Skip to content

พลิกปฐพี 210

ตอนที่ 210

ปีศาจทะเลกับการปะทะอันดุเดือด!

การตำหนิของมู่ชิงเกอ ไม่เพียงแต่หยุดไป๋สี่และหยินเฉิน แต่ยังทำให้เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรเก็บอารมณ์นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา

จากที่พวกเขาดู คำพูดของมู่ชิงเกอ ไม่เพียงแต่พูดกับสัตว์อสูรที่จำแลงกายสองตนนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการพูดกับพวกเขาด้วย ที่คุณชายของพวกเขาต้องการมาตลอด ก็คือการรวมใจ เป็นหนึ่ง ต่อต้านศัตรู

“แยกย้ายกันไปเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรทยอยแยกย้ายกันไป

“มั่วหยางเจ้าอยู่ก่อน” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยปาก ทำให้มั่วหยางที่กำลังจะจากไปหยุดเท้าลง

มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังหยินเฉินและไป๋สี่ เอ่ยกับพวก เขาว่า “พวกเจ้าก็แยกย้ายไปเถอะ”

ไป๋สี่สบตากับหยินเฉินแวบหนึ่ง แยกกันไปคนละทาง หยวนหยวนไม่ได้ขอออกมา ถึงแม้ดาดฟ้าและเรือด้านนอกจะใหญ่ แต่ก็เทียบไม่ได้กับช่องว่างของเหมิงเหมิง อยู่ในช่องว่าง เขามีเหมิงเหมิงเล่นด้วย ทั้งสองคนก็สามารถวิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ

ออกมาด้านนอก ก็มองเห็นได้แต่เพียงทะเลสีคราม

มั่วหยางเดินมาถึงด้านข้างของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอหันเดินไปทางกราบเรือ

มั่วหยางตามไปในทันที เดินตามมู่ชิงเกอไปที่ขอบของดาดฟ้า

มู่ชิงเกอใช้มือจับขอบเรือ มองไปยังทะเลแสนไกล เอ่ยกับมั่วหยางว่า “ในวันนั้น ในช่องว่างทดสอบ ตอนที่ข้าประสบชะตากรรมยากลำบาก องครักษ์เขี้ยวมังกรได้ เกิดการร่วมเป็นหนึ่งที่น่าตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”

เมื่อพูดถึงเรื่องอันตรายในวันนั้นขึ้นมา นัยน์ตาของมั่วหยางก็ฉายแววเยียบเย็น

ถึงแม้ว่าความแค้นจะได้ชำระแล้วแต่เขาก็ยังเป็นเพราะไม่ได้อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ ไม่ได้ฆ่าคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง ทำให้รู้สึกติดค้างอยู่ในใจ

“ข้าน้อยได้ยินมาบ้าง” มั่วหยางขบกรามตอบไป

“เจ้าได้ยินมาว่าอย่างไร?’’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

มั่วหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยตอบว่า “บ่าวได้ยินไม่ละเอียด เพียงแต่รู้คร่าวๆ ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรสามร้อยนายที่อยู่ในวันนั้นร่วมใจกันปกป้องคุณชายรวมใจเป็นหนึ่ง ต่อต้านศัตรู เกิดเป็นการร่วมมือที่น่าหวาดหวั่น”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลว ในตอนที่พลังพุ่งเข้ามาโจมตีใส่องครักษ์เขี้ยวมังกร ล้วนแต่ถูกแบ่งกระจายไป เป็นสามร้อยส่วน ที่ทั้งสามร้อยคนแบ่งรับร่วมกัน สามารถลดความเสี่ยงและอันตรายได้เป็นอย่างดี”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้นัยน์ตาของมั่วหยางหดตัวลง ดูเหมือนว่าเขาจะค่อยๆ คาดเดาออกแล้วว่ามู่ชิงเกอ อยากจะพูดอะไรกับเขา

“รู้ว่าข้าจะพูดอะไรกับเจ้าแล้วใช่ไหม?” มู่ชิงเกอหันกายกลับมามองที่เขา

มั่วหยางเงยหน้าขึ้น มองไปที่มู่ชิงเกอ เม้มปากไม่พูดจา

“ข้าหวังว่า เจ้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมัน หากว่าใช้ได้ดี นี่จะเป็นไพ่ตายของพวกเจ้าองครักษ์เขี้ยวมังกร”

มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน

นัยน์ตาของมั่วหยางวาววาบ สายตาที่มองไปทางมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความมั่นใจ

มู่ชิงเกอหันกายกลับไปมองที่ทะเลแห่งทุกข์เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เพียงแต่แบ่งกันรับการโจมตีของศัตรูเท่านั้น ที่ข้าหวังไว้ก็คือ พัฒนาให้เป็นท่าโจมตีแบบกลุ่มชนิดหนึ่ง ระดับพลังชั้นสีม่วงห้าร้อยคน โจมตีพร้อมกัน ให้สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งชั้นกักเก็บคนหนึ่งได้นี่ก็คือภารกิจที่ข้ามอบให้เจ้า”

พูดจบ มู่ชิงเกอก็หันไปมองมั่วหยาง เอ่ยถามอย่างเคร่ง ขรึมว่า “มีความมั่นใจหรือไม่?”

การโจมตีของระดับชั้นสีม่วงห้าร้อยคน สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งชั้นกักเก็บคนหนึ่งได้ในกระบวนท่าเดียว!

ประโยคนี้ทำให้หน้าอกของมั่วหยางเต้นรัวดุจกลอง

เขาดูเหมือนจะคิดได้แล้วว่า ถ้าหากสิ่งที่มู่ชิงเกอคาดการณ์ไว้กลายเป็นความจริง เช่นนั้นกำลังของ องครักษ์เขี้ยวมังกรก็จะพลิกสูงขึ้นไปอีกชั้นอย่างแน่นอน!

“ข้าน้อยจะไม่ทำให้คุณชายผิดหวัง!” มั่วหยางเอ่ย ตอบอย่างเข้มแข็งองอาจ

มู่ชิงเกอกลับค่อยๆ ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่อาจจะอาศัยเจ้าแค่เพียงคนเดียวแล้วจะสำเร็จได้ จะทำอย่างไรให้คนทั้งห้าร้อยคนร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นโจทย์ยากข้อนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าต้องผ่านไปให้ได้”

นิ่งไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ช่วงเวลานี้ข้าได้ลองคิดดูมาบ้างเล็กน้อยแล้ว ข้าบอกเจ้า เจ้าสามารถ ไปทดลองดู”

“ขอรับ!” มั่วหยางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

มู่ชิงเกอเรียบเรียงเล็กน้อย เอ่ยกับมั่วหยางว่า “จิตใจขององครักษ์เขี้ยวมังกรต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องพัฒนาสู่ขั้นใจสื่อถึงกัน รูปแบบการโจมตีของคนทั้งห้าร้อยคน ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้น พวกเราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง”

สร้างทักษะสงครามขึ้นมาเอง!

นัยน์ตาของมั่วหยางหดตัวลง

เขามองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ดูเหมือนว่าไม่กล้าที่จะเชื่อ

สร้างทักษะสงครามขึ้นมาเองเดิมนั้นก็ยากมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นทักษะสงครามแบบหมู่?

แต่ว่า มู่ชิงเกอก็พูดออกมาว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรสื่อความคิดถึงกันได้ เริ่มจากรวมคนห้าคนเป็น หนึ่งกลุ่ม ฝึกฝนทักษะสงครามโจมตีป้องกันแบบกลุ่มไปก่อน ในการฝึกฝนก็ค่อยๆ หาความรู้สึกและหลักการออกมา อีกอย่าง ต้องให้ทุกคนใช้เวลาที่มีพัฒนาพลัง ใครก็ไม่อาจขี้เกียจได้ ก้อนหินที่นำออกมาจากช่องว่างทดสอบเหล่านั้น ด้านในเก็บพลังจิต ตอนฝึกฝนก็ให้ดูดซับพลังของมัน จะช่วยให้พลังเพิ่มเป็นเท่าตัวได้อีกอย่างข้าจะนำเอาก้อนหินที่นำออกมาจากเศษซาก

โบราณเหล่านั้นวางไว้ใต้ท้องเรือ เอาไว้ให้พวกเจ้าได้ฝึกฝนทุกวัน หากองครักษ์เขี้ยวมังกรคนใดได้รับเคล็ดวิชาไปก็ต้องมาแสดงต่อหน้าข้า สุดท้าย ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดก็จำเป็นต้องฝึกฝนต่อไป ไม่อาจหย่อนยานได้”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้มั่วหยางกระจ่างชัดขึ้น

เพียงแต่ มีอีกนิดที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจ “คุณชาย เหตุใดจึงต้องแสดงเคล็ดวิชาออกมาด้วย?”

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้น เอ่ยกับเขาว่า “ในเมื่อต้องสร้างทักษะสงครามขึ้นมาเอง เช่นนั้นก็ต้องดูดซับเอาทักษะสงครามแขนงต่างๆ มาถึงจะได้เกิดความคิดสร้างสรรค์”

มั่วหยางพยักหน้า

สุดท้ายมู่ชิงเกอก็ยังเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไม่รู้ว่าจะสามารถออกจากทะเลแห่งทุกข์ได้เมื่อไหร่ ถึงแม้ว่าวันเวลาเหล่านี้จะน่าเบื่อ แต่ก็ไม่อาจจะเสียเวลาได้ นี้เป็นโอกาสให้พวกเราทุกคนพัฒนาฝีมือ ไปฝึกฝนให้ข้าอย่างสบายใจเถอะ”

“ขอรับ! คุณชาย!” มั่วหยางรับคำสั่ง

ทะเลแห่งทุกข์ไร้ขอบเขต ไร้ทางย้อนกลับ ไร้ชายฝั่ง ออกจากชายฝั่งแคว้นกู่วู่ มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ก็ลอยอยู่ในทะเลแห่งทุกข์มาหนึ่งเดือนแล้ว ที่อยู่ในสายตาก็คือ นํ้าทะเลที่ดูไม่เปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเวลาไม่ได้หยุดนิ่งก็คือก้อนนํ้าแข็งที่ลอยอยู่บนผิวทะเลเหล่านั้น

การล่องเรือก็ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก

หลังจากผ่านความตื่นเต้นตอนเริ่มต้นมา ตอนนี้ก็เหลือเพียงแต่ความหวังที่จะเห็นพื้นดิน

แต่ว่า บนเรือลำใหญ่ที่แล่นเองนี้ ทุกคนกลับดูยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก

วิธีการฝึกฝนของไป๋สี่กับหยินเฉินไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็รับหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวต่างๆ ในทะเลรอบด้าน ทั้งสองผลัดเปลี่ยนกัน แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะพบเจอ

การออกหน้าช่วยเหลือของทั้งสองทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรปล่อยวางภาระลงได้

ในตอนกลางวันพวกเขาก็ฝึกฝนกับก้อนหินอยู่ใต้ท้องเรือ เหนื่อยแล้วก็ลุกขึ้นฝึกท่าก้าวดาราก่อกำเนิด ทุกๆ ครั้งที่สำเร็จวิชาก็จะไปแสดงต่อหน้ามู่ชิงเกอ ยามคํ่าคืนก็กอดหินวิญญาณฝึกฝน ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว

มั่วหยางก็ทำตามคำพูดของมู่ชิงเกอ แบ่งองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนออกเป็นหนึ่งร้อยกลุ่ม เริ่มฝึกฝนการร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อสู้

ส่วนมู่ชิงเกอล่ะ?

นางใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกปรือ เวลาที่เหลือก็อ่านและดูเคล็ดวิชาต่างๆ เหนื่อยแล้วก็ฝึกหลอมยารอระหว่างฟื้นฟู องครักษ์เขี้ยวมังกรลำบาก นางก็ยิ่งต้องเพิ่มความลำบาก

นางไม่เพียงแต่ต้องดูวิชาในก้อนหินเหล่านั้นให้หมด แต่ยังต้องอ่านทักษะสงครามที่อยู่ในช่องว่างของตนเองเหล่านั้นด้วย ช่วงเวลาเหล่านี้ นางดูดุจดังฟองนํ้าที่ไม่หยุดดูดซับ ดูดซับไปเรื่อยๆ!

ผ่านไปอีกสามเดือน…

พวกมู่ชิงเกอเข้ามาในทะเลแห่งทุกข์ได้สี่เดือนกว่าแล้ว ในสี่เดือนกว่านี้ ทุกๆ คน ล้วนแต่พัฒนาขึ้นในทุกๆ วัน ล้วนแต่เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น จบการฝึกฝน มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่กี่วันมานี้นางรู้สึกได้ว่าพลังจิตภายในร่างกายของตนเองถูกกดจนถึงขีดสุด พลังก็ปรากฎร่องรอยของการข้ามผ่าน

นางสงบสติ นำสายตากลับมาอยู่ที่แผ่นกระดาษตรงหน้าตนเอง

แผ่นกระดาษเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ที่นางได้มาภายในสามเดือนกว่านี้

วงกลมบนภาพแทนที่ตำแหน่งการยืน เส้นสายต่างๆ แทนที่การไหลเวียนของพลังจิต

นี้เป็นทักษะสงคราม ที่นางใช้เวลาช่วงนี้ดูดซับเอาจากทักษะสงครามแขนงต่างๆ มาสร้างขึ้นมาเอง

ใช้ความรู้จากการเคลื่อนไหวของธาตุทั้งห้าในชีวิตก่อน มาประยุกต์แล้วก็รวมกับทฤษฎีอาคมต้องห้าม แต่ว่า นี่ก็เป็นเพียงทฤษฎี จะสามารถสำเร็จได้หรือไม่นั้น ยังต้องอาศัยองครักษ์เขี้ยวมังกรมาทดลอง ทดลองท่าร่างบนกระดาษในใจอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง จากนั้นมู่ชิงเกอก็เรียกมั่วหยางมาที่ห้องของตนเอง

“คุณชาย” มั่วหยางเอ่ย

มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น “ไม่กี่วันมานี้ฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“การพัฒนาเป็นไปอย่างราบรื่นดี การฝึกฝนทุกอย่างล้วนแต่ทำตามแผนการของคุณชาย การทดสอบในทุกเดือนก็ได้ตามมาตรฐาน การฝึกฝนสื่อใจถึงกันในกลุ่ม เล็กๆ ก็มีผลลัพธ์ให้เห็นบ้างแล้ว” มั่วหยางรายงาน

มู่ชิงเกอฟังแล้วก็พยักหน้า

นางยื่นแผ่นกระดาษให้มั่วหยาง

มั่วหยางหลุบตาลงอ่านอย่างละเอียด เขาเดิมก็มีความฉลาดและไหวพริบดี หลังจากมองภาพบนกระดาษอย่างละเอียดแล้ว เขาก็มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง “คุณชาย หากว่าสิ่งเหล่านี้สามารถสำเร็จได้ ข้าสามารถรับรองได้เลยว่า กำลังรบขององครักษ์เขี้ยวมังกรจะพัฒนาขึ้นสามถึงสี่เท่าอย่างแน่นอน!”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ นางเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงแค่การทดลองแรกเริ่ม ยังไม่ใช่ทักษะสงคราม ทีสำเร็จสมบูรณ์ดี เจ้าเอาไปสอนพวกเขาให้เริ่มฝึกจากการจัดวางตำแหน่ง แต่ทว่า…”

มู่ชิงเกอหยุดลงครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ถ้าหากต้องการจะโจมตีร่วมกันออกมา ก็จำเป็นต้องให้พลังจิตของคนอื่นเข้าไปในร่างกายของตนก่อน เปลี่ยนตัว เองให้เล็กลงจนกลายเป็นจุดเล็กๆ สื่อสารร่วมกัน ถ้าหากว่าทำไม่ได้ก็ง่ายดายมากที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก นี่เป็นความเลี่ยง และก็เป็นการทดสอบ เจ้าพูดให้พวกเขา ฟังอย่างชัดเจน ต้องเชื่อในเพื่อนร่วมรบของตนเอง!”

มั่วหยางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ!”

“ไปเถอะ มีปัญหาอะไร ก็ค่อยมาหาข้า” มู่ชิงเกอให้มั่วหยางถอยไป

จากนั้น นางก็เข้าไปภายในช่องว่าง เริ่มฝึกหลอมยา

หลอมยา หลอมยา! เพื่อการพัฒนาให้สามารถหลอมยาระดับเทพได้เร็วยิ่งขึ้นให้ในท้ายที่สุดหลอมยาระดับมหาเทพออกมาได้!

เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ มู่ชิงเกอวางเอาวิชาหลอมยุทธภัณฑ์เอาไว้อีกด้าน

ยาที่มู่ชิงเกอหลอมออกมาได้ ทุกๆ เดือนก็จะมอบให้เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก่อนส่วนหนึ่ง ที่เหลือเก็บเอาไว้ในช่องว่างของตนเองเพื่อใช้ในยามจำเป็น

วันเวลาไหลผ่านไปไม่หยุด วันนี้บนดาดฟ้าเรือใหญ่ เกิดความคึกคักขึ้น มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนชั้นสองของดาดฟ้า มองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่บนดาดฟ้าชั้นหนึ่ง

องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนาย แบ่งเป็นหนึ่งร้อยกลุ่ม ต่างพากันฝึกฝนทักษะสงครามแบบหมู่ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้ดาดฟ้าดูแคบลงเลย

มั่วหยางยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ มองดูเงียบๆ

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยในช่วงเวลานี้ก็ทำงานหนัก ฝึกฝนไม่หยุด ไม่กี่วันมานี้ พวกนางกำลังทะลวงระดับชั้น จึงไม่ได้มารับใช้ข้างกายของมู่ชิงเกอ

บนยอดเสากระโดงเรือ ไป๋สี่นั่งอยู่ขอบหอของตัวเสา สองขาตั้งชัน หลังพิงเสากระโดงเรือ สองแขนกอดอก

วันนี้ ถึงตาของนางรับผิดชอบสอดส่องตรวจตรา

แต่ว่า สายตาของนางในตอนนี้ กลับไม่ได้อยู่ที่ทะเล แต่กลับมองไปที่ดาดฟ้าด้านล่าง

ความกระตือรือร้นของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร กระตุ้นความกระตือรือร้นของนาง

“ระหว่างการฝึกฝนรู้สึกติดขัดอะไรหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

มั่วหยางเอ่ยตอบตามจริง “ตอนเริ่ม ส่วนมากปรับตัวยังไม่ได้จึงเกิดการสะท้อนกลับของพลังขึ้นบางครั้ง แต่หลังจากนั้นมาก็ดีขึ้นมาก มีบางจุดที่เชื่อมต่อได้ไม่ค่อยลื่นไหล ส่วนมากก็ล้วนแต่ปรับเปลี่ยนกันไปเองบ้าง” คำตอบของมั่วหยางทำให้มู่ชิงเกอเกิดความชื่นชม องครักษ์เขี้ยวมังกรของนางไม่ใช่กลุ่มผู้ชายป่าเถื่อนที่ไม่มีสมอง!

ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรบนดาดฟ้าก็ร้อง

ตะโกนขึ้นมาคำหนึ่ง เกิดเป็นลำแสงสีแดงแสบตาพุ่งออกมาจากร่างของพวกเขา พุ่งตกไปยังทะเล ครืน ครืน ครืน ครืน ครืน ครืน   !

บนทะเล เกิดเสียงคำรามครั้งใหญ่ออกมา

เหมือนดั่งสึนามิ ลำแสงสีแดงเหล่านั้นที่ตกลงบนทะเลแห่งทุกข์กวาดไปด้านหน้านับพันจ้าง ทำเอาทะเลเกิดคลื่นสูงกว่าร้อยจ้าง นํ้าทะเลที่ตกกระจายลงมา ดูเหมือนกับเม็ดฝนสีครามก็ไม่ปาน

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ในทันที มองไปยังผิวทะเลไกลออกไปที่ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรโจมตีใส่

นัยน์ตาของมั่วหยางเปล่งประกาย เกิดความตื่นเต้นขึ้นมา

ไป๋สี่ที่อยู่บนหอสำรวจก็ตกตะลึงจนชันขาขึ้น ยืนบนหอสำรวจ มองไปยังทะเล จากนั้นก็หันกลับมามองเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยังยืนอยู่บนดาดฟ้า

“สำเร็จแล้ว!” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอฉายแววโล่งใจ

ในใจของนางรู้สึกตื่นเต้นมาก เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมา

ตอนนี้ เป็นเพียงแค่กลุ่มห้าคนโจมตีขึ้นพร้อมกันก็น่าตกตะลึงถึงขนาดนี้แล้ว หากว่าเป็นคนทั้งห้าร้อยร่วมกันโจมตีในครั้งเดียว…

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาที่สดใส เกิดเป็นแสงวาววาบกระตุกใจคน

เวลานี้ ดวงตาของไป๋สี่ที่มองมาทางมู่ชิงเกอฉายแววชื่นชม

เหมือนว่า นางกำลังครุ่นคิดว่ามู่ชิงเกอทำทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!

คนมากมายร่วมใจกันโจมตี นางไม่เคยได้ยินมาก่อน บนทะเลก็ยาวนานมากถึงจะกลับไปสงบลงอีกครั้ง

องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนก็ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม

จนกระทั่งมู่ชิงเกอเอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกเราทำสำเร็จแล้ว!”

พวกเขาถึงได้สติตื่นขึ้นมาจากฝัน ร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

ชายฉกรรจ์ห้าร้อยนายในตอนนี้ดูตื่นเต้นดีใจดุจดังเด็กๆ ก็ไม่ปาน

พวกเขาโอบกอดกัน ร้องตะโกนด้วยกัน เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นภายในใจ

เป็นอาการติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง แพร่กระจายออกมา กระจายไปสู่มู่ชิงเกอและมั่วหยางที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือชั้นสอง และก็แพร่กระจายไปสู่ไป๋สี่ที่อยู่บนหอสำรวจ

หลังจากอาการตื่นเต้นของพวกเขาผ่านไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดอย่างสงบว่า “นี่เป็นเพียงแค่ความสำเร็จแรกเริ่ม พิสูจน์ว่าทฤษฎีของพวกเรานั้นเป็นจริง ห่างออก จากความสำเร็จที่แท้จริงก็ยังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าหรือว่าข้า ล้วนไม่อาจจะชะล่าใจ ยังคงต้องพยายามต่อไป เสียเหงื่อมากยิ่งขึ้น ลำบากให้มากขึ้น!”

“ขอรับ—–!”

เสียงดังก้องสะท้อนไปมาบนดาดฟ้า

เสียงตะโกนก้องขึ้นฟ้านั้น ก็ทำเอาใบหน้าของไป๋สี่เกิดอาการนิ่งงัน

ทันใดนั้นเอง ในช่วงเวลานั้น นางก็ดูเหมือนว่าจะมีความคิดอยากเข้าไปอยู่ร่วมกับกลุ่ม

อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ หนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์

นางที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง หนึ่งเดียวในฟ้าดิน ดังนั้น นางจึงเย่อหยิ่ง นางโดดเดี่ยว นางดูแคลนที่จะเป็นคู่หูกับใคร ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับยุคใดๆ

มู่ชิงเกอเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวของนาง

เพราะว่า นางอาศัยเลือดของมู่ชิงเกอฟักออกมา จนได้เกิดใหม่

พวกนางเชื่อมต่อกันทางสายเลือด ดังนั้นนางที่ใกล้ชิดมู่ชิงเกอ ก็เพราะชอบกลิ่นบนตัวของนาง เพราะนั้นคือกลิ่นเลือด เป็นกลิ่นที่นางฟักออกมา

เดิมคิดว่า มู่ชิงเกอจะเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ภายในการรู้จักกันเช่นนี้ ดูเหมือนว่านางจะเริ่มเข้าใจคำว่า ‘เพื่อนร่วมรบ’ ‘เพื่อนคู่เคียง’ ที่มู่ชิงเกอชอบพูดขึ้นมาบ้างแล้ว

ในตอนนี้ไป๋สี่ก็เริ่มรับรู้อย่างชัดเจนขึ้นมาแล้วว่า ถ้าหากว่าต้องให้มู่ชิงเกอเลือกระหว่างนางกับกลุ่มคนด้านล่างนั้น เกรงว่า ถึงแม้ว่านางจะมีความแข็งแกร่ง มากกว่าแค่ไหน มู่ชิงเกอก็จะเลือกองครักษ์เขี้ยวมังกรอย่างไม่ลังเล

การเลือกนี้ไม่ใช่เป็นเพราะมู่ชิงเกอรู้สึกว่านางไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะระหว่างนางกับองครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

ชะตากรรมความลำบากที่มู่ชิงเกอพบอยู่ในช่องว่างทดสอบ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เห็น แต่หลังจากออกมาแล้ว นางก็ยังได้ยินเรื่องราวมากมาย คนทั้งห้าร้อยคนนี้ จงรักภักดีต่อมู่ชิงเกอมาก สมควรแล้วที่มู่ชิงเกอใส่ใจ

การฝึกฝนนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง และก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทุกๆ คน

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอคิดไม่ถึง แต่ว่า นี้เป็นสิ่งที่ดี

เข้ามาในทะเลแห่งทุกข์เดือนที่ห้า ภาพตรงหน้าที่มีแต่สีเดียว ทำให้ทุกคนล้วนแต่ลืมไปแล้วว่าแผ่นดินหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีเส้นขอบ ยังคงไม่ปรากฏชายฝั่งให้เห็นเช่นเดิม มีเพียงแต่ก้อนนํ้าแข็งที่เปลี่ยนเป็นเล็กลง มีเกาะเล็กๆ มากขึ้น

เกาะเหล่านั้น ห่างออกจากเรือของมู่ชิงเกอไกลมาก สามารถมองเห็นได้เพียงเงาที่ดูคลุมเครือ

วันนี้ เป็นตาของหยินเฉินอยู่บนหอสำรวจ

ในสายตาของเขาก็คือพื้นทะเลที่เงียบสงบ

ดูเหมือนว่า ทั้งหมดล้วนแต่ไม่ได้แตกต่างไปจากวันที่ ผ่านๆ มา

ทันใดนั้น บนทะเลที่สงบก็เกิดระเบิดสายนํ้าพายุพุ่งขึ้นมา

การเคลื่อนไหวที่รุนแรง ทำให้เรือใหญ่หยุดลงเองในทันใด ไม่ได้เข้าใกล้ผืนทะเลที่ดูอันตรายผืนนั้นต่อ

ดวงตาสีเลือดของหยินเฉินหรี่เล็กลง เคาะระฆังบนเสากระโดงในทันที สิ่งนี้ใช้เพื่อการเตือน ตั้งแต่เข้ามาในทะเลแห่งทุกข์ห้าเดือนก็ไม่เคยได้เคาะสักครั้ง เสียงระฆังดังขึ้น มู่ชิงเกอที่กำลังเข้าสมาธิฝึกปรืออยู่ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น

ภายในดวงตาที่สดใสฉายแวววาววาบ

ภายในห้องโดยสาร มีแสงสีขาวลอยออกมา ตกลงไปบนหอสำรวจบนเสากระโดงเรือ แสงสีขาวหายไป ร่างของไป๋สี่เผยออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” ไป๋สี่เอ่ยถามหยินเฉิน

หยินเฉินมองนาง ขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็ยังคงตอบตามจริง

“ด้านหน้าดูเหมือนว่าจะมีอะไรแปลกๆ” คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป ผืนทะเลก็เกิดระเบิดสายนํ้าพุ่งขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาห่างจากผืนนํ้านั้นยังไกลอยู่มาก ระเบิดนํ้านั้นกลับยังคงทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความอันตราย

นัยน์ตาของไป๋สี่เปลี่ยนเป็นสีม่วงทอง เอ่ยกับหยินเฉินว่า “ข้าไปดูหน่อย” จากนั้น นางก็กลายเป็นแสงสีขาว พุ่งไปทางผืนนํ้านั้น

ท่าทีของไป๋สี่ ทำให้หยินเฉินรู้สึกงงๆ เล็กน้อย ในความทรงจำของเขา ไป๋สี่จะไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้ นอกจากเป็นเรื่องมู่ชิงเกอบอก นางถึงจะไปทำ วันนี้เหตุใดจึงกระตือรือร้นขนาดนี้หรือว่างูตะกละจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว?

ในตอนที่หยินเฉินแปลกใจอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็ขึ้นมาที่หอสำรวจบนดาดฟ้า ก่อนจะมีองครักษ์เขี้ยวมังกรเดินตามออกมา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอยืนอยู่บนหอสำรวจ เอ่ยถามไปทางหยินเฉิน

หยินเฉินยังไม่ได้พูด ทางผืนนํ้าด้านนั้นก็เกิดระเบิดสายนํ้าขึ้นมาอีกเป็นระลอกๆ มีของบางอย่าง ลอยขึ้นมาจากนํ้า จากนั้นก็ตกลงไปยังทะเลอีกครั้งอย่างรุนแรง

เสียงระเบิด ทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่ระวังตัวขึ้น ล้อมไปบนดาดฟ้า มองไปยังสถานการณ์ทางนั้น

เสียงที่แสดงให้เห็นนี้ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

ในเวลานี้ แสงสีขาวก็กลับมา ตกลงไปบนหอสำรวจ กลายร่างเป็นคน

พอมองเห็นไป๋สี่ มู่ชิงเกอก็เหมือนกับหยินเฉินเมื่อครู่

ล้วนแต่แปลกใจ ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าไป๋สี่จะไปสืบดูเองก่อน

“เป็นปีศาจทะเลกำลังทำสงครามกัน” ไป๋สี่เอ่ยออกมา ทำเอามู่ชิงเกอและหยินเฉินตกใจในทันใด

“ปีศาจทะเล?!” มู่ชิงเกอเอ่ยยํ้าอย่างไม่แน่ใจ

ล้วนพูดแล้วว่าภายในทะเลแห่งทุกข์นั้นมีปีศาจทะเลอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เวลาพอผ่านมาอย่างยาวนาน คนถึงได้พากันคิดว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นเอง หรือไม่ก็ ปีศาจทะเลหายสาบสูญไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเข้ามาภายในทะเลแห่งทุกข์เดือนที่ห้า พวกเขากลับเผชิญหน้าเข้ากับเผ่าที่ลึกลับมากเผ่านี้เข้าได้

อีกอย่าง ก็ยังปะทะเข้ากับสงครามภายในของพวกเขาอีก!

ไป๋สี่พูดคือ ‘สงคราม’ ไม่ใช่ ‘ต่อสู้’ ทำให้มู่ชิงเกอเอ่ยถามปัญหาหนึ่งออกไป “มีจำนวนเท่าไหร่?”

ไป๋สี่ขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยว่า “เยอะมาก”

เยอะมาก!

ถึงกลับทำให้ไป๋สี่ไม่สามารถใช้คำอธิบายโดยประมาณออกมาได้? นี่หมายความว่าอย่างไร!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอแฝงไปด้วยความหนักใจ

ไป๋สี่เอ่ยเสริมอีกว่า “ดูเหมือนว่าเป็นผู้ชายสองฝ่ายต่อสู้ แย่งชิงอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงเกิดเป็นสงคราม พวกเขาต่อสู้กันอย่างรุนแรงมาก เกรงว่าคงไม่จบลงง่ายๆ”

“พวกเขาต่อสู้กันที่ใต้ทะเลหรือ?’’ มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแปลกใจ

ตอนนี้อยู่บนผิวทะเล ก็มองไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้ใดๆ เลย

ไป๋สี่พยักหน้า “ปีศาจทะเลสามารถอยู่บนบกและใต้นํ้าได้ ตามปกติแล้ว เกาะบนผิวทะเลมีไว้ให้พวกเขาอยู่อาศัย ส่วนใต้ทะเลก็เป็นสนามรบของพวกเขา”

“ภายในหมู่ปีศาจทะเลก็มีการต่อสู้แบบเจ้าตายข้าอยู่ อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” หยินเฉินถามอย่างลังเล

ไป๋สี่หัวเราะอย่างดูแคลนออกมา “เหตุใดจะไม่ได้ละ? ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าไหนๆ ก็ล้วนต้องมีการต่อสู้แย่งชิง ความคิดที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติที่ทุกเผ่าต้องมี”

มู่ชิงเกอนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องราวบุญคุณความแค้นส่วนตัว พวกเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง หยุดอยู่ตรงนี้ก่อน คอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทางนั้นอย่างเคร่งครัด รอพวกเขาตีกันเสร็จแล้วพวกเราก็ค่อยผ่านไป”

นางไม่ได้หยิ่งผยองขนาดนั้น ที่จะเดินทางต่อโดยไม่สนใจสงครามระหว่างสองฝ่าย

หากไม่ระวัง นางก็อาจจะกลายเป็นศัตรูร่วมกันของทั้งสองฝ่ายเลยก็ได้!

ไป๋สี่กับหยินเฉินพยักหน้า

มู่ชิงเกอกระโดดลงมาจากหอสำรวจ ลงมาที่ดาดฟ้า

มั่วหยางและคนอื่นๆ ล้อมเข้ามาในทันที

“คุณชาย”

“คุณชาย”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็ล้อมเข้ามา ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล

“อย่ากลัวไป มีข้าอยู่” มู่ชิงเกอยิ้มให้กับพวกนางเพื่อปลอบใจ

คำพูดของมู่ชิงเกอเหมือนมีอาคมชนิดหนึ่งที่ทำให้คนสบายใจ โย่วเหอและฮวาเยวี่ยดุจดังได้วางภาระหนักลง โล่งใจ ความกังวลในแววตาก็หายไป

“คุณชายหิวหรือยัง? พวกเราไปเตรียมอาหารกันเถอะ?” โย่วเหอเอ่ยยิ้มๆ

มู่ชิงเกอรับคำ “ดี”

หลังมู่ชิงเกอไปแล้ว โย่วเหอก็ลากฮวาเยวี่ยไปจากดาดฟ้า

หลังจากพวกนางไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยกับมั่วหยางว่า “ให้ทุกคนฝึกฝนต่อ แต่ให้เฝ้าระวังกันด้วย”

“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองไปทางฝั่งทะเลที่เกิดสงครามผืนนั้นอีกครั้ง

จากนั้นก็หันกายกลับไปยังห้องโดยสาร

กลับไปถึงห้องโดยสาร มู่ชิงเกอก็มองลอดหน้าต่างห้องโดยสาร มองไปยังทะเลสีครามด้านนอก ทั้งยังคิดว่า ทะเลแห่งทุกข์ดูเหมือนสงบแต่กลับซ่อนอันตรายไว้มากมาย

อย่าเพิ่งพูดไปถึงความเย็นยะเยือกของนํ้าทะเล เพียงแค่เส้นทางก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาสู่ทะเลแห่งทุกข์พร้อมกับความหวังในการไปเยือนโลกแห่งยุคกลาง ต้องหลงทางอยู่ในทะเลสีเขียวครามแห่งนี้มานักต่อนักแล้ว

นอกจากนี ยังมีเผ่าปีศาจทะเลตามคำเล่าลือนั่นอีก…

“ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนแล้วที่ตายภายใต้นํ้ามือของปีศาจทะเล” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา อันตรายไม่เคยได้พบเห็น ไม่รู้ว่าตอนไหนจะมา ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว ยิ่งอาจจะเสียชีวิตไปอย่างไม่รู้ตัวได้!

ไป๋สี่ผลักประตูเข้ามา พอเห็นมู่ชิงเกอยังนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง นางก็เดินเข้าไป นั่งลงข้างกายของนาง เอ่ยถามว่า “ชิงเกอ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ มองไปที่นาง “ข้ากำลังคิดว่า กำลังรบของปีศาจทะเลเหล่านี้นั้นมีเท่าไร”

ภายในทะเลแห่งทุกข์มีปีศาจทะเลอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็จะต้องมีโอกาสได้พบเจอ หลังจากพบเจอแล้ว เกรงว่าอาจจะไม่ใช่การพบกันอย่างเป็นมิตร

ไป๋สี่ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ชะงัก

นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความทรงจำของข้ายังไม่ทันได้ฟื้นฟูมาทั้งหมด แต่ภายในความทรงจำของข้า ปีศาจทะเลนั้นข้าก็ไม่เคยได้ใปข้องแวะมาก สำหรับกำลังรบ ของพวกเขานั้น…” นายส่ายๆ หน้า ดูเหมือนรู้สึกผิดหวังในตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแล้วก็ถามออกไปว่า “เมื่อครู่ที่เข้าไปดู เจ้าคิดว่า หากคนของพวกเรากับเหล่าปีศาจทะเลปะทะกันแล้ว จะเป็นอย่างไร?”

ไป๋สี่คิดอย่างละเอียด ส่ายหน้าเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้า เพียงแต่ดูคร่าวๆ ไม่ได้สำรวจอย่างละเอียด แต่ว่าปีศาจทะเลมีพรสวรรค์ไม่ว่าจะอยู่ในทะเลหรือบนบกก็ล้วนแต่เหมือนกับอยู่บนพื้นราบ ข้อได้เปรียบนี้ก็ชนะองครักษ์เขี้ยวมังกรได้แล้ว”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วพยักหน้า

นางรู้ว่าไป๋สี่พูดความจริง ต่อสู้ไนทะเล องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่มีทางเอาชนะได้เลย

“ชิงเกอ ในเมื่อเจ้าสงสัย ไม่สู้พวกเราไปดูกัน?” ไป๋สี่เสนอออกมา

“ไปดูงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอชะงัก

ไป๋สี่พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าพาเจ้าไป พวกเราลอบซ่อนดูอยู่อีกทาง ไม่ทำให้พวกเขาแตกตื่น ก็สามารถรู้ตื้นลึกหนาบางได้แล้ว”

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง คำพูดของไป๋สี่สะท้อนไปมาในหัวของนาง

นางไม่ใช่คนที่ขี้ขลาด ยิ่งไม่ใช่คนที่ลังเล

“ดี!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย ทำตามข้อเสนอของไป๋สี่

แต่นางกลับขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าไม่สามารถอยู่ในใต้ทะเลได้นานนัก” นางดำนํ้าได้ แต่อย่างมากก็แค่ภายในเวลาครึ่งก้านธูปเท่านั้น เวลาสั้นแค่นี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทั้งยังง่ายดายที่จะถูกเปิดโปง

“ข้ามีวิธี” ไป๋สี่ยิ้มๆ

ในเมื่อไป๋สี่มีวิธี มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รอช้าแล้ว

นางเรียกมั่วหยางมา บอกเรื่องที่ตนเองจะไปจากเรือยักษ์ แล้วก็ออกจากเรือยักษ์กับไป๋สี่

ทั้งสองคนลอยตัวออกจากเรือยักษ์ไปยังผืนทะเลแห่งนั้น

หลังจากสบตากันแล้ว ไป๋สี่ก็คว้าจับมือของมู่ชิงเกอ ลากนางลงไปในทะเล

เพียงแค่ลงไปในทะเล ก็ดูเหมือนว่านํ้าทะเลจะไม่ได้พุ่ง

เข้ามา

มู่ชิงเกอมองเห็นไป๋สี่พ่นฟองใสขนาดใหญ่อันหนึ่งออกมาจากปาก โอบพวกนางทั้งสองเข้าไป ขวางไม่ให้น้ำทะเลซึมเข้า และก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด

ฟองใสที่ดูอัศจรรย์นี้ทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึง

นางอยากจะยื่นมือไปสัมผัสมาก แต่ก็กลัวว่าหากตัวเองสัมผัสแล้ว ฟองอาจจะแตกได้

“นี่คืออะไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามไป๋สี่

ไป๋สี่ยิ้มๆ เอ่ยด้วยเสียงเด็กทารกว่า “อสรพิษกลืนสวรรค์ เก้าบรรจบก็มีพลังเก้าชนิด ที่เจ้าได้รู้แล้วก็คืออมตะและพิษ ส่วนพลังที่สามก็คือแหวกนํ้า”

มู่ชิงเกอหุบปากที่ตกตะลึง เอ่ยถามอย่างสนใจว่า “อีกหกชนิดที่เหลือล่ะ?”

ไป๋สี่กลับรักษาความลับในเวลานี้ “ต่อไปค่อยบอกเจ้า”

มู่ชิงเกอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ข้าเพิ่งจะเกิดขึ้นมาใหม่ ความทรงจำยังไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาทั้งหมด วิชาเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาทั้งหมด” ไป๋สี่อธิบาย

มู่ชิงเกอแสดงท่าทางเข้าใจ

ตอนนี้ไป๋สี่ก็เพิ่งจะออกมาจากไข่ได้ไม่นานจริงๆ

ฟองใสนี้นำพวกนางค่อยๆ ลอยไปด้านหน้า เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอดำนํ้าในทะเลอย่างสบายเช่นนี้ และก็เป็นครั้งแรกที่มองเห็นบรรยากาศของใต้ทะเลแห่งทุกข์ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร

ความประหลาดใจค่อยๆ ปรากฏในดวงตาของมู่ชิงเกอ ใต้ทะเลแห่งทุกข์กลับมีป่าไม้ทุ่งหญ้า ทั้งยังมีภูเขาหิน แม่นํ้า… หากไม่ใช่ว่าอยู่ในนํ้า ทั้งหมดที่นี่ก็คงเป็น เหมือนโลกอีกด้าน ที่แปลกไปเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เกรงว่าสิ่งมีชีวิตในนี้ล้วน แต่เป็นเหล่าปลาเหล่าหอยชนิดต่างๆ

“ใกล้จะถึงแล้ว!” ไป๋สี่เอ่ยเตือนออกมา เสียงของนางทำให้มู่ชิงเกอที่อยู่ในภาวะตกตะลึงตื่นขึ้นมา

ทันใดนั้น ไป๋สี่ก็จับข้อมือของนาง นำนางไปหลบซ่อนตัว อยู่ในซอกหินของภูเขาแห่งหนึ่ง ฟองใสก็เล็กลงตามขนาดของซอกหิน เปลี่ยนรูปร่าง

ในซอกหิน สามารถจุคนได้สองคนพอดีไม่คับแคบ

มองลอดซอกหิน พวกนางก็มองเห็นสงครามที่กำลังดำเนินไปใต้ทะเล

“ถ้าหากว่ามีปีศาจทะเลไม่กี่ตัวแล้วละก็ พวกเราก็สามารถฆ่าแล้วก็ไปได้เลย” ไป๋สี่เอ่ยข้างกายมู่ชิงเกอ ประโยคเดียวก็เผยธรรมชาติที่ชอบเข่นฆ่าของนางออกมา

แต่ทว่า มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เป็นคนมีเมตตาอะไร ไม่ด่าว่าไป๋สี่เพียงเพราะเรื่องฆ่าผู้บริสุทธิ์

นางจ้องไปยังสงครามที่วุ่นวายตรงหน้า เอ่ยตอบไป๋สี่เสียงเบาไปว่า “น่าเสียดายนัก ปีศาจทะเลที่นี่อย่างน้อยก็มีหลายพันตัว”

ที่แน่ๆ ถ้าหากมีปีศาจทะเลจำนวนน้อย พวกเขาก็สามารถฆ่าแล้วจากไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องหยุดให้เสียเวลา แต่ว่า ปีศาจทะเลที่นี่มีเยอะมาก ถ้าหากคิดจะฆ่า ต้องฆ่าให้หมด…

ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสามารถนั้นหรือไม่ เพราะหากว่า ทำเช่นนั้นจริงๆ นางก็คงจะพบกับปีศาจทะเลทั้งเผ่าทั่วทั้งทะเลแห่งความทุกข์ไล่ฆ่าเป็นแน่ บวกกับความยากลำบากในการผ่านทะเลแห่งความทุกข์แล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ จะดูอย่างไร การค้าขายครั้งนี้ก็ไม่คุ้ม!

ดังนั้น มู่ชิงเกอก็ไม่คิดจะไปล่วงเกินปีศาจทะเลกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ นางมองดูปีศาจทะเลพวกนั้นฆ่ากันอย่างเงียบๆ พบว่า พวกมันมีความคุ้นชินเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ใช้ยุทธ์ภัณฑ์และพลังจิต และก็ยังคงรักษาความเป็นสัตว์อสูรโดยการกัด

ปีศาจทะเลเหล่านี้ ส่วนมากล้วนแต่มีลักษณะเหมือนคน แต่ว่าบางส่วนก็ยังคงลักษณะของสัตว์ทะเล

อย่างเช่น บนหูของปีศาจทะเลบางตัว ก็มีครีบปลา บนแขนก็มีเกล็ดปลาแวววาว

มีบางส่วน ที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ ดูดุจดังสัตว์อสูร ฟัน เขี้ยวแหลมคม

มีบางส่วน ที่ส่วนมือส่วนเท้ามีพังพืดติดกัน

ที่พวกเขามีเหมือนกันหมดก็คือ ผิวของพวกเขานั้นเป็นสีเขียวอ่อน ดวงตาเป็นสีเทาริฝีปากแดงดุจเลือด

สรุปแล้ว ลักษณะของปีศาจทะเลนั้น มู่ชิงเกอสามารถ พูดได้โดยใช้คำพูดประโยคเดียว นั่นก็คือ อัปลักษณ์!

สงครามของปีศาจทะเลเหล่านี้ทำให้ทะเลเกิดความปั่นป่วน มีระเบิดสายน้ำออกมาจากผิวนํ้าตลอด

พลังจิตที่พวกเขาปล่อยออกมา กระจายไปทั่วป่าไม้ ภูเขาหินรอบด้าน ทำลายทัศนียภาพไปไม่น้อย

“ระดับพลังของปีศาจทะเล ดูได้อย่างไร?” มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ชิงเกอถึงได้พบว่า พลังจิตของปีศาจทะเลดูเหมือน ว่าจะไม่มีสีให้แบ่งแยก

แต่ไป๋สี่กลับบอกนางว่า “เหมือนกันกับเผ่ามนุษย์”

“เหมือนกันกับเผ่ามนุษย์งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอแปลกใจ นางมองสนามรบอีกครั้ง แต่มองยังไงก็มองไม่เห็นสีของพลังจิต

“สีพลังจิตของปีศาจทะเล จะไม่แสดงในใต้ทะเล หากอยู่บนพื้นดินแล้ว เจ้าก็จะสามารถมองออก อยู่ในทะเล หากเจ้าอยากรู้ระดับพลังของพวกเขา มีเพียงแต่ ต้องอาศัยปัญญาแห่งการหยั่งรู้สัมผัสเอา แต่ทว่า ข้าต้องขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนปีศาจทะเลนั้นมีความรู้สึกไว ต่อปัญญาแห่งการหยั่งรู้มาก โดยเฉพาะอยู่ในทะเล ถ้าหากปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากๆ แล้วละก็ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้ลองจะดีกว่า เลี่ยงการพบเห็น” ไป๋สี่อธิบาย

ระดับความแข็งแกร่งของปัญญาแห่งการหยั่งรู้งั้นหรือ?

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านการทดสอบปัญญาแห่งการหยั่งรู้ที่โรงโอสถสาขาย่อยและโรงโอสถกลางแล้ว มู่ชิงเกอก็เชื่อมั่นในปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของตนเองมาก นางขบริมฝีปาก ค่อยๆ ปล่อยปัญญาแห่งการหยั่งรู้ออกไปยังสนามรบ

ปัญญาแห่งการหยั่งรู้ถูกปล่อยออกไป นางก็เข้าใจในทันทีถึงความหมายของคำพูดไป๋สี่ นํ้าทะเลที่นี่ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของนางได้ เกิดเป็น คลื่นน้อยๆ ตามติดปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของนางไป

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เพิ่มความระมัดระวัง

ในตอนที่ปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของนางค่อยๆ ไปถึงข้าง สนามรบ ระดับพลังจิตของปีศาจทะเลเหล่านั้นก็สะท้อนกลับเข้ามาในหัวของนาง

‘ระดับสีเขียว ระดับสีคราม ระดับสีนํ้าเงิน ระดับสีม่วง…’

ในปีศาจทะเลหลายพันตัว ระดับพลังชั้นสีเขียวมีมากที่สุด

แต่เมื่อถึงระดับพลังชั้นสีม่วงก็ยังมีเป็นร้อยคน!

กำลังรบเช่นนี้!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง

ทันใดนั้น นางก็มองเห็นว่าภายในหมู่ปีศาจทะเล ผู้นำระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นสูงตนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไร มองค้นหารอบด้าน นางไม่กล้าสืบต่อรีบเก็บปัญญาแห่งการหยงของตนเองกลับมาในทันที

ผลสรุปของการสืบในครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกเยียบเย็นขึ้นในใจ

ปีศาจทะเลที่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีในทะเลแห่งนี้ แต่ว่า เป็นเพียงแค่ส่วนๆ หนึ่งกลับมีกำลังรบเช่นนี้แล้ว ไม่สนใจระดับที่ตํ่ากว่าระดับพลังชั้นสีม่วง ก็ยังมีระดับพลังชั้นสี มวงหลายร้อยตน

ถ้าหากว่ามองไปทั่วทั้งทะเลแห่งความทุกข์เกรงว่าคงมีปีศาจทะเลชั้นกักเก็บจำนวนไม่น้อย!

ระดับกำลังรบเช่นนี้ ก็โชคดีที่ปีศาจทะเลอยู่ห่างไกลออกจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้มีความคิดที่จะขึ้นบก มิเช่นนั้นแล้ว สำหรับคนบนแผ่นดินก็คงจะเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง

แน่นอนว่าเผ่ามนุษย์ที่มู่ชิงเกอคิดถึงในตอนนี้ก็หมายถึง หลินชวน ไม่ใช่โลกแห่งยุคกลาง สำหรับโลกแห่งยุคกลางแล้ว ตอนนี้นางยังคงไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับที่นั่น

การคาดการณ์ในใจ ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจขึ้นบ้างถึงความยากลำบากในทะเลแห่งทุกข์นั้นหมายถึงอะไร

หากว่าเป็นยอดฝีมือที่ออกมาจากหลินชวนแล้ว ตอนที่ผ่านทะเลแห่งทุกข์แล้วพบเจอกับปีศาจทะเลที่แข็งแกร่ง เกรงว่าผลลัพธ์คงทำให้คนผิดหวัง

ในเมื่อตามตำนานและบันทึกต่างๆ ก็ไม่เคยเอ่ยถึงความรู้สึกดีๆ ที่ปีศาจทะเลมีต่อมนุษย์

ที่พูดถึงก็มีเพียงแต่ว่าปีศาจทะเลรังเกียจมนุษย์และขับไล่มนุษย์อย่างไร

“ต้องการผ่านทะเลแห่งทุกข์ไปก็คงจะต้องฝ่าฝันความยากลำบากร้อยแปดพันประการไปจริงๆ!” มู่ชิงเกอ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่เหมือนกับการเดินทางไปรับพระไตรปิฎก ที่นี่ไม่มีปีศาจรอที่จะกินเนื้อพระถังซำจั๋ง มีแต่เพียงอันตรายตาม ปกติ เพียงแต่ว่า ความอันตรายเมื่ออยู่ในทะเลแห่งทุกข์นี้ กลับเปลี่ยนเป็นทำให้คนรู้สึกสิ้นหวัง

มู่ชิงเกอกับไป๋สี่ซ่อนตัวอยู่ในซอกเขามองไปยังสนามรบฝั่งนั้น การสู้รบรุนแรงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ มีปีศาจทะเลจำนวนไม่น้อยที่ถูกฆ่าแล้วถูกนํ้าทะเลพัดพาไป

ปีศาจทะเลเหล่านี้ดูเหมือนจะต่อสู้แบบไม่ตายไม่พัก หากไม่ฆ่าอีกฝ่ายก็จะไม่ยอมรามือ

ใจกลางของสนามรบ มีหัวหน้าของปีศาจทะเลกำลัง ต่อสู้กันอยู่ ในสายตาของทั้งสองคนมีไอสังหารพุ่งออกมา ดุจดังพวกเขาเป็นศัตรูที่ฆ่าบิดาของอีกฝ่าย

“เจ้าคนชั่วช้า! ทาลิซ่าไม่ได้ชอบเจ้าเลยสักนิด เจ้ากลับยังมาพัวพัน! อีกไม่นานนางก็จะกลายเป็นเจ้าสาวของข้าแล้ว เจ้ายอมเสียเถอะ!” ผู้นำระดับพลังชั้นสีม่วงที่กำลังต่อสู้อยู่ตนหนึ่งพูดออกมา

มู่ชิงเกอชะงัก ปีศาจทะเลเหล่านี้กลับพูดคุยกันด้วย ภาษามนุษย์!

“จะพูดอย่างไรในบรรพบุรุษของปีศาจทะเลก็มีอยู่ครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์พวกเขายังใช้ภาษาของมนุษย์อยู่ก็ไม่แปลก แต่ไม่มีอักษร” ไป๋สี่ดูเหมือนว่าจะรู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังรู้สึกแปลกใจจึงอธิบายออกมา

ตอนนี้ ผู้นำระดับพลังชั้นสีม่วงอีกตนก็ทั้งต่อสู้ทั้งยังเผยรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดอำมหิตออกมา เอ่ยอย่างเหี้ยมโหดว่า “ฆ่าเจ้าแล้ว ทาลิซ่าก็ต้องยกเลิกงานแต่ง ข้ายังคงมีโอกาส”

“ฆ่าข้า? อาศัยเจ้าน่ะหรือ?” ผู้นำระดับพลังชั้นสีม่วงตนก่อนหน้าเอ่ย ตอนที่ลงมือก็เหี้ยมโหดขึ้นหลายส่วน

ทั้งสองตนยิ่งสู้ยิ่งรุนแรงขึ้น ค่อยๆ ออกห่างจากกลุ่ม ลอยตัวต่อสู้กันอยู่ในนํ้าทะเล ทุกครั้งที่พวกเขาปะทะกัน ก็ล้วนแต่ทำให้นํ้ากระเพื่อมสั่นไหว เกิดคลื่นยักษ์บนทะเล

บนผิวทะเล หยินเฉินมองไปยังการเคลื่อนไหวบนผิวทะเล ถูกคลื่นยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ เหล่านี้ทั้งยังมีระเบิดสายนํ้าที่พุ่งขึ้นฟ้าทำให้ขมวดคิ้วไม่หยุด

ใต้ทะเล ยอดฝีมือระดับพลังชั้นสีม่วงสองตนลงมืออย่างไม่ออมมือ พลังจิตทำลายป่าผืนใหญ่ไปหลายผืน แม้กระทั้งปีศาจทะเลหลายตนที่อยู่ใกล้ก็ได้รับผล กระทบถูกพลังจิตที่แข็งแกร่งทำลายไปด้วย การลงมือของพวกเขา ไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเดียวกันเลยแม้แต่น้อย แค่คิดก็สัมผัสได้ถึงความโหดร้ายและป่า เถื่อนของปีศาจทะเลได้แล้ว

“เจ้าฆ่าข้าแล้ว ทาสิซ่าก็จะไม่แต่งงานกับเจ้า จะต้องเลือกคนอื่นเป็นแน่ เช่นนั้นเจ้าก็มีความสามารถฆ่าทุกคนงั้นหรือ?”

“ใครกล้าแต่ง ข้าก็จะฆ่าคนนั้น! สุดท้ายแล้ว ทาสิซ่าก็ต้องเป็นของข้าเท่านั้น!”

มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วมุมปากก็กระตุก บ่นขึ้นในใจ “ก่อสงครามใหญ่ถึงขนาดนี้ฆ่าแบบเจ้าตายข้าอยู่ เพียงแต่เพื่อปีศาจทะเลสาวที่ชื่อว่าทาสิซ่าแค่ตนเดียวอย่างนั้น หรือ?”

การทำสงครามระหว่างปีศาจทะเล ดูเหมือนว่าดูดุเดือดเสียยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์เสียอีก!

อีกอย่างดูจากเหล่าทหารปีศาจทะเลเหล่านี้แล้ว ตายเพื่อความหึงหวงของผู้นำของตนเอง กลับยังกล้าหาญถึงขนาดนี้ ไม่เห็นความตายไม่ยอมเลิกรา!

ชิ ชิ มู่ชิงเกอไม่เข้าใจถึงความรู้สึกเช่นนี้ของพวกเขาเลยจริงๆ!

“ผู้หญิงในเผ่าของปีศาจทะเลมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้น ปีศาจทะเลเพศหญิงทุกตนในกลุ่มจึงเป็นที่ต้อนรับมาก ทาลิซ่านี้ น่าจะเป็นสาวงามที่หาได้ยากยิ่งในเผ่าปีศาจทะเล ถึงได้ทำให้เกิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ขึ้นมาได้” ไป๋สี่เอ่ย

มู่ชิงเกอก็ได้ยินถึงคำตอบจากคำพูดของไป๋สี่

ดูเหมือนว่า ผู้หญิงปีศาจทะเลสำหรับเผ่าปีศาจทะเลทั้งหมดแล้วจะเป็นสมบัติชนิดหนึ่ง เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ เป็นสมบัติที่ไม่มีอะไรแทนที่ได้

เมื่อคิดเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็เริ่มเข้าใจเหล่าทหารปีศาจทะเลที่สู้ตายเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง

ที่พวกเขาแย่งชิงไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิง แต่เป็นทรัพยากรหายากอย่างหนึ่ง เป็นสมบัติที่ไม่สามารถคัดลอกได้!

ผู้หญิงคนหนึ่ง อาจจะไม่สามารถทำให้เกิดสงครามเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากว่าเพิ่มเอกลักษณ์และความพิเศษบางอย่างในตัวของผู้หญิงนางนั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ ก็สามารถเข้าใจได้

แน่นอน หลังจากที่คำพูดของไป๋สี่เพิ่งหลุดออกไปได้ไม่นาน ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงดังเข้ามา “ทาลิซ่าช่างดงามเสียขนาดนั้น นางเป็นปีศาจทะเลที่งดงามที่สุด มีเพียงปีศาจทะเลที่กล้าหาญที่สุดถึงจะเหมาะสมกับนาง!”

“ดูอย่างนี้แล้ว หากวันนี้พวกเขาไม่มีผู้ชนะ เกรงว่าก็คงจะไม่แยกจากแล้ว” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย

หากต้องรอจนพวกเขาฆ่ากันจนเสร็จ นั่นก็จะต้องรอจนถึงเมื่อไหร่กัน?

“ที่ข้ายิ่งกังวลใจก็คือ พวกเขาเลือกที่จะต่อสู่กันในผืนทะเลแห่งนี้ ก็คือหมายความว่าเกาะที่อยู่ของพวกเขาก็อยู่ละแวกใกล้ๆ ใช่หรือไม่? นอกจากนั้น บนเกาะจะยังมีปีศาจทะเลตนอื่นๆ อยู่อีกหรือไม่?” ไป๋สี่เอ่ยสิ่งที่ตนเองกังวลใจออกมา

ดวงตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เม้มริมปีปากเข้าหากัน

ถ้าหากว่าที่นี่มีปีศาจทะเลอาศัยอยู่ เช่นนั้นก็สามารถพูดได้ว่าพวกนางได้เข้ามาสู่เขตน่านน้ำของปีศาจทะเลแล้ว เรือโดยสารที่ใหญ่ถึงขนาดนั้น คิดจะหลบเลี่ยงสายตาของปีศาจทะเลทั้งหมดไป คงจะเป็นไปไม่ได้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!