Skip to content

พลิกปฐพี 209

ภาคที่ 2 ภาคโลกแห่งยุคกลาง

ตอนที่ 209

ทะเลแห่งทุกข์ไร้ขอบ หันหลังไร้ฝั่ง!

ทะเลแห่งทุกข์ทิศใต้สุดของหลินชวน

ร่ำลือกันว่าที่นั่นเป็นเส้นทางที่สามารถ เดินทางไปยังโลก อีกแห่งหนึ่งได้

แต่ถึงอย่างนั้น ยอดฝีมือของทวีปหลินชวนที่สามารถเดินทางออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ นั้นก็มีอยู่น้อยมาก น้อยมากๆ และคนที่ไปถึงโลกแห่งยุคกลางจริงๆ แล้วมีข่าวคราวส่ง กลับมา ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ทะเลแห่งทุกข์นั้นถึงจะอยู่ติดกับหลินชวน แต่มันก็ เหมือนกับเป็นคนละโลก

นํ้าของทะเลแห่งทุกข์นั้นมีสีเขียวคล้ำ กลิ่นที่โชยออกมา ก็ราวกับน้ำดีที่มีรสชาติขมฝาด บางทีนี่อาจจะเป็นที่มา ของชื่อทะเลแห่งทุกข์ก็เป็นได้!

น้ำทะเลสีเขียวเข้ม ภูเขานํ้าแข็งที่ไม่เคยละลายมาตั้งแต่ ยุคโบราณ ไม่ว่าตรงจุดไหนๆ ก็แฝงไว้ด้วยความแปลก ประหลาดและอันตราย

ตามตำนานก็บอกไว้ว่าที่นี่ยังมีเผ่าปีศาจลึกลับอาศัยอยู่ พวกเขานั้นไม่เหมือนกับสัตว์อสูร เพราะบนร่างยังมี ลักษณะบางส่วนที่คล้ายกับมนุษย์แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ คล้ายพวกสัตว์อสูร

ในบันทึกที่ยังหลงเหลืออยู่พวกนั้น ก็เคยกล่าวเอาไว้ว่า บรรพบุรุษของพวกมัน ในเวลาก่อนหน้าอันยาวนานเกิด จากการผสมผสานระหว่างเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งกับเผ่า สัตว์อสูรที่น่าเกรงขาม จนเกิดเป็นเผ่าพันธุ์ชนิดใหม่ขึ้น

หลังจากนั้นมนุษย์ก็เรียกพวกเขาว่า ‘เผ่าปีศาจ’

พวกปีศาจนั้นลึกลับ ไปมาหาตัวจับยาก แต่ไหนแต่ไรมา ก็จะเคลื่อนไหวอยู่แต่ในทะเลแห่งทุกข์ดังนั้นชาวหลิน ชวนก็เลยเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นี้น้อยมาก คนส่วนมาก ก็ถึงขั้นไม่รู้ถึงการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์เช่นนี้

เรือลำใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งที่ดูเหมือนกับเกาะเคลื่อนที่ได้ ก็ กำลังค่อยๆ แล่นไปด้านหน้าท่ามกลางทะเลอันเงียบ สงบนี้

ตัวเรือแหวกผ่านน้ำทะเลสีเขียวเข้ม แล่นทะยานไปด้าน หน้า บางเวลาก็ยังตัดผ่านแผ่นนํ้าแข็งที่ลอยอยู่ด้านบน ทะเลแห่งทุกข์นั้นหนาวเย็นมาก หนาวจนทำให้คนรู้สึก เย็นยะเยือก ต่อให้ใส่ชุดหนาหลายชั้นเพียงไรก็ยัง

สามารถสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่เสียดแทงกระดูก การใช้ชีวิตในอุณหภูมิที่ต่ำมากเช่นนี้ สำหรับมนุษย์แล้ว แต่เดิมก็ถือเป็นบททดสอบอันหฤโหด

ด้านบนดาดฟ้าเรืออันสะอาดสะอ้านที่ดูกว้างขวางราว กับผืนแผ่นดิน รองเท้าสีหมึกดำคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนดาด ฟ้า หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปยืนทางหัวเรือ เดินไปทางเงาร่างสีแดงที่ยืนรับลมอยู่ด้านหน้า

พอมาถึงด้านหลังเงาร่างสายนั้น เขาก็พลันหยุดลง กล่าวด้วยเสียงนอบน้อม “คุณชาย”

“อืม” ชุดผ้าไหมสีแดง ทั้งร่างสวมคลุมด้วยเกราะอ่อน ผ้าพันคอขนสัตว์สีดำเปล่งประกายวาววับ ขับเสริมให้ใบ หน้างดงามอันหาใดปรียบมิได้นั้นยิ่งดูเจิดจ้าสะดุดตายิ่ง ขึ้น

“มั่วหยาง พวกเราควรจะใช้เส้นทางใหม่ได้แล้ว” มู่ชิงเกอทอดมองไปยังส่วนลึกของทะเลแห่งทุกข์ระหว่างที่พูด ริมฝีปากก็ยกสูงขึ้น ก็ยังคงให้ความรู้สึกอาจหาญแก่ผู้ คนเหมือนเก่าก่อน

มั่วหยางส่งสายทอดมองออกไปยังด้านนอกตามคำกล่าวของมู่ชิงเกอ

ผืนทะเลที่สีเขียวเข้มด้านนอกตัวเรือก็ราวกับเป็นโลกแปลกใหม่อีกโลกหนึ่งที่กำลังรอให้พวกเขาออกไปสำรวจ

มู่ชิงเกอเอามือที่ไพล่อยู่ด้านหลังยกขึ้นมา แบมือออก ต่างหูสีม่วงที่สามารถปกปิดเพศของนางก็กำลังนอนนิ่ง อยู่ที่กลางฝ่ามือของนาง

แววตาใสกระจ่างของนางจับจ้องไปบนต่างหูสีม่วง ริมฝีปากแดงเผยรอยยิ้มลึกลํ้าออกมา

ดึงสายตากลับก่อนจะยกต่างหูใส่ไปที่หูของตน

ชั่วขณะนั้น หญิงงามนางหนึ่ง หลังจากภาพตรงหน้าที่พร่าเบลอของมั่วหยางหายลับไป ก็กลับกลายเป็นคุณชายหล่อเหลาองอาจผู้หนึ่ง

บนโขดหินใกล้ชายฝั่งแคว้นกู่วู่ คนสี่คนยืนเรียงกันอยู่บน โขดหิน ทอดสายตามองไปยังด้านนอกเขตนํ้าตื้นของ ทะเลแห่งทุกข์นํ้าทะเลสีเขียวคลํ้าที่พวกเขาไม่เคยพาน พบมาก่อน ก็มองเห็นเพียงแต่เส้นแสงที่ทอประกายรางๆ อยู่ตรงเส้นขอบฟ้า

“นางจากไปแล้ว ไม่ได้อยู่รอพวกเรา” จูหลิงยิ้มเยาะให้

ตัวเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าอย่างถึงที่สุด ซางจื่อซูเม้มริมฝีปาก กล่าวเสียงเบา “นางก็มีธุระ ของตน ไม่อาจมัวแต่รอคอยพวกเราได้”

ที่ยืนอยู่ด้านข้างหญิงสาวทั้งสองคนก็เป็นจ้าวหนานซิงกับเหมยจื่อจ้ง

ในแววตาของพวกเขาก็เหมือนกันทอแววเสียใจ!

ตอนอยู่ที่โรงโอสถสาขาย่อย ตอนที่พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันบุกฝ่าป่ามายา ก็เคยให้คำมั่นกันเอาไว้ว่าใน อนาคตจะออกไปจากหลินชวนด้วยกัน ผจญภัยไปยังที่

ต่างๆ เพื่อความฝันนี้พวกเขาทุกคนก็พยายามกันมาโดยตลอด น่าเสียดาย ถึงจะเร่งรุดตามมาแต่ก็ยังไม่ทันการออกเดินทางของมู่ชิงเกอ พวกเขาเร็วแล้ว แต่มู่ชิงเกอก็เร็วยิ่งกว่า!

ในตอนที่พวกเขากำลังเตรียมตัวมาที่จุดออกเดินทาง มู่ชิงเกอก็ได้มาถึงก่อนแล้ว และเรื่องจำเป็นที่นางจะต้องไปทำก็มีมากมาย จนบีบคั้นให้นางไม่อาจหยุดรอพวกเขาได้ทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป!

“พวกเราก็อย่าให้นางรอนานเกินไป!” เหมยจื่อจ้งกล่าวนํ้า

เสียงตั้งมั่น

ถึงแม้ว่าเขาจะได้ฟังเรื่องสู่ขอที่ยิ่งใหญ่ตระการตานั้น ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าหัวใจของนางมีเจ้าของแล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้ส่งผลต่อความคิดที่อยากจะปกป้องมู่ชิงเกอที่มีในตอนแรกเริ่มได้

จ้าวหนานซิงยิ้มขมขื่นไปให้เขา “ศิษย์พี่ ท่านก็ได้เข้าสู่ขั้นสีม่วงแล้ว แน่นอนว่าจะไม่ทำให้มู่ชิงเกอรอนานเท่าไร แต่พวกเราสามคน ยัง…”

ประโยคหลังเขาก็ไม่ได้พูดออกมาจนจบ เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างอับจนหนทาง

เขาที่ตั้งใจฝึกฝนมา ตอนนี้ยังมีระดับการฝึกฝนแค่ขั้นสีนํ้าเงินเพียงเท่านั้น ซางจื่อซูตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นก็ราวกับจะกลายเป็นบ้าคลั่งฝึกฝน ตอนนี้ก็ถึงขั้นสีนํ้าเงิน ระดับสูงแล้วเช่นกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูหลิงที่มีระดับพลังต่ำที่สุดในหมู่พวกเขา

ถึงแม้นางตอนนี้จะอยู่โรงโอสถกลาง มีทรัพยากรในการฝึกฝนที่ดีกว่า แต่นางตอนนี้ก็ยังอยู่แค่ระดับสีครามขั้น สูงสุดเท่านั้น

อยากจะฝึกถึงขั้นสีม่วงไปจนถึงทะลวงขั้นสีม่วง ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่วันกี่ปีกัน

หากรอจนถึงตอนที่พวกเขาฝึกไปถึงข้อกำหนดในการออกจากหลินชวน มุ่งหน้าไปโลกยุคกลางหามู่ชิงเกอ ก็ยังไม่รู้ว่านางจะก้าวไปถึงจุดไหนแล้ว?

คำพูดของเขาก็ทำเอาในใจของซางจื่อซูและจูหลิงตกตํ่าลงไปอีก

แต่เหมยจื่อจ้งที่มองไปทางเขา แววตาที่ไม่สนใจโลกคู่นั้นก็แฝงไว้ด้วยความเงียบสงบผ่อนคลายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจสายหนึ่ง “ศิษย์น้องจ้าว ข้าก็นึกมาตลอด ว่าปากของเจ้าจะไม่มีทางมีคำกล่าวตัดพ้อเช่นนี้หลุดออกมา”

ริมฝีปากของจ้าวหนานซิงหุบลง เม้มริมฝีปากไม่กล่าววาจาอีก

อย่าได้โทษเขาที่มองเรื่องราวในแง่ลบเกินไป เพราะความเป็นจริงนั้นทำให้คนจุกอกยิ่งนัก!

ความเร็วในการฝึกของมู่ชิงเกอปีศาจร้ายกาจนั้น ก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาเช่นพวกเขาสามารถเปรียบเทียบได้รึ?

“จริงๆ แล้วหากคิดจะไปหาเจ้านั่นเร็วๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอันใด” อยู่ๆ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา

ทั้งสี่คนมองหันกลับไป ก่อนจะเห็นเจียงหลีเดินลอยชายมาทางชายหาด

คำกล่าวของนางก็ทำให้พวกเขาลืมเลือนที่จะตกตะลึงในความงามของฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่นางนี้

เหมยจื่อจ้งมองไปทางนางพลางเอ่ยถามขึ้น “ฝ่าบาท ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?”

เจียงหลีแย้มยิ้มขึ้น กล่าวไปทางพวกเขาทั้งสี่ “พวกเจ้าอยากจะไปหามู่ชิงเกอที่โลกแห่งยุคกลางมากรึ”

ทั้งสี่คนไม่ลังเลล้วนแต่พยักหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

นี่ก็เป็นการนัดหมายที่พวกเขากล่าวกันเอาไว้ดีแล้ว จะไปตระบัดสัตย์ได้อย่างไร?

นัยน์ตาที่ทอแสงสีทองรางๆ กวาดมองไปยังใบหน้าของทั้งสี่คน ก่อนที่เจียงหลีจะนึกสนุกขึ้นมาสายหนึ่ง “ข้ามีวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะกล้าหรือไม่”

“วิธีอะไร?”

ทั้งสี่ก็เหมือนกับว่าจะส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

ความตกตะลึงและตื่นเต้นในนํ้าเสียงเหล่านี้ก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกสนใจเล็กน้อย นางมองไปทางทั้งสี่คนที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกบนใบหน้านั่นก็เหมือนกับออกมาจากจุดเดียวกันไม่ได้มีความเสแสร้งแต่อย่างใด อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจขึ้นในใจ ‘มู่ชิงเกอนะมู่ชิงเกอ! เจ้าพอเดินทางจากไปแล้ว ก็ช่างน่าสงสารคนที่เหลืออยู่พวกนี้ที่ยังมีความรู้สึกจริงใจกับเจ้า’

“ในแคว้นกู่วู่ของข้าก็มีเขตแดนหวงห้ามแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนขอเพียงได้เข้าไปก็จะไม่สามารถก้าวออกมาได้อีก วิธีการที่จะออกมาได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการผ่านด่าน แต่ละชั้นด้านในก็กล่าวได้ว่าตายเก้ารอดหนึ่ง อันตรายหนักหนานัก ในหมู่คนของแคว้นกู่วู่ที่เข้าไปในแต่ละครั้ง อัตราการมีชีวิตรอดก็ต่ำมาก แต่ว่า ขอเพียงพวกเจ้าสามารถรอดออกมาได้พลังก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปอีกหลายเท่า”

เจียงหลีด้านหนึ่งกล่าวไปพลาง อีกด้านหนึ่ง จับจ้องการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของทั้งสี่คน พร้อมกันกับคำกล่าวของเจียงหลีสีหน้าของทั้งสี่คนก็กลายเป็นนิ่งขรึมขึ้น แต่กลับไม่ได้มีท่าทีลังเลหรือจะปฏิเสธแม้แต่น้อย ในจุดนี้ก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกพอใจมาก นั่นถึงจะยอมกล่าวขึ้นต่อ “พรสวรรค์ของพวกเจ้าแต่ละคนก็ไม่เลว เปรียบกับคนธรรมดาแล้วก็ถือว่าเป็นการคงอยู่ของหนึ่งในร้อยและหนึ่งในพัน ถ้าหากมีความกล้าพอที่จะไปทดสอบ กล่าวไม่แน่ว่าหลังจากออกมาแล้วพวกเจ้าก็จะไปถึงข้อกำหนดในการออกจากหลินชวน”

“พวกเราก็ไปได้รึ?” จ้าวหนานซิงเอ่ยถาม “ที่นั่นก็ถือเป็นเขตหวงห้ามของแคว้นกู่วู่”

ตามกฎแล้วสถานที่หวงห้ามเช่นนี้คนในแคว้นก็ยังไม่อาจจะเข้าไปได้ แล้วนับ ประสาอะไรกับพวกเขาที่มาจากภายนอก ความกังวลในใจของเขา กลับทำให้คิ้วยับย่นของเจียงหลีคลายลง “มีอะไรไม่ได้? ข้าเป็นฮ่องเต้หญิง ข้าบอกว่าได้ก็ต้องได้!”

คำประกาศกร้าวที่ไม่สนใจใครนี้ก็ทำเอาทั้งสี่นิ่งชะงักไป

แบบไหนเรียกว่าเอาแต่ใจ? นี่แหละที่เรียกว่าเอาแต่ใจ!

“โอกาสข้าก็ได้มอบให้แล้ว กล้าไม่กล้าก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าแล้ว” เจียงหลีพอกล่าวจบก็หมุนกายเดินจากไป

“ให้เวลาพวกเจ้าคิดทบทวนสามวัน หลังจากสามวันนี้ ถ้าหากคิดจะเข้าไปก็ให้ไปหาข้าที่วังหลวง” นํ้าเสียงของ เจียงหลีดังสะท้อนมาจากที่ไกลๆ

หลังจากมองส่งนางจากไปแล้วคนที่เหลือทั้งสี่ก็มองหน้ากันและกัน

ผ่านไปอึดใจหนึ่งจ้าวหนานซิงก็กล่าวกับทั้งสามคน “จำเป็นต้องใช้เวลาทบทวนสามวันเลยรึ?”

“ไม่ต้อง ข้าตัดสินใจได้แล้ว” จูหลิงยิ้มหยาดเยิ้มออกมา

เหมยจื่อจ้งดึงสายตากลับ มองไปทางพวกเขาพลาง กล่าวขึ้น “ยังมีเวลาอีกสามวัน พวกเราแยกย้ายกันไป เตรียมตัวเถอะ”

พอกล่าวจบเขาก็หมุนกายเดินจากไป

ในเมื่อฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ล้วนแต่กล่าวแล้วว่าด้านใน ตายเก้ารอดหนึ่ง เป้าหมายของพวกเขาก็เป็นการเข้าไปพัฒนาตัวเองไม่ได้เข้าไปรนหาที่ตาย ดังนั้น ในสามวันนี้ก็จะต้องไปเตรียมสิ่งของในการรักษาชีวิต

พวกเขาก็เป็นนักปรุงยา ภายในเวลาสามวัน หลอมโอสถที่สามารถช่วยชีวิตในเวลาสำคัญจำนวนหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก

เรือขนาดใหญ่ที่เหมือนกับเกาะลอยนํ้าก็ไม่ปานกำลังลอยละล่องไปด้านหน้าอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งทุกข์ พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาสู่ทะเลลึกของแคว้นกู่วู่ได้เพียงสอง วัน ดังนั้นตอนนี้ก็ถือว่าอยู่ขอบรอบนอกของทะเลแห่งทุกข์แล้ว

พอจ้องมองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง พวกเขาก็ไม่รู้แล้วว่าริมฝั่งอยู่ตรงทิศไหน ไม่รู้ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาเริ่มที่จะคาดเดาทิศทางไม่ได้แล้ว เส้นทางการเดินเรือที่เตรียมมาอย่างดีก่อนออกเดินทาง พอมาถึงทะเลแห่งทุกข์ แล้วกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์

องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคน มั่วหยาง โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยล้วนแต่ยืนอยู่พร้อมหน้ากันบนดาดฟ้าเรือ

ตรงด้านหน้าของพวกเขาก็เป็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ ส่วนตรงหน้าของนางก็คือคันบังคับเรือ

คันบังคับทรงกลมก็มีรอยเว้ากลมๆ อยู่ด้านบนราวกับว่าจะถูกจงใจสลักเอาไว้

ในมือของมู่ชิงเกอถือถาดทรงกลมที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ด้านบนถาดทรงกลมก็สลักไว้ด้วยอักขระและสัญลักษณ์ที่ดูลึกลับและสลับซับซ้อน ขับเน้นให้มันยิ่งดูลึกลับขึ้นไปอีก

นี่ก็เป็นของที่ซือมั่วมอบให้นาง จากที่ฟังมาบอกว่า สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกันตัวเรือ และสามารถช่วยให้ทิศทางในการเดินเรือไม่คลาดเคลื่อน ช่วยส่งให้มู่ชิงเกอไปยังโลกแห่งยุคกลางได้อย่างราบรื่น

ซือมั่วจริงๆ แล้วสามารถใช้พลังของตนเองส่งมู่ชิงเกอกับพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น และมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปขอร้องเขา

เพราะพวกเขาล้วนแต่รู้ว่า การข้ามผ่านทะเลแห่งทุกข์ก็ ถือเป็นการฝึกฝนสนามหนึ่ง และการเติบโตของมู่ชิงเกอกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ต้องการก็คือการฝึกฝน!

ดังนั้นเขาก็สามารถมอบอุปกรณ์ป้องกันตัวให้นางส่วนหนึ่งได้ แต่ไม่สามารถพาข้ามขั้นมากไป!

กวาดสายตามองถาดกลมในมือหนหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอามันประกบ เข้าไปกับรอย เว้า

รอยเว้าที่ปล่อยทิ้งไว้ก็ใหญ่กว่าถาดทรงกลมนั้นค่อนข้างมากหน่อย

แต่ในตอนที่ถาดทรงกลมถูกประกบใส่เข้าไป มันก็ถึงกับเปล่งแสงออกมาสายหนึ่ง ทำให้ตรงจุดเว้าเกิดการเปลี่ยนแปลง มันขยับปรับเปลี่ยนขนาดของตัวมันเอง ก่อนจะกลายเป็นมีขนาดพอดีกับรอยเว้า แสงสว่างสายหนึ่งสว่างขึ้น ถาดกลมในตอนนี้ก็ประกบเข้าไปในรอยเว้าจนไม่เห็นช่องว่างแม้แต่สายเดียว

ราวกับว่านี่ก็เป็นชิ้นส่วนที่งอกติดอยู่กับคันบังคับมาตั้งแต่ต้น

ถาดทรงกลมพอขยับเข้าที่สัญลักษณ์ลึกลับด้านบนก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

มู่ชิงเกอเพ่งมองไปยังการเปลี่ยนแปลงด้านบนถาดทรงกลม รู้สึกประหลาดขึ้นน้อยๆ

สัญลักษณ์ เส้นสาย อักขระที่สลักที่อยู่บนถาดทรงกลมนั้นก็ขยับเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะมีแสงสีทองสะท้อนวาบออกมาจากถาดทรงกลม พุ่งไปยังสี่ทิศรอบด้าน

พวกมันก็ส่องสะท้อนไปยังทั้งสี่ทิศของตัวเรือราวกับจะประสานกันขึ้นเป็นเกราะป้องกันโปร่งใสสายหนึ่ง คุ้มกันตัวเรือที่แล่นอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ไม่ให้ได้รับอันตรายจากภายนอก

หลังจากเส้นแสงสีทองพวกนั้นสะท้อนไปรอบทิศแล้วก็สลายหายไป

ในตอนที่มันหายไปอาการตกตะลึงของกลุ่มคนก็ยังไม่ได้ผ่อนเบาลง

ในตอนนั้นเองบนตัวเรือก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

คันบังคับเรือที่แต่เดิมไม่เคยขยับ กลับกลายเป็นขยับขึ้นมาด้วยตัวมันเอง

หมุนซ้ายหมุนขวาไปมา ปรับเปลี่ยนทิศทางของเรือที่แล่นไปด้านหน้า ขยับหลบแผ่นน้ำแข็งและหินโสโครกใต้นํ้าด้วยตัวมันเอง ราวกับว่าด้านหลังของคันบังคับมีกัปตันเรือล่องหนอยู่ผู้หนึ่ง กำลังบังคับทิศทางเรืออย่างเชี่ยวชาญ

เส้นทางที่ใช้มุ่งไปยังโลกแห่งยุคกลาง เขาก็เหมือนกับว่าจะเคยใช้มันมาชั่วชีวิต แต่ไหนแต่ไรมาก็คุ้นชินจนเป็นเรื่องปกติ

“ของที่องค์มหาปราชญ์นำออกมาก็ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง!” โย่วเหอแย้มยิ้มพลางเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิ

ฮวาเยวี่ยยิ้มเอ่ยขึ้น “คิก คิก ยังจะเรียกองค์มหาปราชญ์อยู่อีก? พวกเราไม่ใช่ควรเปลี่ยนคำเรียกว่าท่านเขยหรอกรึ?” พอกล่าวจบนางก็ลอบเหล่ตามองไปทางมู่ชิงเกอสายตาหนึ่ง

ราวกับว่าอยากจะเห็นบนใบหน้าของนายตนเผยรอยยิ้มเขินอายออกมา

น่าเสียดายที่นางต้องกลายเป็นผิดหวังแล้ว

แววตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอกวาดมองมา ก่อนจะแย้มยิ้มเอ่ยขึ้นกับนาง “พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณชาย แต่กลับไปเรียกเขาว่าท่านเขย นี่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร”

สาวใช้ทั้งสองคนนิ่งชะงัก สีหน้างุนงง

พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ล้วนแต่พากันเอี้ยวหูรอฟัง กลัวว่าในภายหลังจะเรียกผิด

“เช่นนั้นจะต้องเรียกว่าอะไร?” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถามขึ้นอย่างอยากรู้

นัยน์ตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอทอแววร้ายกาจ “พวกเจ้า สามารถเรียกเขาว่าฮูหยิน! ฮ่าๆ ฮ่าๆ !”

ทิ้งกลุ่มคนที่กลายเป็นก้อนหินแข็งอ้าปากพะงาบๆ มู่ชิงเกอหัวเราะลั่นก่อนจะเดินไปทางห้องพัก

“ฮู…ฮูหยิน?” ฮวาเยวี่ยสีหน้าขมขื่น มองไปยังโย่วเหอที่อยู่ด้านข้าง

โย่วเหอก็อับจนหนทางเช่นกัน ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นส่ายหน้าไปมา

พวกนางแน่นอนว่าไม่อาจเรียกซือมั่วว่าฮูหยินได้ไม่เช่นนั้นจุดจบก็คงจะน่าอนาถอย่างถึงที่สุด

“ก่อนหน้า องค์มหาปราชญไม่ใช่เคยปลอมตัวเป็นพี่ชายต่างสกุลของคุณชายหรอกรึ? ตอนนั้นนายน้อยก็ยังให้พวกเราเรียกเขาว่าท่านมั่วอยู่เลย แต่นั้นฟังแล้วก็ดูไม่น่าฟังอยู่บ้าง… อืม ต่อจากนี้พวกเราก็เรียกนายท่านมั่วก็แล้วกัน” โย่วเหอคิดแล้วคิดก่อนจะตอบอย่างอับจนหนทาง

คำเรียกที่สลับซับซ้อนพวกนี้ก็ทำให้นางหมดแรงจะไป ปฏิบัติตามจริงๆ

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ลอบแอบจดจำคำเรียกนี้เอาไว้ มีเพียงมั่วหยางที่ไม่มีท่าทีอันใด

ราวกับว่าในสายตาของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีแค่มู่ชิงเกอที่เป็นเจ้านายเพียงคนเดียว เขาทำแค่เพียงสนใจนางคนเดียวก็พอ อื่นๆ นอกนั้นเขาก็จะไม่ไปสนใจ และก็ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยว

เวลาสามวันก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างไม่ทันไร ก็มีคนมารายงานกับเจียงหลีว่า พวกเหมยจื่อจ้งทั้งสี่คนก็ได้รอขอเข้าพบฮ่องเต้หญิงอยู่นอกวัง

เจียงหลีวางถ้วยหยกลง ยกยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ช่างรีบร้อนเสียจริง”

เช็ดๆ ไปที่มุมปาก นางลุกขึ้นมาก่อนจะสั่งการลงไป “พาพวกเขาไปยังริมบ่อนํ้าวิญญาณ”

พอได้ยินคำว่า ‘บ่อนํ้าวิญญาณ’ ทั้งสี่พยางค์ขุนนางหญิงข้างกายของเจียงหลีก็พลันสีหน้าเปลี่ยนสี มองไปทางนางอย่างตกตะลึง

แต่นางก็ไม่คิดจะกล่าวอธิบายการตัดสินใจของตนให้ใครฟัง

นางก้าวอาดๆ เดินออกจากตำหนักบรรทม หายไปจากตรงหน้าของขุนนางหญิง

ขุนนางหญิงหมดวาจาจะกล่าว ทำได้เพียงออกไปจัดการตามที่เจียงหลีสั่งการ

บ่อนํ้าวิญญาณตั้งอยู่ในเขตหวงห้ามของวังหลวงแคว้นกู่วู่ หากไม่มีการนำทางจากฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าไปได้

เจียงหลีมายืนตรงริมบ่อนํ้าได้ไม่ทันไร พวกเหมยจื่อจ้งทั้งสี่คนก็ถูกนำตัวมาถึง

นางหันตัวมองไปทางทั้งสี่คน กล่าวหยอกเย้าว่า “ดูท่า คนที่สามารถเป็นเพื่อนกับมู่ชิงเกอได้ ก็ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่กลัวตาย”

ทั้งสี่คนไม่ได้กล่าววาจา ในแววตามีเพียงประกายแห่งความมุ่งมั่น

“ในเมื่อเตรียมตัวดีแล้ว ก็ตามข้ามาเถอะ” เจียงหลีพอกล่าวจบก็หันกายกระโดดเข้าไปในบ่อนํ้า!

ฉากภาพนี้ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนัก ไม่มีการแจ้งบอกล่วงหน้าแม้แต่น้อย

พวกเหมยจื่อจ้งทั้งสี่คนแววตาหดเล็กลง สีหน้าล้วนกลายเป็นเปลี่ยนสี

จ้าวหนานซิงทำการสงบจิตสงบใจหัวใจที่เต้นระรัว เพราะถูกเจียงทำให้ตกใจ กล่าวกระซิบกระซาบว่า “ดูท่าตรงนั้นก็คงจะเป็นทางเข้า”

พอกล่าวจบก็หันไปมองเพื่อนร่วมทางที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะเดินนำออกไป ทางบ่อนํ้าก่อน

พอมาถึงริมบ่อนํ้า ที่เขามองเห็นก็เป็นบ่อนํ้าอันดำมืดที่มองไม่เห็นก้น

ด้านในมีอะไร มีนํ้าอยู่หรือไม่ ก็ยากที่จะคาดเดาได้ สูดหายใจเข้าลึกๆ สายหนึ่ง จ้าวหนานชิงปิดตาลง ก่อนจะกระโดดลงไป พุ่งเข้าไปยังตรงกึ่งกลางของบ่อนํ้า หายไปจากตรงหน้าของทั้งสามคน

จ้าวหนานชิงใช้การกระทำของตนสร้างความฮึกเหิมให้เพื่อนร่วมทาง

พอมีจ้าวหนานชิงที่เป็นทหารทัพหน้า ทั้งสามก็พลันได้สติตื่นขึ้นมาจากความตื่นตระหนก แยกย้ายกันเดินไปทางริมบ่อนํ้า ก่อนจะเข้าไปทีละคน…ทีละคน

ชั่วขณะนั้น รอบนอกของบ่อนํ้าวิญญาณก็กลายเป็นว่างเปล่าไร้ผู้คน

ระยะเวลาในการตกลงไปในบ่อนํ้าก็เหมือนจะยาวนานเป็นพิเศษ ความรู้สึกที่เหมือนกับไร้นํ้าหนักนั้นก็ทำเอาจูหลิงและซางจื่อซูหญิงสาวทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงแหลมขึ้นมา ความรู้สึกอันยาวนานที่ไม่ตกถึงพื้นสักทีนี้ ก็ทำเอาคน จิตใจกระวนกระวายนัก

บ่อนํ้าแห่งนี้ก็เหมือนกับว่าจะลึกอยู่ไม่น้อย ราวกับว่า เป็นปากทางเข้าของโลกอีกแห่งหนึ่ง

ก็ในตอนที่พวกเขาจะถูกความรู้สึกเหล่านี้กลืนกินลงไป พวกเขาในที่สุดก็เห็นแสงรางๆ ขึ้นสายหนึ่ง แสงสีทองสายนั้นก็ราวกับจะเปรียบเสมือนความหวัง

ตูบ ตูบ ตูบ ตูบ!

เสียงกระทบลงพื้นสี่เสียง ดังขึ้นมาไล่เลี่ยกัน

ด้านล่างเป็นพื้นที่เต็มไปความอับชื้น

บนก้อนหินเหล่านั้นราวกับว่าจะมีความรู้สึกมืดหม่นแฝงอยู่ด้านใน ทั้งยังให้ความรู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูก

ยืนขึ้นมาจากพื้นหิน พวกเขาถึงจะค้นพบว่าแสงสีทองที่มอบความหวังให้กับพวกเขาเมื่อครู่ ก็เป็นฉลองพระองค์สีทองของเจียงหลี

นัยน์ตาประกายทองกวาดมองมายังทั้งสี่คน เจียงหลีพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ยังนับว่าไม่เลว”

คำว่าไม่เลวของนางก็ราวกับจะสื่อถึงเรื่องที่พวกเขาทั้งสี่คนกล้ากระโดดลงมา

“ในเมื่อไม่เป็นอะไรกันเช่นนั้นก็ตามข้ามาเถอะ”เจียงหลีพอกล่าวจบก็หมุนกายเดินไปด้านหน้า

ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงเร่งตามติดไปพร้อมกันกับลอบกวาดมองสภาพแวดล้อมทั้งสี่ด้าน

ที่นี่ก็เหมือนกับจะเป็นถํ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านในกว้างขวางมาก มีเพียงแต่เสียงก้าวเท้าของพวกเขาที่ดังสะท้อนไปมาไม่หยุด เดินไปได้สักพักพวกเขาก็ตามเจียงหลีจนไปหยุดอยู่ด้านหน้าประตูหินบานยักษ์บานหนึ่ง

พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นไป ความใหญ่โตของประตูหิน นั่นก็สูงใหญ่จนทาบทับพวกเขาราวกับเป็นมดปลวกก็ไม่ปาน

บนประตูหินก็สลักเอาไว้ด้วยอักขระที่ดูลึกลับ มีอยู่ลวดลายหนึ่งที่พวกเขาเคยเห็นอยู่บนของประดับตกแต่งส่วนหนึ่งของแคว้นกู่วู่

เจียงหลียืนอยู่ด้านหน้าประตูหิน ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดมันออก

แต่เป็นหันหลังกลับมา มองมาทางพวกเขาพลางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ขอถามพวกเจ้าครั้งสุดท้าย หลังจากเข้าประตูบานนี้แล้ว ก็จะไม่มีทางให้พวกเจ้ากลับอีก จากนี้ไปหากไม่ผ่านด่านก็อาจจะตายอยู่ที่นี่ได้อีกทั้งด้านในก็จะไม่มีเวลาหยุดพักให้พวกเจ้าอีกแล้ว มีเพียงการเข่นฆ่าอันไม่มีที่สิ้นสุดรอพวกเจ้าอยู่ ไปหรือว่าจะไม่ไป นี่ก็ถือเป็นการเลือกครั้งสุดท้ายของพวกเจ้า”

“ล้วนแต่มาถึงที่แล้ว ยังจะคิดถอยอันใดอีก?” จ้าวหนานชิงยิ้มเอ่ยขึ้น

ในทั้งสี่คนก็มีเพียงเขาที่คุ้นเคยกับเจียงหลีมากที่สุด เวลาพูดคุยกันก็คุ้นเคยกันอยู่หลายส่วน

เจียงหลีมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง ก่อนจะกวาดมองไปยังสีหน้าของทั้งสามคนที่เหลือ

ทันใดนั้นเองมุมปากของนางก็ยกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดสายหนึ่ง หันหลังกลับ มือทั้งสองข้างวางทาบลงไปที่แท่นกลมๆ ทั้งสองอันบนบานประตู แท่นกลมๆ ที่แต่เดิมเรียบสนิท อยู่ๆ ก็มีแท่งแหลมคมพุ่งออกมา แทงเข้าไปยังฝ่ามือของนาง เลือดไหลหยดออกมาจากฝ่ามือของเจียงหลี ยิ่งไหลยิ่งมาก ทีละน้อยๆ เลือดพวกนั้นก็ไหลไปตามลวดลายด้านบน ค่อยๆ แผ่ขยายไปจนทั่วประตูหิน

สีหน้าของเจียงหลีเพราะว่าเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ถึงกลายเป็นซีดขาว

พอเห็นเช่นนั้นซางจื่อซูก็เร่งรีบหยิบโอสถฟื้นฟูออกมาเม็ดหนึ่ง เดินไปข้างกายของเจียงหลี ส่งมันไปตรงริมฝีปากของนาง

เจียงหลีมองไปที่นางสายตาหนึ่ง นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มลึกลํ้าสายหนึ่ง เปิดปากออก ก่อนจะรับเม็ดโอสถเข้าไป กลืนมันลงไป

หลังจากกลืนเม็ดโอสถลงไปแล้ว สีหน้าของนางก็ฟื้นฟูกลับมามีเลือดสีแดงฝาดขึ้นอีกครั้ง

และในตอนนั้นเองแท่งแหลมคมที่แทงฝ่ามือของนาง พวกนั้นก็พลันถูกดึงกลับไป ราวกับว่าจะไม่ต้องการ เลือดของเจียงหลีอีกแล้ว

เจียงหลีก้าวถอยหลังมาสองก้าว

จูหลิงในตอนนี้เองก็เดินขึ้นมา หยิบเอายาทาออกมากระปุกหนึ่ง ยื่นไปให้เจียงหลี “ยาทาพวกนี้สามารถห้ามเลือดรักษาบาดแผลได้ช่วยให้ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอะไรไว้”

รับน้ำใจของจูหลิงเอาไว้ เจียงหลีแย้มยิ้มขึ้น แต่ก็ไม่ได้กล่าวขอบคุณ และก็ไม่ได้พูดสิ่งอื่นใด

จูหลิงไม่ติดใจ แต่เป็นหมุนกายเดินไปยังข้างกายของซางจื่อซู

ประตูหินบานยักษ์ก็ราวกับว่าจะดื่มเลือดของเจียงหลีจนอิ่มหนำแล้ว

ช่องประตูที่ถูกปิดสนิทในที่สุดก็ค่อยๆ เปิดออก เผยฉากภาพด้านหลังขึ้นตรงหน้าของพวกเขาไม่กี่คน

นั่นก็ราวกับว่าจะเป็นโลกแห่งการเข่นฆ่าอีกใบหนึ่งก็ไม่ปาน ที่เข้าสู่สายตาก็เป็นสีแดงฉานดุจเลือด ที่จมูกสูดดมได้ก็มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าจนผู้คนอยากจะอาเจียน

ไอเย็นยะเยือกเสียดกระดูกพัดโชยออกมาทางช่องประตู ทำเอาคนที่ยืนอยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้น

“เข้าไปเถอะ” เจียงหลีพอกล่าวจบก็เดินเข้าช่องประตูไปในทันใด

“ช้าก่อน!” ความเคลื่อนไหวนี้ก็ทำเอาจ้าวหนานซิงตื่นตระหนกจนต้องโพล่งออกมา

เจียงหลีพลันหยุดลงหันหน้ามองไปทางเขา

“เจ้าก็จะไปด้วยรึ?” ในนํ้าเสียงของจ้าวหนานชิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง

เจียงหลีกลับยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มที่ดูงดงามอย่างถึงที่สุดออกมาสายหนึ่ง กล่าวตอบกลับไปอย่างราบเรียบ “ก็ไม่ได้มีแค่พวกเจ้าที่อยากจะไปหาหญิงร้ายกาจนางนั้น!”

พอกล่าวจบก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูหิน!

“ตาเฒ่าโรงโอสถก็ถึงกับกล้าวางกับดักข้า!” บนเรือยักษ์ที่กำลังแล่นอยู่บนทะเลแห่งทุกข์ด้านในห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ดังลอยมาด้วยเสียงขบเขี้ยวของมู่ชิงเกอ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในมือกำไว้ด้วยถุงผ้าถุงหนึ่ง ถุงผ้าถุงนี้ก็เป็นตาเฒ่าหัวหน้าโรงโอสถที่มอบให้นาง ด้วยท่าทางลึกลับดูมีลับลมคมใน ทั้งยังกล่าวว่ามันมีประโยชน์กับนาง

ตอนแรกที่นางรับตำแหน่งผู้อาวุโสของโรงโอสถ เจ้าเฒ่านั่นก็เคยบอกไว้ว่ารอจนนางทะลวงระดับชั้นกลายเป็นนักปรุงยาชั้นสมบัติแล้ว ก็ให้ไปพบเขา มู่ชิงเกอหลังจากนั้นก็กลายเป็นนักปรุงระดับสมบัติในตำหนักหลีกง เป้าหมายก็แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการไปทำตามสัญญาของตาแก่นั้น แต่เป็นอยากจะหลอมปรุงโอสถระดับมหาเทพออกมาโดยให้ได้เร็ว ช่วยฟื้นพลังให้แก่ซือมั่ว

แต่ว่าก่อนที่จะออกไปจากหลินชวน นางก็ยังนึกถึงคำกล่าวของเจ้าสำนักเฒ่านั้น ก็เลยตั้งใจไปที่โรงโอสถกลางสักครั้งหนึ่ง ไปพบเขา

ในตอนที่นางบอกเขาว่าตนเองเป็นนักปรุงยาระดับสมบัติ ตาเฒ่านั้นก็มอบถุงผ้าถุงนี้ให้ด้วยท่าทางที่ดูมีลับลมคมใน บอกว่าเป็นของขวัญที่นางเลื่อนเป็นนักปรุงยาระดับสมบัติ

แต่นางก็ยังจะรับมาอย่างโง่งมเช่นนั้นได้!

กรอด!

ในห้องพักก็ดังขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงขบกรามของมู่ชิงเกอ

สายตาของนางจ้องมองไปยังถุงผ้าที่ถูกกำแน่นอยู่ในมือ แววตากระจ่างแฝงไว้ด้วยความดุดันราวกับว่าจะพุ่งยิงออกมาได้

ในถุงผ้านี้ก็ใส่เอาไว้ด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง ทั้งยังมีแผ่นป้ายอยู่แผ่นหนึ่ง

เนื้อความบนจดหมายก็คือ คำพูดของหัวหน้าเฒ่าที่เขียนถึงมู่ชิงเกอ เขาบอกว่าหากมู่ชิงเกอไปถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว ภายในระยะเวลาห้าปีให้ไปที่ภาคตะวัน ออกสักรอบ สอบเข้าสำนักวิถีโอสถของภาคตะวันออก หลังจากนั้นคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันประลองโอสถมา ทำการระบายแค้นแทนเขา!

ยังบอกอีกว่า นี่ก็เป็นเรื่องที่นางตกลงเอาไว้ตั้งแต่แรก ไม่อาจกลับคำพูดได้ไม่เช่นนั้นเขาก็จะคิดหาวิธีให้พวกนักปรุงยาของโลกแห่งยุคกลางพวกนั้นรู้ว่า หม้อผลาญสวรรค์อยู่ในมือนาง

แผ่นป้ายแผ่นนั้นก็ถือเป็นหลักฐานแสดงตัวตนของนาง

ยืนยันว่านางเป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง!

ตาแก่นั่นยังกำชับนางมาด้วยว่า นักปรุงยาที่อยู่ในโลกแห่งยุคกลาง ถ้าหากไม่มีแผ่นป้ายนี้ก็จะเปรียบเสมือนหมอเถื่อนที่มาจากบ้านนอกคอกนา ก็ไม่มีทางที่คนจะเชื่อว่าเม็ดที่โอสถที่เจ้าหลอมออกมาจะสามารถรักษาคนได้จริงๆ

“ตาแก่น่าตาย! รอข้ากลับไปก่อน จะคอยดูซิว่าว่าจะจัดการเจ้าเช่นไร!” มู่ชิงเกอขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ถ้าหากตาแก่นั่นบอกนางออกมาตรงๆ ว่าที่ภาคตะวันออกมีสำนักวิถีโอสถอะไรนั่น ทั้งยังมีงานแข่งโอสถอะไร

พวกนั้น นางบางทีก็อาจจะสนใจอยากไปดู แต่กลับมาใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งยังข่มขู่นางเช่นนี้นี่ก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก!

โดยเฉพาะการที่กำหนดว่าภายในห้าปีหลังจากไปถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว นางจะต้องไปที่ภาคตะวันออก และสาเหตุที่ให้ทำเรื่องพวกนี้ก็เป็นเพราะแค่ต้องการให้นางไประบายแค้นแทนเขา?

มู่ชิงเกอก็อยากจะหันหัวเรือกลับเสียจริง บุกฝ่ากลับไปจัดการกับตาแก่นั้นสักรอบ

น่าเสียดายที่ความเป็นจริง ก็ไม่อนุญาตให้เปลืองเวลาเช่นนั้นได้!

ระยะเวลาที่คาดว่าตระกูลเล่ออาจจะกลับมาแก้แค้นที่นางคำนวณเอาไว้เมื่อตอนนั้น ตอนนี้ยิ่งมาก็ยิ่งกระชั้นชิดยิ่งขึ้นแล้ว นางจำเป็นจะต้องเร่งเดินทางไปให้ได้ก่อนที่ตระกูลเล่อจะลงมือ พอไปถึงโลกแห่งยุคกลาง หาตระกูลเล่อให้พบ หลังจากนั้นจัดการปัญหานี้ให้เรียบร้อยในครั้งเดียว

ด้วยเหตุนี้มู่ชิงเกอก็เลยทำได้เพียงอดกลั้นความไม่พอใจนี้เอาไว้ก่อน

แต่ว่าคำพูดของตาแก่เจ้าสำนักกลับลอบแพร่งพรายข่าวคราวให้มู่ชิงเกอเรื่องหนึ่ง

“เสี่ยวเฮยร้ายกาจเช่นนั้นเลยรึ? แม้แต่นักปรุงยาของโลกแห่งยุคกลางก็ยังอยากได้ไว้ครอบครอง?” มู่ชิงเกอกล่าวกระซิบกระซาบเสียงเบากับตัวเอง

ถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าแก่นั้นก็คงไม่ใช้หม้อผลาญสวรรค์มาข่มขู่นาง?

มู่ชิงเกอนัยน์ตานิ่งขรึม กล่าวเสียงต่ำเบา “ดูท่าหลังจากเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางแล้ว เสี่ยวเฮยก็ไม่อาจเอามาใช้ได้ตามใจ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปดึงดูดปัญหาอะไรมา”

ภารกิจของมู่ชิงเกอก็มีมากมายนัก ไม่ควรไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นจริงๆ!

ตาเฒ่านั่นที่กำหนดเวลาเอาไว้ให้นาง ก็ถือเป็นการบีบคั้นนางให้เอาภารกิจต่างๆ ที่นางควรจัดการสะสาง จัดการให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด

“ชิงเกอ ปล่อยข้าออกไป” อยู่ๆ เสียงเด็กสายหนึ่งก็ดังขึ้นมา ดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไป เอ่ยถามขึ้น “ทำไมรึ?”

“ข้าไม่อยากจะอยู่ที่เดียวกันกับจิ้งจอกเหม็นเน่าตัวนี้!” ในหัวของมู่ชิงเกอดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของไป๋สี่

มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้น โบกมือเบาๆ หลังจากแสงจ้าจางลง ไป๋สี่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง

หางนางก็กลายเป็นขาทั้งสองข้างที่ดูเรียวยาว พอมองเห็นมู่ชิงเกอก็ขยับกายนุ่มนิ่มเบียดเสียดเข้ามา นั่งเบียด อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ แขนทั้งสองข้างโอบตัวนาง คลอเคลียนางไปมา

“ชิงเกอ คนเขาคิดถึงเจ้านัก” ไป๋สี่ซบไปที่ไหล่ของมู่ชิงเกออย่างสุขสบาย ก่อนจะสูดดมกลิ่นกายที่มาจากตัวของมู่ชิงเกออย่างตะกละตะกลาม

ช่างสุขสบายยิ่งนัก!

“เจ้าระมัดระวังกริยาหน่อยได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอขยับออกด้วยท่าทางอึดอัด

พูดตามจริง ถึงแม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่ก้อนกลมๆ สองลูกที่อยู่ด้านหน้าของไป๋สี่คู่นั้น… พอถูไถไปมาตรงแขนของนางก็รู้สึกไม่สบายตัวนัก

“กริยาอะไร? ข้าไม่เข้าใจ” ไป๋สี่กล่าวอย่างไม่สนใจ แขนทั้งสองข้างที่โอบรัดมู่ชิงเกอก็ยิ่งแน่นขึ้น

ในตอนนั้นเอง ห้องพักก็พลันถูกเปิดออก โย่วเหอกับฮวาเยวี่ย ยกถาดสำรับเดินเข้ามา “คุณชาย พวกเรา…”

เพล้ง—–!

เสียงสะท้อนสายหนึ่งดังขึ้น ถาดสำรับในมือของสาวใช้ทั้งสองร่วงตกลงไปที่พื้น ภาชนะด้านบนตกกระจายออกไปหมด

ไม่ผิดที่นางสองคนจะตกใจ ฉากภาพตรงหน้านั้นก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว

ไม่! เป็นวาบหวามและล่อแหลมเกินไปต่างหาก!

คุณชายของพวกนางก็กำลังกอดหญิงงามหน้าตาเลิศล้ำนางหนึ่งอยู่ ทั้งสองแนบชิดกันเสียขนาดนั้น นี่กำลังทำอะไรกันแน่?

ทันใดนั้นเองพวกนางก็รู้สึกได้ว่าท่านมั่วที่อยู่ห่างออกไปแสนไกลก็จะต้องกำลังหน้าตาเขียวคลํ้าอยู่!

“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอก็รู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย นางแกะดึงมือของไป๋สี่ออกไป ลุกยืนขึ้น กล่าวกับหญิงสาวทั้งสองคน “นางชื่อไป๋สี่ ต่อไปนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมทางของพวกเรา”

โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยมองไปทางไป๋สี่อย่างพร้อมเพรียงกัน

ไป๋สี่เผยรอยยิ้มงามลํ้าออกมา ร่างกายนุ่มนิ่มเอนลงไปบนเตียงของมู่ชิงเกออย่างเกียจคร้าน ใช้มือพิงหัว เส้นเว้าโค้งที่ดูชัดเจนยั่วเย้านั่นก็ทำเอาโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยสาวใช้ทั้งสองนางอดไม่ได้ที่จะกลืนนํ้าลายลงไป

ยั่วยวนคนเกินไปแล้ว!

ในใจของโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

สายตาของมู่ชิงเกอจ้องมองไปยังเศษอาหารที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ทำได้เพียงหันไปกล่าวกับทั้งสองคนว่า “ไปยกมาใหม่อีกชุดหนึ่งเถอะ”

โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยพอได้ฟัง ก็พยักหน้าหงึกหงัก ก้าวออกไปนอกประตู แม้แต่เศษอาหารที่ตกอยู่เต็มพื้นก็ลืมเก็บกวาด

หญิงสาวทั้งสองคนเพิ่งจะออกไปไม่ทันไร บนทางเดินด้านนอกก็มีเสียงกระแทกสิ่งของดังปึงปังดังเข้ามา

ไป๋สี่ยิ้มเยาะขึ้นน้อยๆ กลิ้งเอนไปมาบนเตียงของมู่ชิงเกอ ก่อนจะนอนนิ่งอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม เงยหน้ามองไปทางมู่ชิงเกอ กล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ข้าน่าหวาดกลัวขนาดนั้นเลยรึ?”

มู่ชิงเกอเบ้ปาก ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้หญิงงามผู้นี้ฟังอย่างไรดี

ท่าทางของพวกนางสองคนเมื่อครู่ก็ช่างส่อให้ผู้คนเข้าใจผิดเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางในตอนนี้ก็อยู่ในฐานะบุรุษ!

“ชิงเกอข้าก็อยากจะออกไป” อยู่ๆ ในหัวของมู่ชิงเกอก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

ครั้งนี้คนที่เปิดปากก็เป็นหยินเฉิน

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยถามขึ้น “เจ้าก็อยากจะออกมา?”

“ใช่” หยินเฉินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ “หลังจากข้าออกไปแล้วก็จะช่วยเจ้าดูเจ้างูตะกละตัวนั้น ไม่ให้ไปก่อเรื่องก่อราว”

มู่ชิงเกอคิดแล้วคิดก่อนจะรู้สึกได้ว่าอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน นิสัยของไป๋สี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่แน่นอน ตั้งแต่พบหน้าก็ไม่อาจใช้หลักการปกติกับนางได้ นี่ก็ทำให้นางรู้สึกควบคุมดูแลได้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ว่าถ้าหากมี หยินเฉินคอยเฝ้าอยู่ไป๋สี่ก็จะใช้ความคิดทั้งหมดไปจดจ่ออยู่กับการทะเลาะกับหยินเฉิน อย่างน้อยก็ทำให้นางไม่ต้องไปกังวลมาก

พอคิดเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็ปล่อยหยินเฉินออกมาในทันใด

หยินเฉินพอปรากฏกาย ไป๋สี่ที่แต่เดิมนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงของมู่ชิงเกอ เสพสุขกับกลิ่นกายของนาง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนสี ขมวดคิ้วเป็นปมพลางลุกขึ้นจากเตียง

นางจ้องเขม็งไปยังหยินเฉินสายตาเย็น “จิ้งจอกเหม็นเน่า เจ้าออกมาทำไมกัน?”

หยินเฉินจ้องเขม็งไปทางนางสายตาหนึ่ง ยิ้มเยาะพลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะออกมาหรือไม่ มีอันใดเกี่ยวกับเจ้ากัน? งูตะกละ”

พอได้ฟังคำว่า ‘งูตะกละ’ ทันใดนั้นไฟโกรธของไป๋สี่ก็พลันลุกโชนออกมา! นัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้นของนางพริบตาก็กลายเป็นนัยน์ตารียาวตั้งตรงขึ้น ด้านในริมฝีปากเย้ายวนผู้คนก็พลันปรากฏเขี้ยวแหลมที่เปล่งแสงสีนํ้าเงินอยู่รางๆ จับจ้องไปทางหยินเฉินพลางเอ่ยขึ้น “อยากจะมีเรื่องใช่หรือไม่!”

หยินเฉินไม่ใส่ใจ กล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว “หากเจ้า เลิกเรียกข้าว่าจิ้งจอกเหม็นเน่า ก็แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ได้ยินคำว่างูตะกละที่เจ้าชิงชัง”

ไป๋สี่แววตาเคร่งขรึมลง สายตาที่มองไปทางหยินเฉินก็ราวกับจะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

“เจ้าสองคนก็ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นเสียจริง” มู่ชิงเกอนวดขมับอย่างเอือมๆ

“ใครกันที่เป็นคู่รักคู่แค้นกับเขา?”

“ใครกันที่เป็นคู่รักคู่แค้นกับนาง?”

ไป๋สี่กับหยินเฉินร้องตะโกนไปทางมู่ชิงเกอขึ้นพร้อมกัน

ทั้งสามคนกลายเป็นนิ่งชะงักไป ทันใดนั้น ไป๋สี่และหยินเฉินก็หันจ้องมองกันสายตาหนึ่ง จับจ้องอย่างไม่ยอมกัน ส่งสายตาให้กันอย่างดุดัน

ไป๋สี่ยิ้มเย็น “งูแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยอยู่รังเดียวกับจิ้งจอก”

“จิ้งจอกแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชอบงูพิษเลือดเย็นพวกที่ได้แต่เลื้อยอยู่บนพื้น” หยินเฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

มู่ชิงเกอฟังจนนิ่งชะงักไป

นางก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหยินเฉินจะมีด้านที่ปากร้ายเช่นนี้

“เจ้าบอกใครเป็นงูพิษเลือดเย็น? ใครกันที่ได้แต่เลื้อยอยู่บนพื้น?” ไป๋สี่เด้งขึ้นมาจากเตียง ราวกับแสงสีขาวพุ่งออกไปก็ไม่ปาน พุ่งตรงไปยังจุดสำคัญตรงลำคอของหยินเฉิน

การโจมตีของนางครั้งนี้ก็ไม่ได้ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองหดเล็กลง ออกมือในทันใด หยินเฉินในตอนนี้ก็ไม่สามารถเป็นคู่มือของไป๋สี่ได้

นางพุ่งออกไปตรงหน้าของไป๋สี่ตรงๆ พุ่งออกไปจับข้อมือของนางอย่างรวดเร็ว แต่ไป๋สี่กลับไม่ได้หยุดมือ ข้อมือที่ถูกมู่ชิงเกอจับเอาไว้กลายเป็นเรียบลื่นนุ่มนิ่มขึ้นมา ราวกับว่าไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ก็เหมือนกับงูพิษไหลลื่นออกจากแขนของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอนัยน์ตาดำคลํ้า มืออีกข้างหนึ่งยื่นออกไป พุ่งออกไปคิดจะคว้าคอเสื้อของไป๋สี่เอาไว้

จะจัดการงูก็ต้องตีตรงจุดซีชุ่น** สำหรับไป๋สี่ที่แปลงกายกลายเป็นคนนั้น จุดซีชุ่นของนางก็คือลำคอ นางไม่ใช่งูธรรมดา แต่เป็นอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ และมู่ชิงเกอเองก็ไม่ทำถึงขั้นจัดการนางให้ตาย เพียงแค่อยากจะหักห้ามนางตอนที่อารมณ์ร้อนก็เท่านั้น

ในตอนที่ฝ่ามือของมู่ชิงเกอจะคว้าไปที่คอเสื้อของนางนั้น บนตัวของนางก็สาดแสงสีขาวออกมาสายหนึ่ง แสงสีขาวหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกงูสีขาวตัวน้อย หลบหนีออกจากการเกาะกุมของมู่ชิงเกอ พุ่งทะยานไปทางหยินเฉิน

หยินเฉินเบี่ยงกายหลบ มู่ชิงเกออาศัยจังหวะนั้นพุ่งออกไปด้านหน้า เตรียมที่จะคว้าจับตัวงู

แต่ว่าไป๋สี่ที่แปลงกายเป็นลูกงู ก็คล่องแคล่วว่องไวราวกับปลาไหลที่ลื่นมือ นางหนีออกจากจุดที่มู่ชิงเกออยู่ พุ่งผ่านนางทะยานร่างไปทางหยินเฉิน ท่าทางนั้นก็เหมือนกับว่าหากไม่สั่งสอนหยินเฉินหนักๆ สักรอบ นางก็จะไม่รามือ

หยินเฉินพยามยามหลบหลีกไปมาในพื้นที่จำกัด

เขาไม่ได้ลงมือโจมตี เพราะว่าไม่อยากทำให้ห้องของมู่ชิงเกอพัง ดังนั้นตอนที่เขาหลบหลีกก็ทำเพียงแค่คว้าจับเจ้างูตะกละนางนั้น เอานางมามัดเข้าหากันราวกับเส้นเชือก มัดเข้าเป็นขดกลมๆ ก่อนจะโยนออกไป!

ราวกับฟ้าจะโปรดปรานหยินเฉิน ไป๋สี่ก็ถึงกับพุ่งกระแทกเข้าไปในอกของหยินเฉินตรงๆ

นัยน์ตาสีเลือดของหยินเฉินหรี่เล็กลง มือหนึ่งยื่นไปคว้าจับไป๋สี่ และในเวลาเดียวกัน ไป๋สี่ก็กัดเขาตอบกลับเข้าไปคำหนึ่ง เขี้ยวแหลมคมของงูแทงทะลุง่ามมือของหยินเฉิน

ฉากภาพนี้ก็มาอย่างกะทันหันนัก

รวดเร็วจนมู่ชิงเกอกับหยินเฉินไม่ทันตั้งตัว

พิษของไป๋สี่นั้นก็รุนแรงอย่างหาใดเปรียบ หยินเฉินก็รู้สึกว่าทั่วร่างของตัวเองราวกับอยู่ในถํ้านํ้าแข็งก็ไม่ปาน ทั่วทั้งตัวไม่สามารถขยับถอยหลังได้

“หยินเฉิน!” มู่ชิงเกอนัยน์ตาหดเล็กลง หายวับไปจับร่างของหยินเฉินที่กำลังจะล้มลง มืออีกข้างหนึ่งคว้าจับไปที่ง่ามมือที่ถูกกัดของเขา มองไปยังรอยกัดด้านบนที่ยังมีรอยสีดำคลํ้าอยู่รางๆ

ไป๋สี่อาศัยจังหวะนั้นหนีออกไปจากมือของหยินเฉิน ร่อนลงไปที่พื้น

“คุณชาย”

ประตูด้านนอกมีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

ครั้งนี้โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็เหมือนกับจะรู้จักทำตัวสงบเสงี่ยมแล้ว เรียกก่อนเสียงหนึ่ง พร้อมรออยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูห้องพักเดินเข้ามา

แต่ว่า ประตูพอเปิดออก ฉากภาพที่เข้ามาสู่ตรงหน้าก็ทำ ให้ถาดอาหารในมือของพวกนางเทกระจาดลงไปอีกครั้ง

พวกนางมองเห็นอะไร?!

คุณชายกำลังโอบชายหนุ่มผมเงินหน้าตาหล่อเหลาเอาไว้? ชายหนุ่มผู้นั้นดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทราวกับกำลังหลับ! หญิงงามก่อนหน้านั้นเล่า? ทำไมถึงไม่เห็น แล้ว!

อย่างพร้อมเพรียงกัน พวกนางก็ราวกับเห็นแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากหัวของซือมั่วที่อยู่แสนไกล

ในตอนนี้ มู่ชิงเกอก็ไม่มีเวลาไปสนใจพวกนาง

นางมองไปทางไป๋สี่ที่อยู่บนพื้น กล่าวขึ้นเสียงเคร่งขรึม

“ไป๋สี่ ถอนพิษ” พิษของไป๋สี่ก็เป็นหนึ่งในความสามารถเก้าอย่างของนาง พิษของนางมีแต่นางเท่านั้นที่รักษาได้

ลูกงูสีขาวบนพื้นในระหว่างที่มู่ชิงเกอกำลังกล่าววาจา ก็เปล่งแสงสว่างออกมาสายหนึ่ง

ภายใต้อาการตกตะลึงของโย่วเหอและฮวาเยวี่ย กลายเป็นหญิงงามหน้าตาหยาดเยิ้มเมื่อตอนก่อนหน้า

พวกนางนึ่งชะงักจ้องมองฉากภาพตรงหน้า ก่อนจะแข็งทื่อกลายเป็นรูปปั้นหิน

ไป๋สี่เดินไปข้างกายของมู่ชิงเกออย่างไม่ยินยอม มองไปทางหยินเฉินที่สลบไปสายตาหนึ่ง “ข้ากำหนดปริมาณไว้ ดีแล้ว เขาไม่มีทางเป็นอะไร”

“ถอนพิษ” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงขรึมขึ้นอีกครั้ง ไป๋สี่อ้าปากขึ้นอย่างไม่ค่อยยินยอม มองไปทางมู่ชิงเกอ ก่อนจะเห็นใบหน้าดุดันของนางมีท่าทีห้ามขัดคำสั่ง นั่นถึงได้ค่อยยกมือของหยินเฉินขึ้นมา วางทาบไปที่ริมฝีปากของตน

ริมฝีปากของนางในตอนที่กระทบเบาๆ ไปยังหยินเฉิน พิษที่เข้าไปสู่ร่างของหยินเฉินพวกนั้น ทันใดนั้นก็ไหลย้อนออกมาจากปากแผล ถูกนางดูดกลับไป

พิษพอถูกกำจัด หยินเฉินที่สลบไม่ได้สติก็ลืมตาขึ้นอีก ในตอนที่เขาเห็นว่าไป๋สี่เอนกายอยู่ด้านข้าง ฝ่ามือของ เขาถูกวางทาบอยู่ที่กลีบปากของนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง

“เสร็จแล้ว” ไป๋สี่ช้อนสายตาขึ้น จ้องมองไปทางมู่ชิงเกอด้วยท่าทางน่าสงสาร

คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำให้หยินเฉินได้สติ เขากล่าวขึ้นอย่างชิงชัง “งูตะกละ ออกไปให้ห่างจากข้าหน่อย!”

พอได้ฟังเสียงของหยินเฉิน นัยน์ตาของไป๋สี่ก็กลายเป็นดุดัน แยกเขี้ยวไปทางเขา

“พวกเจ้าสองคนพอแล้ว!” มู่ชิงเกอผละออกจากหยินเฉิน ยืนขึ้นสีหน้าเย็นชา ก้มมองไปยังทั้งสองตน

ราวกับจะสัมผัสได้ว่ามู่ชิงเกอกำลังโมโห หยินเฉินกับไป๋สี่ล้วนแต่พากันชะงักไป เก็บกลับอารมณ์โกรธบนตัว ลุกยืนขึ้นอย่างเงียบๆ

“คุณ… คุณชาย… พวกเขา…” ฮวาเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างประตูเอ่ยปากถามขึ้นท่าทางอํ้าๆ อึ้งๆ

มู่ชิงเกอหันหน้ามองไปทางพวกนาง เอ่ยสั่งการขึ้น “ไปหามั่วหยางแล้วเรียกรวมองครักษ์เขี้ยวมังกรไปที่ดาดฟ้าเรือ ข้ามีเรื่องจะประกาศ”

โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยพยักหน้าเป็นระวิง หันกายก่อนจะหายไปจากด้านข้างประตู

หลังจากนั้นมู่ชิงเกอถึงได้หันมองไปทางไป๋สี่กับหยินเฉิน กล่าวขึ้นเสียงเย็นยะเยือก “พวกเจ้าสองคนตามข้ามา”

พอกล่าวจบ นางก็เดินออกไปด้านนอกประตู

ไป๋สี่กับหยินเฉินถลึงตาใส่กันหนหนึ่ง ก่อนจะตามมู่ชิงเกอออกไปจากห้องพัก

มู่ชิงเกอพอพาไป๋สี่กับหยินเฉินขึ้นไปบนดาดท้าเรือแล้ว ก็พบว่าโย่วเหอกับฮวาเยวี่ย ยังมีมั่วหยางก็ได้นำพาองครักษ์เขี้ยวมังกรมาถึงก่อนแล้ว

ในตอนที่พวกเขาเห็นว่าข้างกายของมู่ชิงเกอมีคนเพิ่มเข้ามาอีกสองคน เป็นหญิงงามกับชายงามที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงคู่หนึ่ง ก็ล้วนแต่พากันนิ่งชะงักไป สายตาสงสัยนับไม่ถ้วน ตกลงไปที่ตัวของพวกเขา

เสน่ห์ยั่วยวนใจของไป๋สี่ ความงดงามราวกับปีศาจของหยินเฉิน นัยน์ตาสีม่วงประกายทอง แววตาสีแดงเลือดคู่นั้น ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง มู่ชิงเกอมองไปทางพวกเขา ไป๋สี่กับหยินเฉินก็เดินขึ้นมาขนาบข้างซ้ายขวาอย่างรู้ความ

“พวกเขาก็เหมือนกันกับพวกเจ้า เป็นสหาย เป็นเพื่อนร่วมรบของข้า เพียงแต่พวกเขานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อสูรที่จำแลงกายมา” มู่ชิงเกออธิบายออกไปตรงๆ อย่างไม่คิดเสียเวลา

ร่างจำแลงของสัตว์อสูร!

คำกล่าวนี้ก็ทำเอาพวกเขาพากันตกตะลึง

มู่ชิงเกอชี้นิ้วไปทางหยินเฉิน “เขาชื่อหยินเฉิน ยังจำราชาจิ้งจอกหิมะที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเจ้าได้หรือไม่?”

ประโยคนี้ของนาง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือการบ่งบอกสถานะของหยินเฉินต่อกลุ่มคน

แววตาขององครักษ์เขี้ยวมังกรจำนวนไม่น้อยสว่างวาบขึ้น สายตาที่มองไปทางหยินเฉินกลายเป็นใกล้ชิดมากขึ้น

“ส่วนนาง…” มู่ชิงเกอชี้นิ้วไปทางไป๋สี่ “นางก็เป็นพวกพ้องที่เพิ่งเข้าร่วมมาใหม่ นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร ต่อไปพวกเจ้าก็พยายามอยู่ให้ห่างเอาไว้”

องครักษ์เขี้ยวมังกรสำหรับคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็เชื่อถืออย่างไม่คิดสงสัย นางที่กล่าวเช่นนี้ก็ทำให้สายตาของพวกองครักษ์เขี้ยวมังกร จากตื่นตะลึง กลายเป็นสงบเสงี่ยมและดูห่างเหิน ส่วนไป๋สี่ก็ทำได้เพียงมองไปทางมู่ชิงเกออย่างแง่งอน เม้มริมฝีปากไม่กล่าววาจา

มู่ชิงเกอเป็นเจ้านายของนาง นางไม่อาจโต้แย้งคำกล่าวของนางได้

พอกล่าวแนะนำกับพวกเขาเสร็จ มู่ชิงเกอก็หันไปทางหนึ่งงูหนึ่งจิ้งจอกพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พวกเขาล้วนแต่เป็นพี่น้องและสหายศึกที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับข้า พวกเจ้า ไม่ว่าใครก็ห้ามทำร้ายพวกเขา! อีกอย่าง พวกเจ้าเวลาปกติที่ชอบทะเลาะต่อตี ข้าก็จะถือว่ามันเป็นวิธีในการสร้างความสัมพันธ์ของพวกเจ้า แต่ถ้าหากเกินขอบเขต เกินเลยไปถึงขั้นไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบ เช่นนั้นก็ขอให้จากไปให้ไกล พื้นที่เล็กๆ ของข้าแห่งนี้ก็คงไม่อาจรองรับผู้เก่งกาจยิ่งใหญ่อย่างพวกเจ้าทั้งสองได้!”

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอกล่าววาจารุนแรงเช่นนี้ องครักษ์เขี้ยวมังกรเพราะคำกล่าวนี้ของมู่ชิงเกอ กลายเป็นรู้สึกตื้นตันใจและรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา ส่วนหยินเฉินกับไป๋สี่ กลับเพราะว่าคำพูดของนางรู้สึกตกตะลึงขึ้นในใจ เหมือนกับว่าจะคิดอะไรได้…

**ซีชุ่น – มีคำกล่าวไว้ว่า ตีงูต้องตีที่ซีชุ่น (นับไปเจ็ดนิ้ว) ซึ่งเป็นบริเวณกลางลำตัวของงูที่มีอวัยวะสำคัญอยู่ ดังนั้นเมื่อเลือกตีบริเวณนั้นงูจึงจะตาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!