ตอนที่ 205-2
การพังทลายของเศษซากโบราณ ท่านอามีเรื่องมงคลแล้ว!
ทั้งสองคนเพิ่งจะยืนได้มั่นคง ดวงตาทั้งคู่ของซือมั่วก็พิจารณาร่างกายของมู่ชิงเกอไม่หยุด มองเห็นร่องรอยของความกังวลใจในสายตาของเขา มู่ชิงเกอก็ยิ้มแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ข้าไม่เป็นไร”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยปากยืนยัน ส่วนตนเองก็ไม่ได้พบบาดแผลใดๆ บนตัวของนาง ซือมั่วถึงได้โล่งใจ
กำลังคิดจะพูดขึ้นกับนาง สีหน้าของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนไปในทันใด รีบเอ่ยว่า “รีบเอาของนั้นไป มิเช่นนั้นช่องว่างของข้าจะถูกมันทำลายแล้ว!”
พูดจบแล้วมู่ชิงเกอก็สะบัดมือ กระดิ่งอันหนึ่งนำเอาก้อนหินสีดำปรากฏออกมา
เมื่อก้อนหินสีดำนั้นปรากฏ นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วก็พลันหดตัวลง
ในพริบตานั้น ฉากอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น หลังจากก้อนหินสีดำนั้นปรากฏ ก็ละทิ้งกระดิ่งของมู่ชิงเกอพุ่งตรงเข้าไปหาซือมั่วในทันที
มู่ชิงเกอตกตะลึง กำลังคิดจะลงมือ ก็เห็นแขนยาวของซือมั่วยื่นออกมา คว้าจับวัตถุลึกลับในก้อนหินสีดำที่มู่ชิงเกอไม่สามารถเข้าใกล้ได้ในทันใด
วัตถุชิ้นนั้น แวบหายไปต่อหน้าของมู่ชิงเกอ
น่าจะถูกซือมั่วเก็บไปแล้ว
ส่วนก้อนหินสีดำนั้น ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาไปในพริบตา แตกสลายกลายเป็นผงไปต่อหน้าของทั้งสองคน ถูกลมพัดลอยกระจายหายไป
มู่ชิงเกอเบิกตากว้างจ้องมองฉากนี้ แล้วก็มองไปทางซือมั่ว
ซือมั่วคลายมือออก กระดิ่งของมู่ชิงเกอตกลงมาในมือของเขา
จากนั้น ซือมั่วก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบไปบนกระดิ่ง สสารสีดำที่อยู่ด้านบนก็หายไป กระดิ่งฟื้นกลับคืนมาเปล่งประกายสีทองดังเดิม
ภายใต้การจ้องมองของมู่ชิงเกอ ซือมั่วหลุบตาลงนำกระดิ่งไปแขวนไว้ที่เอวของมู่ชิงเกอใหม่อีกครั้ง ลูบบนนั้นเบาๆ
“ใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่?” มู่ชิงเกอมองเขาแล้วถาม
ซือมั่วพยักหน้า
เขาเงยหน้าใช้ดวงตาสีอำพันมองมู่ชิงเกออย่างเปล่งประกาย เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ขอบคุณเจ้ามาก”
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่ซือมั่วเอ่ยขอบคุณนาง
มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้น เผยรอยยิ้มสว่างไสว นางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ลูบหน้าอกของซือมั่ว ขยับปากเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ถือเสียว่า เป็นสินสอดก็แล้วกัน”
ซือมั่วชะงัก มองรอยยิ้มในดวงตาของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาฉายแววหมดวาจา มองอย่างเอ็นดู เอ่ยอย่างยอมใจว่า “ได้ ของสินสอดของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้ารับเอาไว้แล้ว”
มู่ชิงเกอยิ้มกว้าง “รับของสินสอดของข้าแล้ว นับแต่นี้ต่อไป เจ้าก็เป็นคนของข้า แล้ว! ”
“ขอรับ คุณชาย” ซือมั่วเอ่ยอย่างอ่อนน้อม
ทันใดนั้น รอยยิ้มของมู่ชิงเกอก็แข็งกระด้างลง ก่อนจะแสร้งกดเสียงเบาเอ่ยกับซือมั่วว่า “อยู่ดีๆ เศษซากโบราณก็พังทลาย คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าเอาของชิ้นนี้ออกมาหรอกใช่ไหม?”
นางจำได้ว่าหลังจากที่นางเก็บเอาแผ่นหินสีดำนี้มาแล้วถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด
แต่ว่า ซือมั่วกลับยิ้มๆ ส่ายหน้าให้นาง
ในตอนที่สีหน้าของนางเกิดความสงสัย เขาก็เอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า เป็นคนอื่นรับเอาสมบัติมีค่าชิ้นหนึ่งมา ด่านฝึกฝนแห่งนี้ที่คงอยู่ก็เพื่อทำให้สมบัติมีค่าชิ้นนั้นหาเจ้าของพบ ในเมื่อมันพบเจอแล้ว ด่านฝึกฝนที่สมควรหายไปตามกาลเวลานานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องคงอยู่อีก”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลงในทันใด เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “สมบัติมีค่า! ใครกันที่โชคดีถึงขนาดนั้น?”
คนที่ได้รับสมบัติมีค่าไม่ใช่ตนเอง แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากมายอะไร เพราะว่า มีเพียงแต่นางที่รู้ว่าตนเองได้รับอะไรบ้างในเศษซากโบราณนั้น
ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน คนที่เข้าไปในเศษซากโบราณก็ล้วนแต่หนีออกมาผ่านรูสีดำหมดแล้ว
ซือมั่วนำมู่ชิงเกอกลับไป สายตาตกไปอยู่ที่ร่างของเฉินปี้เฉิง
เฉินปี้เฉิงที่ถูกเขามอง ก็ไม่ได้หลบสายตา
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์บอกว่า เจ้าคิดจะกราบข้าเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ?” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็เอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกเหนือความคาดหมายที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้
เมื่อก่อนที่นางพูดถึงเรื่องนี้ ท่าทางของซือมั่วล้วนแต่ไม่ชัดเจน
ตอนนี้ท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นชัดเจนแล้ว หรือว่าคนที่ได้สมบัติมีค่าไปจะเป็นเฉินปี้เฉิง?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ เดาความเป็นไปได้ออกมา
คำพูดของซือมั่วทำให้ร่างของเฉินปี้เฉิงชะงัก นัยน์ตาฉายแววหวั่นไหว หวงฝู่ฮ่วนก็ตื่นเต้นขึ้นมา แม้แต่ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นกระชั้นชิด
ถึงแม้ว่า ในคำพูดของมหาปราชญ์จะไม่มีเขาก็ตาม
แต่ว่า เขาเชื่อในมู่ชิงเกอ เชื่อว่ามหาปราชญ์รู้ความในใจของเขาแล้ว
เฉินปี้เฉิงคุกเข่าลงในทันใด เอ่ยกับซือมั่วว่า “ขอมหาปราชญ์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
ซือมั่วเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ติดตามข้าจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เจ้าไม่เคยคาดฝัน อีกอย่างจำเป็นต้องตัดขาดจากวงศ์ตระกูล ต้องทนต่อความโดดเดี่ยวที่ไร้ที่สิ้นสุด แม้แต่โอกาสจะย้อนกลับก็ไม่มี”
เฉินปี้เฉิงเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ บอกคำตอบของตนเองออกมา “ขอมหาปราชญ์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
มหาปราชญ์ที่ไม่เคยรับศิษย์มาก่อน อยู่ดีๆ กลับรับศิษย์!
ข่าวคราวนี้ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึง
ความโชคดีของเฉินปี้เฉิงทำให้พวกเขาอิจฉา ในใจลอบคาดหวังว่าถ้าหากตนเองสามารถทำให้มหาปราชญ์มองเห็นความสำคัญได้ก็จะดีมาก!
ถึงกระนั้น พวกเขาก็เข้าใจถึงความห่างชั้นระหว่างตนเองกับเฉินปี้เฉิง
อัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเซิ่งหยวน ไม่ได้พูดออกมาลอยๆ!
“เจ้าน่าจะรู้ดีว่าอะไรทำให้ข้าคิดจะรับศิษย์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้ายังจะยินยอมหรือไม่?” นํ้าเสียงของซือมั่วแฝงไว้ด้วยความสูงส่งและดูห่างเหิน
เฉินปี้เฉิงขบริมฝีปาก เอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าน้อยรู้ดี ขอมหาปราชญ์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
สายตาของซือมั่ว ออกจากร่างของเขาไปตกอยู่ที่ร่างของหวงฝู่ฮ่วน “เป็นศิษย์ของข้า ไม่สามารถทรยศข้า ได้ถึงแม้ข้าจะให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย คิดให้ดี สามวันให้ หลัง มาหาข้าที่ตำหนักหลีกง”
พูดแล้ว ซือมั่วก็นำมู่ชิงเกอหายไปจากสายตาของทุกคน พวกเขาไปแล้ว ทิ้งทุกคนอยู่ที่เดิม ไม่รู้จะทำอย่างไร
ที่เข้าใจก็คือเฉินปี้เฉิงและหวงฝู่ฮ่วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวงฝู่ฮ่วน ถึงแม้ว่าจากต้นจนจบซือมั่วจะไม่ได้เอ่ยชื่อเขาออกมา แต่เขาก็เข้าใจอย่างชัดเจน ว่าประโยคสุดท้ายนั้น ไม่เพียงแค่พูดกับเฉินปี้เฉินเท่านั้น แต่หมายถึงเขาด้วย
มู่ชิงเกอเพียงแต่รู้สึกว่ามีแสงวาบลอยผ่านตาไป ตอนที่ร่อนลงพื้น นางก็ได้ถูกซือมั่วพามาถึงตำหนักหลีกงแล้ว
มู่ชิงเกอมองเขาก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าคงไม่ใช่เพราะคำพูดของข้า ถึงได้รับพวกเขาเป็นศิษย์ใช่ไหม?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดว่าอย่างไร?” ซือมั่วมองนางยิ้มๆ
มู่ชิงเกอยิ้มท้าทาย “ข้าว่า เพราะเจ้ารู้ว่าคนที่ได้รับสมบัติมีค่าไปนั้นคือเฉินปี้เฉิง ดังนั้นถึงได้รับเขาเป็นศิษย์ แต่ทว่า เจ้าก็บอกอย่างชัดเจนแต่เริ่มต้นแล้วว่าเจ้ารับเขาเป็นศิษย์เพราะมีจุดมุ่งหมายอะไร ในเมื่อเขายินยอม เช่นนั้นก็เป็นคนหนึ่งเอาเปรียบ อีกคนยอมรับ ใครก็โทษใครไม่ได้”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าฉลาดจริงๆ” ซือมั่วเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “อย่าทำเหมือนว่าข้าเป็นเด็กๆ จะได้ไหม”
บ่นไปหนึ่งประโยค แล้วนางก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่า เจ้ารับหวงฝู่ฮ่วนเป็นศิษย์เพื่ออะไร? เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการพูดกับพวกเขาทั้งสองคน”
“พูดแล้วว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้านั้นฉลาด อะไรก็ปิดเจ้าไม่ได้” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เขารักจนวางไม่ลง เกลี่ยเล่นกับเส้นผมของมู่ชิงเกอแล้วเขาก็กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “ถึงแม้ว่าความสามารถในการฝึกปรือของหวงฝู่ฮ่วนจะไม่สู้เฉินปี้เฉิง แต่หัวสมองของเขาไม่เลวเลย เขาอาจจะไม่สามารถเป็นขุนศึกที่ห้าวหาญได้ แต่ก็เป็นกุนซือที่หาได้ยากยิ่ง มันสมองของหวงฝู่ฮ่วนเข้ากันกับความสามารถของเฉินปี้เฉิง พวกเขาจะเป็นคู่หูที่เหมาะสมกันมาก”
มู่ชิงเกอฟังแล้วก็เบิกตากว้าง เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าไหนเลยจะรับศิษย์? เห็นได้ชัดว่ากำลังรับสมัครลูกน้อง!”
ซือมั่วยิ้มๆ ไม่ได้ยอมรับและปฏิเสธ
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงเกอค่อยๆ ถูกเก็บเข้ามา
ถึงแม้ว่านางกับซือมั่วจะมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกันดีแล้ว แต่เขาในใจของตนเองก็ยังคงดูลึกลับดังเดิม
มาจากที่ไหน? ในบ้านมีใครบ้าง? ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง?
นางล้วนแต่ไม่รู้
แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่อยากจะถาม นางคิดว่า หากว่ามีวันหนึ่ง ซือมั่วรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ต้องบอกนางแล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่ถาม ซือมั่วก็ต้องบอกนางเองอยู่ดี
ก็เหมือนดังเช่นที่นางสงสัยในวัตถุสีดำลึกลับที่นำออกมาจากเศษซากโบราณนั้นมาก แต่จนถึงตอนนี้ นางก็ไม่ได้ขอดูมันอย่างชัดเจน และซือมั่วก็เอาไปเสียอย่างนั้น ไม่ได้อธิบายอะไร นางก็ไม่อยากไปถาม
ไม่พูด ก็สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่นางต้องรู้ในตอนนี้
“ข้าสงสัยเล็กน้อยว่าเฉินปี้เฉิงได้อะไรออกมา?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถามซือมั่ว
ซือมั่วชะงัก จ้องมองนาง พิจารณาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กอดนางแน่น ทำให้นางแนบชิดกับทรวงอกของตนเอง ฟังเสียงหัวใจที่ทรงพลังของตัวเอง
มู่ชิงเกอยอมตามเขาไม่ขัดขืน
เสียงหัวใจเต้น ดังเข้ามาในหู ดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงหัวใจของนาง
ทุกอย่างล้วนเกิดในความเงียบสงบอย่างยาวนาน ซือมั่วถึงได้ปล่อยมือ ยิ้มกับมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เมื่อถึงเวลาจะรู้เอง”
มู่ชิงเกอยิ้มและก็ไม่ได้ไปเค้นถามต่อ
เกรงว่าซือมั่วคงคิดว่าตนเองจะถามเขาเรื่องของชิ้นนั้น แต่ว่า ตนเองกลับไม่ถาม กลับไปถามเรื่องของเฉินปี้เฉิงแทน
ความเงียบไร้คำพูดเมื่อครู่เป็นการตกลงกันระหว่างสองคน
นางไม่ถาม เขาไม่พูด
ไม่ใช่ปิดบัง แต่ยังไม่ถึงเวลา
เพียงแค่เขาไม่รังแกนาง นางไม่รังแกเขา ถึงแม้ว่าเขาเอาของชิ้นนั้นไปฆ่าคนหมดทั้งโลกแล้วจะอย่างไร?
ส่วนคำตอบของซือมั่วก็มีสองความหมาย
ทั้งตอบคำถามอันก่อนหน้าของมู่ชิงเกอและก็รับปาก ของที่ดูแปลกประหลาดและอันตรายชิ้นนั้นคืออะไร ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องบอกนางอย่างแน่นอน