เดินออกมาจากเจดีย์สูง ยืนอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอกับเจียงหลี
เมื่อเดินมาใกล้ มู่ชิงเกอกับเจียงหลีถึงได้สังเกตว่าบนเสื้อนอกของเฉินปี้เฉิงมีร่องรอยการพันแผล
สายตาเบนออกจากจุดที่ถูกรัดแน่นของเฉินปี้เฉิง มู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
หากแต่เฉินปี้เฉิงไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ย้อนถามกลับมาว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่มานานหรือยัง?”
คิ้วเรียวของมู่ชิงเกอยิ่งยกสูงขึ้นไปอีก แต่ก็ยังให้ความร่วมมือตอบคำถาม “ไม่นานแต่ก็ไม่สั้น”
“มองเห็นภาพมายาอะไรหรือไม่?” เฉินปี้เฉิงขมวดคิ้วถาม
คำตอบนี้คือแน่นอน อีกทั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
มู่ชิงเกอตอบตามความจริง
เฉินปี้เฉิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่าการตัดสินใจของข้าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เจดีย์สูงแห่งนี้เป็นที่ปลอดภัย”
มู่ชิงเกอและเจียงหลีมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะมองที่เฉินปี้เฉิงอีกครั้ง
ในตอนนี้เองเฉินปี้เฉิงจึงได้เอ่ยชี้แจงเพิ่มเติม “พวกเราเข้ามาก่อนหน้านี้ไม่นาน ประสบกับภาพมายาครั้งหนึ่ง การบาดเจ็บของข้าและคนอื่นๆ เกิดขึ้นจากภาพมายาพวกนั่น”
อะไรนะ!
เจียงหลีและมู่ชิงเกอต่างพากันแปลกใจแกมสงสัย
คิดไม่ถึงว่าภาพมายาเหล่านั่นสามารถทำร้ายคน?
มู่ชิงเกอราวกับว่าค้นพบความรู้สึกแปลกๆ ของตนเองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ตอนภาพมายาครั้งแรก นางก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นเพียงภาพมายาง่ายดายเช่นนั้นในเมื่อเป็นถึงสถานที่ในการทดสอบ หรือว่าให้พวกเขาดูภาพมายาเหล่านั้นเฉยๆ กัน?
จากนั้นก็เขียนความรู้สึกหลังจากที่ได้รับชม?
การปรากฏตัวของเฉินปี้เฉิงบอกคำตอบแก่นาง
เกรงว่าภาพมายาเหล่านั้นจะแฝงการโจมตีไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าพวกเขาเข้าไปในเจดีย์สูงจึงไม่ได้รับการรบกวนจากภาพมายา
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามเฉินปี้เฉิงว่า “พลังการโจมตีของภาพมายาเหล่านั้นเป็นอย่างไร?”
เฉินปี้เฉิงไม่รู้ว่าเหตุใดคู่ๆ นางจึงเอ่ยถามเช่นนี้ แต่ก็ตอบตามความจริง “ประมาณระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินของมนุษย์’
คำตอบของเขาทำเอาสายตามู่ชิงเกอกับเจียงหลีเกิดความประหลาดใจแกมสงสัย
เฉินปี้เฉิงถูกพวกเขามองมาให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ทำได้เพียงอธิบาย “บาดแผลของข้า เป็นเพราะ…”
“เป็นเพราะข้า” เสียงของเฉินปี้เฉิงถูกเสียงของสตรีที่จู่ๆ พูดโพล่งออกมากลบ
ฮวาฉินฉินเดินออกมายืนอยู่ข้างกายเฉินปี้เฉิน ถลึงตาใส่ มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามตระกูลเฉินได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยข้า”
พูดแล้วนางก็หันไปมองเฉินปี้เฉิงเอ่ยบอกกับเขาว่า “นายน้อยสามวางใจได้ หลังจากกลับไปท่านแม่ของข้าย่อมขอบคุณในบุญคุณของคุณชายสามที่ช่วยชีวิตเป็นอย่างดี”
พูดจบนางก็หันหลังเดินเข้าไปในเจดีย์สูง
สำหรับการปรากฏตัวอย่างฉับพลันและการจากไปอย่างฉับพลันของนาง ก็เหมือนกับการกระทำที่ต้องการสร้างการคงอยู่ตนอย่างไรอย่างนั้น
มู่ชิงเกอและเจียงหลีต่างก็แสดงอาการประหลาดมหัศจรรย์ยากแก่การเข้าใจ
เฉินปี้เฉิงขยุกขยิกริมฝีปากล่าง เอ่ยทันทีว่า
“นางกระโจนเข้ามา ข้าทำได้เพียงต้องลงมือ” ราวกับว่ากำลังอธิบายถึงการที่เขาช่วยฮวาฉินฉิน ไม่ได้เป็นความสมัครใจแต่ได้ด้วยการถูกรังแก
เจียงหลีเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
มู่ชิงเกอก็พยายามฝืนกลั้นเอาไว้ เอ่ยกับเฉินปี้เฉิงว่า “อืม ไม่ต้องอธิบายหรอก”
พูดจบนางกับเจียงหลีก็เดินจากไปด้วยกัน
เฉินปี้เฉิงยืนอยู่ที่เดิม ทบทวนสิ่งที่ตนเองพูดออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้วราวกับว่าไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
เดินมาไกลแล้ว เจียงหลีก็เอ่ยอุทานขึ้นว่า “สตรีตระกูลฮวานี่จริงๆ เลย…”
หลังจากที่เข้ามาในช่องว่างแห่งการทดสอบแล้ว พวกนางก็รู้สึกว่าสตรีตระกูลฮวาราวกับบุปผาที่ถูกประคบประหงม เหมาะที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่ควรมาอยู่ในที่อันตรายเช่นนี้ ด้านในเจดีย์สูง การเข้ามาอยู่ของตระกูลเฉินและตระกูลฮวา ไม่ได้ทำให้พื้นที่คับแคบลงแต่อย่างใด กลับเพิ่ม สีสันละมุนอยู่หลายส่วน เสียงหัวเราะคิกคักระรื่นหูของสตรีตระกูลฮวาก็ทดแทนความเงียบสงบที่มีมาเนิ่นนานของเจดีย์สูงให้ดูมีชีวิตชีวา
ทหารกล้าแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋จำนวนไม่น้อยที่คอยชำเลืองมองไปทางบริเวณที่บรรดาสตรีตระกูลฮวาอยู่อย่างอดไม่ได้ แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ว่าสิ่งใด ต่างก็เป็นคน หนุ่มกำยำเลือดลมสูบฉีดเป็นธรรมดาที่จะถูกดึงดูด แต่ว่าการแสดงออกขององครักษ์เขี้ยวมังกรกลับทำให้นางรู้สึกได้หน้าอยู่บ้าง ทหารองครักษ์เขี้ยวมังกรกว่าสามร้อยนายต่างก็สำรวมสายตาไม่แอบชำเลืองสายตามองสตรีตระกูลฮวา
ความจริงแล้วนางไม่รู้ว่าการมีนายหญิงน้อยเช่นนางเป็นบรรทัดฐาน บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่แลสตรีอื่นใดข้างนอก ถกเถียงมาตรฐานเรื่องความงามก็หยิบยกขึ้นว่า ‘อย่างน้อยก็ต้องเป็นอย่างนายหญิงน้อยของพวกเราจึงจะถือว่าเป็นสตรีอย่างไรล่ะ’
หลังจากประสบกับภาพมายาอีกครั้งหนึ่ง พวกเฉินปี้เฉิงและฮวาฉินฉินต่างก็เข้าใจบทบาทหน้าที่ของเจดีย์สูงแห่งนี้
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ใครก็พูดไม่ถูก
แต่ว่าอยู่ที่สุสานเทวะมาเนิ่นนานขนาดนั้น แผ่นป้ายที่ซ่อนอยู่ที่นี่น่าจะถูกหาจนหมดแล้ว
“รวมกับที่หาเจอเมื่อครู่นี้ทั้งหมดมีสี่สิบเก้าอัน” จ้าวหนานซิงนับแผ่นป้ายที่อยู่ในมือดีแล้วก็ส่งให้มู่ชิงเกอ ยิ่งมาถึงช่วงท้ายๆ ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องการแย่งชิงแผ่นป้ายเกิดขึ้น
หลังจากที่หารือกันแล้ว ทั้งหมดต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เก็บไว้ที่มู่ชิงเกอปลอดภัยที่สุด มูชิงเกอครุ่นคิดพิจารณาจำนวนแผ่นป้ายที่อยู่ในมือ เอ่ยแผ่วเบาว่า “สี่สิบเก้า ก็หมายความว่ายังมีอีกห้าสิบเอ็ดอันที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา”
จ้าวหนานซิงพยักหน้า เงยหน้าขึ้นไปมองสีของท้องฟ้าด้านนอก “เวลาในช่องว่างแห่งการทดสอบแห่งนี้วุ่นวายสับสนมาก ไม่มีทางที่จะตัดสินได้ว่าแท้จริงแล้วพวกเราอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว แต่ข้าคาดการณ์ว่าอย่างน้อยเวลาข้างนอกก็น่าจะเดินไปห้าวันแล้ว”
“ก็หมายความว่ายังมีเวลาอีกประมาณสองวัน การแข่งขันถึงจะสิ้นสุดลง” มู่ชิงเกอเอ่ยแววครุ่นคิด
ขณะนี้แคว้นระดับสามมีแผ่นป้ายอยู่ในมือแล้วเกือบครึ่ง เฉลี่ยแล้วน่าจะมีอยู่พอๆ กับแคว้นระดับสอง แผ่นป้ายที่สี่ตระกูลใหญ่หามาได้สามารถส่งมอบเป็นแลกเปลี่ยนหรือไม่ก็จะนำมานับคะแนนก็ได้
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเวลาที่เหลือจะสามารถหาเจอได้เท่าไร แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ เพื่อคว้าชัยชนะในตอนท้ายสุดแล้ว เมื่อคนของแคว้นระดับสองและแคว้นระดับสามเจอกันก็จะเกิดสงครามดุเดือดที่ปะทุขึ้น
“เวลาที่เหลือพวกเราก็อยู่ที่สุสานเทวะนี่แหละ ไม่ต้องไปที่อื่นแล้วรอให้แผ่นป้ายมาส่งถึงที่!” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงเยือกเย็นอยู่บ้าง
ทันใดนั้น สิ่งของกองหนึ่งก็ถูกโยนมาที่เสื้อคลุมของมู่ชิงเกอ
‘แผ่นป้าย!’
เพ่งมองสิ่งของที่เพิ่มขึ้นมา มู่ชิงเกอก็เงยหน้ามองไปยังเฉินปี้เฉิงที่เดินผ่านมา
เฉินปี้เฉิงยังคงมีใบหน้าเย็นชาเช่นเดิม เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเหนือกว่าว่า “ของนี้ไม่มีประโยชน์กับข้า” จากนั้นก็หมุนกายเดินจากไปเงียบๆ
เจียงหลีมองเบื้องหลังเฉินปี้เฉิงตาค้าง ค่อยๆ นำคอที่ติดจะแข็งๆ หันมาทางมู่ชิงเกอ “เหตุการณ์อะไรกัน?”
มู่ชิงเกอกลับก้มลงมอง นับแผ่นป้ายที่เฉินปี้เฉิงนำออกมา
“สิบสามอัน” มู่ชิงเกอนำแผ่นป้ายที่นับเสร็จแล้วมากำไว้ในมือ มองไปทางจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย “เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็มีหกสิบสองอันแล้ว”
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาพร้อมกัน
มีแผ่นป้ายพวกนี้แล้ว พวกเขาแทบจะครองตำแหน่งนำสามอันดับแล้วอย่างมั่นคง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขยับเข้าไปใกล้รายชื่อที่จะเข้าไปในเศษซากโบราณอีกก้าว
“นี่ แผ่นป้ายพวกนี้ของเฉินปี้เฉิงราวกับว่ามีบางส่วนมาจากตระกูลฮวานะ” เจียงหลีที่สังเกตการเคลื่อนไหวของตระกูลเฉินและตระกูลฮวา แตะเข้าเบาๆ บนแขนของมู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเสียงตํ่า
มู่ชิงเกอหันไปตามเสียง มองเห็นฮวาฉินฉินที่เดินเข้าไปพูดคุยตรงหน้าเฉินปี้เฉิง ส่วนคนหลังแค่พยักหน้า หลังจากนั้นฮวาฉินฉินก็จากไปพร้อมรอยยิ้มแต่ไม่ลืมที่จะส่งสายตาแง่งอนมา
มู่ชิงเกอดึงสายตากลับคืนมาเงียบขรึม
จ้าวหนานซิงเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “นี่ เจ้าคงไม่คิดจะเอาแผ่นป้ายของตระกูลฮวาคืนกลับไปหรอกนะ”
เป็ดสุกหอมฉุยมาถึงปากแล้วจะปล่อยให้บินจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะที่จ้าวหนานซิงคิดจะเอ่ยเตือนมู่ชิงเกอให้เสียสละเรื่องหน้าตา จู่ๆ มู่ชิงเกอก็ส่ายหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อนางส่งมาทางเฉินปี้เฉิง หากข้าจะคืนกลับไปก็ต้องคืนให้กับเฉินปี้เฉิง”
“แล้วเป็นเช่นไร?” จ้าวหนานซิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
มู่ชิงเกอเก็บแผ่นป้ายลงมาเงียบๆ
การกระทำนี้เป็นคำตอบที่ดีให้กับความกังวลใจของจ้าวหนานซิง
เมื่อเห็นนางทำเช่นนี้จ้าวหนานซิงก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกเอ่ยขึ้นว่า “รอให้แน่ใจว่าพวกเราชนะการแข่งขันเสียก่อน แล้วค่อยหาโอกาสอธิบายกับแม่นาง น้อยนั้นเสีย”
มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ต่อความหัวข้อนี้อีกต่อไป
ฟ่งอวี๋เฟยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองทุกคนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากการแข่งขันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เช่นนั้นจะมีคนออกจากการแข่งขันไปกลางคันหรือไม่?”
เรื่องนี้…
ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันแล้ว ใครเล่าจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งไหน? ประสบพบเจอสิ่งใด? ต่างก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีคนใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกไปแล้วจำนวนเท่าใด?
ต่างก็ไม่มีผู้ใดตอบคำถาม ฟ่งอวี๋เฟยเลิกคิ้วน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ช่องว่างแห่งการทดสอบก็ยังเป็นเช่นนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าเศษซากโบราณจะอันตรายแปลกประหลาดเช่นไร”
คำกล่าวนี้ของนางเป็นเพียงถ้อยคำระบายลอยๆ
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นคำกล่าวที่เป็นเรื่องจริง!
แต่ว่าถึงแม้จะน่าหวาดหวั่นและดูอันตรายขึ้น พวกเขาก็ต้องไปผจญดูสักตั้ง เพราะว่าโอกาสเช่นนี้ ก็ไม่ได้เป็นโอกาสของคนคนเดียว แต่ยังเป็นโอกาสและโชคชะตาของแคว้นที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา เมื่อมีผลตอบรับอันลํ้าค่า แคว้นที่พวกเขาเป็นตัวแทนก็เป็นไปได้ที่จะทะลวงชั้นที่อยู่ในปัจจุบัน
ส่วนได้ส่วนเสียนี้สำหรับเชื้อพระวงศ์เช่นจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็มากกว่า ผลประโยชน์ส่วนตน
แต่ว่าสำหรับมู่ชิงเกอแล้วแคว้นฉินจะเป็นเช่นไรล้วนไม่ใช่เรื่องของนาง นางแค่เพียงรับปากฉินจิ่นเฉินว่าจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่หลินชวน และที่มากกว่านั้นหน่อยก็คือไม่อยากพลาดโอกาสที่จะตามล่าหาสมบัติ
ฮ่องเต้แคว้นฉินมิใช่นาง นางไม่มีหน้าที่ไปสร้างความยิ่งใหญ่ให้แคว้นฉิน