Skip to content

พลิกปฐพี 222

ตอนที่ 222

กับนายน้อยก็ยังกล้าเกี้ยวพา?

บนถนนดินโคลนที่แสนขรุขระ สัตว์อสูรขนดกมีหัวคล้ายวัวแต่รูปลักษณ์กลับน่าเกลียดกว่า กำลังลากรถด้วยเสียงลมหายใจครึดคราด

บนรถนั้น นั่งกันอยู่ทั้งหมดห้าคน

มีชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ด้านหน้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนสัตว์อสูร

ส่วนสี่คนที่เหลือนั่งอยู่ด้านในตัวรถ

สี่คนที่ว่านี้ก็คือมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยา ส่วนอีกสองคนคือ จึงไห่และเพื่อนร่วมหมู่บ้านของเขา เป็นคนเดียวกับที่มาบ้านจิงไห่เมื่อวานและบอกกับเขาด้วยความตื่นเต้นว่า ตระกูลโต้วของเมืองไหอวี่เฉิงรับสมัครบ่าวรับใช้

ส่วนคนขับเป็นท่านอาของเด็กหนุ่มคนนั้น บังเอิญจะไปธุระเรื่องสินค้าที่เมืองไหอวี่เฉิง จึงพาพวกเขามาด้วย

เด็กน้อยอยู่ด้วยกัน คุยกันหงุ้งหงิงไม่หยุด

ทั้งสองคนจินตนาการทะยานข้ามฟากฟ้าไปว่าตนเองเข้าไปเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลโต้ว เนื่องจากความเฉลียวฉลาดเข้าตาเจ้านาย ได้เรียนวิชายุทธ์ของตระกูล โต้ว ก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกพลังยุทธ์ เส้นทางสู่ผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จ

ความฝันของเด็กน้อยมักจะงดงาม มู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ขบขันในความไร้เดียวสาของพวกเขาแต่อย่างใด

มู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านในสุด มู่ชิงเกอหลับตาลงพักผ่อนสมอง ส่วนเสวี่ยหยาบางครั้งก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ราวกับว่ากำลังชื่นชม ทัศนียภาพอันงดงามข้างนอกหน้าต่าง

ถึงกระนั้นก็ตาม พื้นที่นี้อยู่ห่างไกลความเจริญ พื้นดินแห้งแล้งกันดาร ช่างไม่มีทัศนียภาพงดงามเอาเสียเลย

ดูไปสักระยะ เสวี่ยหยาก็รู้สึกเบื่อหน่าย พุ่งความสนใจไปที่บทสนทนาของเด็กน้อยสองคน

“เสี่ยวไห่เจ้าว่าหากไม่ถูกเลือก ข้าจะทำเช่นไร?” เด็กที่ถูกจิงไห่เรียกว่าสือปัว อยู่ๆ ก็กังวลขึ้นมา

ราวกับว่าตัวเขาเองก็เข้าใจว่า ความฝันยังไงก็เป็นเพียงความฝัน แต่ความจริงไม่ได้ดำเนินไปตามที่พวกเขาจินตนาการ

“สือปัวไม่เป็นอะไรหรอก พวกเราลองไปดูก่อน ยังไงก็มีโอกาสสำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จอย่างมากก็แค่กลับหมู่บ้าน มีโอกาสใหม่ค่อยไปอีกครั้ง” จิงไห่โอบไหล่สือปัวแล้วเอ่ยปลอบ

จิตใจของเขาสงบลงมาก

สือปัวยังคงมีใบหน้าเศร้าหมอง “แต่ว่าหากล่าช้าไปหลายปี พวกเราก็จะพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกพลังยุทธ์เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าจะสามารถเข้าไปอยู่ใน ตระกูลใหญ่ก็จะไม่บรรลุผลใดๆ”

ประโยคนี้ราวกับว่าไปประทับลงบนความเจ็บปวดของจิงไห่ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาค่อยๆ เลือนหายไป เม้มริมฝีปากแน่น แววตาแฝงความยืนหยัดและแน่วแน่ “ข้าจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งให้จงได้!”

ประโยคนี้ทำเอาเสวี่ยหยาชำเลืองมอง แม้แต่มู่ชิงเกอที่หลับตาพักสมองมาตลอดก็ปรือตาขึ้นนิดหนึ่ง ดวงตาสุกสกาวกวาดตามองจิงไห่ครู่หนึ่ง

คำพูดของจิงไห่ ราวกับว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่สือปัวได้ยิน เขาถอนหายใจ ตบบ่าจิงไห่เบาๆ “เฮ้อ จิงไห่ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แต่ข้ารู้สึกว่าความหวังช่างริบหรี่เหลือเกิน!”

“ถึงแม้จะริบหรี่เพียงไหน ข้าก็ต้องลองดูสักตั้ง!” จิงไห่พูดอย่างแน่วแน่ มือที่วางอยู่บนขากำแน่นโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเป็นเพราะบทสนทนาภายในรถดังออกไปทำให้ชายผู้เป็นสารถีได้ยินเข้า เขาสะบัดแส้ออกไป ก่อนจะหันหน้ามาเอ่ยกับเด็กน้อยสองคนนี้ว่า “พวกเจ้าอย่าได้ คิดฟุ้งซ่าน คิดว่าเข้ามาเที่ยวเล่นในเมืองก็แล้วกัน ได้ยินว่าตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้ในครั้งนี้ไม่มีเกณฑ์ใดๆ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าก็อาจถูกเลือก แต่ว่านะ แม้ว่าจะไม่ถูกเลือกก็ไม่เป็นไร บ่าวรับใช้มีหน้าที่ปรนนิบัติผู้อื่น มีอะไรให้น่าเป็นกัน?”

“ท่านอา ท่านไม่เข้าใจ! พวกเราไม่ได้คิดเป็นบ่าวรับใช้ชั่วชีวิตเลียหน่อย พวกเราต้องการเข้าไปฝึกวิชายุทธ์ในตระกูล!” สือปัวเอ่ยแย้งเสียงดัง

ชายผู้นั้นพอได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกขบขัน “ฝึกพลังยุทธ์? คนดื้อรั้นเช่นเจ้านี่นะ? ข้าว่าหากเป็นเสี่ยวไห่ก็ไม่แน่ ส่วนเจ้าน่ะหรือพอถึงเวลานั้นก็ตามข้ากลับหมู่บ้านเสียดีๆ เถอะ”

สือปัวเอ่ยด้วยความโมโหระคนอับอาย “ท่านอา ไม่สนคนไม่ได้ความเช่นท่านแล้ว!”

“สือปัว อารองสือแค่หยอกเจ้าเล่น” เมื่อเห็นเพื่อนรักอารมณ์ไม่ดี จิงไห่ก็ดึงเขาแล้วเอ่ยปลอบ

หลานชายอารมณ์ไม่ดี อารองสือก็ฉีกยิ้มกว้าง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อไปอีก เพียงแค่สะบัดแส้ฟาดไปบนหลังของสัตว์อสูรให้มันเพิ่มความเร็วขึ้น เสวี่ยหยามองดูเงียบๆ เบนสายตาไปมองที่มู่ชิงเกอ ส่งเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่สู้ข้าให้เสี่ยวชิงออกมา สัตว์อสูรที่ลากรถอยู่ในขณะนี้เชื่องช้าเสียเหลือเกิน ไม่ว่องไวเช่นเสี่ยวชิง”

มู่ชิงเกอไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เพียงแค่ส่งเสียงตอบว่า “ไม่เป็นไร”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ เสวี่ยหยาเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก

ในตัวรถตกอยู่ในความเงียบ สติของมู่ชิงเกอเข้าไปด้านในช่องว่าง อาศัยช่วงเวลาที่กำลังว่างนี้ นางก็เข้าไปตรวจสอบว่าหลังจากที่ตนเองเลื่อนระดับแล้วช่องว่างจะขยายใหญ่ขึ้นเท่าใด

“เจ้านาย ท่านดูตำหนักด้านนั้นสิ เมื่อถึงเวลาสามารถใช้เป็นห้องรับแขกได้” เหมิงเหมิงกระโดดโลดเต้นมาหยุดลงตรงหน้า ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้กับมู่ชิงเกอ

ช่องว่างถูกปลดผนึกออกอีกครั้ง เหมิงเหมิงในฐานะจิตวิญญาณแห่งอาวุธไม่ได้เป็นเด็กสาวตัวน้อยอีกต่อไป นางในตอนนี้คล้ายกับหญิงสาววัยสิบสามสิบสี่ ทรวดทรงเพรียวระหง ไอพลังสะกดข่มผู้คน เต็มไปไอชีวิต เหมิงเหมิงปรากฏตัวในลักษณะนี้ต่อหน้ามู่ชิงเกอและคนอื่น ทำเอาพวกเขาสะดุ้งกันเป็นแถว ยังไม่ชิน โดยเฉพาะหยวนหยวน แต่ไหนแต่ไรมาเวลาปะทะคารมกันก็เรียกเหมิงเหมิงว่า ‘เจ้าเตี้ย’ มาตลอด พอมาวันนี้เหมิงเหมิงโตแล้ว ส่วนเขายังเป็นเด็กน้อยสามสี่ขวบอยู่เลย นี้ทำเอาหยวนหยวนซึมเศร้าไปนาน!

หลังจากยอมรับเหมิงเหมิงในรูปโฉมใหม่ได้แล้ว ไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนก็ตามมู่ชิงเกอไปด้วยความสงสัย ทำความคุ้นเคยกับโลกที่เป็นของพวกเขา

“เดี๋ยวก่อน” มู่ชิงเกอหยุดลงในทันใด

เหมิงเหมิงหันกลับมามองหน้านาง กลอกสายตาไปมา ราวกับกำลังถามว่า ‘เหตุใดถึงได้หยุดปุบปับ’

มู่ชิงเกอมองหน้านาง ถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเป็นห้องรับแขก? หรือว่าตอนนี้สามารถพาคนเข้าออกได้อย่างอิสระแล้ว?”

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ดีมาก หากมี ปัญหาอะไรก็เอาคนมาไว้ในนี้ใครยังจะตามหาพบอีก? แต่ว่า ในขณะที่นางมองด้วยสายตาดาดหวังเหมิงเหมิงกลับส่ายหน้า “ตอนนี้ยังทำไม่ได้ อย่างน้อยต้องรอให้นายท่านก้าวผ่านระดับพลังชั้นสีทอง เข้าสู่ระดับสูงชั้นกว่านั้น”

ประโยคนี้โจมตีมู่ชิงเกอไม่เบาทีเดียว

เหมิงเหมิงพูดขึ้นอีกว่า “ช่องว่างเปิดผนึกครั้งนี้ส่วนมากจะเป็นตัวตำหนัก สิ่งเดียวที่น่าสนใจคือหอฝึกพลังยุทธ์ฝั่งนั้น”

นิ้วเรียวยาวของเหมิงเหมิงชี้ไปยังเจดีย์เจ็ดชั้นที่ถูกม่านเมฆรายล้อม

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองตาม

เหมิงเหมิงอธิบายว่า “หอฝึกพลังยุทธ์นนอบอวลไปด้วยพลังจิตบริลุทธิ์ อีกทั้งสามารถปรับเปลี่ยนเวลาได้ พลังจิตแต่ละชั้นไม่เหมือนกัน ตอนที่เข้าไปฝึกพลัง เวลาโลกภายนอกหนึ่งวันจะเท่ากับข้างในนั้นหนึ่งเดือน และหากสามารถเข้าไปถึงชั้นสูงสุดข้างนอกหนึ่งวันจะเท่ากับข้างในหนึ่งปี!”

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่

หนึ่งวันกับหนึ่งปี นี่มันตรรกะใดกัน!

หอคอยแห่งนี้เป็นของวิเศษที่ใช้โกงการฝึกพลังชัดๆ!

หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลนี้ช้าๆ มู่ชิงเกอก็พยักหน้าแข็งขันแสร้งเอ่ยอย่างขึงขังว่า “เป็นสิ่งลํ้าค่าทีเดียว!”

“เจ้านาย ข้าจำเป็นต้องบอกให้ท่านทราบเรื่องหนึ่ง” จู่ๆ เหมิงเหมิงก็จริงจังขึ้นมา

มู่ชิงเกอหันมามองหน้านาง

ใบหน้างดงามของเหมิงเหมิงเต็มเปียมด้วยความเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นว่า “ช่องว่างเปิดผนึกครั้งถัดไป ขอเพียงท่านบรรลุระดับพลังชั้นสีทอง เปิดผนึกครั้งต่อไปก็จะมี ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะหรือแม้แต่ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพปรากฏ ดังนั้นท่านต้องตั้งใจนะ!”

ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ! ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ!

แววตามู่ชิงเกอหดเล็กลง นัยน์ตาส่วนลึกเป็นประกายเปลวเพลิง!

นางเองก็เอ่ยกับเหมิงเหมิงอย่างจริงจังว่า “อืม ข้ารู้แล้ว! ข้าจะเร่งฝึกฝน!”

พูดจบ ก็เดินไปทางหอฝึกพลังยุทธ์

ในเมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งลํ้าค่า ย่อมต้องไปลองดูเสียหน่อย!

มองส่งมู่ชิงเกอจากไป เหมิงเหมิงถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “ต้องมีสิ่งล่อใจถึงจะเกิดแรงจูงใจ! เจ้านายสู้ๆ!”

บนถนนดินโคลน สัตว์อสูรยังคงลากรถลากอย่างแข็งขัน เมืองไหอวี่เฉิง แม้แต่เงาก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น สือปัวแตะตัวจิงไห่เบาๆ ใช้ระดับเสียงที่ตนเองคิดว่าผู้ อื่นไม่ได้ยินเอ่ยถามขึ้นว่า “เสี่ยวไห่ พวกเขาเป็นใครมา จากไหนกันแน่? ข้าดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่แล้ว งดงามเสียขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจมาจากตระกูลใหญ่ก็เป็นได้”

จิงไห่แบมือ เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ พวกเขาผ่านมาที่หมู่บ้านของเรา แล้วบังเอิญจะไปที่เมืองไหอวี่เฉิงก็เท่านั้น”

สือปัวถูกสายตา ‘คาดหวังไว้สูงเกินไป’ ของจิงไห่ กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าโง่เขลาเช่นนี้? พวกเขาดูไปแล้วไม่ใช่คนธรรมดา ซํ้าเจ้ายังช่วยเหลือพวกเขา หากเจ้าเอ่ยปากให้พวกเขาพาเจ้ากลับตระกูลไปด้วย ข้าคิดว่าอย่างไรเสียพวกเขาคงไม่ปฏิเสธ”

สีหน้าจิงไห่ฉายความอึดอัดครู่หนึ่ง เอ่ยเบาๆ ว่า “ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

สือปัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้น “มันทำไมหรือ? ให้ตำแหน่งบ่าวรับใช้เล็กๆ แก่เจ้า สำหรับคนในตระกูลใหญ่แล้วไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ? ไม่แน่ตระกูลพวกเขาอาจยิ่งใหญ่กว่าตระกูลโต้วก็เป็นได้!”

จิงไห่ฟังแล้วถึงกับส่ายหัว “ไม่ได้! ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด! เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!”

“ช่างหัวแข็งจริงๆ!” สือปัวเอ่ยอย่างมีอารมณ์ สองหนุ่มก็เหมือนกับว่าเพราะเรื่องเห็นต่างนี้กลายเป็น ไม่พอใจกันขึ้นมา ต่างพากันเงียบเสียงลง

พวกเขาไม่รู้ว่าบทสนทนานี้ ถูกเสวี่ยหยาได้ยินชัดเจน ช่วยไม่ได้ที่เสวี่ยหยาจะมองไปทางจิงไห่บ่อยครั้ง

เมืองไหอวี่เฉิงห่างจากหมู่บ้านชาวประมงหลายร้อยลี้ ดูจากฝีเท้าของสัตว์อสูรลากรถแล้วเดินทางไปครึ่งวันคงเพิ่งถึงชานเมืองไหอวี่เฉิง

“พี่สาว ท่านดูนั่นสิ ตรงนั้นก็คือเมืองไหอวี่เฉิง” จิงไห่ชี้ไป ที่ภาพเมืองเมืองหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยแนะนำกับเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยามองข้ามหน้าต่างออกไป เห็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งตามที่เขาเอ่ย

“ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไหอวี่เฉิงคือตระกูลโต้ว ผู้ที่รับผิดชอบดูแลประตูเมืองก็เป็นคนของตระกูลโต้ว ที่เหลืออีกสองตระกูล เป็นตระกูลไป่และตระกูลลี่” จิงไห่เอ่ยแนะนำแก่เสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาพยักหน้าลงเล็กน้อย เบนสายตาไปมองมู่ชิงเกอ เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “ทะ…ท่านพี่ พวกเรามาถึงแล้ว”

ก่อนหน้านี้จิงไห่เข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างนางกับมู่ชิงเกอ ส่วนมู่ชิงเกอก็ปล่อยเลยตามเลย ทำให้ต่อหน้าจิงไห่นางจะต้องแสร้งทำ

เมื่อนางพูดจบประโยค มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

ไม่รู้เพราะเหตุใด เสวี่ยหยารู้สึกว่าตลอดทางมานี้พลังของมู่ชิงเกอราวกับแข็งแกร่งขึ้นมาส่วนหนึ่ง

มู่ชิงเกอมองดูเมืองที่อยู่ไม่ไกลออกไป ดูจากภายนอก เมื่อเทียบกับเมืองของทวีปหลินชวนก็ไม่ได้มีส่วนต่างมากนัก หากให้พูดจุดที่แตกต่างกันแล้วล่ะก็นั่นก็คือ เมืองเหล่านี้หรูหรากว่า อีกอย่างบนประตูและกำแพงเมือง สถานที่พิเศษบางแห่งก็จะถูกแกะสลักลวดลายสัญลักษณ์ประจำตระกูล

“พวกเราลงตรงนี้แล้วกัน” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นเมื่อใกล้ถึงประตูเมือง

จิงไห่ตะลึง เอ่ยถามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย “พี่ชายมู่ ยังไม่ถึงเลยนะ เหตุใดไม่รอให้เข้าเมืองไปก่อนแล้วค่อยลงล่ะ?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยกับเขายิ้มๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอก พวกเราลงตรงนี้แหละ” พูดแล้วก็เอ่ยกับจิงไห่ว่า “เสี่ยวไห่ขอบใจสำหรับการต้อนรับ ไว้พบกันใหม่เมื่อมีโอกาสนะ”

พูดจบ นางกับเสวี่ยหยาก็ลงจากรถ หลังจากกล่าวขอบคุณอารองสือแล้วก็จากไปอย่างช้าๆ

จิงไห่ส่งสายตามองพวกเขาสองคนอย่างอาลัยอยู่บ้าง สือปัวที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเร่งเร้า “ไม่ต้องไปมองแล้ว คนก็จากไปแล้ว พวกเรารีบไปจวนตระกูลโต้วกันเถอะ”

พูดแล้วก็พึมพำเบาๆ ว่า “ช่างแล้งนํ้าใจเสียจริง ก่อนจากไปก็ไม่ให้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้างเลย”

คำพูดนี้พอถูกจิงไห่ได้ยิน เขาก็หันกลับมามองด้วยสายตาจริงจัง “แม้ว่าพวกเขาจะให้ข้าก็ไม่เอา อีกอย่างเพื่อนกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่จำเป็นต้องตอบแทน!”

สือปัวกลอกตาใส่จิงไห่ พูดออกมาโดยไม่มีเสียงว่า “ยอมเจ้าแล้ว เจ้าทึ่มจริงๆ”

รถของอารองสือเคลื่อนไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปทางเมืองไหอวี่เฉิง

ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่ได้รีบร้อนจะพาเสวี่ยหยาเข้าเมือง แต่เป็นรออยู่ด้านนอกก่อน

เสวี่ยหยาไม่เข้าใจเหตุผล เห็นมู่ชิงเกอเฝ้าสังเกตประตูเมือง ผ่านไปสักระยะหนึ่งถึงได้ยินเขาเอ่ยว่า “ไปเถอะ”

เสวี่ยหยาแปลกใจระคนสงสัยอยู่บ้าง พอคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงได้เข้าใจ

พวกนางไม่ใช่คนในโลกแห่งยุคกลาง จู่ๆ เข้าเมืองไป เกรงว่าจะลำบาก ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงได้ตรวจดูเป็นพิเศษอยู่เนิ่นนาน หลังจากตรวจดูการควบคุมคนเข้าออกของผู้เฝ้าประตูแล้วถึงได้เข้าไป

โชคดีที่การควบคุมเรื่องการเข้าออกประตูเมืองคล้ายกับว่าไม่ได้เข้มงวดกวดขันเท่าไร

ไม่ได้ถูกขอให้แสดงหลักฐานว่ามาจากตระกูลไหน และก็ไม่ได้ถูกถามอะไร

มู่ชิงเกอนำเสวี่ยหยาผ่านเข้าประตูไปอย่างสง่าผ่าเผย ตอนที่เดินผ่านผู้คุ้มกันประตูเมือง ฝ่ายหลังมองพิจารณาอยู่หลายครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะหน้าไม่คุ้น ผู้ รักษาประตูเมืองคิดจะเดินเข้ามาถาม แต่จู่ๆ ก็ถูกเพื่อนร่วมงานดึงเอาไว้ แอบส่ายหน้า

จากนั้นก็เตือนให้ดูอาภรณ์ที่มู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาสวมใส่

เสื้อผ้าชั้นดีตัดเย็บประณีต ไม่ใช่คนทั่วไปจะมีได้

อีกอย่างพวกเขามีรูปลักษณ์โดดเด่น ท่าทางไม่ธรรมดา อายุก็ยังน้อย ย่อมต้องง่ายต่อการถูกเข้าใจว่าเป็นคนลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ออกจากบ้านมาเก็บเกี่ยว ประสบการณ์ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือคอยคุ้มครองอยู่ในมุมมืด

โดยทั่วไปลักษณะเช่นนี้ ผู้รักษาประตูเมืองย่อมไม่หาเรื่องใส่ตน

ภายใต้การแอบเตือนสติของเพื่อนร่วมงาน ทำเอาผู้รักษาประตูเมืองที่คิดจะรั้งมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาไว้ชะงักเท้าทันที นี่เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาก็เดินเข้าไปในเมืองไหอวี่เฉิง

“นายน้อย ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกันหรือ?” นี่เป็นครั้งแรกของเสวี่ยหยาที่ได้สัมผัสสังคมของมนุษย์ทั่วไป มองเห็นหลุ่มคนแออัดเบียดเสียด ร้านค้าที่ตั้งเรียงราย ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไปรอบๆ จดจ่อไปที่โรงนํ้าชาบนถนนที่คึกคักสายหนึ่ง สาวเท้าก้าวนำไป “ไปหานํ้าชาดื่มก่อน”

ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน โรงนํ้าชาหอสุราล้วนแต่เป็นแหล่งข่าวชั้นยอด

มู่ชิงเกอต้องการทำความเข้าใจโลกแห่งยุคกลาง ทำความเข้าใจเมืองไหอวี่เฉิง ไปโรงนํ้าชาหรือหอสุราง่ายที่สุด

“โอ้! นายท่านทั้งสองเชิญด้านในเลยขอรับ…โอ้!” เสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนเรียกแขกอยู่นอกร้าน เห็นคนเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทายอย่างคล่องแคล่ว แต่ว่าเมื่อเงยหน้ามองทั้งสองคน ก็ถูกใบหน้างดงามของทั้งสองทำเอาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

พอเขาส่งเสียงร้องออกมา ก็เป็นจุดสนใจของคนในโรงนํ้าชาในทันที

โรงนํ้าชาที่เดิมทีครื้นเครงตกอยู่ในความเงียบในพริบตา สายตามองมายังปากประตู

เมื่อเห็นคนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตูแล้ว ในสายตาก็เป็นประกายความตื่นตาตื่นใจอย่างรวดเร็ว กระทั่งมีบางคนมองจนตาค้าง นํ้าชาร้อนๆ ที่ถืออยู่ในมือหกออกมาจากจอกก็ไม่รู้ตัว

สายตาตกตะลึงพรึงเพริดมากมายตกอยู่ที่ร่างของเสวี่ยหยา ทำเอานางเลิกคิ้วน้อยๆ

ส่วนมู่ชิงเกอกลับมีทีท่าสงบนิ่ง ทิ้งทองคำก้อนหนึ่งลงบนมือเสี่ยวเอ้อร์ เอ่ยสั่งความว่า “จัดหาที่ที่มุมร้าน อย่าให้ใครมารบกวน”

“อ่อ อ่อ! ขอรับ ขอรับ เชิญนายท่านด้านใน!” เสี่ยวเอ้อร์คว้าตำลึงทองในมือไว้อย่างลนลานหลังจากได้สติก็รีบเชื้อเชิญมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา เดินไปยังมุมห้องที่หลบมุมอยู่ตรงโถงชั้นหนึ่ง

ที่ที่พวกนางเดินผ่าน ต่างก็ถูกสายตามองตาม

ยังโชคดีที่พวกเขาแต่งเป็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย เลยไม่ได้นำมาซึ่งการจาบจ้วงจากผู้ไม่ประสงค์ดี หากพวกเขาแต่งเป็นหญิงทั้งคู่ เกรงว่าตอนนี้คงยากที่จะเดินไปนั่งลงบนโต๊ะอย่างราบรื่น

หลังจากมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยานั่งลงแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ดึงฉากบังลมลงทันใด กั้นสายตาสอดส่องของผู้คน ล้อมมุมที่พวกเขานั่งเอาไว้ นี่ไม่ถือว่าพิเศษแต่อย่างใด ในหลายๆ ครั้งเวลาที่แขกของโรงนํ้าชาหอสุราเต็ม ไม่มีห้องรับรองแยกเดี่ยว ก็จะใช้ฉากบังลงกั้นพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งตรงห้องโถงแยกออกมาให้มีความเป็นส่วนตัว

ถึงสายตาจะถูกกั้นไว้ได้ แต่เสียงก็ไม่สามารถถูกกั้นเอาไว้ได้

มองไม่เห็นสาวงามแล้ว แขกคนอื่นๆ ในโรงนํ้าชาก็ละสายตาอย่างอาลัยอาวรณ์

ไม่นาน หัวข้อที่รายล้อมมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาก็เริ่มขึ้น

“สาวงามเช่นนี้ชีวิตหนึ่งได้เจอสักครั้ง ก็เพียงพอให้ป่าวประกาศไปชั่วชีวิตแล้ว!”

“ช่างน่าเสียดาย! ข้างกายสาวงามยังมีคู่ของสาวงามด้วย พวกเจ้าว่าสตรีงดงามเช่นนี้หาได้ยากแล้ว คุณชายที่สวมชุดสีแดงยิ่งโดดเด่น ต่อหน้าเขาหน้าตาของพวกเราคงเรียกได้ว่าระคายสายตา”

“ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันถึงคู่ควรไงเล่า! เฮ้อ ความโดดเด่นเช่นนี้ไม่ใช่คนระดับเราๆ จะคิดฝัน ได้แค่มองดูเท่านั้นแหละ”

การพูดคุยแสดงความคิดเห็นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีถ้อยคำที่มากเกินไป

กระทั้งว่าพวกเขาหวังให้คนข้างในได้ยิน อย่างไรเสียผู้คนต่างก็ชอบถูกชม หากได้ยินแล้วอารมณ์ดีเก็บฉากบังลมไปเสีย ให้พวกเขาเหล่านี้ได้ยลโฉมความงามต่อ มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ?

อย่างไรก็ตามต่อให้พวกเขาพูดคุยกันเช่นไร ด้านหลังฉากบังลมก็ยังคงสงบนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

ทำเอาผู้คนในห้องโถงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

หลังฉากบังลม มู่ชิงเกอดื่มนํ้าชาเงียบๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้านนอกลอยแว่วเข้าหูนาง ไม่ได้นำมาซึ่งระลอกคลื่นหรือสีหน้าที่เปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อย เสวี่ยหยานิ่งอยู่ข้างเขา รินนํ้าชาให้เขากับตัวเองเป็นระยะ ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน

วิพากษ์วิจารณ์ไปครู่หนึ่ง ฉากบังลมไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ผู้คนก็ค่อยๆ หมดความสนใจ กลับไปยังหัวข้อที่คุยกันก่อนหน้านี้

“ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้”

“ตระกูลโต้วในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในเมืองไหอวี่เฉิง รับสมัครบ่าวรับใช้มีสิ่งใดแปลกประหลาดกัน?”

“เอ้ เจ้านี่ไม่รู้อะไร เดิมทีตระกูลโต้วไม่คิดจะรับสมัครบ่าวรับใช้ แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้ยินว่าตระกูลไป๋กับตระกูลลี่รับสมัครพวกหลิวเค่อเข้าตระกูลจำนวนไม่น้อย จึงเป็นการบีบให้ตระกูลโต้วต้องรับสมัครบ่าวรับใช้’

“อะไรนะ? ตระกูลไป๋กับตระกูลลี่รับสมัครพวกหลิวเค่อเข้าตระกูล? เช่นนั้นตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้มีประโยชน์อันใด?”

“ใครจะไปรู้? แต่ข้าได้ยินมาว่าที่ตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้นั้นเป็นเพียงฉากบังหน้า แท้จริงแล้วคนของพวกเขาก็กำลังเคลื่อนไหวในกลุ่มของพวกหลิวเค่อ รับสมัครพวกหลิวเค่อเช่นเดียวกัน”

“ทั้งสามตระกูลทำเช่นนี้พร้อมกัน คงมิใช่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ?”

“เฮ้อ เมืองน้อยใหญ่ในโลกแห่งยุคกลางของพวกเราต่างก็อยู่ในการจัดการดูแลของตระกูลต่างๆ ตระกูลโต้วมีอำนาจในเมืองไหอวี่เฉิงมานานหลายปี ครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงอย่างมั่นคงมายาวนาน นี่ก็เกรงว่าจะทำให้ตระกูลไป๋กับตระกูลลี่ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว คิดจะต่อกรดูเสียหน่อย ถึงอย่างไรใครได้ครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่ง พอถึงเวลาแบ่งผลประโยชน์ก็จะได้เปรียบอย่างถึงที่สุด!”

“ก็ใช่อยู่ ตอนนี้ร้านรวงครึ่งหนึ่งในเมืองไหอวี่เฉิงก็แขวนป้ายชื่อตระกูลโต้ว ไหนจะเหมืองเหล่านั้นตระกูลโต้วก็ถือครองมากสุด เกรงว่าตระกูลไป๋และตระกูลลี่จะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว”

“หากเป็นเช่นนี้ เมืองไหอวี่เฉิงก็กำลังจะวุ่นวายใช่หรือไม่?”

“วุ่นวายก็วุ่นวายสิ อย่างไรเสียก็ไม่กระทบมาถึงพวกเรา”

“ใช่ใช่ใช่! จะไปสนทำไมว่าตระกูลไหนจะขึ้นเป็นผู้นำ พวกเราก็ยังคงดื่มเหล้าจอกใหญ่กินเนื้อคำโตอยู่ดี เดี๋ยวพักเหนื่อยเสร็จแล้ว พวกเราก็ค่อยไปที่ทำการกลุ่มของพวกหลิวเค่อด้วยกัน ดูซิว่ามีภารกิจอะไรที่น่าสนใจหรือไม่ เลือกภารกิจที่ระยะเวลายาวนานหน่อย จากไปสักระยะ รอให้ผลลัพธ์ตกตะกอนแล้วค่อยกลับมา”

“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวไปพร้อมกัน”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโรงนํ้าชาค่อยๆ สิ้นสุดลง มู่ชิงเกอหมุนถ้วยชาในมือเล่น ไอความร้อนเกิดเป็นควันอยู่ตรงหน้านาง “พวกหลิวเค่อ…”

ดูท่า คำนี้จะทำให้นางรู้สึกสนใจขึ้นมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น เสวี่ยหยาเองก็ได้ยิน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวพันกับตระกูลโต้วทำเอานางอดนึกถึงเด็กหนุ่มจิงไห่ผู้นั้นเสียไม่ได้ หากเบื้องหลังการรับสมัครบ่าวรับใช้ของตระกูลโต้ว เป็น จริงตามที่คนเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์ เกรงว่าจิงไห่จะต้องผิดหวังกลับไป

เสวี่ยหยาค่อยๆ หลุบตาลง ขนตายาวปิดบังความรู้สึกในแววตานาง

นางไม่ได้รู้สึกเสียดายแทนจิงไห่ และก็ไม่ได้สงสาร ก็แค่คนรู้จักผู้หนึ่ง ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวพันกับเขาทำให้นางรู้สึกสนใจอยู่หลายส่วนก็เท่านั้น

“เตรียมห้องรับรองให้ข้าห้องหนึ่ง!” จู่ๆ เสียงวางอำนาจบาตรใหญ่ก็ดังขึ้นในโรงนํ้าชา

ดูจากเจ้าของนํ้าเสียงแล้วน่าจะเป็นพวกที่เย่อหยิ่งจนเป็นนิสัย นํ้าเสียงที่พูดไม่มีความเกรงใจอย่างยิ่ง

“อุ้ย! คุณหนูลี่ ท่านมาได้จังหวะไม่ดีนัก ตอนนี้ห้องรับรองไม่มีเลย ไม่ทราบว่า…”

เพี๊ยะ!

“ไอหยา!”

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงตบเสียงดัง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เหตุการณ์นี้ทำเอาโรงนํ้าชาตกอยู่ในความเงียบในทันใด

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลุบตาลง นางพิงเก้าอี้ ในมือประคองถ้วยนํ้าชา มองไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เสวี่ยหยาเองก็แค่เพียงหันกลับไปมองฉากบังลม มองเงาคนที่เห็นลางๆ บนฉากบังลมนั้นก่อนจะละสายตากลับไป

คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดจากพวกนางสองคน เอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นเสียงบางเบา

“เห็นหรือไม่ นั่นก็คือคุณหนูตระกูลลี่ชื่อว่าลี่ฝู ยอดฝีมือ ระดับพลังชั้นสีเทา ดูนางสิ คนตระกูลลี่ก็เป็นเช่นนี้ วางอำนาจจนชิน ผู้ที่ไม่รู้ยังนึกว่าตระกูลลี่ของพวกเขาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิง”

“อายุน้อยเพียงนี้ก็ถึงระดับพลังชั้นสีเทาแล้ว พวกเรายังคงวนเวียนอยู่ที่ระดับพลังชั้นสีม่วงอยู่เลย เทียบกันไม่ได้จริงๆ!”

“เทียบกันเช่นนั้นไม่ได้? พวกเขาเป็นคนในตระกูลใหญ่ ทรัพยากรในการฝึกยุทธ์มากมาย ส่วนพวกเราน่ะหรือ? อาศัยเพียงความตั้งใจของตนเอง อาศัยโชคชะตา”

“ข้าได้ยินมาว่าประมุขตระกูลลี่เป็นยอดฝีมือระดับพลังชั้นสีเทาขั้นสี่ แต่ประมุขของตระกูลโต้วกลับอยู่ที่ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นสาม นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตระกูลลี่จะวางอำนาจบาตรใหญ่”

“นั่นสิ! ประมุขตระกูลลี่ก็เหมือนจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิง! แต่ว่าก็เพียงแค่เมืองไหอวี่เฉิงที่ห่างไกลเช่นนี้ หากไปเมืองที่ใหญ่กว่านี้ระดับพลังขั้นสีเทาขั้นสามขั้นสี่นี่ไม่ใช่ธรรมดาสามัญหรือ”

“เหอเหอ ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้สามารถขึ้นไประดับพลังชั้นสีเทาขั้นสองได้ หากไม่ถูกตระกูลใดรับตัวไป ก็มักจะไปเป็นสมัครเป็นพวกหลิวเค่อ ด้านหนึ่งมีโอกาส ด้านหนึ่งมีทรัพยากรแน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งย่อมต้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่านะ คนส่วนมากก็ยังเป็นเพียงแค่ระดับพลังขั้นสีม่วงขั้นสูงสุด หรือขั้นสูงอะไรพวกนี้อยู่ดี”

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ของสองคนนี้ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเป็นระยะ

มู่ชิงเกอกลับฟังด้วยสายตาเป็นประกาย อย่างน้อยบทสนทนาของสองคนนี้ก็ทำให้นางรู้ถึงการกระจายอำนาจของเมืองไหอวี่เฉิง และก็สามารถคาดเดาระดับพลังทั่วไปของโลกแห่งยุคกลางโดยประมาณ

“เจ้าหนูหน้าเหม็นสองตัวที่อยู่ในมุมหลืบ พูดอะไรลับหลังข้า?” จู่ๆ เสียงตวาดรุนแรงก็แว่วมา จากนั้นมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาก็ได้ยินเสียงโต๊ะแตกหัก

ในนั้นย่อมต้องมีเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจของสองคนที่คุยกันเมื่อครู่

ด้านนอกฉากบังลม เงาคนสั่นไหว เสียงขยับโต๊ะเก้าอี้ไม่น้อยดังขึ้น ดูท่าแล้วน่าจะเป็นลูกค้าที่อยู่แต่เดิมลุกขึ้นมาเตรียมเลี่ยงภัยพิบัติ

“คุณหนูลี่ พวกเราไม่ได้พูดอะไร” หนึ่งในคนที่เอ่ยวิพากษ์วิจารณ์เมื่อครู่อธิบาย ความจริง สิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นเรื่องที่ใครก็รู้ ไม่ได้ใส่ความคุณหนูลี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เสียเมื่อไร แต่ว่าคุณหนูลี่ผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวผู้นี้กลับไม่ใคร่เชื่อ “หึ! พวกเจ้าคุยกันลับๆ ล่อๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าฟัง! ข้าให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง เอ่ยสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่ใหม่อีกรอบ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะทำให้พวกเจ้าออกไปจากเมืองไหอวี่เฉิงแบบไร้ชีวิต!”

คำพูดของนางวางอำนาจเป็นที่สุด อีกทั้งไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง

ผู้ที่ชมความสนุกต่างพยายามลดการมีตัวตนของตนเองลง เกรงว่าจะหาเรื่องเข้าตัวถูกคุณหนูใหญ่ผู้นี้เพ่งเล็ง

“คุณหนูลี่ พวกข้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดจริงๆ เหตุใดท่านต้องหาเรื่องบีบบังคับเช่นนี้?” อีกคนหนึ่งกล่าว ใครจะรู้ว่าคำพูดประโยคนี้กลับเป็นการกระตุ้นให้ลี่ฝู

โมโห

สายตาของนางฉายแววเยือกเย็นครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ดี! ข้าหาเรื่องบีบบังคับใช่หรือไม่? ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าการหาเรื่องบีบบังคับ!”

พูดจบ กระบี่ที่ถูกดึงออกมาจากฝักในมือของนาง ก็ถูกนางกระชับจับไว้ในมือมั่น ฟาดใส่ทั้งสองคนอย่างไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น

แสงกระบี่ระดับพลังชั้นสีเทาเปล่งออกมาจากตัวกระบี่ เป็นแสงโค้งคมพุ่งเข้าฟาดฟันสองคนนั้น

แรงกระบี่ผสมกับพลังความโหดร้าย ทำให้คนไม่กล้าเผชิญหน้ากับปลายกระบี่ตรงๆ

ทั้งสองคนกลิ้งหลบไปด้านข้างตามสัญชาติญาณอย่างทุลักทุเล แรงกระบี่นี้ถึงแม้พวกเขาจะหลบพ้น ทว่าแรงกระบี่ที่เสียเป้าหมายกลับมุ่งไปยังฉากบังลมที่กั้น พวกมู่ชิงเกอไว้

ฉัวะ!

ฉากบังลมถูกฟันเป็นสองท่อนขาดจากกันท่ามกลางสายตาของผู้คน

ฉากบังลมพอถูกทำลาย มู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาที่นั่งอยู่ด้านในก็ปรากฏสู่สายตาผู้คนอีกครั้งหนึ่ง

ด้านข้างขอบโต๊ะ เงาร่างโดดเด่นหนึ่งขาวหนึ่งแดงนั่งอยู่ด้วยกันอย่างสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายที่สวมชุดสีแดง ใบหน้าก็หล่อเหลาจนไม่รู้จะกล่าวบรรยายอย่างไรไม่พอ พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขากลับไม่มีอาการตกใจ และก็ไม่ได้เกรี้ยวกราดแม้แต่น้อย ยังคงพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในมือประคองถ้วยชา ราวกับเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้ายังไม่น่าสนใจเท่ากับถ้วยชาในมือของเขา

คนในโรงน้ำชาต่างพากันตะลึง สองคนที่ถูกโจมตีมีสีหน้าซีดขาว ยังคงหวาดผวา

คุณหนูลี่ที่หาเรื่องบีบบังคับผู้อื่นนั่นก็ชะงักไป สายตาที่มองชายชุดแดงเปล่งประกายตื่นตาตื่นใจ แม้แต่หญิงสาวที่รูปโฉมโดดเด่นราวเทพเซียนที่นั่งอยู่ข้างชายชุดแดงก็ถูกนางละเลยไปจนสิ้น

ในสายตาของนาง ในเวลานี้ราวกับมีเพียงชายชุดแดงผู้เดียวที่นั่งดื่มนํ้าชาบนเก้าอี้อย่างใจเย็น ราวกับว่าโลกภายนอกจะฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจทำลายความสงบนิ่งบนร่างของเขาได้

“ช่างเป็นคุณชายที่หล่อเหลานัก!” ดวงตาโหดร้ายเยือกเย็นของนางเกิดกระเพื่อมสีสันแห่งวสันฤดูขึ้นทันใด ใบหน้าน่ากลัวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในชั่วพริบตา แม้แต่นํ้าเสียงวางอำนาจบาตรใหญ่ก็เปลี่ยนไปอ่อนหวานนุ่มละมุน

การจับจ้องที่เผยออกมาหมดจดเช่นนั้น ทำให้มู่ชิงเกอต้องเงยหน้าขึ้นช้าๆ

แววตาสุกสกาวที่ฉายออกมาจากดวงตาพุ่งปักห้วงหัวใจของลี่ฝู ทำเอาจิตใจของนางราวกับมีกวางน้อยกระโดดไปรอบๆ อย่างไรอย่างนั้น

เวลานี้เอง มู่ชิงเกอก็ได้เห็นโฉมหน้าของคุณหนูลี่ผู้นี้อย่างชัดตา

พูดตามตรง คุณหนูลี่ผู้นี้หน้าตาไม่ได้น่าเกลียด แต่ทว่า ท่าทีก้าวร้าวเอาแต่ใจเกินไปกลับทำลายความงามของนางไปบางส่วน

ตอนที่มู่ชิงเกอมองมา ลี่ฝูก็มีท่าทีสงบลงไปหลายส่วน นางไม่สนใจสองคนที่ล่วงเกินนางก่อนหน้านี้ เดินเชิดหน้าตรงเข้ามาทางที่พวกมู่ชิงเกออยู่

พอเดินเข้ามาใกล้นางถึงได้มองเห็นเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาใบหน้างดงาม อีกทั้งความงามของนางก็ยากจะพานพบจนใช้นิ้วมือข้างเดียวก็นับได้ อย่างไรก็ตาม การเขม่นเพศเดียวกัน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ต่างกันไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งไหน

หลังจากที่ลี่ฝูเห็นเสวี่ยหยาแล้ว ที่เกิดขึ้นในดวงตาไม่ใช่ความตื่นตาตื่นใจ แต่เป็นความชิงชัง

การที่เสวี่ยหยานั่งอยู่ข้างมู่ชิงเกอ ยิ่งรู้สึกเกลียดเข้ากระดูกดำ!

สายตาเยือกเย็นของลี่ฝูเฉือดเฉือนเสวี่ยหยาแวบหนึ่ง เมื่อมองหน้ามู่ชิงเกอก็เก็บอาการเย็นชาโหดเหี้ยมได้เป็นอย่างดี เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่ ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอันใด”

ท่าทีขวยเขินเอียงอายดูช่างไม่เข้ากับท่าทีที่นางออกโรงเสียจริง

คนในโรงนํ้าชาต่างก็กลั้นหายใจดู รอคอยเรื่องราวตอนต่อไป

มู่ชิงเกอยังคงสงบนิ่ง ไม่ได้มีท่าทีจะเอ่ยปาก

รอยยิ้มมุมปากของลี่ฝูแข็งค้าง ผู้ติดตามของนางเดินเข้ามาทันที ชี้ไปที่ปลายจมูกของมู่ชิงเกอแล้วตวาดว่า “นี่! ได้ยินที่คุณหนูของพวกเราเอ่ยถามเจ้าหรือไม่? หูหนวกหรือไง!”

บ่าวรับใช้ก็ต้องดูลมหายใจของเจ้านายในการอยู่รอด มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจ

นางเพียงแค่เอ่ยขึ้นนิ่งๆ สองพยางค์ “หนวกหู”

ผู้คนพากันสูดหายใจ มองดูนางด้วยความเลื่อมใส ราวกับเลื่อมใสที่นางกล้าไปท้าทายตระกูลลี่ ท้าทายคุณหนูใหญ่ของตระกูลลี่

‘หนวกหู’ สองพยางค์นี้ สามารถเข้าใจได้ว่าพูดถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลลี่ และก็สามารถเข้าใจได้ว่าพูดถึงบ่าวรับใช้ที่อาศัยบารมีเจ้านายรังแกผู้อื่น แน่นอนว่าสามารถเหมารวมทั้งสองคนได้ด้วย

ในขณะที่ผู้คนคาดเดาว่าคุณหนูใหญ่ลี่ผู้นี้จะอาละวาด นางก็หันกลับไปตวาดใส่บ่าวรับใช้เสียงดังพร้อมกับเอ่ยตำหนิ “ได้ยินหรือไม่! เจ้ารบกวนการสนทนาของข้ากับคุณชาย ไสหัวไป!”

ฝูงชนที่มุงดูอยู่เอ่ยตำหนิในใจ เหตุใดท่านจึงเชื่อมั่นในตนเองเพียงนั้น? ไม่แน่ว่าผู้ที่คุณชายรำคาญอาจเป็นเจ้า! มองไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้างกายเขายังมีสาวงาม นั่งอยู่หนึ่งคน

บ่าวรับใช้ตระกูลลี่รีบหดคอ โค้งตัวถอยหลังไปหลายก้าว

หลังจากจัดการบ่าวรับใช้เรียบร้อยแล้ว ลี่ฝูถึงได้หันหลังกลับมามองมู่ชิงเกอ รอยยิ้มเอียงอายปรากฏบนใบหน้านางอีกครั้ง “คุณชาย ตอนนี้ก็ไม่มีใครมารบกวนพวกเราแล้ว”

ในใจของมู่ชิงเกอเกิดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด “ยังมีเจ้า”

พรวด!

ในโรงนํ้าชามีคนทนไม่ไหวถึงกับหัวเราะออกมา

‘หน้าตาย’ ของมู่ชิงเกอกลับทำให้พวกเขาดูแล้วอยากจะกู่ร้องออกมาว่า ดี! ในที่สุดก็มีคนมาจัดการกับสตรีผู้ทรงพลังผู้นี้เสียที!

แต่ว่า ความคิดแท้จริงในใจของพวกเขากลับไม่กล้าเผยออกมาให้เห็น

ผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ระวังนั่นรีบเอามืออุดปากตนเองไว้ ห่อตัวอยู่ท่ามกลางฝูงคน กลัวว่าจะถูกลี่ฝูมาคิดบัญชีทีหลัง ดีที่ตอนนี้ลี่ฝูถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำให้กรุ่นโกรธ ไม่ได้ไปสนใจปฏิกิริยาของผู้อื่น

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของลี่ฝูเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น

ฉับพลัน บนหน้าผากมีความอึมครึมขึ้นหลายส่วน

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นช้าๆ มุมปากเผยความเย็นชาครู่หนึ่ง สื่อความหมายไม่ชัดเจน “มีหูไว้ใช้ทำอะไร?”

ความนัย ของคำพูดนี้ก็คือกำลังด่าว่า ‘เจ้าหูหนวกรึ!’

ท่าทีของมู่ชิงเกอทำเอาสีหน้าของลี่ฝูสลับไปมาไม่คงที่

ในขณะที่ฝูงชนต่างก็คิดว่านางต้องอาละวาด มู่ชิงเกอต้องเคราะห์ร้าย จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา สายตาที่จ้องมองไปยังมู่ชิงเกอยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยท่าทีต้องคว้ามา ครองให้จงได้

“ดี! ช้าชอบเจ้าที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้!” คำพูดประโยคนี้ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ทำไมฟังดูแล้วอึดอัดขนาดนั้น? นี่ไม่ใช่คำพูดของพวกมาเฟียที่ฉุดคร่าหญิงสาวตามท้องถนนหรอกหรือ?

“เจ้าฟังข้าให้ดี! ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ชื่ออะไร วันนี้เจ้าก็ต้องตามข้ากลับไป! เป็นสามีของข้า!” ลี่ฝูป่าวประกาศอย่างโอหังอวดดี

มู่ชิงเกอมองหน้านาง ดวงตาสุกสกาวถูกการหยอกล้อรุกลํ้า มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยออกมาสองคำช้าๆ “โรคจิต”

ฝูงชนสูดลมหายใจ!

เคยพบคนที่ไม่กลัวตาย แต่ยังไม่เคยพบคนที่หาเรื่องเร่ง ส่งตนเองไปตาย!

หรือว่าเขาไม่รู้ถึงอำนาจของตระกูลลี่ที่เมืองไหอวี่เฉิง?

หรือว่าเขาไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกุลลี่ผู้นี้ไม่ใช่แค่เพียงผู้แข็งแกร่งระดับพลังชั้นสีเทา ยังมีบิดาที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงอีกด้วย?

ล่วงเกินตระกูลลี่ นอกจากคนตระกูลโต้วแล้ว ก็เกรงว่าจะพบกับจุดจบไม่ค่อยดีสักเท่าไร!

เป็นจริงตามคาด สีหน้าของลี่ฝูหลังจากที่มู่ชิงเกอเอ่ยออกไปเช่นนั้นแล้วก็อึมครึมถึงขีดสุด แววตาของนางเผยความอำมหิตออกมาให้เห็น จ้องหน้ามู่ชิงเกอ กัดฟัน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นยั่วให้ข้าโมโห! เห็นแก่ใบหน้าของเจ้า ข้าสามารถยอมให้เจ้าครั้งสองครั้ง แต่ไม่มีครั้งที่สามอย่างแน่นอน ไม่อยากตายอย่างไม่มีคนเก็บศพ และก็ไม่อยากให้สาวงามข้างกายเจ้าเป็นอะไรไป ทางที่ดีเจ้าลุกขึ้นยืนตามข้ากลับจวนแต่โดยดี คืนนี้พวกเราจะกราบไหว้ฟ้าดินเข้าพิธีแต่งงาน!”

เสวี่ยหยาขมวดคิ้ว เตรียมลุกขึ้นยืนลงมือสั่งสอนนาง แต่นางยังคงจำฐานะของมู่ชิงเกอได้ ส่งสายตามองเขา

มุมปากมู่ชิงเกอตวัดขึ้นเล็กน้อย เอ่ยนิ่งๆ ว่า “อย่าให้ถึงตาย”

ในเมื่อที่ขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงยังสู้นางไม่ได้ แล้วเหตุใดต้องปล่อยให้ตนเองได้รับความไม่ยุติธรรมด้วย?

ก็คิดว่านางจะถูกจับตัวไปแต่งงานได้ตามอำเภอใจรึ?

ได้รับคำสั่งจากมู่ชิงเกอแล้ว มุมปากของเสวี่ยหยาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน ลงมือตอนที่ลี่ฝูยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบรับกับความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอ

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอเห็นเสวี่ยหยาลงมือ

เสวี่ยหยาลุกขึ้นมา สะบัดมือ แสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่ช่วงอกของลี่ฝู ลงมือได้อย่างสะอาดหมดจด ไม่มีกา เยิ่นเย้ออืดอาดเลยสักนิด

ทำให้ปลายคิ้วของมู่ชิงเกอยกขึ้นเล็กน้อย

ลี่ฝูคิดไม่ถึงว่าในเมืองไหอวี่เฉิงจะมีคนกล้าลงมือกับนาง ในตอนที่เสวี่ยหยาสะบัดมือลงมานั้นนางก็เลยไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น นางอยู่ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหนึ่ง เสวี่ยหยากลับอยู่ระดับพลังขั้นสีเทาขั้นสี่

แม้นางมีใจคิดจะหลบหลีก แต่ก็หลบไม่พ้น

ปัง!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฝูงชนมองเห็นร่างของลี่ฝูลอยถลาออกไปจากโรงนํ้าชา กระแทกกับพื้นอย่างจัง

ยังมีเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของลี่ฝูตามมา

ลี่ฝูกระแทกบานหน้าต่างของโรงนํ้าชา ร่วงลงบนพื้นถนนด้านนอกในสภาพน่าอนาถ ดึงดูดให้ฝูงชนมุงดู แต่หลังจากที่พวกเขาจำได้ว่านี่คือคุณหนูใหญ่ตระกูลลี่ ก็พากันหลบลี้ไปอยู่ไกลๆ คล้ายกับว่าลี่ฝูเป็นผู้ก่ออาชญากรรม พวกเขาเกรงว่าจะถูกข่มขู่

“แค่ก แค่ก…!”

“คุณหนูใหญ่!”

ลี่ฝูหมอบอยู่บนพื้น เจ็บหน้าอกอย่างยิ่ง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างกายราวกับถูกสูบแรงไปจนหมด ไม่อาจขยับกายได้ บ่าวรับใช้ที่นางนำมาถูกเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำเอาตกตะลึง หลังจากที่ได้สติก็มีท่าทีเปลี่ยนไปรีบรุดเข้าไปอยู่ตรงหน้านาง

เวลานี้ มู่ชิงเกอก็ได้พาเสวี่ยหยาเดินออกมาจากโรงนํ้าชา

ฝูงชนที่เดิมทีชมเรื่องสนุกอยู่ในโรงนํ้าชาต่างพากันเปิดทาง ไม่กล้าหาเรื่อง ยิ่งไม่คิดจะให้ตระกูลลี่เข้าใจผิดว่า พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน จนกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัว

“เจ้า…!” ลี่ฝูหมอบราบอยู่กับพื้น เงยหน้ามองมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาด้วยสายตาโหดเหี้ยม

ไอสังหารในดวงตา ต่อให้ปิดก็ปิดไม่มิด มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเนิบนาบ “เสียหน้าสักครั้งแล้วจะได้รู้จักคิด จำเอาไว้ไม่ใช่ว่าเจ้าจะหาเรื่องใครก็ได้ กลับไปบอกกับบิดาเจ้าที่เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงด้วยว่า หากไม่ยินยอมกล้าตามมาตอแย ข้าจะไม่ไว้ไมตรีอีกต่อไป”

พูดจบ นางก็พาเสวี่ยหยาเดินนวยนาดจากไป ทิศทางที่พวกเขาจากไปไม่ใช่นอกเมือง แต่เป็นในเมือง จังหวะฝีเท้าผ่อนคลาย ไม่มีท่าทีว่าคิดหนีเอาชีวิตรอดเลยสักนิด โดยเฉพาะคำพูดที่มู่ชิงเกอทิ้งท้ายไว้ก่อนไป ทำเอาในดวงตาฝูงชนที่รายล้อมเกิดประกาย ‘ดาวดวงน้อย’ ทยอยถกประเด็นว่านี่เป็นคุณชายสูงส่งจากตระกูลใดกัน? ยังไม่ทันได้ลงมือ เพียงแค่คำพูดกลับดูน่าเกรงขามมาก!

กล้าเอ่ยกับคุณหนูใหญ่ตระกูลลี่ หรือแม้แต่ประมุขตระกูลลี่ในเมืองไหอวี่เฉิงได้เช่นนี้

บรรดาชาวบ้านที่เคยถูกตระกูลลี่กดขี่ข่มเหง ได้แต่ ‘ยกย่องชมเชย’ มู่ชิงเกออยู่ในใจเงียบๆ!

“คุณ…คุณหนู…” หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไปไกลแล้ว บ่าวรับใช้ตระกูลลี่ก็ประคองลี่ฝูด้วยความระมัดระวัง เพิ่งจะประคองได้ครึ่งเดียว คล้ายกับไปฉีกบาดแผลนาง เข้า นางส่งเสียงร้อง อ้าปากดุด่า “โอ๊ย! เจ้าพวกไม่ได้ความ คิดจะฆ่าข้าหรือไง?”

บ่าวรับใช้ถูกนางทำให้ตกใจก็เลยปล่อยมือ ทำให้นางล้มลงไปอีกรอบ

“โอ๊ย!” ลี่ฝูส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอยู่บนถนน

จากนั้น เสียงดุด่าก็ตามมา “พวกขี้ข้าน่าตาย! ข้าจะถลกหนังของพวกเจ้า! แบกข้ากลับไป ข้าจะไปหาพ่านพ่อ! ข้าจะไปให้ท่านพ่อแก้แค้น! ทุกคนที่รังแกข้าจะต้องไม่ตายดี โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย!”

เสียงก่นด่าสาปแช่งของลี่ฝูหายไปในถนนที่คึกครื้นของเมืองไหอวี่เฉิง

มู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาเดินต่อไป ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

“นายน้อย หากประมุขตระกูลลี่มาจริงๆ ท่านจะฆ่าเขาไหม?” เสวี่ยหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ เอ่ยนิ่งๆ “เขาไม่มาหรอก”

ในดวงตาของเสวี่ยหยาฉายแววสงสัยเพียงครู่ เม้มปากแน่นไม่เอ่ยสิ่งใด นางไม่ได้รีบร้อนไปถามเอาคำตอบ แต่คิดไตร่ตรองดูเอง นางเป็นคนฉลาด และยังสามารถมองเห็นจิตใจผู้คน ที่ขาดก็คือประสบการณ์ในโลกใบนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง ราวกับเสวี่ยหยาเข้าใจแล้วจึงพยักหน้าลง “ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลลี่คือตระกูลโต้ว แต่เขาก็อดทนมาได้ตั้งหลายปี เห็นได้ว่านี้เป็นคนที่รู้จักรับมือคนๆ หนึ่ง การวางอำนาจบาตรใหญ่ของบุตรสาวบางทีอาจเป็นผลมาจากการที่เขาเสแสร้งและสร้างภาพลวงมาล่อลวงศัตรู คนเช่นนี้จะไม่แก้แค้นจากการที่บุตรสาวไปหาเรื่องผู้เก่งกาจ ความเป็นไปได้ยิ่งไปกว่านั้นคือมาหานายน้อย หวังดึงนายน้อยเข้าพวกตนเอง”

การวิเคราะห์ของนางทำเอามู่ชิงเกอชำเลืองมองแล้วยิ้มขึ้นบางๆ

“ไม่เลว ประมุขตระกูลลี่ผู้นี้ถูกขนานนามว่าเป็นที่หนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิง บารมียิ่งใหญ่ จงใจทำให้คนในตระกูลวางอำนาจบาตรใหญ่ ลดการหวาดระแวงของคู่ ต่อผู้ คู่ต่อสู้ของเขาก็จะคิดว่า คนเช่นนี้เพียงแค่มุทะลุ ไม่น่าเกรงกลัว ยิ่งไปกว่านั้นคนตระกูลลี่วางอำนาจได้เช่นนี้ อีกสองตระกูลไม่ใช่ว่าจะไม่มีความดีความชอบ การยกยอปอปั้นเช่นนี้ก็เป็นการฆ่าคนโดยที่ไม่เห็นเลือด” มู่ชิงเกอกล่าว

เสวี่ยหยาพยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย “หากคนตระกูลลี่ผู้นั้นมาหา นายน้อยคิดจะทำเช่นไร?”

“มาหาแล้วค่อยว่ากัน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระ

ทันใดนั้น นางก็หยุดลงตรงหน้าประตูอาคารหลังหนึ่ง

เสวี่ยหยาเงยหน้าขึ้นมองน้ายที่ติดไว้ด้านบน เอ่ยขึ้นเสียงเบา “หลิวเค่อ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!