Skip to content

พลิกปฐพี 197-4

ตอนที่ 197-4

มีมหาปราชญ์หนุนหลังก็ช่างสุขสบายนัก!

หลานเฟยเยว่นั่งฟุบอยู่กับพื้น มือทั้งสองข้างล้วงคอ นางคิดอยากจะเอาโอสถหน้ากากโฉมงามอาเจียนออกมา แต่นอกจากจะเพิ่มความทรมานของนางแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย

การช่วยเหลือตนเองไร้ผล หลานเฟยเยว่ก็ทำได้เพียงขอร้องท่านปู่ของตน นางคลานไปตรงหน้าของอดีตประมุขตระกูลหลาน ลากดึงที่ชุดแพรของเขาพร้อมกับร้องเรียกเสียงเจ็บปวด “ท่านปู่ช่วยข้าด้วย! ช่วยเฟยเยว่ด้วย!”

องค์มหาปราชญ์ก็ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า อีกทั้งคนที่ลงมือด้วยตัวเองก็ยังเป็นท่านใต้เท้าทมิฬ

อดีตประมุขตระกูลหลานก็ยังจะมีวิธีอันใดได้? อีกอย่างหลานเฟยเยว่ในสายตาของเขาตอนนี้ ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ไร้ประโยชน์แล้วชิ้นหนึ่ง ถือเป็นตัวอัปมงคลที่นำพาเภทภัยมาสู่ตระกูล

เขาไม่ลงมือสั่งหารนางเองก็นับว่าไม่เลวแล้ว

ขณะที่หลานเฟยเยว่กำลังขอร้องอ้อนวอน ตอนนั้นเองมู่ชิงเกอก็หยิบเอาเม็ดโอสถออกมาอีกเม็ดหนึ่ง พินิจมองมันพลางกล่าวว่า “เวลาออกฤทธิ์ของโอสถหน้ากากโฉมงามก็ยังต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง เวลาช่วงนี้พวกเราก็อย่าสิ้นเปลืองมันไปเปล่าๆ เลย ข้าตรงนี้ยังมีโอสถตัดกระดูก กู่เย่ช่วยส่งมันไปให้นายน้อยของสำนักหมื่นอสูรแทนข้าที ให้เขาช่วยทดลองมัน”

มู่ชิงเกอพอกล่าวจบ กู่เย่ก็เดินออกมาท่าทางนิ่งขรึม รับเอาโอสถเม็ดสีดำจากมือนาง ก่อนจะส่งมอบมันไปให้ไท่สื่อเกา

“ไม่! ไม่เกี่ยวกับข้า!” ไท่สื่อเกาตกตะลึงจนหน้าถอดสี หลบอยู่ด้านหลังยอดฝีมือของสำนักหมื่นอสูร ขอร้องให้ปกป้องตน

แต่ว่ายอดฝีมือเหล่านี้ก็เหมือนกับอดีตประมุขตระกูลหลาน ใครจะกล้าไปต่อต้านใต้เท้าทมิฬที่อยู่ใต้อาณัติขององค์มหาปราชญ์? ก็แม้แต่เฮยมู่ก็ยังพยายามลดการคงอยู่ของตนให้ตํ่าลง ถอยไปอีกด้านหนึ่ง

ไท่สื่อเกาที่ไร้ซึ่งการปกป้องก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของกู่เย่ ความรู้สึกที่กู่เย่มอบให้กับผู้คนก็หนาวเหน็บ ยิ่งกว่ากู่หยานักทั้งยังไร้เยื่อใยยิ่งกว่า

เขาก็เอาโอสถเม็ดนั้นยัดเข้าไปในปากของไท่สื่อเกาโดยตรง ท่าทางหยาบกระด้าง

“อึก!” เม็ดยาที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นถูกไท่สื่อเกากลืนลงไป เขาก็เหมือนกับหลานเฟยเยว่ ความคิดแรกที่มีก็คิดอยากจะคายมันออกมา

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางเบา ค่อยๆ กล่าวว่า “ที่มีชื่อว่าตัดกระดูกก็เป็นเพราะมันจะทำให้กระดูกของคนค่อยๆ หักทีละท่อน จากนั้นก็ค่อยเป็นเส้นชีพจรและกล้ามเนื้อ ในตอนที่ร่างกายของเจ้ากลายเป็นกองแหลกเหลว เจ้าถึงจะตาย”

หลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกาสองคนนี้ นางก็จำเป็นจะต้องลงมือสังหารด้วยตัวเอง

คำพูดของนางพอจบลง ร่างของไท่สื่อเกาก็พลันกลายเป็นแข็งทื่อ เขาก็ไม่กล้านึกคิดตรงๆ ถึงฉากภาพที่ตนต้องเผชิญต่อจากนี้ ไท่สื่อเกาคุกเข่าลงที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ โขกหัวให้นางไม่หยุด ทำการขอร้องอ้อนวอน “คุณชายมู่ เป็นข้าที่มีตาหามีแววไม่ โปรดละเว้นข้าเถอะ! อย่าเอาความกับมดปลวกเช่นข้าเลย ไว้ชีวิตข้าสักครั้งเถิด!”

เขาก็นับว่ามีไหวพริบที่ดี รู้ว่าเวลานี้ขอร้องใครถึงจะมีประโยชน์มากที่สุด

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนความคิดของตนเองง่ายดายเช่นนั้น? หากถูกคนขอร้องเพียงไม่กี่ครั้งก็จิตใจสั่นไหวเอนเอียง เช่นนั้นก็เกรงว่านางจะอยู่ห่างจากความตายไปไม่ไกลแล้ว

นางไม่สนใจการอ้อนวอนของไท่สื่อเกา แล้วก็ไม่สนใจสายตาเคียดแค้นที่การขอร้องของตนเองไร้ผลของหลานเฟยเยว่

จังหวะในการกรอกยาของมู่ชิงเกอก็ถือว่าดีมาก ทั้งสองคนก็เหมือนกับจะมีอาการกำเริบพร้อมกัน

“กรี๊ด—–”

“อ๊าก—–!”

ไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่ร้องเจ็บปวดล้มลงกับพื้น กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นไม่หยุด

เขตหวงห้ามของวังหลวงกลายเป็นเงียบกริบ กลุ่มคนมองดูจนทั่วร่างเย็นเยียบ ไม่กล้าสูดลมหายใจเสียงดัง

พวกเขาก็ทำได้เพียงจ้องมองหลานเฟยเยว่ที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยาของโอสถหน้ากากโฉมงาม ทำการเกาไปตามผิวหนังของตนอย่างทรมาน ยกมือขึ้นทึ้งดึงผิวหนังของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าอยากจะหลีกหนีจากผิวหนังผืนนี้

กลิ่นคาวเลือดเริ่มแผ่ซ่านออกไป ฉากภาพอันน่าหวาดหวั่นนี้ก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าของกลุ่มคน ส่วนอีกด้านหนึ่ง ไท่สื่อเกาก็กำลังขดตัวอย่างเจ็บปวด ทรมาน อีกทั้งผู้คนยังสามารถได้ยินเสียงกระดูกหักดังมาจากตัวของเขา พร้อมกับมองเห็นท่อนกระดูกพวกนั้นแตกออก แตกออกทีละท่อนก่อนจะแทงทะลุผิวหนังของเขาออกมา เผยออกมาสู่ภายนอก วิธีการตายเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะทรมานยิ่งนัก ทั้งยังดูยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด

ชั่วขณะนั้นเหล่าคนที่ไม่สนิทชิดเชื้อกับมู่ชิงเกอ ก็ได้ทำการจัดเรียงความคิดของตนเองใหม่

เซวียฉงที่ยืนอยู่ในแถวของกองกำลังแคว้นอวี่ ก็กำลังจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบเชียบ สีหน้าก็ค่อนข้างดูซีดขาวอยู่รางๆ ในตอนที่เขามองไปยังด้านข้าง ของใบหน้ามู่ชิงเกอก็กลับคันพบว่าสีหน้าแววตาของนางไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย

ราวกับว่าฉากภาพเช่นนี้สำหรับนางก็เป็นเรื่องที่เห็นเป็นปกติแล้วก็ไม่ปาน

พอหันมองไปทางองค์มหาปราชญ์ก็ยิ่งไม่เห็นมีท่าทางรับไม่ได้แม้แต่น้อย ดวงตาที่ผู้คนไม่กล้าจับจ้องคู่นั้น ก็กำลังมองตรงไปยังร่างของมู่ชิงเกอ ราวกับที่นี่ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้

ทันใดนั้นเองความคิดสายหนึ่งก็ไหลแล่นเข้าสู่หัวของเซวียฉง

นั้นก็คือ เขาคิดว่าหากมู่ชิงเกออยากจะกลายเป็นจักรพรรดินีของทั้งแผ่นดินหลินชวน องค์มหาปราชญ์ก็จะต้องเติมเต็มปรารถนาให้นาง!

บุคคลเช่นนี้…

ตระกูลเซวียก็ไม่อาจไปล่วงเกินได้!

เซวียฉงสูดหายใจลึกๆ เข้าไปสายหนึ่ง ริมฝีปากเม้มสนิทเข้าหากัน ในใจลอบทำการตัดสินใจ

หลังจากกลับไปถึงแคว้นอวี่แล้ว เขาก็จะต้องทำให้คนของตระกูลดูแลอาหญิงของมู่ชิงเกอลูกสะใภ้ตระกูลเซวียของพวกเขาให้ดี!

สามารถมีความเกี่ยวข้องเช่นนี้ สานสัมพันธ์กับมู่ชิงเกอ นี่ก็ถือเป็นโอกาสก้าวหน้าชนิดหนึ่งของตระกูลเซวีย ละครฉากนี้ก็มีคนรู้สึกว่ามู่ชิงเกอนั้นโหดเหี้ยม และก็มีบางพวกทีร้องว่า ดี!

เช่นเดียวกันพวกที่คิดว่านางโหดเหี้ยมก็ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่รู้จักนางดีพอ ส่วนคนที่ร้องเห็นด้วยก็ล้วนแต่เป็นสหายและเพื่อนร่วมรบของนาง กู่หยากับกู่เย่จ้องมองไปทางสภาพน่าอนาถของไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่ด้วยท่าทางนิ่งเฉย ราวกับไม่ได้คิดว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่าวิธีการเช่นนี้ของนางถึงจะเหมาะสมกับการเป็นเจ้านายของพวกเขาก็ไม่ปาน!

เจียงหลีลอบมองไปทางหานฉายไฉ่ก่อนจะกล่าวอย่างลองเชิงว่า “เจ้าไม่คิดว่าโหดเหี้ยมรึ?”

ใครจะรู้ หานฉายไฉ่กลับสบถดูถูกขึ้นเสียงเย็น นัยน์ตาเรียวยาวทอประกายดุดัน “โหดเหี้ยม? ถ้าหากเปลี่ยนเป็นข้า วิธีการของข้าก็จะมีเพียงแต่อำมหิตมากกว่านางหลายเท่านัก!”

เจียงหลีเบ้มุมปาก กลอกตาขาวขึ้นสายหนึ่ง ในใจบ่นอุบอิบ ‘จะต้องทำเป็นจริงจังถึงขั้นนั้นเลยรึไง’

นางได้ฟังมู่ชิงเกอบอกเล่าถึงการพบหน้าของนางกับหานฉายไฉ่แล้ว

ตอนที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ล้วนแต่ประมือกันในทั้งที่ลับและที่แจ้งมาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

แต่เจียงหลีก็สามารถบอกมู่ชิงเกอได้อย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกที่หานฉายไฉ่มีต่อนางนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

หึ…และแน่นอนนางจริงๆ แล้วในใจก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าถ้าหากไม่มีการคงอยู่ขององค์มหาปราชญ์ คนสองคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกันเช่นนี้พบหน้าและพบเจอกันบ่อยๆ ต่อไป ก็จะเกิดเป็นเรื่องราวเช่นใดขึ้น

แต่ว่าประโยคนี้ต่อให้ถูกตีจนตายนางก็ไม่มีทางกล้าพูดออกไป ไม่เช่นนั้นนางก็สามารถรับรองได้ว่าตนเองจะต้องถูกองค์มหาปราชญ์ฝ่ามือเดียวตีจนตกตายเป็นแน่!

เฮ้อ เปรียบเทียบกับชีวิตแล้ว ความสงสัยก็ยังถือว่าเก็บเอาไว้ให้มิดจะดีกว่า

จ้าวหนานซิงกล่าวท่าทางนิ่งอึ้ง “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ชิงเกอเอาเวลาไหนไปรู้จักกับองค์มหาปราชญ์กัน?”

ฟ่งอวี๋เฟยมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง “เรื่องความรู้สึกของคุณชายจำเป็นจะต้องบอกกล่าวแก่ผู้อื่นด้วยรึ?”

จ้าวหนานซิงเบ้มุมปากขึ้นไม่รู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไร เขาที่รู้สึกตกตะลึงกับเรื่องเรื่องนี้เกินไปหน่อย ก็เพราะนึกได้ว่าที่โรงโอสถสาขาย่อยยังมีศิษย์พี่ใหญ่ที่มีจิตใจทางโลกสั่นไหวเป็นครั้งแรกอยู่ผู้หนึ่ง เขาในใจก็ลอบไว้อาลัยแทนเหมยจื่อจ้ง ‘เฮ้อ! ศิษย์พี่เหมย อย่าโทษที่ศิษย์น้องไม่ช่วยเหลือเลย! คงโทษได้แต่เพียงว่าคู่แข่งนั้นแข็งแกร่งเกินไป ท่านก็ไปหาโฉมงามที่ชะตาต้องกันคนอื่นเถอะ!’

การประสบพบเจอของหลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกาก็ราวกับยาวนานเป็นหมื่นปีอย่างไรอย่างนั้น

แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้วก็เป็นแค่ระยะเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะหมดสิ้นลมหายใจไป

หญิงงามดีๆ คนหนึ่ง ผิวหนังหลุดลอก ผิวหนังที่ถูกหลานเฟยเยว่ถลกดึงมันออกมาด้วยตัวเองก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่ข้างกองกระดูกของนาง ไท่สื่อเกาก็กลายเป็นมองไม่ออกถึงรูปลักษณ์ของคนอีก กองเละเป็นกองของเหลวกองหนึ่ง

ยาพิษที่โหดเหี้ยมและอำมหิตเช่นนี้ ฝูงชนก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น

ตอนนี้เองสายตาที่มองดูมู่ชิงเกอก็ได้เต็มไปด้วยความหวั่นเกรงที่ไหลแล่นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จากตกใจกลายเป็นตื่นตระหนกก่อนจะกลายเป็นหวาดกลัว มู่ชิงเกอก็ใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามวาดภาพลักษณ์ใหม่ของตนไว้ในใจของพวกเขา

ไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่พอตายไป ซือมั่วก็ค่อยๆ กวาดสายตามองไปอย่างราบเรียบสายตาหนึ่ง “หวงฝู่เฮ่าเทียน”

หวงฝู่เฮ่าเทียนนิ่งชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเร่งรีบก้าวออกมา ก่อนจะคุกเข่าลงไป ท่าทางนอบน้อมผิดปกติ เขาในตอนนี้ไหนเลยจะยังมีท่าทางของการเป็นฮ่องเต้อยู่?

แต่สำหรับเขาที่มีท่าทางเป็นเช่นนี้กลับไม่มีใครรู้สึกว่า มันไม่สมควรแม้แต่น้อย

“องค์มหาปราชญ์ หวงฝู่เฮ่าเทียนอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่เฮ่าเทียนกล่าวอย่างระมัดระวัง

ซือมั่วเอ่ยขึ้น “ข้าก็เคยให้หวงฝู่ฮ่วนบอกกล่าวแก่เจ้าว่า ให้ดูแลมู่ชิงเกอให้ดี เจ้าดูแลเช่นนี้รึ?” นํ้าเสียงของเขาราบเรียบแต่ก็ยังทำให้ผู้คนขนลุกชัน

หวงฝู่ฮ่วนพอได้ฟังก็เร่งรีบคุกเข่าลงไปข้างกายของบิดาตน ก้มหน้าพลางกล่าวว่า “องค์มหาปราชญ์โปรดอย่าทรงกริ้ว!”

“องค์มหาปราชญ์โปรดอย่าทรงกริ้ว ที่ทำให้คุณชายมู่ได้รับอันตราย ข้าตระกูลหวงฝู่ก็ถือว่ามีความผิดยากจะหลบหนี พวกเรายินยอมที่จะรับการลงทัณฑ์!” หวงฝู่เฮ่าเทียนร้องขึ้นเสียงเศร้า

ในเวลาเช่นนี้การอธิบายใดๆ ก็ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงแต่ยอมรับผิดเองถึงจะมีหนทางรอด

หวงฝู่ฮ่วนเงยขึ้นก่อนจะลอบส่งสายตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอนขอร้องไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพอได้รับสายตาขอร้องจากเขา คิดแล้วคิดอีกก็ดึงเขย่าไปที่แขนเสื้อของซือมั่ว กล่าวกับเขาว่า “หวงฝู่ฮ่วนไม่ผิด เรื่องของข้าไม่เกี่ยวอันใดกับตระกูลหวงฝู”

คำกล่าวของนางก็แลกมาด้วยสายตาซาบซึ้งที่ส่งมาจากหวงฝูฮ่วน หวงฝู่เฮ่าเทียนไปจนถึงผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสเจ็ด

ซือมั่วมองไปที่นางสายตาหนึ่ง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ ล้วนแต่ฟังเจ้า”

คำพูดนี้พอหลุดออกไป ชั่วขณะนั้นก็ทำเอาฝูงชนเข้าใจหลักการหลักการหนึ่งขึ้นมา!

นั้นก็คือมู่ชิงเกอสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจขององค์มหาปราชญได้ คำพูดของนางประโยคเดียว นอกจากสามารถทำให้ผู้คนตกตายได้แล้ว ก็เช่นกันสามารถให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย!

พอเข้าใจหลักการนี้ นัยน์ตาของอดีตประมุขตระกูลหลานก็วาววับไปมา เร่งรีบคุกเข่าไปทางมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่ พวกเราตระกูลหลานสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถูกคนชั่วช้าหลอกล่อถึงได้คิดทำร้ายคุณชายมู่ ตอนนี้ตัวต้นเหตุอย่างหลานเฟยเยว่ก็ได้ตกตายไปแล้ว ขอคุณชายมู่โปรดละเว้นตระกูลหลานด้วยเถิด”

ตระกูลหลานฝั่งนี้พอคิดได้สำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราก็ไม่ชักข้าเช่นกัน

เฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยที่เอาแต่กัดมู่ชิงเกอไม่ปล่อยก็ล้วนแต่คุกเข่าลงกับพื้น หันไปขอร้องทางมู่ชิงเกอ พวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทางน่าเกรงขามและหยิ่ง ทะนงอีก

ปีศาจเฒ่าพวกนั้นที่เคยคิดจะจัดการมู่ชิงเกอให้ตกตาย ในช่องว่างแห่งการทดสอบ ตอนนี้ก็ล้วนแต่มีสีหน้าประจบประแจง คุกเข่าก้มหัวลงกับพื้น คิดขอร้องให้มู่ชิงเกอเมตตาละเว้นพวกเขา

มู่ชิงเกอจ้องมองไปทางผู้กล้าแกร่งพวกนั้นที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้น แววตาฉายแววหยามหยัน นางกล่าวเสียงเย็นประโยคหนึ่ง “มีมหาปราชญ์หนุนหลังก็ถือว่าสุขสบายนัก!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!