ตอนที่ 221
นางเป็นภรรยาของข้า กับหมู่บ้านเล็กๆ ที่เขตภาคใต้
ครืน ครืน—–!
คลื่นขนาดยักษ์โถมพุ่งเข้ามาหาตัวเรือ
พลังอันยิ่งใหญ่ที่พุ่งเข้ามาก็ส่งผลให้เกราะป้องกันของตัวเรือเปิดการทำงาน
เกราะโปร่งแสงพุ่งขยายออกล้อมตัวเรือ กลายเป็นวงกลมขนาดใหญ่วงหนึ่ง ต้านรับการโจมตีของคลื่นยักษ์เอาไว้
การเปิดการทำงานของเกราะป้องกัน ก็ลดแรงกดดันให้มู่ชิงเกอไปได้ไม่น้อย
นางอาศัยจังหวะนั้นมองไปยังขอบฟ้า ก่อนจะเห็นว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรบินออกไปได้ไกลแล้ว แต่ทันใดนั้นเองที่ข้างหูของนางก็ดังสะท้อนขึ้นด้วยเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง
มู่ชิงเกอรีบหันหน้ามองไป ก่อนจะพบว่าเกราะโปร่งแสง ก็ได้เกิดรอยร้าวเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว เกราะป้องกันที่แต่เดิมแข็งแกร่งก็กลายเป็นอ่อนแรงลงไปไม่น้อย…
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ—–!
เปรี๊ยะ—–!
เสียงปริแตกยิ่งมายิ่งมากขึ้น รอยแตกพวกนั้นด้วยความเร็วที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้ แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งเกราะโปร่งแสงอย่างรวดเร็ว
ครืน ครืน ครืน—–!
คลื่นทะเลของทะเลแห่งทุกข์ก่อตัวขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า ทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ไปจนถึงขั้นที่องครักษ์เขี้ยวมังกรที่บินออกไปไกลพวกนั้น ตอนนี้ด้านหลังของพวกเขาก็มีคลื่นยักษ์ไล่ตามติดไปแล้ว
ครืน—–!
เสียงก้องกังวานเสียงหนึ่ง พลันทำลายเกราะป้องกันของตัวเรือ
น้ำทะเลจำนวนมหาศาลราวกับร่วงตกลงมาจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน คิดอยากจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปให้หมด
“ไป!” มู่ชิงเกอจับไหล่ของเสวี่ยหยาเอาไว้ก่อนจะดึงตัวของนางทะยานหนีไป
แต่น้ำทะเลก็ราวกับตกลงมาจากฟากฟ้า พุ่งเข้าในตัวเรือขนาดยักษ์ ทันใดนั้นก็ถูกนํ้าทะเลฉีกกระชาก ตัดทำลายออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะจมลงไปอย่างรวดเร็ว เสียงร้องก้องกังวานสายหนึ่งดังออกมาจากในนํ้าทะเล ก่อนจะเห็นแสงสีครามสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในนํ้า พุ่งไปบนท้องฟ้า
“เสี่ยวชิงรีบไป!” เสวี่ยหยาร้องตะโกนกับเสี่ยวชิง
นกสีครามสยายปีกพุ่งทะยานออกไป เพิ่มความเร็วให้มากขึ้น
ส่วนด้านหลังของมันก็มีคลื่นยักษ์ระลอกหนึ่งพุ่งตามมา ทำการกลืนกินจุดที่มันบินผ่านไปเมื่อครู่
“บินไปทางขวา” หางตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปเห็นว่าด้านขวาของคลื่นทะเลค่อนข้างอ่อนแรง ก็เลยเอ่ยไปทางเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะสั่งการขึ้นกับเสี่ยวชิง
นกสีครามร่างกายพลันเบี่ยงออกไป หมุนตัวกลางอากาศเป็นเส้นโค้งอย่างรวดเร็วสายหนึ่ง พุ่งไปทางด้านขวา
มันพอหมุนตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ทำเอาเสวี่ยหยาไม่ทันระวังตกเข้าไปในอกของมู่ชิงเกอ
ความใกล้ชิดที่มาอย่างกะทันหันนี้ ยังไม่ทันได้ให้เสวี่ยหยาคิดอะไรมาก นางรีบเบี่ยงกายออกไปด้านหน้าเพิ่มระยะห่างระหว่างทั้งสองคน
พอไร้ซึ่งการขัดขวาง คลื่นทะเลก็ยิ่งกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้น พุ่งไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง นกสีครามพุ่งบินไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต คลื่นทะเลด้านหลังของมันก็ไล่ตามอย่างไม่ยอมลดละ
ในระหว่างที่ไล่ตามกัน ก็เกิดเหตุการณ์เฉียดตายขึ้นมาหลายครั้ง และในเวลาเดียวกันก็ยิ่งเข้าไปใกล้แผ่นดินใหญ่ด้านหน้าขึ้นเรื่อยๆ…
“คลื่นทะเลก็ดูเหมือนจะเล็กลง…” เสวี่ยหยาปรายตามองไปด้านหลัง พอเห็นว่าตัวคลื่นอ่อนกำลังลง ก็กล่าวขึ้นอย่างโล่งอก
แต่ทันใดนั้นเอง สีหน้าของนางก็กลายเป็นเขม็งเกร็ง เอ่ยขึ้นด้วยแววตาตื่นตระหนก “ไม่ถูกต้อง! มันกำลังรวบรวมพลังที่รุนแรงกว่าเดิม!”
พร้อมกันกับที่เสียงของนางที่จบลง ในทะเลแห่งทุกข์ก็มีเสียงสะท้อนรุนแรงดังเข้ามา
เสียงเสียงนั้นก็ราวกับเสียงฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนหวั่นเกรง นํ้าทะเลทั่วทั้งทะเลแห่งทุกข์กลายเป็นกระเพื่อมสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง
มู่ชิงเกอหันหน้ามองไป ก่อนจะเห็นน้ำทะเลของทะเลแห่งทุกข์ราวกับจะถูกพลังกล้าแกร่งสายหนึ่งดึงขึ้นมา พุ่งขึ้นสู่ฟ้า กลายเป็นกำแพงสายนํ้าขนาดใหญ่ ทั้งยังพุ่งเข้ามาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“เร็วขึ้นอีก!” มู่ชิงเกอแววตาเย็นยะเยือก กัดฟันเอ่ยขึ้นกับเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปากแน่น เร่งสั่งการเสี่ยวชิงขึ้นเสียงหลง!
แต่ว่าเสี่ยวชิงต่อจะให้เร็วยังไง มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์อสูร พอต้องมาเผชิญกับพลังแห่งฟ้าดินเช่นนี้ มันก็ชัดเจนว่ากลายเป็นต้อยต่ำลงไปไม่รู้เท่าไร
นกสีครามร้องเสียงฮึกเหิมขึ้น ก่อนจะเพิ่มความเร็วของตัวขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด คลื่นยักษ์ด้านหลังก็เหมือนกับคนยักษ์ที่ตามติดไม่ปล่อย พุ่งตรงเข้ามาหาพวกนางอย่างดุดัน ตอนนั้นเอง มู่ชิงเกอก็ราวกับจะเห็นว่าคลื่นยักษ์ที่พุ่งสูงเสียดฟ้าของทะเลแห่งทุกข์จะรวมตัวกันเป็นคนยักษ์ผู้น่าเกรงขาม และเกลียวคลื่นพวกนั้นก็เหมือนกับฝ่ามือยักษ์ของพวกเขาที่พุ่งฟาดลงมา!
ปัง—–!
ฝ่ามือขนาดยักษ์พอพุ่งตกลงมา ก็บังมิดมืดฟ้ามัวดิน พุ่งฟาดไปยังมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาที่อยู่บนหลังของนกสีครามเข้าอย่างรุนแรง ชั่วขณะนั้น ภาพตรงหน้าของมู่ชิงเกอก็เหมือนกับจะเปลี่ยนเป็นโลกของนํ้าทะเลสีเขียวมรกต…
ดวงอาทิตย์ร่วงตก ดวงดาราเด่นคล้อย ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในทะเลแห่งทุกข์ค่อยๆ กลายเป็นเงียบสงบลง เกลียวคลื่นกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และเหมือนกับว่าจะขจัดทุกสิ่งออกไป ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงทะเลแห่งทุกข์ที่
สะอาดบริสุทธิ์ ด้านหลังม่านหมอกเป็นชั้นๆ ตรงหน้าเค้าโครงของแผ่นดินใหญ่ก็ค่อยๆ กลายเป็นกระจ่างชัดขึ้นมา
ที่เชื่อมต่อกับทะเลแห่งทุกข์ก็เป็นชายหาดที่มีเศษหินปกคลุมเต็มไปหมดผืนหนึ่ง ด้านหลังชายหาดก็มีดงป่ากับควันไฟ บนท่าเรือที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ที่ริมชายหาด ก็ถูกผูกโยงเอาไว้ด้วยเรือหาปลาหลายลำ
ราวกับจะบอกว่าที่นี่คือหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง
ภายใต้ความมืดมิด ที่นี่ก็เงียบเชียบไร้ผู้คน
นํ้าทะเลค่อยๆ สาดซัดเข้าสู่ริมฝั่ง คลื่นเบาบางมาก
ในช่องว่างระหว่างโขดหิน ร่างสองร่างเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน บนร่างเปียกนํ้าทะเล ท่าทางเอนจอนาถนัก
ที่ด้านข้างของพวกนางก็ยังมีนกยักษ์สีครามอีกตัวหนึ่ง
ชั่วขณะนั้น นกสีครามก็กลายเป็นแสงสีครามสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปยังหว่างคิ้วของหนึ่งคนในนั้น
“อืม…”
เสียงอู้อี้เสียงหนึ่งดังออกมาจากหนึ่งร่างในนั้น หญิงชุดแดงที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ขยับตัว มือทั้งสองข้างจมเข้าไปในผืนทราย ก่อนจะชันกายลุกขึ้นมา
มู่ชิงเกอได้สติขึ้นมาจากการสลบไสล หลังพิงไปยังโขดหิน กลิ่นเหม็นอับจากนํ้าทะเลก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว นางทอดสายตามองไปยังหมู่ดาวท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี พยายามนึกฉากภาพต่างๆ ก่อนที่ตัวเองจะสลบไป
นางก็จำได้ว่านางกับเสวี่ยหยาก่อนหน้าก็นั่งอยู่บนหลังนกสีคราม ก่อนที่สุดท้ายจะถูกคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่ แต่ในตอนที่จะตกลงไปในนํ้าทะเล เสวี่ยหยาอยู่ๆ ก็ส่ง เลือดของตัวเองป้อนให้กับนกสีคราม หลังจากนั้นบนร่างของนกสีครามก็พลันเปล่งแสงสีครามเจิดจ้าแสบตาออกมา ความเร็วทันใดนั้นเพิ่มขึ้นไปร้อยเท่าพันทวี พุ่งออกไปจากนํ้าทะเล ทะยานออกไปไกลจากผืนนํ้า พวกนางก็เหมือนกับว่าจะถูกคลื่นทะเลไล่ตามมาหนึ่งวันหนึ่งคืนในท้ายที่สุดร่างกายของนกสีครามก็ทนรับต่อไปไม่ไหว ร่วงตกลงจากฟ้า ส่วนพวกนางสองคนก็ใช้พลังจิตรับมือต่อไป ทั้งยังต่อกรกับคลื่นทะเลอย่างยาวนาน หลังจากที่นกสีครามค่อยๆ ฟื้นคืนพลังกลับมาแล้ว ก็พาพวกนางหลบหนีออกมาอีกครั้ง
ต่อจากนั้น…
มู่ชิงเกอส่ายหัวพร่าเบลอของตน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็จำไม่ค่อยได้เท่าไร แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสลบไป พวกนางก็สามารถมองเห็นริมชายฝั่งได้แล้ว
มู่ชิงเกอหยุดการรอฟื้นความจำ ก่อนจะเคลื่อนสายตามาที่ตรงหน้าของตน
ด้านข้างของนางก็เป็นเสวี่ยหยาที่นอนสลบอยู่
นํ้าทะเลสาดซัดจนเสื้อผ้าของนางเปียกชื้น เส้นผมค่อนข้างยุ่งเหยิง
อาศัยท้องฟ้ายามราตรี มู่ชิงเกอก็ยังสามารถมองเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของนาง
ขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ มู่ชิงเกอทำการตรวจชีพจรให้นาง พอค้นพบว่ามันเป็นเพียงผลข้างเคียงเล็กๆ น้อยๆ จากการที่นางฝืนใช้เลือดพิสุทธิ์ของตน ถึงได้ค่อยวางใจลง
‘ที่นี่ก็คือเขตภาคใต้ของโลกแห่งยุคกลางงั้นรึ?’ มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังสภาพแวดล้อมรอบด้าน คิดคาดเดาขึ้นในใจ
คิดแล้วคิด นางก็ยกเสวี่ยหยาแบกขึ้นหลัง เดินไปตามพื้นทรายที่ถูกนํ้าทะเลสาดซัด เดินขึ้นไปยังชายฝั่ง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เลอะเลือนที่จะไปบ้านคนในทันที แต่เป็น เสาะหาถํ้าในป่าแห่งหนึ่งเพื่อใช้พักผ่อนชั่วคราว ตัวถํ้าไม่ใหญ่มาก เพียงแค่สามารถจุคนได้ไม่กี่คน อีกทั้งในตัวถํ้าก็ยังมืดมิดไปทั้งหมด รอบด้านแห้งไม่อับชื้น
พออุ้มเสวี่ยหยาวางลง มู่ชิงเกอถึงได้สังเกตเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของตน
นางยกมือขึ้นไปลูบเบาๆ ที่ต่างหูบนหูซ้ายของตน พบว่าด้านบนมีรอยแตกร้าวอยู่รอยหนึ่ง ตอนนี้กำลังค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ
หลังจากหยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วป้อนมันให้เสวี่ยหยาแล้ว มู่ชิงเกอก็พลันพลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นไป๋สี่ก็ปรากฏขึ้นที่ข้างกายนาง
“มู่ชิงเกอ เจ้าถ้าหากคราวหลังทำเช่นนี้อีก ข้าก็จะโกรธแล้วนะ อันตรายหนักหนาเช่นนี้ เจ้ากลับกล้าเผชิญหน้าเพียงลำพัง!” ไป๋สี่พอปรากฏกายออกมา ก็ใช้เสียงเด็กทารกเสียงนั้นต่อว่าต่อขานมู่ชิงเกอขึ้นอย่างจริงจัง
มู่ชิงเกอตอนนี้ก็ไม่มีแรงจะไปโต้เถียงกับนาง นางชี้นิ้วทางเสวี่ยหยาที่นอนอยู่บนพื้น เอ่ยขึ้นกับไป๋สี่ “เอาเสื้อผ้าของเจ้าไปเปลี่ยนให้นางชุดหนึ่ง ข้าจะเข้าไป เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” พอกล่าวจบนางก็หายไปจากด้านในตัวถํ้า
ไป๋สี่โมโหกระทืบเท้าไปมา แต่ก็หมดวาจาจะกล่าว
เจ้านายของคนอื่นเขาก็มีแต่เวลาพบอันตราย ตัวเองหนีก่อน ทิ้งบ่าวไพร่เอาไว้ถ่วงเวลา พอมาถึงตรงมู่ชิงเกอ ตรงนี้กลับสลับกัน เจ้านายถึงกับอยู่ระวังหลังแล้วให้บ่าวไพร่หนีไปก่อน
ไป๋สี่ทั้งรู้สึกโมโหทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจ
ยิ่งอยู่กับมู่ชิงเกอนานวันเข้า นางก็เหมือนกับว่าจะยิ่งเข้าใจถึงความจงรักภักดีที่องครักษ์เขี้ยวมังกรมีต่อมู่ชิงเกอ เข้าใจว่ามันไม่ได้มาอย่างไร้เหตุไร้ผล แต่มันเป็นเพราะมู่ชิงเกอปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างจริงใจ และพว เขาก็แน่นอนว่าจะใช้ความจริงใจตอบกลับ
ถอนหายใจออกมาอย่างระอา แต่ไป๋สี่ก็ยังทำตามคำพูด เอาเสื้อผ้าของตนออกมาชุดหนึ่ง เปลี่ยนมันให้เสวี่ยหยา
ในตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสวี่ยหยาเสร็จแล้วนั้นมู่ชิงเกอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บนร่างก็ไม่ได้มีสภาพยับเยินอีก มีเพียงความเหนื่อยล้าที่ยังคงค้างอยู่บนใบหน้าสายหนึ่งแค่เท่านั้น
“ทำไมถึงไม่พักผ่อนให้ดีเสียก่อน?” ไป๋สี่เอ่ยต่อว่าขึ้น
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเบาๆ มองไปทางเสวี่ยหยาสายตาหนึ่ง นั่งลงขัดสมาธิ ก่อนจะหยิบป้ายหยกขึ้นมา เคาะลงไปที่มันหลายครั้งก่อนจะปิดตาลงรับสัมผัสจากมัน ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น ในแววตาทอแววหนักใจขึ้นมาสายหนึ่ง
ไป๋สี่ขยับมาที่ข้างกายของนางพลางเอ่ยถามขึ้น “ทำไมรึ? ติดต่อไม่ได้หรือ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าขึ้นเบาๆ “ข้าแต่เดิมนึกว่าเป็นเพราะอยู่ในช่องว่างเลยติดต่อพวกเขาไม่ได้ ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของพวกเขาอยู่ แต่พวกเขากลับไม่ยอมตอบกลับข้า”
“บางทีพวกเขาอาจจะยังสลบอยู่ หรือบางทีก็อาจจะไม่ทันสังเกต” ไป๋สี่เอ่ยปลอบโยนมู่ชิงเกอออกมาพอเป็นพิธี ตามจริงแล้ว นางนั้นเชี่ยวชาญในการสังหารคน ไม่ได้เชี่ยวชาญในการปลอบโยนผู้คน!
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ มองไปทางไป๋สี่ “ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ”
นางรู้ว่าตอนนี้ไม่อาจรีบร้อนได้ ทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน รอคอยข่าวคราวที่จะตอบกลับมา
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็หันไปกล่าวกับไป๋สี่ “เจ้ากลับเข้าไปก่อน”
ไป๋สี่พลันนิ่งชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้าขึ้นในทันที “ไม่! ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้า คอยปกป้องเจ้า!”
มู่ชิงเกอเอ่ยอธิบาย “ถ้าหากข้าคาดเดาไม่ผิด พวกเราตอนนี้ก็ได้เหยียบอยู่บนแผ่นดินของโลกแห่งยุคกลางแล้ว สภาพการณ์ของโลกแห่งยุคกลางนั้นพวกเรายังไม่ชัดเจน เจ้าถือเป็นไพ่ตายของข้า ไม่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย แล้วก็อีกอย่างเจ้าลืมคำพูดของเขาแล้วรึ?”
คำว่า ‘เขา’ ของมู่ชิงเกอก็ทำให้ร่างของไป๋สี่นิ่งชะงักไป
‘เขา’ นี้ก็แน่นอนว่าหมายถึงซือมั่ว ก่อนที่จะออกจากหลินชวนซือมั่วก็ได้พูดกับหยินเฉินและไป๋สี่เอาไว้ว่า พลังกดดันของโลกแห่งยุคกลางไม่เหมือนกับหลินชวน ระดับพลังของพวกเขาหลังจากเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางแล้วก็จะมีการพัฒนาขึ้นอย่างรอบด้าน โอกาสในครั้งนี้ก็ไม่อาจเสียเปล่าได้
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากพลางเอ่ยขึ้น “เหมิงเหมิงช่องว่างนี้ก็แปลกประหลาดนัก ในตอนที่อยู่ที่หลินชวนพลังงานในช่องว่างถึงแม้ว่าจะมีความสมบูรณ์มากกว่าโลกภายนอก แต่พลังกดดันก็ยังเหมือนกันกับหลินชวนระดับนั้น เหมือนกันกับโลกภายนอก ดังนั้นเจ้ากับหยินเฉินก็อยู่ ฝึกฝนในช่องว่างไปก่อนเถอะ ในเวลาที่ข้าต้องการพวกเจ้า แน่นอนว่าจะต้องเรียกพวกเจ้าออกมา”
ไป๋สี่มองมาทางนางอย่างระอาสายตาหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำการโต้เถียงอันใดอีก
นางเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “เช่นนั้นก็เอาเถอะ ข้ากลับไปพักผ่อนก่อน พยายามฟื้นคืนพลังให้รวดเร็วที่สุด”
พอกล่าวจบก็เอ่ยกำชับขึ้นอีกครั้ง “แต่เวลาเจ้าพบเจออันตรายก็อย่าได้ฝืนอีก เวลาสุ่มเลี่ยงก็ให้รีบเรียกข้าออกมา!”
“วางใจเถอะ” มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ขึ้นสายหนึ่ง
ในท้ายที่สุด ไป๋สี่ถึงยอมเข้าไปในช่องว่างอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก
ไป๋สี่หลังจากจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ถึงค่อยอาศัยแสงจันทร์จากด้านนอก มองไปยังเสวี่ยหยาที่ยังคงนอนสลบอยู่ ก่อนจะตกเข้าสู่ภวังค์แห่งการครุ่นคิด
ในที่สุดก็มาถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว เช่นนั้นเรื่องราวที่ควรจัดการเรื่องแรกก็เป็นตระกูลเล่อแล้ว!
แววตากระจ่างของมู่ชิงเกอทอแววเย็นยะเยือกออกมา
ยามคํ่าค่อยๆ ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ขับไล่ความมืดมิดออกไป แสงแดดส่องลอด เข้าสู่ตัวถํ้า ส่องสว่างไปทางปากถํ้า และก็ทำการทาบทับปกคลุมไปบนร่างบางของเสวี่ยหยาที่กำลังหลับสนิท
บางทีอาจเป็นเพราะความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ที่ทำให้ขนตายาวของเสวี่ยหยาค่อยๆ กระตุกสั่นไหวขึ้นมา ทำให้นางตื่นขึ้นจากการหลับใหล
เบิกตาลืมขึ้น ที่เข้ามาสู่สายตากลับเป็นถํ้าอันดำมืด ส่วนนางก็อยู่ในจุดที่แสงแดดส่องเข้ามาถึง ถูกแสงแดดอบอุ่นรุมล้อมเอาไว้
‘นี่คือสถานที่อันใดกัน!’ เสวี่ยหยาในใจตื่นตระหนก
ก้มหน้ามองไปบนร่างของนาง ก่อนจะเห็นชุดที่ไม่ใช่ของตน ชุดกระโปรงสีขาวก็ดูคุ้นตาอยู่บ้าง ดูเหมือนว่า…นางจะเคยเห็นไป๋สี่ใส่มันมาก่อน
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงเสียงหนึ่งที่กดเอาไว้ตํ่ามากดังสะท้อนเข้ามา
เสวี่ยหยานิ่งชะงักไป เอ่ยถามขึ้น “ใคร?”
นางมองไปยังถํ้าด้านในที่ยังดำมืด ก่อนที่ในที่สุดจะมองเห็นเงาร่างสลัวๆ สายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมอันมืดมิดเงาร่างหนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน
“นายน้อย?” เสวี่ยหยาลองเอ่ยถามขึ้น
นางก็เดินทางมาด้วยกันกับมู่ชิงเกอ หลังจากตื่นแล้ว มีคนอยู่ข้างกาย นางก็แน่นอนว่าต้องคิดถึงมู่ชิงเกอ เพียงแต่ เสียงของเขาก็ดูแปลกไปเล็กน้อย ราวกับว่าจะไม่เหมือนเสียงของเขา
“ใช่” มู่ชิงเกอตอบกลับจากในความมืด
นางก็ไม่ได้ให้เวลาไตร่ตรองอันใดกับเสวี่ยมากนัก เอ่ยออกไปตรงๆ “ข้าจะเลื่อนระดับแล้ว เจ้าช่วยข้าคุ้มกัน”
เลื่อนระดับ! จะเลื่อนระดับอีกแล้วรึ!
เสวี่ยหยาตกตะลึง ถ้าหากนางคาดเดาไม่ผิด มู่ชิงเกอตอนอยู่ที่เกาะตูเล่อก็เพิ่งจะนำพามาซึ่งการทะลวงชั้นที่ สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน! นี่เพิ่งจะผ่านมาได้แค่สามเดือน ก็จะเสื่อนชั้นอีกแล้วรึ?
“เสวี่ยหยาทราบแล้วเจ้าค่ะ” ถึงแม้ในใจจะสงสัย แต่เสวี่ยหยาก็ยังลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินออกไปด้านนอกถํ้า
ถํ้าด้านนอกก็เป็นป่าผืนหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนลงมาบนยอดไม้นำพามาซึ่งความอบอุ่นและสุขสบาย
เสวี่ยหยาพอมายืนอาบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์มันก็ทำการขับไล่ความคิดกวนใจออกไป
หลังจากเสวี่ยหยาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ค่อยๆ ปิดตาลง นางก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืน อุปกรณ์มายาก็ยังไม่ได้ฟื้นคืนทั้งหมด และที่สำคัญก็คือนางสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่สามารถสะกดข่มพลังจิตในกายได้อีกต่อไป
พลังจิตที่ถูกนางกดเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้นหลังจากผ่านการปรับสมดุลมาหนึ่งคืนในที่สุดก็กำลังจะระเบิดออกในตอนนี้แล้ว
เก็บความรู้สึกนึกคิดกลับ มู่ชิงเกอเริ่มต้นโคจรพลัง
ในร่างกายของมู่ชิงเกอ พลังจิตสีม่วงเทาตอนนี้ก็กำลังพุ่งตลบไปมาอย่างบ้าคลั่ง จุดตันเถียนของนางก็เหมือนกับกลายเป็นหลุมอากาศก็ไม่ปาน ทำการดูดกลืนพลังจิตทั่วร่างกายของนางออกมา ดูดมันทั้งหมดเข้าไปในจุดตันเถียน
ในตอนที่พลังจิตถูกดูดกลืน พลังจิตสีม่วงเทาก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนสี สีม่วงค่อยๆ ลดน้อยลง สีเทาค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ตอนแรกเริ่มสีเทาก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับสีดำ สีสันก็ค่อนข้างเข้มมาก
อย่างช้าๆ สีเทาก็ค่อยๆ กลายเป็นอ่อนบางลง สีสันเริ่มเจือจางลง
สีเทาจากตอนแรกเริ่มที่เข้มราวกับหมึกสีดำ อย่างช้าๆ ค่อนเปลี่ยนเป็นเจือจาง สีอ่อนลงไปทางสีขาว ในท้ายที่สุด สีพลังของมู่ชิงเกอก็ไปหยุดอยู่ที่สีเทาจางๆ
หลังจากที่พลังจิตกลายเป็นคงที่แล้ว จุดตันเถียนของมู่ชิงเกอก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาเป็นระลอก ก่อนที่จะมีพลังแผ่พุ่งออกไปยังด้านในร่างกายของนาง ทำการผลัดเปลี่ยนกระดูก เส้นชีพจร ผิวหนังกล้ามเนื้อของนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ในร่างของมู่ชิงเกอก็เหมือนกับมีภูเขาไฟกำลังระเบิดอยู่อย่างไรอย่างนั้น พลังจิตที่ถูกกดเอาไว้ในที่สุดก็ร้องคำรามออกมา พุ่งทะลวงระดับชั้นของนาง
ชั้นกักเก็บชั้นสูงสุด!
ปัง!
ระดับสีเทาชั้นที่หนึ่ง!
ปัง!
ระดับสีเทาขั้นที่สอง!
ปัง!
ระดับสีเทาขั้นที่สาม!
ปัง!
ระดับสีเทาขั้นที่สี่!
ปัง!
ระดับสีเทาขั้นที่ห้า!
ปัง!
ด้านนอกถํ้า รอบด้านก็ยังคงเงียบสงบ ก็ไม่ได้เป็นเพราะการทะลวงขั้นของมู่ชิงเกอนำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอันใด การทะลวงระดับขั้นก็ราวกับว่าจะเกิดเพียงแค่ในร่างกายของมู่ชิงเกอเท่านั้น
เสวี่ยหยายืนรอคอยอยู่ด้านนอกอย่างเงียบเชียบ รอไปจนถึงยามอัสดงหลังช่วงเย็น ถึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมาจากด้านหลัง
นางที่หันหลังมองไป ก็พบกับมู่ชิงเกอที่เดินสวนออกมา ยังคงเป็นคุณชายชุดแดงที่มีใบหน้างมงามหมดจด มือไพล่อยู่ที่ด้านหลัง ท่าทางและกลิ่นไอแฝงไว้ซึ่งความองอาจและห้าวหาญ ราวกับว่าในโลกหล้าล้วนแต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาก้มหัวลงได้
เสวี่ยหยากลายเป็นตะลึงงันไปชั่วขณะ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ภายใต้ใบหน้างดงามอันน่าตกตะลึงของมู่ชิงเกอ
แต่ไม่ทันไรสายตาของนางก็กลายเป็นหดเล็กลง ร้องขึ้นเสียงหลง “ระดับพลังของนายน้อยท่าน!”
นางถึงกับมองระดับพลังของมู่ชิงเกอไม่ออก นี่ก็สามารถกล่าวได้ว่า? กล่าวได้ว่าคนตรงหน้านี้ระดับพลังก็ได้สูงลํ้าเกินนางไปมากแล้ว
“เสวี่ยหยาเจ้ารู้เกี่ยวกับระดับพลังของโลกแห่งยุคกลางหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
เก็บความตกตะลึงในดวงตากลับ เสวี่ยหยาพยักหน้า พลางเอ่ยขึ้น “ข้าเคยได้ยินท่านราชครูบอกมาว่า ระดับขั้นของโลกแห่งยุคกลางนั้นแบ่งเป็นระดับสีเทา สีเงิน แล้วก็สีทอง ทุกๆ ระดับพลังก็จะถูกแบ่งเป็นหกขั้น อิงตามลักษณะของสีพลังเป็นเกณฑ์อย่างเช่นระดับสีเทา หากสียิ่งอ่อนจนใกล้เคียงกับสีเงิน ก็จะหมายความว่า เป็นระดับสีเทาที่มีขั้นสูง”
มู่ชิงเกอหรี่แววตาลงครุ่นคิด ‘ใช้สีของพลังจิตแบ่งแยกระดับขั้นรึ? หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่านางในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นระดับสีเทาขั้นห้า’ ผลลัพธ์นี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดหลังจากได้พบเจอกับคลื่นยักษ์
มู่ชิงเกอในตอนนี้เองก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซือมั่วถึงบอกให้นางกดพลังเอาไว้ ควบคุมมันไม่ให้ทะลวงขั้น นั่นก็เป็นเพราะให้รอคอยหลังจากเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางแล้วใช้ประโยชน์จากระดับพลังกดดันที่แตกต่างกันระหว่างโลกแห่งยุคกลางกับหลินชวนทำการทะลวงขั้นในรวดเดียว
จ้องมองไปทางมู่ชิงเกอที่กำลังนิ่งขรึม เสวี่ยหยาก็พลันเอ่ยขึ้นต่อ “โลกแห่งยุคกลางมีระดับสีม่วงเป็นจุดเริ่มต้น ได้ยินมาว่าคนที่สามารถเข้าสู่ระดับสีเทาได้ก็ถึงจะถือเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้คนของตระกูลต่างๆ ท่านราชครูยังบอกอีกว่าด้านบนของระดับสีทองก็ยังมีอีกขั้นหนึ่งที่เอาไว้แบ่งแยกโชคชะตา พลังขั้นนั้นก็จะเป็นตัวแบ่งถึงความเป็นเทพและมนุษย์”
“ยังมีอีกขั้นหนึ่งด้วยรึ?” มู่ชิงเกอกลายเป็นสงสัยขึ้น เสวี่ยหยาพยักหน้า แต่กลับไม่ได้กล่าวอธิบายต่อไปอีก
“รอนายน้อยไปถึงขั้นสีทองแล้ว แน่นอนว่าจะเข้าใจเอง”
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว…
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นอย่างไร้เสียง ตั้งแต่เกิดใหม่ นางก็ไม่รู้ว่าฟังคำพูดคล้ายๆ กันนี้มากี่รอบแล้ว? จากไม่เข้าใจกลายเป็นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็เหมือนกับว่าไม่ว่านางจะพัฒนาไปสูงแค่ไหนก็ยังจะมีจุดที่นางไม่อาจสัมผัสไปถึงได้ชั่วคราวรอคอยนางอยู่
อย่างช้าๆ นางก็กลายเป็นคุ้นชินกับคำพูดเหล่านี้แล้ว
ไม่ได้ตื้อถามเสวี่ยหยาต่อ มู่ชิงเกอหันไปกล่าวกับนาง “เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? มีความรู้สึกว่าจะเลื่อนระดับบ้างหรือไม่?”
เสวี่ยหยาอาศัยอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ ระดับพลังก็ได้รับการควบคุมจากพลังกดดันของทะเลแห่งทุกข์ ตอนนี้เข้าสู่โลกแห่งยุคกลาง ตามหลักแล้วก็ควรจะทะลวงชั้น อีกทั้งซือมั่วก็ยังเคยบอกนางเอาไว้ว่าชั้นกักเก็บจริงๆ แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกระดับชั้น
หากจะทำการเปรียบเปรยชั้นกักเก็บก็สามารถกล่าวได้ว่ามันเหมือนกับโอ่งใบใหญ่ใบหนึ่ง
ผลดีของมันก็คือสามารถกักเก็บพลังได้อย่างต่อเนื่อง
แต่พอนานวันเข้าผู้คนก็เลยเอาระดับนํ้าที่ไม่เหมือนกันในโอ่งมาทำการแบ่งระดับชั้นให้ขั้นกักเก็บ
ขั้นกักเก็บก็ถือเป็นการกักเก็บ ในตอนที่พลังกดดันเกิดการเปลี่ยนแปลง ขั้นกักเก็บก็จะเลื่อนระดับพลังเข้าไปสู่ขอบเขตใหม่ ส่วนนํ้าในโอ่งก็จะเปลี่ยนไปเป็นพลังจิตชนิดใหม่
จุดแตกต่างก็คือ ในตอนอยู่ในขั้นกักเก็บเจ้าเก็บพลังเอาไว้มากเท่าไร ความน่าจะเป็นในการทะลวงชั้นอย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งสูง
โดยทั่วไปแล้วส่วนมากก็จะเลื่อนเข้าสู่ระดับสีเทาชั้นหนึ่ง แต่ถ้าหากตอนยังอยู่ชั้นกักเก็บสะสมพลังเอาไว้ค่อนข้างมากและค่อนข้างบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็จะสามารถทำให้เลื่อนไปถึงชั้นสอง ชั้นสามได้ แต่ที่เหมือนกับมู่ชิงเกอเช่นนี้ที่ครั้งเดียวทะลวงไปห้าระดับนั้น ก็ถือว่าไม่เคยมีมาก่อน
เหตุผลหลักก็ไม่ใช่แค่เพราะพรสวรรค์ของนาง แต่ยังเป็นเพราะนางเชื่อฟังคำพูดของซือมั่ว และก็ทำตามอย่างเคร่งครัด
คำกล่าวของมู่ชิงเกอก็ทำให้เสวี่ยหยาพยักหน้ารับเบาๆ จริงๆ แล้วนางก็มีความรู้สึกว่าจะทะลวงชั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะมู่ชิงเกอกำลังทะลวงชั้นอยู่ ดังนั้นนางก็เลยกดพลังของตัวเองไว้
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปเลื่อนระดับด้านในเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าคุ้มกันให้” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นกับนาง
เสวี่ยหยาก็ไม่ได้อิดออดแต่อย่างใด หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้มู่ชิงเกอ ก่อนจะเดินเข้าไปในถํ้า
มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ด้านนอกถํ้า ยกมือขึ้นไปลูบที่ต่างหูของตน
ต่างหูสีม่วงหลังจากที่นางเลื่อนระดับสำเร็จ มันก็ฟื้นฟูเสร็จสิ้นแล้ว และแน่นอนว่านางก็ได้กลายเป็นผู้ชายแล้วเช่นกัน
เกี่ยวกับเพศที่แท้จริงของนาง นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเสวี่ยหยา แต่นางรู้สึกว่าเผ่าอี๋ยังมีบางอย่างที่ยังปิดบังนางอยู่ เหมือนกับว่าที่พวกเขามาสวามิภักดิ์กับนางก็ยังมีเรื่องราวอะไรไม่ชอบมาพากลแอบซ่อนอยู่ ในตอนที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่ปิดบังเอาไว้พวกนั้นอย่างชัดเจน มู่ชิงเกอก็ไม่อยากให้เรื่องราว ต่างๆ ของตนถูกเสวี่ยหยารับรู้มากเกินไป
หากพูดจริงๆ แล้วก็คือความเชื่อใจยังไม่เพียงพอ!
“โลกแห่งยุคกลาง! ในที่สุดข้าก็มาถึงแล้ว หวังว่าการมาถึงของข้าจะสามารถขจัดเรื่องกวนใจของข้า ของท่านปู่ และก็ของอาหญิงพวกนั้นให้หมดสิ้นไป” มู่ชิงเกอเอ่ยกระซิบกระซาบกับตัวเอง นางดึงความรู้สึกนึกคิดกลับ ก่อนจะหยิบป้ายหยก ออกมา เคาะลงไปด้านบนอยู่หลายครั้ง
หลังจากนั้นก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของป้ายหยก
ครั้งนี้ก็ไม่ได้ให้นางรอนาน บนตัวหยกก็เริ่มที่ปรากฏเส้นแสงวาววับขึ้น
นี่ก็ทำให้แววตาของมู่ชิงเกอฉายแววปีติยินดีขึ้นมาอย่างแรง รีบเขย่าป้ายหยก
นางก็ใช้รหัสลับสอบถามถึงที่อยู่ขององครักษ์เขี้ยวมังกรกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ย
ป้ายหยกฝั่งนั้นก็พลันตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ที่แท้พวกเขาก็พลัดหลงเช่นกัน แต่ละคนกระจายกันไปยังที่ต่างๆ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนละกลุ่ม
และก็โชคดีนักที่คนทั้งหมดไม่มีสมาชิกที่บาดเจ็บล้มตาย
ไข่นกที่นำออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบพวกนั้น หลังจากได้พัฒนาไปเป็นอสูรเวหา ก็ได้กลายเป็นมีประโยชน์ขึ้นมาก พาพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรออกจาก ทะเลแห่งทุกข์หนีเข้าไปสู่โลกแห่งยุคกลาง
ก่อนหน้าที่พวกเขาไม่ได้ตอบมู่ชิงเกอก็เป็นเพราะพวกเขากำลังทะลวงระดับพลัง
พลังที่กดและสะสมเอาไว้เกือบหนึ่งปีบวกเข้ากับศิลาวิญญาณชั้นดีที่อยู่กับตัวพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดเข้าสู่ระดับสีเทาได้สำเร็จ
แต่ว่าส่วนมากก็อยู่แค่ชั้นสองชั้นสาม
หนึ่งเดียวที่ไปถึงชั้นสามได้ก็มีเพียงมั่วหยาง
โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยสาวใช้ทั้งสองคนก็ยังรั้งอยู่ที่ชั้นสีม่วงระดับสูงสุด แต่พวกนางก็ยังมีความมนั่ใจว่าในอนาคต
ไม่นานพวกนางก็จะเข้าสู่ขั้นสีเทาได้อย่างแน่นอน
หลังจากเข้าใจภาพรวมคร่าวๆ แล้ว มู่ชิงเกอก็ออกคำสั่ ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเคลื่อนไหวในโลกแห่งยุกกลาง ให้ออกไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแห่งยุคกลาง
รอจนวันที่นางหาที่อยู่ของตระกูลเล่อพบก็ค่อยเรียกรวม ตัวกับพวกเขาอีกครั้ง
พอมีข่าวคราวขององครักษ์เขี้ยวมังกรจิตใจที่กังวลของ มู่ชิงเกอก็ค่อยผ่อนเบาลง
“แต่ก็น่าเสียดายนักที่ไม่สามารถแจ้งข่าวให้ท่านปู่ทราบได้” มู่ชิงเกอจ้องมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า เอ่ยพึมพำขึ้น
ผ่านไปนานช่วงหนึ่งนางถึงค่อยก้มหัวลง มองไปยังกระดิ่งที่เอวของตน ใช้มือจับมันขึ้นมา มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะเขย่ากระดิ่งไปสองที เสียงกระดิ่งทะลวงช่องเวลาและห้วงมิติ พุ่งเข้าไปในหูของใครบางคน
ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ กระดิ่งของมู่ชิงกอก็พลันดังสะท้อนขึ้นมา เสียงสะท้อนก้องกังวานดังขึ้นไม่หยุด ดังสะท้อนไปมาในหูของมู่ชิงเกออย่างต่อเนื่อง
นี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอนึกถึงคำพูดที่ซือมั่วเคยบอกเอาไว้,ถ้า หากกระดิ่งดังขึ้นตลอด ก็หมายความว่า ‘เขาคิดถึงนางมาก มาก มากๆๆๆๆๆ…’
อดีตที่หวนนึกถึงนี้ก็ทำให้คิ้วเรียวของมู่ชิงเกอกลายเป็นอ่อนโยนผ่อนคลาย นางกำแน่นไปที่กระดิ่ง หยุดไม่ให้มันส่งเสียงต่ออีก
หลังจากนางจิตใจสงบลงก็ถึงค่อยหยิบกระดิ่งขึ้นมา เขย่าเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเขย่ารัวๆ อีกสามครั้ง นี่ก็ถือเป็นการนัดแนะระหว่างนางกับซือมั่ว หนึ่งยาวสามสั้นหมายความว่านางได้มาถึงโลกแห่งยุคกลางอย่างปลอดภัยแล้ว บอกให้เขาไม่ต้องกังวล!
อย่างรวดเร็ว กระดิ่งของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ดังสะท้อนขึ้นสองเสียง
นี่คือความหมายของประโยคที่ว่า ‘ดูแลตัวเองให้ดี’
เป็นซือมั่วที่กำลังกำชับนางให้ดูแลตัวเองให้ดี
ความรู้สึกอบอุ่นที่ยากจะใช้คำพูดกล่าวบรรยายพลันแผ่ซ่านออกมาจากในใจของมู่ชิงเกอ ลมยามราตรีพัดโชยมา พัดเป่าชายผ้ากับเส้นผมของนางพลิ้วไหวบางเบา นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่านางกำลังคะนึงถึงอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง หลังจากวางกระดิ่งลง มู่ชิงเกอก็เริ่มชื่นชมทิวทัศน์ยามราตรีของโลกแห่งยุคกลางแห่งนี้อย่างจริงจัง หนึ่งคืนผ่านไป เสวี่ยหยาก็ยังไม่ได้เดินออกมาจากถํ้า ในตอนที่ท้องฟ้าสว่างขึ้นรำไร หูของมู่ชิงเกอก็กระดิกสั่น
ไหว ได้ยินเสียงฝีเท้าดังออกมาจากป่าด้านใน
นางหันหน้ามองไปทางดงหญ้าที่ถูกตัดออก ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ เด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาสดใส อายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองก็โผล่พ้นออกมาจากดงหญ้า ใน มือของเขาถือมีดตัดฟืนเอาไว้ บนหลังก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานเอาไว้ใบหนึ่ง ที่เอวก็ยังผูกอยู่ด้วยกระต่ายอ้วนท้วนตัวหนึ่ง
กระต่ายหัวลู่ตกลง ดูจากสภาพน่าจะตายไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว
เด็กหนุ่มพอเดินออกมาจากดงหญ้า ทันใดนั้นก็เห็นมีคน คนหนึ่งอยู่ด้านนอกถํ้า ตกใจตัวโยนขึ้นมา มือกำไปที่มีดในมือแน่นก่อนจะร้องตะโกนขึ้น “เป็นใคร!”
มู่ชิงเกอมองไปทางเขา คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ ไม่ได้ตอบวาจา
พอไม่ได้รับการตอบกลับ เด็กหนุ่มก็แสร้งทำเป็นใจกล้า เดินขึ้นไปอีกสองก้าว ราวกับว่าต้องการมองรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นให้ชัด
ในตอนที่เขาเห็นรูปลักษณ์ของมู่ชิงเกอได้กระจ่างชัด ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็พลันเบิกกว้างขึ้น มีดตัดฟืนในมือร่วงตกไปที่พื้น เขาเอ่ยขึ้นสติล่องลอย “พี่ชาย ท่านช่างงดงามนัก”
อยู่ในร่างชายหนุ่มแต่กลับถูกคนชมว่างดงาม…
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
การขมวดคิ้วของนางก็เหมือนกับว่าจะเป็นเตือนเด็กหนุ่ม เขาก็เหมือนกับอสูรตัวน้อยที่บุกเข้าสู่ถิ่นฐานของผู้อื่นก็ไม่ปาน โบกมือไปมาเป็นพัลวัน สีหน้าเก้ๆ กังๆ พลางเอ่ยอธิบายขึ้น “ไม่ ไม่ ความหมายของข้าก็คือ…ก็คือพี่ชายมีหน้าตาที่งดงาม ข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคย เห็นคนที่หน้าตางดงามเช่นพี่ชายมาก่อน!”
สายตาของเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความจริงใจ เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งการแปดเปื้อนใดๆ มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ขอบใจ”
ขอบใจคำชมของเขา
เอ่อ…
เด็กหนุ่มบางทีอาจจะคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะยอมเปิดปาก นิ่งชะงักไปชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดีไปชั่วขณะหนึ่ง
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไปทางเขาสายตาหนึ่ง เห็น เพียงเขาใส่ชุดผ้าหยาบที่ดูค่อนไปทางขั้นที่เรียกได้ว่ายากจน แต่ว่าเสื้อผ้ากางเกงของเขากลับถูกซักอย่าง สะอาดสะอ้าน ไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย ในตะกร้าไม้ไผ่สานที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เป็นฟืนจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีสมุนไพรทั่วไปอีกส่วนหนึ่ง
“เจ้าเป็นคนจากหมู่บ้านข้างหน้างั้นรึ?”
ตอนที่เพิ่งจะฟื้นได้สติ มู่ชิงเกอก็เคยคาดเดาเอาไว้ว่าที่ตรงนั้นเป็นหมู่บ้านชาวประมง อีกทั้งยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก
ตอนนี้ได้มาพบเด็กหนุ่มผู้นี้ก็พอดีจะได้สอบถามเรื่องราว
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์และจริงใจออกมา พยักหน้าเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว! ข้าเติบโตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นมาตั้งแต่เล็ก พี่ชายเป็นคนมาจากต่างถิ่นใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอแย้มยิ้มพลางพยักหน้า
พอเห็นมู่ชิงเกอพยักหน้า เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นอย่างเบิกบานใจ “ข้าก็ว่าแล้ว ในหมู่บ้านก็เล็กเสียขนาดนั้น มีคนเท่าไรข้าก็รู้จักทั้งหมด แต่ข้ากลับไม่เคยหน้าพี่ชายมาก่อน”
“พี่ชายที่มาที่นี่ก็เป็นเพราะมีธุระอันใดรึ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
มู่ชิงเกอตอบกลับไปง่ายๆ “ผ่านทางมา”
เด็กหนุ่มพลันพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่ออีก
เพียงแค่มองไปทางมู่ชิงเกอ ก่อนจะหันมองไปทางถํ้าด้านหลังเขา เอ่ยขึ้น “พี่ชายคิดจะพักเท้าอยู่ที่ถํ้าแห่งนี้รึ? ใกล้ๆ กับที่นี่ก็ไม่อะไรให้กินเท่าไร แหล่งนํ้าก็ไม่มี”
เขากวาดตามองไปรอบด้าน ก่อนจะกล่าวขึ้นกับมู่ชิงเกอ “พี่ชายไม่สู้ไปพักที่บ้านข้า”
หลังจากเอ่ยคำเชิญแล้ว เขาก็ส่ายหน้าขึ้นอย่างกระดากอาย “แต่ว่าบ้านของข้านั้นก็ธรรมดามาก พี่ชายอย่าได้รังเกียจ”
การเชื้อเชิญของเด็กหนุ่มก็ทำให้มู่ชิงเกอกลายเป็นครุ่นคิดอย่างจริงจัง
เด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ถึงแม้ว่าจะอยู่แค่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ว่าความเข้าใจของเขาสำหรับโลกแห่งยุคกลางแล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีมากกว่านาง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมอบโอกาสในการสืบหาข้อมูลให้นาง นางก็ทำไมจะต้องไปโยนทิ้งไม่รับด้วย?
“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” แววตาของมู่ชิงเกอทอแววแย้มยิ้มก่อนจะหันมองไปทางเขา
พอได้ยินว่ามู่ชิงเกอตอบรับคำเชิญแล้ว เด็กหนุ่มก็ร้อง ‘อ้า’ ขึ้นมาอย่างตื่นเต้นยินดี รีบเอ่ยขึ้น “ไม่รบกวน ไม่รบกวน ไม่รบกวนแม้แต่น้อย พี่ชายเต็มใจไปที่บ้านข้า ข้าก็รู้สึกดีใจที่สุดแล้ว”
เขาเพิ่งจะกล่าวจบ มู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง
ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ เสวี่ยหยาก็เดินออกมาจากด้านในถํ้า
ราวกับนางเซียนที่ห่มคลุมเอาไว้ด้วยแสงจันทร์ก็ไม่ปาน นางพอเห็นเด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
และนางที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาก็ทำเอาเด็กหนุ่มนิ่งชะงักไป
เสวี่ยหยามองไปทางมู่ชิงเกอราวกับจะสอบถามที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มผู้นี้
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางเปิดปากเด็กหนุ่มก็พลันได้สติขึ้นมาจากความตกตะลึง เอ่ยขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ กับมู่ชิงเกอ “พี่ชาย พี่สาวที่งดงามราวกับเซียนผู้นี้ เป็นภรรยาของท่านรึ?”
‘ภรรยา’ สองพยางค์พอหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม เสวี่ยหยาทันใดนั้นก็คิดจะเอ่ยปฏิเสธขึ้นในทันที
แต่ว่าข้อมือของนางกลับถูกมู่ชิงเกอคว้าจับเอาไว้ก่อน นางมองไปทางมู่ชิงเกออย่างสงสัย แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มน้อยๆ ไปให้เด็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว! นางเป็น ภรรยาของข้า พวกเราออกมาท่องเที่ยวด้านนอก ก่อนจะมาพบที่นี่เข้าโดยบังเอิญ และก็ดูเหมือนว่าจะเที่ยวเล่นกันจนหลงทาง”
คำกล่าวของมู่ชิงเกอก็ทำให้เสวี่ยหยาชั่วขณะนั้นกลายเป็นเข้าใจขึ้น
นางก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะปฏิเสธอีก แต่เป็นคล้อยตามคำพูดของมู่ชิงเกอ หันไปยิ้มบางๆ ให้เด็กหนุ่ม ท่าทางเช่นนั้นก็เหมือนกับว่านางจะเป็นภรรยาของมู่ชิงเกอจริงๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้! ข้าก็ว่าแล้ว พี่ชายก็ดูดีขนาดนี้ภรรยาจะต้องเป็นพี่สาวที่งดงามถึงจะถูกต้อง!” เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นมาท่าทางซื่อตรง บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็ประดับไว้ด้วยความไร้เดียงสาที่แฝงไว้ด้วยความชื่นชม
มู่ชิงเกอมองไปทางเสวี่ยหยา เอ่ยขึ้นนํ้าเสียงอ่อนโยน “น้องชายเขาชวนพวกเราไปเป็นแขกที่บ้านของเขา”
คำพูดประโยคนี้ก็ทำให้เสวี่ยหยาเข้าใจจุดประสงคของมู่ชิงเกอได้อย่างชัดเจนมากขึ้น นางเคลื่อนสายตาจากตัวของมู่ชิงเกอไปยังตัวของเด็กหนุ่ม พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยว่า “รบกวนแล้ว”
“ไม่ไม่ไม่ ไม่ต้องเกรงใจกับข้าขนาดนั้น ข้าชื่อจิงไห่ พี่สาวจะเรียกข้าว่าเสี่ยวไห่ก็ได้” เด็กหนุ่มจิงไห่เอ่ยกับมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยา
“ข้าแซ่มู่” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นกับจิงไห่
ที่ไม่ได้บอกชื่อออกไป เพราะนางรู้สึกว่าสำหรับเสี่ยวไห่แล้ว ตนก็เป็นเพียงแขกผ่านทางคนหนึ่ง เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของเขาแค่ชั่วครู่ชั่วคราวก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจดจำอะไรมาก
“ที่แท้ก็เป็นพี่มู่” จิงไห่ก็ไม่ได้ติดใจที่มู่ชิงเกอไม่บอกชื่อของตนทั้งหมด นัยน์ตาทั้งสองข้างก็ยิ้มราวกับจันทร์เสี้ยว อีกทั้งในนัยน์ตาก็ยังทอแสงระยิบระยับราวกับแสงของหมู่ดาวก็ไม่ปาน ร้อยยิ้มเจิดจ้าสะดุดตา
“ไปกันเถอะ ข้าพาพวกท่านกลับบ้าน” จิงไห่พอพูดจบ เขาก็ยกกระต่ายที่ผูกอยู่ตรงเอวขึ้นมา เอ่ยขึ้นแย้มยิ้มกับทั้งสองคน “วันนี้ดวงดีไม่น้อย กลับไปข้าจะทำเนื้อกระต่ายผัดน้ำแดงให้พวกท่านกิน”
“พี่มู่ พี่สาว ข้าขอบอกพวกท่านก่อนเลยว่า เนื้อกระต่ายผัดนํ้าแดงที่ข้าทำนั้นอร่อยมาก…” ระหว่างทาง จิงไห่ก็ส่งเสียงแจ้วไม่หยุด ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆทั่วไปเกี่ยวกับตน ราวกับคิดจะใช้สิ่งนี้แสดงถึงความยินดีต้อนรับของตน แสดงให้เห็นว่ายินดีต้อนรับมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา บ้านของจิงไห่ก็ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง แต่ว่ากลับอยู่ค่อนข้างริมขอบ ระยะห่างจากบ้านที่ใกล้ที่ สุดก็มีช่วงระยะประมาณหนึ่ง บ้านของเขาก็หมือนกับที่ตัวเขาพูดเอาไว้ไม่ผิด เรียบง่ายเป็นอย่างมาก
เรียบง่ายจนถึงขั้นที่มีอยู่แค่สองห้อง ทั้งยังมีสภาพผุพัง มู่ชิงเกอก็สังเกตเห็นได้ว่าสิ่งปลูกสร้างที่นี่ก็จะมีการยกพื้นสูง ตรงใต้ถุนบ้านก็จะมีช่องว่างเว้นเอาไว้ประมาณหนึ่ง หากจะเข้าไปในตัวบ้านก็จำเป็นจะต้องปีนบันไดขึ้นไปหลายก้าว
สิ่งปลูกสร้างลักษณะนี้ก็ราวกับว่าจะมีเอาไว้ป้องกันคลื่นทะเลจากริมชายฝั่ง
บ้านของจิงไห่เพราะว่าอยู่ค่อนข้างไกล ดังนั้นเขาที่พาคนแปลกหน้าสองคนเข้ามาก็เลยไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนในหมู่บ้าน
จิงไห่ที่เดินนำทางอยู่ด้านหน้า หันหน้ามองมาทางมู่ชิงเกอกับ เสวี่ยหยาพลางเอ่ยขึ้น “พี่มู่ พี่สาวรีบเข้ามาเถอะ ในบ้านถึงแม้จะธรรมดาไปบ้าง แต่ว่าข้านั้นก็เก็บกวาดสะอาดเรียบร้อยดี”
มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาก็เดินตามเขาเหยียบขึ้นไปบนบันไดเอียงๆ ด้านบน เดินขึ้นไปจนถึงระเบียงก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้าน
กวาดมองสภาพโดยรอบไปรอบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็ทำการจดจำสภาพบ้านของจิงไห่เข้าไปในหัวได้หมด
สองห้องนี้หนึ่งห้องเป็นห้องครัว อีกหนึ่งห้องก็เป็นห้องนอนกับที่กินข้าว
ในบ้านก็ไม่ได้มีของตกแต่งหรือเครื่องเรือนอะไร มีเพียง เตียงหนึ่งเตียง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัว โต๊ะกินข้าวหนึ่งตัว แล้วก็ตู้เสื้อผ้าอีกตู้หนึ่ง ถึงแม้จะธรรมดา แต่ก็เหมือนกับที่จิงไห่พูด เขาก็ทำความสะอาดเอาไว้อย่างเรียบร้อยนัก ในบ้านไม่มีเศษฝุ่นแม้แต่น้อย สิ่งของทั้งหมดก็ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
จิงไห่พาทั้งสองคนเข้าไปในห้อง ก่อนจะหมุนกายไปรินนํ้าแล้วยกมันมาที่ด้านหน้าของพวกเขา เอ่ยขึ้นอย่างขออภัย “ขออภัยด้วยพี่มู่ ในบ้านข้าไม่มีใบชา มีเพียงแต่นํ้าธรรมดาพวกนี้”
“นํ้าก็พอแล้ว ขอบใจ” มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ พลางรับถ้วยมาจากมือของจิงไห่ ไม่ได้มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย
เสวี่ยหยาก็ยื่นมือไปรับถ้วยนํ้าตาม
จิงไห่พอเห็นพวกเขาไม่มีท่าทีรังเกียจ หัวใจที่เต้นระรัวก็ค่อยๆ ผ่อนเบาลง
“พวกท่านพักผ่อนสักครู่ ข้าเอากระต่ายไปต้มก่อน” จิงไห่ยิ้มแย้มอารมณ์ดี เอ่ยขึ้นกับพวกมู่ชิงเกอทั้งสองคน
“ไม่ต้องรีบ” มู่ชิงเกอห้ามเขาเอาไว้ในตอนที่จิงไห่ส่งสายตาสงสัยมา นางถึงค่อยกล่าวว่า “พวกเรานั้นมาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เจ้าถ้าหากรู้ไม่สู้เอ่ยแนะนำพวกเราสักเล็กน้อย”
“อ๋อ! ได้เลย!” จิงไห่ก็พลันร้องอ้อขึ้นมา พยักหน้าตอบตกลงในทันที
เขาบอกให้มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยานั่งลง ในบ้านไม่มีเก้าอี้ เขาก็เลยเอาท่อนไม้กลมๆ ที่เอาไว้ใช้ตัดเป็นฟืนยกเข้ามาวางไปที่ด้านล่างของตัวเอง
หลังจากนั่งลงไปแล้ว เขาถึงค่อยกล่าวขึ้น “หมู่บ้านชาวประมงของพวกเราแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเรียก เพราะว่ามันค่อนข้างเล็กเกินไป มีเพียงแค่สิบกว่าครัวเรือน ทว่า หากออกไปจากหมู่บ้านของพวกเราไม่ไกล ข้าก็รู้ว่ามันมีเมืองอยู่แห่งหนึ่ง เมืองแห่งนั้นชื่อว่าเมืองไหอวี่เฉิง เมืองไหอวี่เฉิงที่นั้นใหญ่โตมากนัก!” จิงไห่ในระหว่างที่พูด ก็ยื่นมือทั้งสองของตัวเองออกไปและวาดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าของตนใช้มันอธิบายความใหญ่โตของเมืองไหอวี่เฉิง
“เมืองไหอวี่เฉิง” มู่ชิงเกอลอบเอ่ยทวนชื่อชื่อนี้อยู่ในใจ
นางค้นพบว่าเรื่องที่จิงไห่รู้นั้นก็มีอยู่จำกัด ถ้าหากนางต้องการรู้เรื่องราวของเขตภาคใต้ให้ได้โดยเร็วที่สุด สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเล่อ ก็จะต้องเดินทางไปที่เมืองไหอวี่เฉิงสักครั้ง
มีเพียงไปที่เมืองใหญ่ๆ ถึงจะสามารถเสาะหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการได้
“เสี่ยวไห่ จากที่นี่ไปเมืองไหอวี่เฉิงไปยังไงรึ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
จิงไห่เอ่ย “พี่มู่จะไปที่เมืองไหอวี่เฉิงรึ? เมืองไหอวี่เฉิงอยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเราอยู่หลายร้อยลี้ ที่ด้านนอกหมู่บ้านก็มีถนนสายเดียวที่มุ่งไปสู่เมืองไหอวี่เฉิง”
หลังจากนั้นจิงไห่ก็เอ่ยถึงธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ให้มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาฟัง ในตอนที่ท้องของเขาร้องโครกครากขึ้นมา ถึงค่อยออกไปจัดกระต่ายที่ห้องครัวด้วยท่าทางเขินอาย
หลังจากเขาจากไปแล้ว เสวี่ยหยาก็พลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“เด็กผู้นี้ระดับพลังก็อยู่เพียงแค่ระดับสีม่วงขั้นต้น คนของโลกแห่งยุคกลางพอเกิดออกมาก็เป็นระดับสีม่วงขั้นต้น ระดับพลังของเขาในตอนนี้ก็ยังรั้งอยู่ขอบเขตเดียวกับตอนที่เกิดออกมา ก็สามารถกล่าวได้ว่าเขาไม่เคยฝึกฝนแต่อย่างใด”
มู่ชิงเกอพอได้ฟังคำกล่าวประโยคนี้ในใจก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายขึ้น
คนของโลกแห่งยุคกลางตั้งแต่เกิดมาก็เป็นระดับสีม่วงขั้นต้น ส่วนคนจำนวนมากของหลินชวนที่ตั้งใจฝึกฝนก็เป็นเพราะต้องการไปถึงขั้นสีม่วง? ความห่างชั้นนี้ก็ช่างทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือกเป็นยิ่งนัก!
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เหมือนกับว่าจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนของตระกูลเล่อที่มาจากโลกแห่งยุคกลาง ถึงได้มองคนของทั้งหลินชวนเหมือนกับมดปลวกก็ไม่ปาน ที่แท้ในสายตาของพวกเขา คนที่ยังไม่ไปถึงขั้นสีม่วงพวกนั้นก็แม้แต่ทารกของพวกเขาที่นี่ก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!
มู่ชิงเกอมองไปทางเสวี่ยหยา นัยน์ตาทอแววไหววูบ “ระดับสีเทาขั้นสี่”
เสวี่ยหยาพลันหลุบตาลง เอ่ยขึ้นเสียงเบา “พรสวรรค์ของข้าก็ไม่สู้นายน้อย”
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ “ทำไมจะต้องตัดกำลังใจตัวเองด้วยเล่า?”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปได้สักพักก็มีกลิ่นหอมอันน่าเย้ายวนลอยเข้ามา
ผ่านไปไม่ทันไรก็เห็นจิงไห่ยกเนื้อกระต่ายผัดนํ้าแดงที่มีไอร้อนหอมกรุ่นเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มตาหยี
“กินข้าวได้แล้ว!” จิงไห่เอ่ยร้องเรียกขึ้นอย่างอัธยาศัยดี ระหว่างที่ชิมเนื้อกระต่ายผัดนํ้าแดงของจิงไห่ มู่ชิงเกอก็ชวนเขาคุยขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ “เสี่ยวไห่ เจ้าก็ดู เหมือนว่าจะอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
จิงไห่ด้านหนึ่งเคี้ยวเนื้อกระต่าย อีกด้านหนึ่งก็พยักหน้าขึ้น “ใช่แล้ว! ข้าตั้งแต่เล็กก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด”
คำพูดของเขาก็ทำให้เสวี่ยหยาต้องวางตะเกียบลง มองไปทางเขา ในแววตากระจ่างก็เหมือนกับมีอะไรบางส่องประกายอยู่
มู่ชิงเกอก็หันหน้ามองไปทางเขา “ครอบครัวของเจ้าเล่า?”
แต่เดิมหัวข้อนี้ มู่ชิงเกอก็ยังลังเลอยู่ว่าจะละลาบละล้วงเกินไปหรือไม่ หากไปสะกิดความเศร้าในใจของคนเขาก็คงจะไม่ดีนัก
แต่ว่าการตอบกลับของจิงไห่นั้นกลับเรียบเฉยมาก
เขาหลังจากกลืนเนื้อกระต่ายลงไปในคอแล้ว ถึงค่อยเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้าเกิดมาก็มีเพียงแค่ท่านแม่คนเดียวแล้ว นางบอกข้าว่าพ่อของข้าเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ก็เลยไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ ต่อมาตอนที่ข้าอายุได้ห้าขวบ แม่ของข้าก็จากไป นางบอกว่านางจะไปตามหาพ่อของข้า พาพ่อของข้ากลับมาที่บ้านให้เขาได้พบข้าลูกคนนี้”
พอเอ่ยจบ จิงไห่ก็คีบเนื้อกระต่ายอีกหนึ่งชิ้นให้ตัวเอง แต่ว่ามู่ชิงเกอและเสวี่ยหยากลับค้นพบว่า เนื้อที่เขาคีบก็เป็นส่วนที่ติดกับกระดูก ชิ้นเนื้อที่เป็นเนื้อทั้งหมด เขาก็ไม่แตะมันแม้แต่น้อย ราวกับว่าจงใจเหลือเอาไว้ให้พวกเขาแขกทั้งสองคน
“เสี่ยวไห่! เสี่ยวไห่—–!” แต่ทันใดนั้นเองด้านนอกประตูก็มีเสียงร้องเรียกของเด็กหนุ่มดังเข้ามา
จิงไห่กลืนเนื้อกระต่ายลงไป วางตะเกียบลง ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกประตู
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาก็ได้ยินเสียงบทสนทนาอันตื่นเต้นยินดีของเด็กหนุ่มทั้งสองคน
“เสี่ยวไห่ เจ้ารู้หรือไม่? ตระกูลโต้วของเมืองไหอวี่เฉิง กำลังหาคนงานอยู่ พวกเราก็ควรไปที่นั้นด้วยกัน! ขอเพียงได้เข้าไปในจวนตระกูลโต้ว กลายเป็นคนงานของจวนตระกูลโต้ว พวกเราถึงจะได้มีโอกาสในการฝึกฝนวิชา กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง!”
“จริงงั้นรึ? ดียิ่งนัก! ข้ารอวันนี้มาตั้งนานแล้ว! เช่นนั้น พรุ่งนี้พวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ!”
หลังจากนั้น จิงไห่ก็วิ่งกลับเข้ามาอย่างตื่นเต้นยินดี เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยา “พี่มู่ ท่านไม่ใช่ว่าจะไปที่เมืองไหอวี่เฉิงหรอกรึ? ข้าพรุ่งนี้จะพาพวกท่านไป! ข้าก็จะไปที่เมืองไห่อวี่เฉิงเช่นกัน!”