ตอนที่ 208-3
ข้าจะใช้ทั้งหลินชวนสู่ขอเจ้า!
คํ่าคืนนี้ ความสุข ความยินดี ความเศร้าเสียใจ ความผิดหวังของใครหลายคน ในที่สุดก็ผ่านพ้นไป
เมื่อท้องฟ้าส่องสว่าง มู่ชิงเกอก็ถูกโย่วเหอและฮวาเยวี่ย ลากลงมาจากเตียงที่แสนอบอุ่น
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันเนี่ย” มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่ยังไม่ลืมตา ปล่อยให้พวกนางทั้งสองลูบๆ คลำๆ สวมๆ ใส่ๆ
เมื่อคืนหลังจากที่นางกลับมาสวนสระเมฆาแล้ว นางก็ใช้เวลาไปกับการฝึกพลังยุทธ์จวบจนฟ้าใกล้สางนั่นแหละถึงได้ล้มตัวลงนอน
รู้สึกว่าหลับตาลงไปครู่เดียว ก็ถูกลากขึ้นมา
มู่ชิงเกอแสดงออกถึงอารมณ์อยากฆ่าคนของตัวเองในตอนนี้ ทำอย่างไรดี!
“เสร็จแล้ว!”
“ภารกิจใหญ่เสร็จสมบูรณ์!” ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังสะลืมสะลืออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของโย่วเหอและฮวาเยวี่ยแว่วเข้าหู ทำให้นางพยายามที่จะเปิดหนังตาที่หนักอึ้ง
“งามจริง!”
“คุณชายสวยมากจริงๆ!”
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน?’ เสียงชื่นชมของพวกนางทั้งสองที่อยู่ข้างๆ ก็ทำให้ความ ง่วงงุนของมู่ชิงเกอหายไปหลายส่วน ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นมา มองผู้ที่อยู่ในกระจกชัดๆ
พริบตาเดียวดวงตาของนางก็เบิกกว้าง มองตนเองในกระจกด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
นางผู้ไม่เคยประทินโฉม มาวันนี้บนใบหน้าแต่งเสียจนงดงามเลิศลํ้า ทำเอาใบหน้าได้รูปเหมาะเจาะของนางยิ่งโดดเด่นขึ้นมา
เครื่องประทินโฉมของสตรีมิได้ทำลายความองอาจกล้าหาญเมื่อครั้งที่นางแต่งเป็นบุรุษลงได้ แต่กลับเพิ่มความงาม ความเย้ายวนของสตรีเพศมากขึ้น
ผมยาวสลวยถูกจัดทรงเป็นทรงผมง่ายๆ ปลายผมพลิ้วไสวเป็นอิสระ
อาภรณ์สีแดงบนร่าง ขับเน้นทรวดทรงองเอวของนางได้เป็นอย่างดี ชายกระโปรงยาวลากพื้นเหมาะกับบุคลิกของนาง ยิ่งทำให้ดูองอาจงามสง่า
“นี่มัน…” มู่ชิงเกอมองตนเองด้วยความตกใจ
ราวกับว่านางเพิ่งจะรู้จักว่าตนเองเป็นโฉมงาม!
“คุณชาย ท่านพอใจผลงานของบ่าวไหมเจ้าคะ?” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความเบิกบานใจ
โย่วเหอแต่ไหนแต่ไรมาก็สงบนิ่ง ครั้งนี้ก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ
ความรู้สึกตกตะลึงของมู่ชิงเกอ ค่อยๆ แปรเปลี่ยน นางหมุนตัวอย่างรวดเร็ว มองหน้าสาวใช้ทั้งสองด้วยความโกรธเคืองน้อยๆ ขบฟันเอ่ยถาม “พวกเจ้าช่างกล้าเสียจริง!”
คิดไม่ถึงว่ายังไม่ได้รับคำอนุญาตจากนางก็จับนางแต่งเป็นแบบนี้!
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยลนลานคุกเข่า ดูไปแล้วราวกับหวาดกลัว
ความจริงแล้ว ในใจของทั้งสองคนกลับกำลังแอบยิ้ม
“คุณชายโปรดบรรเทาโทสะ นายผู้เฒ่าบอกไว้ว่าวันนี้เป็นวันมงคลของคุณชาย ต้องประทินโฉมให้งดงาม เจิดจรัสจนทำให้สายตาสุนัขข้างนอกนั้นบอดไปเลยเป็นดีที่สุด!” โย่วเหอกล่าว
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ที่แท้เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เป็นท่านปู่ที่ให้ท้ายสั่งการ!
ฮวาเยวี่ยเองก็เอ่ยออกมาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “พวกเราไม่ใช่รู้ว่าท่านไม่ชอบอะไรจุกจิกหรอกหรือ ถึงได้แต่งออกมาแบบเรียบง่ายเช่นนี้”
“ลุกขึ้นมาเถอะ” มู่ชิงเกอหน้านิ่ง
คำพูดประโยคนี้หมายความว่านางไม่โกรธสาวใช้สองนางนี้แล้ว
และก็นับว่ายอมรับการแต่งตัวในวันนี้
ช่างเถอะ ไหนๆ จะต้องจากไปแล้ว ก่อนจะไปก็อย่าไปขัดท่านปู่เลย
มู่ชิงเกอปลอบตัวเองในใจ
วันนี้..ไม่รู้จริงๆ ว่าซือมั่วจะเปิดฉากอย่างไร
ข้างกายซือมั่วตั้งแต่ต้นจนจบมีผู้ติดตามเพียงแค่กู่หยาและกู่เย่ เท่านี้ก็ดูออกว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่ชอบความเอิกเกริก ถึงอย่างนั้นวันนี้เขากลับจะมาขอมู่ชิงเกอแต่งงานต่อ หน้าคนใต้หล้า เช่นนั้นต้องกู่ก้องให้ยิ่งใหญ่อลังการอยู่บ้าง
เขาจะทำเช่นไร?
‘ลงมาจากท้องฟ้า? หรือว่าให้สัตว์อสูรเปิดทาง? หรือไม่ก็โปรยกลีบดอกไม้?’ หลังจากมู่ชิงเกอตื่นเต็มตา ในระหว่างที่รอ ก็เริ่มคิดอะไรเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย
“ข้ามัวคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่! มีเวลาไม่สู้ฝึกพลังยุทธ์!” มู่ชิงเกอสะบัดศีรษะแรงๆ สงบสติอารมณ์นั่งสมาธิเข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์
การฝึกพลังยุทธ์ราวกับสามารถทำให้เวลาผ่านไปรวดเร็วเป็นพิเศษ!
วันนี้คนตระกูลมู่ที่งหมดราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
แม้แต่มู่ซงเองก็หยุดจัดดอกไม้ใบหญ้าในสวน เดินไปเดินมาในห้องโถงด้านหน้าไม่หยุด มองไปทางปากประตูบ่อยๆ จวบจนเข้าสู่ยามเที่ยงวัน ลั่วตูก็ยังคงอยู่ในความเงียบสงบ
มู่ชิงเกอจมดิ่งกับการฝึกพลังยุทธ์ไม่รับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก
เป็นมู่ซงที่กระวนกระวายร้อนใจ ดื่มนํ้าชาไปไม่รู้กี่ถ้วยต่อกี่ถ้วย
จนเขาอดรนทนรอต่อไปไม่ไหว เมื่อคิดจะไปถามข้อสรุปกับมู่ชิงเกอที่สวนสระเมฆา จู่ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงคนวิ่งตึงตัง
“นายท่าน มา…มาแล้วขอรับ…”
ผู้ที่ปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้ามู่ซงด้วยท่าทางรีบร้อน เป็นพ่อบ้านตระกูลมู่ ติดตามอยู่ข้างกายมู่ซงมาหลายสิบปี ตอนที่ยังหนุ่มก็ติดตามมู่ซงไปออกรบ พอชราออกรบไม่ไหวก็มาดูแลเรื่องจิปาถะในจวนตระกูลมู่แทนมู่ซง
“มาแล้ว! อยู่ที่ไหน?” ดวงตามู่ซงเป็นประกาย การรอคอย ความร้อนใจก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขามองไปยังด้านหลังพ่อบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับไม่พบผู้ใด
ในขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น พ่อบ้านก็ส่ายศีรษะยกมือชี้ขึ้นไปบนฟ้า มีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนไปพลางกล่าวว่า
“ไม่ได้อยู่บนพื้นดิน แต่อยู่บนท้องฟ้า!”
บนท้องฟ้า!
มู่ซงวิ่งตามออกมา ยืนอยู่บนลานกว้างเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า
เวลานั้นไม่ใช่มีเพียงตระกูลมู่ที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า
ชาวบ้านที่อยู่บนถนนตรอกซอกซอยในลั่วตู นาทีนี้ต่างพากันชะงักเท้า แหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
แม้กระทั่งฉินจิ่นเฉินที่อยู่ในวังหลวงก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เดินนำขุนนางในท้องพระโรงออกมาตรงระเบียงด้านนอกของท้องพระโรงที่ใช้ออกว่าราชการ แหงนหน้ามอง ขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมๆ กัน
ฟิว ฟิว ฟิว ฟิว!
เสียงแหวกอากาศก้องกังวานดังขึ้นในอากาศนับไม่ถ้วน
เจ้าอ้วนเช่ากระโดดจากเก้าอี้แสนสบายที่เอนตัวอยู่อย่างรวดเร็วมองออกไปด้านนอก มองเห็นหย่อมสีดำบนท้องฟ้า ก็ตะโกนออกมาด้วยความหวั่นกลัว “เฮ้ย!
นกมาจากไหนเยอะแยะ!”
เจ้าอ้วนแซ่เช่าขยี้ตาแรงๆ ตั้งใจเบิกตากว้าง ต้องการที่จะดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าให้ชัดเจน ทันใดนั้นเอง เขาก็เบิกตากว้างแทบถลน เอ่ยร้องเสียง
หลงว่า “เป็นสัตว์เวหา!”
“สัตว์เวหา” มู่ชิงเกอในอาภรณ์สีแดงเย้ายวนงดงาม ยืนอยู่ด้านนอกสวนสระเมฆาแหงนหน้ามองบนท้องฟ้า
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยยืนอยู่ด้านหลังนาง มีท่าทีแตกตื่นอยู่บ้าง
จู่ๆ ลั่วตูก็ปรากฎสัตว์เวหามากมายเพียงนี้ ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย!
ช่วงเวลานั้นชาวลั่วตูทั้งหมดต่างก็ถูกสัตว์อสูรเวหาหลากสีที่ยืดยาวราวปุยเมฆดึงดูดความสนใจ บางคนก็ประหลาดใจ บางคนก็หวาดกลัว
ทันใดนั้นเอง บรรดาสัตว์อสูรเวหาที่บินไปมาบนท้องฟ้าลั่วตูอย่างไม่มีจุดหมายก็แยกตัวออกมา ล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ล้อมลั่วตูไว้ตรงกลาง
ตอนนี้เองที่ผู้คนถึงได้สังเกตเห็นว่าบนหลังของสัตว์อสูรเวหามีคนยืนอยู่บนนั้น
สัตว์อสูรเวหาที่ล้อมเป็นวงค่อยๆ ลดระดับความสูงลง ราวกับว่าให้คนที่อยู่บนพื้นดินเห็นผู้ที่ยืนอยู่บนหลังตัวเองชัดๆ
คนเหล่านั้น ชาวบ้านเมืองลั่วตูไม่รู้จัก บรรดาผู้สูงศักดิ์ก็ไม่รู้จัก แม้แต่ขุนนางในราชสำนักต่างก็มีสีหน้าสงสัย
มีเพียงมู่ชิงเกอผู้เดียวตอนที่เห็นใบหน้าหวงฝู่เฮ่าเทียน ดวงตาของนางก็เคร่งขรึมลงฉับพลัน
จากนั้นนางก็กวาดสายตามองหาอย่างรวดเร็ว ก็พบใบหน้าผู้ที่นางคุ้นเคยอยู่บนหลังสัตว์อสูรเวหาอยู่หลายคน ตัวอย่างเช่น ประมุขสามตระกูลใหญ่ของเทียนตู เซวียฉง หัวหน้าโรงโอสถ ผู้อาวุโสระดับพลังยุทธ์ขั้นสูงอีกหลายท่าน ยังมีอีกหลายคนที่นางไม่รู้จักชื่อ
แต่ว่าสามารถปรากฎตัวอยู่ด้วยกันได้ แสดงว่าฐานะของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดา!
เป็นอย่างที่คิด
ในขณะที่ทั่วทั้งลั่วตูอยู่ในภาวะตื่นตระหนก ผู้ที่อยู่บนหลังสัตว์อสูรเวหาก็เริ่มเอ่ยวาจา
“จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน หวงฝู่เฮ่าเทียน”
“ตระกูลจิ่งแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน!”
“ตระกูลฮวาแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน!”
“ตระกูลเฉินแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน!”
“เชื้อพระวงศ์เแคว้นอวี่!”
“ตระกูลเซวียแคว้นอวี่!”
“เชื้อพระวงศ์แคว้นตี๋!”
“เชื้อพระวงศ์เแคว้นหรง! ”
“เชื้อพระวงศ์เแคว้นอวี๋!”
“เชื้อพระวงศ์แคว้นลี่!”
“เชื้อพระวงศ์แคว้นถู!”
“ชนเผ่าแคว้นปา!”
“นักพรตแคว้นกู่วู่!”
“สวรรค์ เชื้อพระวงศ์ทั่วทั้งหลินชวน ตระกูลใหญ่ต่างๆ พากันมาปรากฎตัวที่ลั่วตูหรืออย่างไร? มาทำอะไรกันที่นี่?”
คนพวกนี้พอแนะนำตัวเอง ชาวลั่วตูและขุนนางต่างก็ตกอยู่ในอาการตกใจ ฉินจิ่นเฉินพลันมีอาการตื่นตระหนก!
“ซวีตู๋ เทือกเขาไป๋ฉางซาน!”
“เฝิงโหย่วกวง ทะเลสาบเยี่ยนหู!”
“อู๋จือฉุน หุบเขากระบี่สวรรค์!”
ชื่อบุคคลแปลกหน้าที่ไม่คุ้นหูไม่เกิดปฏิกิริยาจากชาวบ้านมากนัก แต่ว่าเมื่อเข้าหูตระกูลใหญ่ที่มีความรู้เรื่องขุมอำนาจต่างๆ กลับเหมือนเป็นคลื่นกระทบฝั่ง!
“ท่านซวีตู๋? ไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมือที่ไม่เผยตัวในใต้หล้ามานาน!”
“ยังมีเฝิงโหย่วกวง ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือผู้รักสันโดษ!”
“อู๋จือฉุน หุบเขากระบี่สวรรค์ เล่ากันว่าเมื่อร้อยปีก่อน เขาก็ได้รับการจัดอันดับเข้าทำเนียบยอดฝีมือสุสานกระบี่ในหุบเขากระบี่สวรรค์ก็ยิ่งยั่วให้ผู้คนนํ้าลายสอ นัก!”
ผู้มีหน้ามีตาในหลินชวนแทบจะครบทุกคนมารวมตัวกัน ที่ลั่วตูแคว้นฉินในเวลานี้
พวกเขายืนอยู่บนหลังสัตว์อสูรเวหาลดหลั่นกันไป ประกาศฐานะของตนเอง
รอจนคนสุดท้ายพูดจบ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเอามือประสานและโค้งตัวอย่างพร้อมเพรียงกันโค้งคำนับไปที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ ประสานเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อสู่ขอมู่ชิงเกอคุณชายตระกูลมู่ให้กับมหาปราชญ์!”
โครม!
ลั่วตูระเบิดแล้ว!
ข่าวสะท้านสะเทือนแผ่นดินเช่นนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ลั่วตู ก่อนจะค่อยๆ ลามไปทั่วทั้งหลินชวน!