ตอนที่ 197-1
มีมหาปราชญ์หนุนหลังก็ช่างสุขสบายนัก!
“ข้าชอบพอเจ้าเมื่อใดกัน? รูปลักษณ์เช่นเจ้า ข้ายังมองไม่ต้องตา!”
เสียงเย้ยหยันอันเย็นยะเยือกประโยคหนึ่งดังสะท้อนลงมาจากฟ้า ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นพลันพากันเงยหน้าจ้องมองขึ้นไป
เสียงเสียงนี้ก็ฟังดูคุ้นหูอยู่เจ็ดแปดส่วน แต่ก็ยังมีความไม่คุ้นเคยอยู่สองสามส่วน นํ้าเสียงก็แฝงไว้ด้วยความสูงส่งและความเกียจคร้าน กลับเป็นเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่ง
แต่ว่ากับองครักษ์เขี้ยวมังกรพอได้ฟังเสียงนี้ทั่วทั้งร่างกลับสั่นไหวขึ้นมา
นายหญิงน้อยของพวกเขาก็คิดที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงแล้วรึ?
ฮ่าๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนจะมีโชคทางสายตาแล้ว ทำเช่นไรดี?
จ้าวหนานซิงก็เคยได้เห็นมู่ชิงเกอในสถานะหญิงสาว และก็เคยได้ยินนํ้าเสียงที่พูด ดังนั้นหลังจากที่รู้สึกไม่คุ้นหูในตอนแรก ไม่ทันไรก็กลายเป็นได้สติกลับมา เขามีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะกลับไปเป็นนิ่งสงบ
ค่อยๆ กลืนโอสถรักษาบาดแผลลงไป พอเห็นท่าทาง งงงวยของฟ่งอวี๋เฟย ก็ใจดีส่งเม็ดยาสงบจิตใจออกไปให้
ฟ่งอวี๋เฟยก็รับมาอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าจ้าวหนานซิงตอนนี้จะมามอบยาสงบจิตใจให้นางทำไม
ส่วนเจียงหลีเพียงแค่ฟังครั้งเดียวก็สามารถเดาออกได้ว่า คนที่พูดนั้นเป็นใคร
จริงๆ แล้วหากไม่สนใจในนํ้าเสียงกับโทนเสียงก็เพียงพอ แล้วที่จะบอกว่าคนที่พูดคำกล่าวเช่นนั้นอกจากมู่ชิงเกอแล้วก็ไม่มีใครอีก?
ในนัยน์ตาที่เปล่งประกายสีทองของนางก็แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเยาะ
ฉากภาพนี้พอตกลงสู่ดวงตาของหานฉายไฉ่ ดวงตาเรียวยาวทั้งสองข้างก็พลันเปล่งแสงวาบขึ้น ความคิดคาดเดาในใจก็เหมือนกับว่าจะได้รับการยืนยันขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองไป ดวงตาเบิกกว้าง จับจ้องไปยังรูโหว่ขนาดยักษ์บนท้องฟ้าที่กำลังค่อยๆ หายไป
‘เขาเป็นผู้หญิง! นางก็เป็นผู้หญิง! เป็นผู้หญิงจริงๆ!’ ในขณะนั้นหานฉายไฉ่ก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของตนกำลังเต้นอย่างรุนแรง รํ่าร้องขึ้นในใจไม่หยุด
คนอื่นๆ สำหรับเจ้าของของเสียงเสียงนี้ กลับมีความรู้สึกแปลกใจ ฟังจากความหมายของคำพูด คนที่พูดก็ชัดเจนว่ากำลังมุ่งเป้าไปที่คำพูดของหลานเฟยเยว่ น่าจะเป็นมู่ชิงเกอคุณชายของแคว้นระดับสามผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเสียงเสียงนี้กลับเป็นเสียงของผู้หญิง ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?
ชั่วขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกที่ได้รับบาดเจ็บ หรือว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ล้วนแต่เอาความสนใจของตัวเองจ้องมองไปทางรูโหว่ขนาดยักษ์บนท้องฟ้า
แม้แต่ผู้อาวุโสของราชวงศ์กับอดีตประมุขตระกูลหลานก็ไม่ยกเว้น
แต่อดีตประมุขตระกูลหลานกลับไม่สนใจ มีเพียงสีหน้าของหลานเฟยเยว่ที่เปลี่ยนไป ถ้าหากคนที่พูดเป็นมู่ชิงเกอจริงๆ เช่นนั้นเขา…ไม่ สมควรที่จะเป็นนาง…
บนท้องฟ้าตรงเขตหวงห้ามในวังหลวง รอยโหว่ที่ถูกฉีกกระชากรอยนั้นก็ได้ค่อยๆ จางลงไป ช่องว่างแห่งการทดสอบที่เกือบจะพังทลายหลังจากพ่น ‘สิ่ง’ ที่ไม่ควรคงอยู่ในช่องว่างแล้ว ก็เงียบสงบลง
ในตอนที่รอยแยกสายสุดท้ายค่อยๆ จางหายไป เงาร่างของคนสองคนก็พลันปรากฏสู่สายตาของฝูงชน!
หนึ่งแดงหนึ่งขาว ร่างสูงโปร่งและเรียวบาง ใบหน้าที่งามลํ้าไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน พอมาอยู่เคียงคู่กัน กลับดูเหมาะสมกันอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
ฝูงชนนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็จำคนในชุดขาวได้
พอจดจำได้ ไม่ว่าจะเป็นคนในราชวงศ์ คนของสี่ตระกูลใหญ่ คนของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรา หรือว่าเป็นคนของแคว้นระดับสอง พวกเขาก็ล้วนแต่พากันมีสีหน้าที่ตกตะลึง ทยอยกันย่อกายคุกเข่าลงไป โน้มกายลงไปกับพื้นอย่างนอบน้อมกราบกราน พร้อมกับร้องเรียกขึ้น “มหาปราชญ์—–!”
ก็แม้แต่อดีตประมุขตระกูลหลานที่เหย่อหยิ่ง ตอนนี้ก็ดึงไอพลังดุดันกลับ ลากหลานเฟยเยว่ที่อยู่ข้างกายกราบกรานลงไปพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสของราชวงศ์
ความเหย่อหยิ่งก่อนหน้าของตระกูลหลานก็ทำให้พวกเขาสร้างความเข้าใจผิดขึ้นกับมู่ชิงเกอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตประมุขตระกูลหลานก็ไม่มีทางเชื่อถือว่าองค์มหาปราชญ์ผู้สูงส่ง ผู้ที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกกลับมาให้ความสนใจกับบุคคลที่เปรียบเสมือนมดปลวกผู้หนึ่ง
จากที่เขามองดูนี่ก็เป็นแค่สิ่งที่คนคิดคดต้องการอาศัยโอกาสนี้เข้าประจบกับองค์มหาปราชญ์เท่านั้น
การกระทำของตระกูลหลานทั้งหมดก็ถือว่าเป็นการช่วย องค์มหาปราชญ์จัดการพวกคิดคด
ต่อให้องค์มหาปราชญ์จะพิโรธเข้าจริงๆ แต่หลังจากหายพิโรธแล้ว แน่นอนว่าจะต้องนึกถึงความดีของพวกเขาตระกูลหลาน พอถึงตอนนั้นตระกูลหลานก็มีฐานะสูงเทียมเมฆ นั่งอยู่ในตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งของแผ่นดินหลินชวนอย่างมั่นคง
แต่ว่าตอนนี้…
อยู่ๆ เขาก็กลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด
คำตอบน่ากลัวคำตอบหนึ่งก็พลันแผ่ขยายไปทั่วหัวใจ ทำเอาแผ่นหลังของอดีตประมุขปรากฏความเย็นยะเยือกขึ้น
รูปลักษณ์ของซือมั่วสำหรับคนของขุมกำลังทั่งหมดนี้ก็ไม่ได้ถือว่าแปลกตา
ต่อให้เป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอพวกนั้น ถึงจะไม่เคยได้พบหน้ากับซือมั่วจริงๆ มาก่อน แต่พอได้ยืนคนอื่นขานชื่อแล้ว ก็ล้วนแต่พากันนิ่งชะงักอย่างตกตะลึง ก่อนจะทยอยพากันคุกเข่ากราบกรานลงไป
ในตอนที่เงาร่างของทั่งสองคนปรากฏขึ้น เงาร่างสีดำสองสายก็พลันแยกย้ายกันปรากฏขึ้นด้านข้างซ้ายขวาของพวกเขา ทำการคุ้มกันพวกเขาอยู่ด้านหลัง
คนที่มา พวกเขาก็ยิ่งคุ้นเคย เป็นใต้เท้าทมิฬทั้งสองท่านที่ค่อยติดตามอยู่ซ้ายขวาข้างกายองค์มหาปราชญ์
“ท่านประมุข ที่ควรมาก็ล้วนแต่มาหมดแล้ว” กู่เย่กล่าวเสียงราบเรียบด้านหลังซือมั่วประโยคหนึ่ง ในตอนที่เสียงของเขาตกลงก็มีเงาร่างสายหนึ่งร่วงตกลงจากฟ้า กลิ้งตกลงไปในกลุ่มคนของตระกูลหลาน
กลุ่มคนพอจับจ้องจ้องมองไปก็เห็นว่าเป็นประมุขประจำตระกูลของตระกูลหลาน
“ท่านพ่อ!” หลานเฟยเยว่พอเห็นสภาพสะบักสะบอมของบิดา คิดอยากจะยื่นมือออกไปประคองแต่ก็ถูกท่านปู่ของตัวเองหักห้ามเอาไว้ ไม่ยอมให้นางเคลื่อนไหวโดยพลการ
ซือมั่วกวาดสายตามองไปยังประมุขตระกูลหลานที่สีหน้าหมองคลํ้า สบถขึ้นเสียงเย็น “อืม”
ตอนนี้ที่อยู่บนพื้นก็มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้คุกเข่า นั้นก็คือหานฉายไฉ่ ซือมั่วก็สังเกตเห็นว่านายน้อยของหอสรรพสิ่งผู้นี้ที่มองดูอยู่ก็ไม่ใช่เขา แต่เป็นโฉมงามด้านข้างกายเขา ความรู้สึกไม่พอใจที่ของสำคัญที่ตนเองเฝ้าทะนุถนอมถูกคนอื่นจ้องมอง ทำให้สีหน้าของซือมั่วเย็นยะเยือกขึ้นหลาย ส่วนนัยน์ตาสีอำพันทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่เล็กลง ส่วนหานฉายไฉ่ที่ยืนอยู่บนพื้น บ่าทั้งสองข้างก็กลายเป็น หนักอึ้งขึ้น พื้นที่ยืนเหยียบอยู่ล้วนแต่กลายเป็นปริแตก
เจียงหลีที่อยู่ด้านข้างของเขาก็มองเห็นขาทั้งสองข้างของเขาที่กำลังสั่นไหว เงยหน้าจ้องมองไปทางเขา ก่อนจะเห็นว่าสีหน้าของเขากำลังซีดขาว เหงื่อเย็นเยียบไหล หยดลงมาที่ริมฝีปาก
ราวกับเขาไม่อยากจะคุกเข่าลงให้กับผู้ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วในแผ่นดินหลินชวนว่าเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่งต่อหน้ามู่ชิงเกอ
หานฉายไฉ่ก็ฝืนทนอย่างสุดกำลัง พลังจิตในตัวของเขา ก็เหมือนกับถูกสะกดเอาไว้ก็ไม่ปาน ไม่สามารถสั่งการได้ ทำได้เพียงใช้จิตสำนึกของตัวเองฝืนทนต่อไป
การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้เขาขยับสายตาจากมู่ชิงเกอจ้องมองไปที่ตัวของซือมั่ว นัยน์ตาเรียวยาวก็เต็มไปความดื้อดึงและถือมั่น ราวกับว่ากำลังท้าทายซือมั่ว
มู่ชิงเกอก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงจริงๆ ถึงแม้ว่าในหัวของเขาจะเคยลองนึกภาพตอนที่นางแต่งกายเป็นหญิงมาแล้วก็ตาม
แต่ว่าตอนที่เขาได้เห็นกับตาเองจริงๆ เขาก็ยังมีความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งจิตวิญญาณอยู่ดี
มู่ชิงเกอที่เป็นหญิงสาวเช่นนี้ไม่ว่าจะมีใบหน้าที่งดงามหรือไม่ เขาก็ไม่ยินยอมที่จะปล่อยมือง่ายๆ ถึงแม้ว่าคู่แข่งจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม!
หานฉายไฉ่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แววตาแหลมคมจ้องมองไปทางซือมั่ว
นัยน์ตาทั้งสองข้างของซือมั่วหรี่เล็กลง มุมปากยกสูงขึ้นมาบางเบา พลังกดดันที่กล้าแกร่งยิ่งกว่าเดิมตกลงไปที่บ่าของหานฉายไฉ่
ในที่สุดกระดูกขาของหานฉายไฉ่ก็แล่นเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมา ร่างกายเอียงเซ จนในที่สุดจำต้องชันเข่าข้างเดียวลงไปกับพื้น
ถึงแม้ว่าในแววตาของเขาจะเขียนเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่อาจไม่คุกเข่าลงได้
ในขณะที่เขาชันเข่าลงไป เขาก็ราวกับว่าจะเห็นรอยยิ้มได้ใจของซือมั่ว
ความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มข้างกาย มู่ชิงเกอทำไมจะไม่รู้สึกถึง? อีกอย่างซือมั่วก็ไม่ได้มีความคิดจะปิดบังนาง
สัมผัสได้ถึงสายตาที่มู่ชิงเกอใช้จ้องมองมา เขาก็พลันกล่าวเสียงต่ำเบาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “พอเป็นเช่นนี้ก็ค่อยสบายตาหน่อย”
มู่ชิงเกอก็ถูกคำตอบของเขาทำเอามุมปากเบ้สูงขึ้น
ทุกคนล้วนแต่พากันก้มกราบลงกับพื้น กลุ่มคนมากมายนับพัน หานฉายไฉ่พอคุกเข่าลงไป ก็ถือว่าทำให้จุดไม่เข้าตาเพียงหนึ่งเดียวกลายเป็นสบายตาขึ้น การปะทะกันอย่างเงียบๆ นี้ พูดแล้วดูยาวนาน แต่จริงๆ ก็เป็นแค่เรื่องราวช่วงสั้นๆ เพียงเท่านั้น สิ่งที่หานฉายไฉ่พบเจอ นอกจากเจียงหลีที่อยู่ด้านข้างเขาที่สามารถรับรู้เรื่องราวได้แล้ว ไม่มีใครรู้อีก ต่อให้มีคนมองเห็น อย่างมากก็แค่คิดว่านายน้อยหานผู้นี้คุกเข่าช้าไปเพียงเสี้ยววิก็เท่านั้น องค์มหาปราชญ์ที่รอมานาน พวกเขาในที่สุดก็ได้พบแล้ว
เพียงแต่ว่า—–
ความงามของคนที่อยู่ด้านข้างเขาผู้นั้น หญิงสาวที่ทำเอาสีของผืนฟ้าและผืนดินจืดจางลงไปผู้นี้เป็นใครกัน?
ชุดสีแดงสะดุดตานั้นทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เคยรู้จักกันมาก่อน?
แล้วมู่ชิงเกอ คุณชายมู่ผู้นั้นเล่า?
มีคนไม่น้อยก็กำลังลอบหาร่องรอยบนใบหน้างามลํ้าใบนั้น แต่ว่าในตอนที่สายตาของพวกเขาเคลื่อนไปถึงใบหน้างามลํ้าไม่เป็นสองรองใครใบนั้น หลังจากลอบทำการพินิจอย่างละเอียดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มาก็ทำเอาพวกเขาตกตะลึงจนจิตวิญญาณของพวกเขาสะท้านหายไปเจ็ดส่วน!
เส้นผมสีดำขลับดุจหมึกดำโบกสะบัดไปตามสายลม คิ้วชันสูงดุจขุนเขา สีหน้านิ่งขรึม ดวงตางามยั่วเย้าคู่นั้นก็ทำเอาจิตใจของผู้คนหลงใหลมัวเมา ผิวขาวเรียบเนียนดุจหยกเหมันต์นั้นก็ดูสะอาดบริสุทธิ์ เรือนร่างผอมเพรียวอ้อนแอ้น ใบหน้างามลํ้าหาใดเปรียบ
ระหว่างที่จ้องมองก็ให้ความรู้สึกถึงความหยิ่งทะนงและถือตนที่แผ่ออกมาอย่างบางเบา แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีด้วยแม้แต่น้อย ความองอาจที่แสดงอยู่บนใบหน้าถึงจะลดทอนความอ่อนหวานของหญิงสาวลงไปหลายส่วน แต่ในทางกลับกันกลับกลายเป็นเพิ่มความน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ผู้คนมิอาจดูเบาได้
นางพอยืนอยู่ข้างกายของซือมั่วกลับไม่ให้ถึงความรู้สึกด้อยค่าลงเลยแม้แต่น้อย ความน่าเกรงขามและความองอาจของทั้งสองคนพอเกี่ยวพันหลอมรวมกัน ก็กลับให้ความรู้สึกถึงความเกื้อกูลหนุนนำกัน
ชุดสีแดงสะดุดตาก็ถือเป็นแบบที่ทุกคนคุ้นชินกัน เพียง แต่รอยฉีกขาดมากมายด้านบนก็ราวกับจะบ่งบอกแก่ผู้คนอย่างไร้เสียงว่า เจ้าของของเสื้อผ้าชุดนี้ก็ได้พบกับการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดมาสนามหนึ่ง
ผมสีดำชุดสีแดง ใบหน้างามค่าควรเมืองที่หาใดเปรียบนี้ ก็งดงามจนจิตใจของผู้คนต้องพากันตกตะลึง งดงาม จนผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ
ใบหน้าใบนี้ ใบหน้าใบนี้…ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ในหัวของผู้คนก็ลอบพากันเอามันไปเปรียบกับใบหน้าของมู่ชิงเกอ ทาบทับลงไปบนใบหน้างามลํ้าที่ปราศจากความอ่อนหวานของหญิงสาวที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงดวงนั้น
พอทั้งสองรวมเป็นหนึ่งคำตอบก็พลันปรากฏออกมา!
‘จะเป็นไปได้อย่างไร!’
‘แย่แล้ว! ฟ้าจะถล่มแล้วรึ?’
‘เป็นข้าตาลาย หรือว่ากำลังฝันอยู่กัน?’