ตอนที่ 223
อย่าได้รังแกคนรุ่นเยาว์!
“หลิวเค่อ ในโลกแห่งยุคกลางของพวกเราก็มีการคงอยู่ของกลุ่มคนที่พิเศษกลุ่มหนึ่ง หลิวเค่อที่ว่าก็คือกลุ่มคนที่ไม่มีตระกูลอยู่เบื้องหลัง ไร้ซึ่งถิ่นฐาน เกาะเป็นกลุ่มก้อนอยู่ด้วยกันด้วยผลประโยชน์อาศัยการรับภารกิจรูปแบบต่างๆ ในการดำรงชีวิต หลิวเค่อจะไม่มีแซ่ มีเพียงชื่อหรือฉายา คนเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มีตระกูลอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เป็นเพราะอยู่ภายใต้วันเวลาที่เต็มไปด้วยคมดาบและเลือดมาเป็นระยะเวลานาน จึงกลายเป็นดุดันและร้ายกาจเกินคนธรรมดาทั่วไป…”
ตรงมุมกำแพงด้านล่างที่แขวนป้ายประจำกลุ่มของพวกหลิวเค่อเอาไว้ชายแก่ร่างซูบผอมคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได พูดกล่าวไปทางกลุ่มเด็กน้อยด้วยนํ้าเสียงตื่นตาตื่นใจ นํ้าลายสาดกระเด็นไปรอบสี่ทิศ
เด็กน้อยพวกนั้นรุมล้อมเขาเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกคำพูดของเขาดึงดูด หรือเป็นเพราะถูกลูกอมในมือของเขาล่อหลอกกันแน่ รับฟังด้วยท่าทางตั้งใจ บางครั้งบางคราก็ส่งเสียง ‘ว้าว! ว้าว!’ ออกมา
มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้านิ่งฟังครู่หนึ่ง พร้อมกันนั้นก็จ้องมองไปยังประตูใหญ่ที่เปิดอ้าออก ด้านในก็เต็มไปด้วยพวกหลิวเค่อที่ก้าวเดินกันขวักไขว่ไปมา ก่อนที่นางจะก้าวเท้าเดินเข้าไป
ตอนนั้นเอง ในหูของนางก็ลอยดังมาด้วยเสียงแหบแห้งของชายชรา “สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ที่มีไว้ให้พวกหลิวเค่อเลือกหาภารกิจ และก็เป็นสถานที่ที่ผู้คนใช้ประกาศภารกิจ ขอเพียงเจ้าจ่ายไหว ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายใด เหล่าหลิวเค่อก็จะรับไว้…”
หลังจากที่มู่ชิงเกอก้าวเดินไปในประตูใหญ่ของของพวกหลิวเค่อแล้ว เสียงของชายชราก็กลายเป็นพร่าเลือน ก่อนที่สุดท้ายจะเงียบหายไป
นางยืนอยู่ที่โถงด้านหน้า ทำการกวาดตามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างสนใจ
คนที่นี่เปรียบกับผู้คนด้านนอกแล้วก็แข็งแรงบึกบึนกว่ามาก ความแข็งแรงบึกบึนที่ว่านี้ก็ไม่ได้หมายถึงแค่รูปลักษณ์แต่ยังเป็นกลิ่นไอ ราวกับบนตัวของทุกคนในนี้จะมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่
ที่นี่ส่วนมากก็เหมือนจะเป็นผู้ชายทั้งหมด มีผู้หญิงอยู่น้อยมาก และก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสตรีที่งดงามราวกับเทพเซียน
การปรากฏตัวของเสวี่ยหยาก็ทำให้พวกหลิวเค่อสังเกตได้อย่างทันที แววตาที่แฝงไว้ด้วยความดุดันของพวกเขา พลันกวาดมองมาทางมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางจะก่อเรื่องเกินเลยอันใดออกมา
พวกหลิวเค่ออยู่ภายใต้คมหอกคมดาบมานานปี นั่นก็ทำให้พวกเขาเข้าใจนักถึงการตรวจสอบและประเมินระดับพลัง และยิ่งเข้าใจถึงการณ์กะเกณฑ์ผู้คน ความไม่สามัญบนตัวของมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา ทั้งยังการที่ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อย่างสง่าผ่าเผย นี่ก็หมายถึงบุคคลที่ไม่อาจล่วงเกินได้โดยง่าย กล่าวไม่แน่ว่าอาจจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่ทำการผูกความแค้นกับพวกตระกูลต่างๆ นี่ก็ถือเป็นหลักการข้อหนึ่งของพวกหลิวเค่อ!
เพราะว่าโลกแห่งนี้ก็เป็นโลกที่เห็นตระกูลเป็นใหญ่ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่ง ตัวมันเองก็หมายถึงพลังอำนาจที่น่าหวาดเกรงได้แล้ว
การปรากฏของมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาที่โถงด้านหน้าของกลุ่มของชาวหลิวเค่อก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย
พวกนางภายใต้การจับจ้องของพวกหลิวเค่อ ก้าวเดินเข้าไปด้านใน
อย่างช้าๆ มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ว่า สถานที่แห่งนี้ก็มีลักษณะเหมือนที่จุดพักเท้าและที่พักรับรองของทางการไม่เพียงแค่มีไว้รับภารกิจ ประกาศภารกิจ แต่มันก็ยังมีสวัสดิการให้พวกหลิวเค่อได้เข้าพักอาศัย ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านของพวกหลิวเค่อ ถึงว่าทำไมถึงเรียกว่ากลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ
โถงใหญ่ชั้นแรก ด้านในก็เต็มไปฝูงชนเบียดเสียด
พอก้าวผ่านขอบประตู มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาก็ถูกแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนกำแพงรอบด้านดึงดูดความสนใจไป แผ่นป้ายพวกนั้นก็ใช้วัสดุพิเศษในการจัดสร้างขึ้น สามารถเพิ่มภารกิจขึ้นไปด้านบนหรือรับภารกิจออกไป มู่ชิงเกอเดินชมไปอย่างช้าๆ ไม่มีคนสนใจนาง จริงแล้วๆ ตรงนี้ก็ล้วนแต่เหมือนกัน ถ้าหากเจ้าเป็นหลิวเค่อ เช่นนั้นหลังจากเลือกภารกิจที่ตัวเองต้องการได้แล้ว ก็ให้ไปที่โถงด้านข้างหาผู้ดูแลแล้วดำเนิดการไปตามขั้นตอนก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ถ้าหากต้องการจะตั้งภารกิจนั้นก็ยิ่งง่ายดาย เข้าไปที่โถงด้านในส่วนที่สอง เช่นเดียวกันหาผู้ดูแลจัดตั้งภารกิจ ก่อนจะจ่ายค่าจ้างไปก็พอแล้ว
ที่นี่ก็ไม่ได้มีพนักงานต้อนรับแต่อย่างใด
[รับสมัครกองกำลังหลิวเค่อที่มีผู้นำระดับสีเทาขั้นสอง คุ้มกันสมุนไพรไปที่เมื่อไป่เล่อเฉิง]
[ต้องการกล้วยไม้มุกเจ็ดดารา ราคาสูง]
[ศิลาวิญญาณร้อยก้อน เด็ดหัวโจรราคะเสียวชุนเฟิง]
[ส่งจดหมายจวนจินไหฟู…]
ภารกิจชนิดต่างๆ ปรากฏเข้าสู่สายตาของมู่ชิงเกอ อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีการหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
สั่งฆ่าคน แก้แค้น แผนร้าย…เรื่องราวที่ไม่สามารถยกไปไว้ฉากหน้าได้ ล้วนแต่ถูกประกาศอยู่ที่นี่ ส่วนพวกหลิวเค่อก็เหมือนกับจะไม่ได้แบ่งเป็นธรรมมะ อธรรมแต่อย่างใด ทำเพียงแต่เลือกเฟ้นภารกิจที่ตนคิดว่ามีโอกาสสำเร็จ หลังจากนั้นก็รับเอาค่าจ้างมา
มู่ชิงเกอยืนดูนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่ามีภารกิจบางส่วนถูกลบออกไปเรื่อยๆ และก็จะมีภารกิจใหม่ๆ ถูกเพิ่มแทนที่เข้ามา
พวกที่ถูกลบออกไป คิดว่าน่าจะเป็นภารกิจที่มีคนเลือกออกไป
“น้องชาย”
ทันใดนั้นเองด้านหลังของมู่ชิงเกอก็มีเสียงเป็นมิตรสายหนึ่งดังสะท้อนเข้ามา
มู่ชิงเกอหันหลังมองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาสวมชุดนักรบ ยืนอยู่ตรงหน้าของตนเอง ที่แผ่นหลังก็แบกกระบี่เล่มยักษ์สีดำทะมึนเอาไว้
คนผู้นี้พอเห็นมู่ชิงเกอหันหลังกลับมา ในแววตาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มนั้นก็พลันกลายเป็นตะลึงงันขึ้น
ชั่วขณะนั้นถึงกับกล่าววาจาไม่ออก
มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่เล็กลง เอ่ยปากขึ้น “มีธุระ?”
“อ้อ!” ชายผู้นั้นก็ราวกับจะตื่นจากภวังค์สายตากวาดมองผ่านร่างของมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา พอเห็นถึงรูปลักษณ์ของทั้งสองคนที่โดดเด่นเกินผู้คนชั่วขณะนั้นใน แววตาก็ฉายแววผิดหวังขึ้นมาสายหนึ่ง แต่เขาก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เอิ่ม ข้าชื่อว่ากานชง เป็นหัวหน้าของกองกำลังหลิวเค่อกองหนึ่ง เมื่อครู่เห็นเจ้าดูภารกิจอยู่ที่นี่ก็เลยนึกว่าน้องชายต้องการรับภารกิจ เลยเสียมารยาทเดินเข้ามาถามว่าน้องชายได้เข้ากับกองกำลังไหนหรือยัง”
“เช่นนั้นทำไมถึงได้มีท่าทางผิดหวังขึ้นมาเล่า?” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า นางก็ไม่ได้พลาดสายตาผิดหวัง ของกานชงสายนั้น
“อ้อ…” กานชงกล่าวขึ้นอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ดูจากเสื้อผ้าเนื้อดีของพวกเจ้า ก็เกรงว่าจะไม่ใช่หลิวเค่อ เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง” พอกล่าวจบเขาก็ประสานมือ คารวะไปทางมู่ชิงเกอ
ความตรงไปตรงมาของคนผู้นี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกดีด้วยนัก มู่ชิงเกอก็กำลังสงสัยเกี่ยวกับกลุ่มของพวกหลิวเค่ออยู่พอดี ตอนนี้มีคนเข้ามาคลายความสงสัยให้นางด้วยตัวเอง เช่นนั้นแล้วจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
นางแย้มยิ้มขึ้น เอ่ยขึ้นกับกานซง “ข้าชื่อมู่ชิงเกอ ออกจากตระกูลมาท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก มีเรื่องราวมากมายที่ได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของผู้อื่น ยังไม่เคยได้เห็นตา ตัวเอง มีความเข้าใจเรื่องหลิวเค่อครึ่งๆ กลางๆ ไม่ทราบว่าพี่กานมีเวลาพอจะอธิบายหรือไม่?”
เสวี่ยหยาที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอก็แน่นอนว่าจะต้องถูกคนเข้าใจว่าเป็นคนรับใช้ของมู่ชิงเกอไปโดยปริยาย
คนรอบด้านไม่น้อยก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ล้วนแต่พากันยิ้มหยันขึ้นในใจ
ยิ้มขันที่มู่ชิงเกอก็ช่างสมกับเป็นคุณชายจริงๆ ออกมาฝึกฝนก็ยังไม่ลืมที่จะพาหญิงงามเช่นนี้ออกมาด้วย กานซงแต่เดิมก็รู้สึกผิดที่ตนเองทะเลอทะล่าเข้ามา ละลาบละล้วง แต่พอเห็นมู่ชิงเกอไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนกับพวกคนของตระกูลใหญ่ทั่วไปพวกนั้น ก็พลันแย้มยิ้มออกมา เอ่ยกับเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้น้องมู่ไปที่เรือนพักของข้าก่อน พวกเราค่อยๆ พูดคุยกัน ที่นี่คนก็ค่อนข้างเยอะเกินไป”
“รบกวนแล้ว” มู่ชิงเกอรับคำ ก่อนจะพาเสวี่ยหยาตามกานซงออกไปจากโถงแห่งนี้
ที่พักที่มอบให้พวกหลิวเค่อพักอาศัยก็ล้วนแต่อยู่ที่จวนด้านหลัง
ตอนที่กานซงพาพวกนางเดินเข้าไป ก็เริ่มที่จะกล่าวแนะนำขึ้นอย่างง่ายๆ “อยู่ที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน อิงตามระดับชั้นของกองกำลัง สภาพที่พักของแต่ะคนก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าหากเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา ก็จะสามารถอาศัยในเรือนฝั่งนั้น”
ระหว่างที่พูดกานซงก็ชี้นิ้วออกไป มู่ชิงเกอมองตามนิ้วของเขาที่ชี้ออกไป ในจุดที่สภาพแวดล้อมดีที่สุดก็มีกลุ่มอาคารสภาพดีกลุ่มหนึ่ง ที่ตรงนั้นก็จะมีกำแพงต่างหาก ราวกับว่าจะต้องการเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างกับกลุ่มอื่นๆ
“ระดับของกองกำลังหลิวเค่อใช้นภา ปฐพี ทมิฬและอำพันเป็นตัวแบ่ง กองกำลังระดับนภานี้ก็มีน้อยมาก ทั้งโลกแห่งยุคกลางก็เกรงว่าจะมีไม่เกินสามกอง พวกเขานั้นส่วนมากจะรับแต่ภารกิจใหญ่ๆ มีที่ตั้งและฐานที่มั่นที่ชัดเจน ไม่มีความจำเป็นต้องมายังที่ที่เล็กๆ เช่นนี้ ดังนั้นอาคารเหล่านั้นก็เลยว่างเปล่าไม่มีคนอาศัย แต่ว่าต่อให้ไม่มีคนอยู่อาศัย ที่ควรเตรียมการเอาไว้ก็ยังต้องเตรียม ถัดลงมาจากระดับนภาก็เป็นระดับปฐพี ระดับทมิฬ แล้วก็สุดท้ายระดับอำพัน”
กานซงพอพูดจบก็ชี้กลับมาที่ตนเอง เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ข้าก็เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับอำพัน”
ในแววตาของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเขินอายแม้แต่น้อย แล้วก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าระดับอำพันนั้นน่าอาย
“ถัดจากระดับอำพันก็เป็นกองกำลังไร้ระดับ” ระหว่างที่พูดกานซงก็ได้พาทั้งสองมาถึงเรือนขนาดเล็กดูเรียบง่ายหลังหนึ่ง ขนาดของมันก็แน่นอนว่าห่างไกลจากอาคารก่อนหน้าอยู่ไกลลิบ “ข้าพักอยู่ที่นี่ เข้ามาเถอะ”
ตอนที่กานซงเปิดประตูที่ปิดอยู่ทันใดนั้นก็พลันมีกลิ่นอับบางๆ ลอยโชยเข้ามา
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด เดินตามกานซงเข้าไปในห้อง
การตกแต่งของห้องด้านในนั้นก็เรียบง่ายเป็นอย่างมาก เครื่องเรือนพวกนั้นก็มีสภาพยับเยินไปบ้าง ไม่รู้ว่าใช้มานานเท่าไร
“กองกำลังไร้ระดับพวกนั้นก็จะสามารถอาศัยอยู่ได้เพียงแค่ในเรือนนอนขนาดใหญ่ ดังนั้นข้าที่นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ว่าจะไม่อยู่กลุ่มก็ได้ขอเพียงมีเงิน ก็ สามารถไปพักที่โรงเตี๊ยมด้านนอกได้”
กานซงยกเก้าอี้เข้ามา วางมันลงภายใต้แสงแดด ใช้ผ้าเช็ดเบาๆ ก่อนจะเชิญมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยานั่งลง พอรินนํ้าชาให้พวกเขาเสร็จแล้วก็ค่อยนั่งลงตาม
เสวี่ยหยารับเอาถ้วยชามา ใบชาในแก้วก็น่าจะใช้คำว่าเศษชามาอธิบายได้มากกว่า เห็นได้ชัดว่าวันเวลาของกานซงหลิวเค่อผู้นี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีที่เขาคน ผู้นี้พอเพียง หลังจากได้พูดคุยแล้ว ก็ยังไม่ได้ยินเขาพูดบ่นต่อโชคะตาของเขาสักคำ
“ท่านกาน แล้วคนในกองกำลังของท่านเล่า?” เสวียหยายกถ้วยชาขึ้นมา เปิดปากเอ่ยถามขึ้น
กานซงราวกับจะแปลกใจอยู่บ้างที่เสวี่ยหยาเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นเอง จากที่เขาดู นี่ก็ถือเป็นการไม่รู้จักนายบ่าว แต่พอเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไร ดัง นั้นก็เลยเอ่ยตอบขึ้น “พวกเขาล้วนแต่ออกไปเที่ยวเล่นกัน คาดว่าดึกๆ หน่อยถึงจะกลับเข้ามา”
มู่ชิงเกอเอาถ้วยชาวางไปบนโต๊ะ เอ่ยถามขึ้น “พี่กาน กองกำลังหลิวเค่อของท่านมีคนจำนวนเท่าไรรึ?”
กานซงเอ่ย “คนของข้ามีไม่มาก ส่วนมากล้วนมาจากบ้านเดียวกัน รวมข้าเข้าไปก็มีเพียงแค่ห้าคน พวกข้า ส่วนมากก็ทำภารกิจที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ ทำเพี่อ ประทังชีวิต ถึงแม้ว่าจะเลื่อนระดับช้า แต่ยังนับว่ามั่นคงและปลอดภัย”
มู่ชิงเกอฟังไปพลางพยักหน้าไปพลาง “กองกำลังหลิวเค่อพวกนี้รวมตัวกันได้ยังไง? มีข้อจำกัดอะไรหรือไม่? แล้วเลื่อนระดับชั้นอย่างไร?”
คำถามของมู่ชิงเกอ กานซงก็ล้วนแต่นึกไปว่าเขาเพียงแค่สงสัย ดังนั้นจึงอธิบายขึ้นอย่างตั้งใจ “การรวมตัวเป็นกองกำลังหลิวเค่อนั้นง่ายดาย ขอเพียงมีสามคนก็ สามารถยื่นขอจัดตั้งได้แล้ว การยื่นจัดตั้งก็ง่ายดาย แค่เพียงตั้งชื่อกองกำลังแล้วไปลงทะเบียนที่กลุ่มของหลิวเค่อในที่แห่งใดก็ได้ เขียนว่าผู้นำหลักเป็นใคร สมาชิกทั้งหมดมีกี่คน แล้วระดับฝึกฝนที่สูงที่สุดอยู่ที่ระดับใด รวมทั้งระดับพลังและรายชื่อของสมาชิกทั้งหมดก็ได้แล้ว แน่นอนถ้าหากมีเพียงสามคน เช่นนั้นก็เขียนข้อมูลของทั้งสามคนให้หมด เกี่ยวกับการเลื่อนระดับกองกำลังหลิวเค่อที่เพิ่งจะก่อตั้งก็จะไม่มีระดับชั้น มีเพียงอาศัยการเก็บสะสมค่าประสบการณ์จากภารกิจต่างๆ หลังจากนั้นทำการประเมินระดับชั้น”
“ค่าประสบการณ์?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
กานซงพยักหน้า “จริงๆ แล้วทุกภารกิจตอนที่ไปรับมา คนที่รับผิดชอบการส่งมอบก็จะบอกถึงระดับของภารกิจ และค่าประสบการณ์ที่จะได้รับ หากทำสำเร็จ ค่าประสบการณ์ก็แน่นอนว่าจะกลายเป็นของเจ้า จากไร้ระดับไปถึงระดับอำพันก็ต้องการค่าประสบการณ์ห้าร้อยคะแนน จากระดับอำพันไปถึงระดับทมิฬนั้นก็ต้องการสองพัน ค่าประสบการณ์จากระดับทมิฬไประดับปฐพีก็ต้องการค่า ประสบการณ์สามพันคะแนน จากระดับปฐพีไประดับนภานั้นก็ต้องการหนึ่งหมื่นคะแนน อีกทั้งถ้าหากมีภารกิจที่ทำไม่สำเร็จหรือก่อให้เกิดความเสียหาย ค่า ประสบการณ์ก็จะถูกหักไปส่วนหนึ่ง ต้องการกลายเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา นอกจากภารกิจที่ไปรับมา จะมีความเสี่ยงและคะแนนสูงแล้ว ก็อย่าได้คิดจะทำผิดพลาด”
(อธิบายค่าระดับคะแนนค่าประสบการณ์ของกลุ่มหลิวเค่อ
ไร้ระดับ 0-499 คะแนน
ระดับอำพัน 500-1999 คะแนน
ระดับทมิฬ 2000-2999 คะแนน
ระดับปฐพี 3000-9999 คะแนน
ระดับนภา 10000 ขึ้นไป
คำเตือน ทำภารกิจไม่สำเร็จคะแนนจะถูกหัก)
มู่ชิงเกอลอบครุ่นคิดถึงคำพูดของกานซงในใจ ก่อนจะค้นพบว่าระบบของกองกำลังหลิวเค่อจริงๆ แล้วก็เรียบง่ายมาก หากพูดตรงๆ ก็คือคล้ายกับเกมในชาติที่ แล้วอย่างไรอย่างนั้น ตีสัตว์ประหลาด หลังจากนั้นเลื่อนระดับชั้น
แต่ว่าหากภารกิจล้มเหลวหรือสร้างความเสียหายก็จะต้องถูกหักคะแนน ฟังแล้วแลดูยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วก็ยังถือเป็นจุดกับดักจุดหนึ่ง
นั้นก็คือไม่อนุญาตให้กองกำลังของหลิวเค่อทำภารกิจไม่สำเร็จ หากทำภารกิจไม่สำเร็จ เช่นนั้น คะแนนที่เจ้าลำบากสะสมมา ก็จะถูกหักออกไป ไม่ต้องพูดถึงการ เลื่อนระดับ ยังต้องกลัวว่าตัวเองจะมีความเสี่ยงถูกลดระดับหรือไม่
แต่ว่ากฎเกณฑ์ที่ท้าทายเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกชอบใจนัก!
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ เอ่ยถามขึ้น “พี่กานเมื่อครู่บอกว่า ภารกิจที่ระดับไม่เหมือนกันค่าประสบการณ์ที่จะได้รับก็จะไม่เหมือนกัน?”
กานซงพยักหน้าติดต่อกัน “ไม่ผิด หากพูดตามทั่วไปแล้ว ภารกิจทั่วไปทุกครั้งที่ทำสำเร็จ ก็จะมีเพียงไม่กี่คะแนน มากที่สุดก็มีไม่เกินสิบคะแนน แต่ว่าภารกิจระดับอำพันนั้นก็จะสามารถได้คะแนนระหว่างสิบถึงห้าสิบคะแนน ส่วนภารกิจระดับทมิฬก็อยู่ระหว่างห้าสิบถึงหนึ่งร้อยคะแนน ระดับปฐพีนั้นก็ยิ่งสูงกว่า ส่วนระดับนภานั้นก็ยังสูงจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง แต่ว่าคะแนนถึงจะสูงอย่างไรคนที่สามารถรับและกล้ารับกลับมีไม่มาก”
(อธิบายค่าระดับคะแนนภารกิจ
ภารกิจทั่วไป 0-10 คะแนน
ภารกิจระดับอำพัน 11-50 คะแนน
ภารกิจระดับทมิฬ 51-100 คะแนน
ภารกิจระดับปฐพี 101->>>>
ภารกิจระดับนภา สูงมากๆ)
“การจะรับภารกิจก็ต้องการระดับที่เท่าเทียมกันหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำเอากานซงส่ายหน้ายิ้มขมขื่นขึ้นมา ในรอยยิ้มของเขาก็มีความทดท้อแฝงอยู่บางเบา “นี่ก็ถือเป็นจุดที่โหดร้ายของการแก่งแย่งของพวกเราเหล่าหลิวเค่อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงกองกำลังหลิวเค่อที่เพิ่งลงทะเบียน ก็ยังสามารถไปรับภารกิจระดับปฐพีไปจนถึงระดับนภาได้เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของพวกเจ้า มีแต่จะคิดว่าเป็นเจ้าเองที่ไปรนหาที่ตาย”
เสวี่ยหยาก็ตั้งใจฟังคำกล่าวของกานซู และก็เหมือนกับว่านี่จะเป็นการเปิดโลกทัศน์ใบใหม่ให้นาง
มู่ชิงเกอหลังจากฟังจนจบแล้วก็พยักหน้าขึ้นบางเบา เอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ การที่กะเกณฑ์ความสามารถของตัวเองผิดพลาด แล้วยังอุกอาจไปรับภารกิจที่ตัวเองไม่สามารถจัดการได้เช่นนี้ เดิมก็ถือเป็นการบกพร่องในหน้าที่ที่มีต่อตัวเองและพวกพ้อง”
กานซงมองไปทางเขาอย่างตกตะลึง ราวกับคิดไม่ถึงว่า คำกล่าวเช่นนี้จะหลุดออกมาจากปากของคนจากตระกูลใหญ่เช่นเขา
อย่างช้าๆ ความประหลาดใจในแววตาของเขาก็กลายเป็นความชื่นชม “ใช่แล้ว! ดังนั้นคนที่มีฐานะเป็นหัวหน้า ผู้นำกองกำลังก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน ไม่ควรเห็นแก่ผลประโยชน์ แล้วกระทำการผลีผลาม เจ้าก็พูดได้ถูกต้อง”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “กลุ่มหลิวเค่อนี้เป็นใครที่เป็นคนบริหารจัดการรึ? แล้วสามารถคงสภาพความเป็นระบบระเบียบของเหล่า
หลิวเค่อไว้เช่นนี้ได้อย่างไร?”
นี่ก็ถือเป็นคำถามสำคัญข้อหนึ่ง ขุมกำลังเบื้องหลังที่สามารถบริหารจัดการกลุ่มหลิวเค่อได้ก็เท่ากับสามารถบงการเหล่าหลิวเค่อทั้งหมดในโลกแห่งยุคกลางได้
“ไม่รู้!” แต่ว่ากานซงกลับส่ายหน้าบอกคำตอบที่มู่ชิงเกอคาดไม่ถึงออกมา
“ไม่รู้?” มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไป กานซงพยักหน้าอธิบาย “กลุ่มของหลิวเค่อนั้นดำรงอยู่มานานมากแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นใครที่จัดตั้งมันขึ้นในตอนแรกเริ่ม รู้เพียงว่าตอนนี้ที่กำกับดูแลก็เป็นกองกำลังระดับนภาสามกองกำลังนั่น พวกเขาทำการกำกับดูแลร่วมกัน ดำรงไว้ซึ่งความเป็นระบบระเบียบของเหล่าหลิวเค่อ แต่ก็เป็นเพียงกำกับดูแลเท่านั้น ในหมู่หลิวเค่อก็มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ขอเพียงสามารถเลื่อนระดับเป็นกองกำลังระดับนภาได้ เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถครอบครองอำนาจบริหารจัดการกลุ่มหลิวเค่อได้ ทุกครั้งที่ภารกิจสำเร็จกลุ่มหลิวเค่อก็จะหักเงินค่าจ้างออกไปสามส่วน หักเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายของกลุ่มหลิวเค่อในแต่ละพื้นที่ และถ้าหากมีส่วนที่เหลือก็จะมอบให้กองกำลังระดับนภาทั้งสามเอาไปแบ่งกันเอง”
มู่ชิงเกอแววตาหรี่เล็กลง จมเข้าสู่ความคิด
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง นางถึงได้กล่าวขึ้น “กองกำลังระดับนภาทั้งสามในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่าอะไร?”
กานซงตรงจุดนี้ก็ถือว่ารู้ดีที่สุด ตอบคำตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “กลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถี”
“กลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถี” มู่ชิงเกอลอบทวนคำประโยคขึ้นเบาๆ เรื่องราวของกลุ่มหลิวเค่อนางก็เข้าใจได้ไม่น้อยแล้ว แผนการคร่าวๆ ในใจก็ค่อยๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้น มู่ชิงเกอเก็บความคิดกลับ ก่อนจะหันไปกล่าวกับกานซง “พี่กาน เมื่อครู่ที่ท่านเรียกข้า เป็นเพราะมีเรื่องใดรึ?”
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ กานซงก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย “ข้าก่อนหน้าไปรับภารกิจมาภารกิจหนึ่ง แต่ว่าคนของพวกเรานั้นมีจำนวนไม่พอ ดังนั้นก็เลยต้องการหาหลิวเค่อจำนวนหนึ่งไปทำภารกิจด้วยกันชั่วคราว”
“ยังสามารถทำเช่นนี้ได้?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
กานซงหัวเราะเสียงดังขึ้นหลายเสียง พยักหน้ากล่าวขึ้น “อิงตามกฎ หลิวเค่อไม่สามารถตั้งกองกำลังด้วยคนคนเดียวได้ มีหลิวเค่ออีกจำนวนมากมายนักที่ยังไม่สามารถหากองกำลังที่เหมาะสมกับตนได้ ด้วยเหตุนี้กองกำลังที่ตั้งขึ้นแล้วเช่นของพวกข้านี้ก็สามารถจ้างวานพวกเขาได้ หลังจากทำภารกิจเสร็จ แบ่งค่าจ้างไปให้ส่วนหนึ่งก็ได้แล้ว อีกทั้งหากสองฝ่ายร่วมมือด้วยกันแล้วเกิดรู้สึกถูกใจกันขึ้นมา ก็ยังสามารถรับพวกเขาเข้ามาในกองกำลังของตนได้ กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ และเช่นกันหากคิดว่านิสัยเข้ากันไม่ได้หลังจากจบภารกิจ ก็ สามารถแยกไปทางใครทางมัน นั่นก็ไม่เป็นปัญหาอันใด”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มๆ
พูดคุยกับกานซงไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็สามารถเข้าใจได้คร่าวๆ แล้วว่าหลิวเค่อเป็นองค์กรแบบไหน ต่อจากนั้น นางก็เอ่ยถามขึ้นอีก “เช่นนั้นถ้าหากต้องการตั้งภารกิจเล่า? แล้วก็สามารถซื้อข่าวสารจากกลุ่มหลิวเค่อได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอที่มากลุ่มของพวกหลิวเค่อก็ไม่ใช่เพียงแค่รู้สึกสนใจเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่นางอยากจะทำมันผ่านกลุ่มของพวกหลิวเค่อ
“ซื้อข่าวสารรึ? ก็ทำได้เช่นกัน!” กานซงเอ่ย “ข่าวสารก็ถือเป็นภารกิจชนิดหนึ่ง ขอเพียงเป็นภารกิจก็ไปหาผู้ดูแลในการรับภารกิจเอาก็ได้แล้ว หลังจากจบภารกิจก็ ไม่จำเป็นต้องกลับมาเอาที่นี่ กลุ่มหลิวเค่อนั้นครอบคลุมไปในทุกๆ ภาคและทุกๆ เมืองของโลกแห่งยุคกลาง แต่ละแห่งก็มีโครงข่ายข่าวสารของตน ถ้าหากข่าวสารที่เจ้าต้องการไม่ยากจนเกินไป ข้อมูลนั้นก็อาจจะบอกแก่เจ้าได้ในทันที แต่ถ้าหากต้องการเวลาในการสืบหา เช่นนั้นก็จะมีการแจ้งบอกเจ้าหลังจากที่มีคนรับภารกิจไปทำแล้ว ภายเวลาในเวลาที่กำหนดในแผ่นภารกิจ เจ้าไม่ว่าจะอยู่ที่กลุ่มหลิวเค่อในที่แห่งไหนก็สามารถไปรับข่าวสารที่ตั้งภารกิจเอาไว้ได้”
“นี่ช่างสะดวกนัก” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยขึ้น
กานซงพยักหน้า กล่าวขึ้นอีกครั้ง “น้องมู่ต้องการซื้อข่าวสาร?”
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดปิดบัง พยักหน้าเอ่ยขึ้น “ใช่ ข้าต้องการหาข้อมูลของตระกูลตระกูลหนึ่ง”
“ข้อมูลของตระกูลตระกูลหนึ่งงั้นรึ?” กานซงคิดแล้วคิดพลางเอ่ยขึ้น “ที่เจ้าต้องการรู้เป็นตระกูลไหนรึ ถ้าหากเป็นตระกูลธรรมดาทั่วไปแล้วละก็ ในคลังข้อมูลที่อยู่ในกลุ่มหลิวเค่อก็น่าจะมีอยู่แล้ว หรือถ้าหากเป็นตระกูลบรรพกาลและต้องการเพียงข้อมูลทั่วไปก็ยังนับว่าง่ายดายอยู่ แต่ถ้าหากต้องการข้อมูลเชิงลึกขึ้นไปอีกเช่นนั้นก็คงต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งแล้ว”
ตระกูลบรรพกาล!
มู่ชิงเกอตอนที่ได้ยินคำๆ นี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเต้นระรัวขึ้นมา
ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไรที่คำๆ นี้อยู่ห่างจากนางออกไปไกล แต่มาตอนนี้นางก็เหมือนกับว่าจะเดินมาอยู่ที่ตรงหน้าของมันแล้ว
ตระกูลเดิมของท่านแม่ก็ถือเป็นหนึ่งในตระกูลบรรพกาล แต่อย่างไรก็ตาม นางในตอนนี้ก็ไม่ได้รีบร้อน นางที่ต้องจัดการก่อนตอนนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ที่ข้าต้องการหาก็ไม่ใช่ตระกูลบรรพกาล แต่เป็นตระกูลของเขตภาคใต้ ตระกูลหนึ่ง ตระกูลเล่อ”
นางแต่เดิมก็ยังอยากสืบหาข้อมูลของตระกูลมู่ยี่แต่ว่าข้อมูลพวกนั้นก็น้อยเกินไป เกรงว่าจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง ดังนั้นถึงไม่ได้พูดออกไป
อีกทั้งตอนแรกเริ่มที่มู่ยี่ไปปรากฏตัวที่หลินชวนก็ยังมีคนตามไปรังควาน ทั้งยังหายตัวไปอย่างลึกลับอีก
ในนั้นก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันไปถึงสิ่งใด ถ้าหากผลีผลามไปสืบข่าวของมู่ยี่ที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อโดยไม่ระมัดระวัง ก็เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ก่อให้เกิดความสนใจจากขุมกำลังบางส่วน ถ้าหากมู่ยี่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่
ดังนั้นมู่ชิงเกอพอไตร่ตรองดีแล้วก็ยังคิดว่าจัดการเรื่องของตระกูลเล่อให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่า
เทียบกับกลุ่มของพวกหลิวเค่อแล้ว ในโลกแห่งยุคกลางก็ยังมีสถานที่ดีๆ อยู่อีกแห่งที่สามารถใช้สืบหาข้อมูลได้! นั่นก็คือหอสรรพสิ่ง!
เพราะถึงยังไงนางก็ต้องเอาโอสถจักรพรรดิไปส่งมอบที่หอสรรพสิ่งอยู่ดี พอถึงตอนนั้นก็ค่อยสืบข่าวคราวของมู่ยี่
“ตระกูลเล่อ?”
เสียงประหลาดใจของกานซงก็ดึงดูดความสนใจของมู่ชิงเกอ
“พี่กานรู้จัก?” มู่ชิงเกอมองไปทางเขา
ท่าทางของกานซงทันใดนั้นกลายเป็นติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
แต่ภายใต้การจับจ้องของแววตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอ เขาก็อดไม่ได้ที่กัดฟันพูดออกมา “เขตภาคใต้ก็มีตระกูลเล่ออยู่แค่แห่งเดียว ภารกิจครั้งนี้ที่พวกเรารับมา ก็เป็นภารกิจที่ตั้งขึ้นมาโดยตระกูลเล่อ”
มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก เอ่ยขึ้นในใจ ‘อย่าบังเอิญเช่นนี้ได้หรือไม่!’
ถึงว่าทำไมกานซงถึงเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
มู่ชิงเกอชั่วขณะนั้นก็เข้าใจถึงความลำบากใจเมื่อครู่ของกานซง
ในเมื่อตระกูลเล่อในภารกิจครั้งนี้ก็เป็นผู้จ้างวานของพวกเขา นางถามหาตระกูลเล่อก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเรื่องอันใด เขาก็แน่นอนว่าไม่อาจพูดมากได้
ส่วนตอนสุดท้ายที่กานซงยังคงเปิดปากพูดออกมานี้ก็ นับว่าให้เกียรติมู่ชิงเกอมากแล้ว
“พี่กานสะดวกบอกข้ารึไม่ว่าตระกูลเล่ออยู่ที่เมืองอะไร?” มู่ชิงเกอก็เปิดปากถามออกไปตรงๆ
“เรื่องนี้…” กานซงก็เผยท่าทางลังเล
มู่ชิงเกอก็ไม่เร่งเขา แต่เป็นรอคอยอย่างอดทน
ชั่วขณะนั้นกานซงก็กลายเป็นส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “น้องมู่ ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ากับตระกูลเล่อนั้นมีบุญคุณหรือความแค้นต่อกัน แต่ว่าพวกเขาตอนนี้ก็เป็นผู้จ้างวาน ของข้า ข้าก็ไม่สามารถด้านหนึ่งทำภารกิจให้พวกเขา อีกด้านหนึ่งเอาข้อมูลของพวกเขาแพร่งพรายออกไป ขออภัยด้วย”
คำตอบนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของมู่ชิงเกอ ดังนั้นนางก็เลยไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวัง “พี่กานไม่ต้องลำบากใจ ข้าเมื่อครู่ก็ถือเป็นการบีบคั้นสร้างเรื่องลำบากให้ผู้คนแล้ว”
กานซงยิ้มแหะๆ ราวกับว่าจะรู้สึกผิดต่อมู่ชิงเกอ ดังนั้น เขาหลังจากไตร่ตรองดีแล้วก็พลันเอ่ยขึ้น “ตระกูลเล่อก็ถือเป็นตระกูลธรรมดาตระกูลหนึ่ง ข้อมูลของพวกเขาในกลุ่มหลิวเค่อก็น่าจะมี เก็บไว้อยู่ ถ้าหากน้องมู่อยากรู้ ก็สามารถไปลองถามหาดูที่ด้านหน้าได้”
“ขอบคุณพี่กานมาก” มู่ชิงเกอลุกยืนขึ้น “เช่นนั้นก็คงต้องขอตัวก่อนแล้ว วันนี้บุญคุณที่พี่กานคลายสงสัยให้ข้า ข้าก็จำเอาไว้แล้ว ถ้าหากวันใดมีเรื่องต้องการให้ช่วยเหลือ ข้าก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
กานซงโบกมือพลางกล่าวขึ้น “นี่ก็ไม่นับว่าเป็นอันใด ก็แค่ประโยคไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“ขอถามพี่กาน กองกำลังหลิวเค่อของท่านมีชื่อว่าอันใด?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามออกไปตรงๆ
“เอ!” กานซงนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบ “ทะเลภูผา”
มู่ชิงเกอพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเขา “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้ว”
พอกล่าวจบ นางก็พาเสวี่ยหยาเดินออกไปจากที่พักของกานซง
รอจนพวกเขาเดินจากไปแล้ว กานซงก็พลันได้สติขึ้นมา นึกถึงคำพูดก่อนจากไปของมู่ชิงเกอ เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “คุณชายตระกูลชั้นสูงไม่ว่ายังไงก็เป็นคุณชายตระกูลชั้นสูง วันนี้จากลาก็ไม่รู้ว่าจะได้พานพบกันอีกเมื่อไร แล้วทำไมจะต้องไปพูดถึงการตอบแทนด้วย”
มู่ชิงเกอพอมาถึงโถงด้านหน้าของกลุ่มหลิวเค่อ นางก็เดินตรงไปยังจุดตั้งประกาศภารกิจ
ที่นั่นก็นั่งอยู่ด้วยชายแก่เครายาวคนหนึ่ง เหมือนกับว่ากำลังก้มหน้าจัดแจงบางอย่างอยู่
มู่ชิงเกอพอเดินไปถึงด้านหน้าโต๊ะ เขาก็เหมือนกับจะรู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามา ผละจากการจัดแจงตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมามอง
พอได้เห็นชัดตา แววตาที่ดูค่อนข้างพร่ามัวของเขาก็เหมือนกับจะเปล่งแสงวาบขึ้นมาสายหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลับไปจืดจางพร่ามัวเช่นเดิม
“ต้องการตั้งภารกิจอะไร?” เขาเปิดปากเอ่ยถาม นํ้าเสียงของเขาก็แหบแห้งอยู่มาก
“ข้าต้องการข้อมูลของตระกูลเล่อของเขตภาคใต้ จำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง?” มู่ชิงเกอก็เปิดปากออกไปตรงๆ
“ตระกูลเล่อของเขตภาคใต้…” ชายเครายาวก็เหมือนกับว่าจะจมเข้าไปสู่ความคิด นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม ผ่านไปช่วงหนึ่งเขาถึงค่อยเอ่ยขึ้น “อืม! ศิลาวิญญาณชั้นตํ่า สามก้อน”
เสียงของเขาเพิ่งจะจบลง ศิลาวิญญาณชั้นต่ำสามก้อนก็พลันร่วงตกลงบนโต๊ะของเขา ส่งเสียงสะท้อนออกมา
ชายเครายาวนิ่งชะงักไปก่อนจะหยิบศิลาวิญญาณขึ้นมาจากบนโต๊ะ หลังจากทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ถึงค่อยเก็บมันลงไป เอ่ยขึ้นกับทั้งสองคน “รอนี่”
พอกล่าวจบเขาก็ลุกเดินเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยารอคอยอยู่ด้านนอก การรอครั้งนี้ พอรอทีก็ผ่านไปนานถึงครึ่งชั่วยาม
ชายเครายาวในที่สุดก็เดินออกมา ในมือถือม้วนกระดาษที่คลุมเต็มไปด้วยฝุ่นในปากเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้น “น่าแปลกนัก ข้อมูลของตระกูลเล็กๆ เช่นนี้ ก็ยังมีคนยอมใช้ศิลาวิญญาณมาซื้อมัน”
พอเดินมาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ เขาก็เอาม้วนกระดาษในมือส่งออกไป “นี่ ตระกูลเล่อของเขตภาคใต้ที่เจ้าต้องการ”
เสวี่ยหยาเดินขึ้นหน้ามารับเอาม้วนกระดาษเอาไว้ ยกมือขึ้นปัดไปบนม้วนกระดาษเบาๆ ฝุ่นด้านบนทันใดนั้นก็พลันสลายหายไป การกระทำที่เหมือนกับไม่ใส่ใจของนางนี้ก็ทำให้แววตาของชายเครายาวทอประกายวาววับขึ้น สีหน้าทำทางก็ไม่ได้ดูเกียจคร้านสบายๆ เหมือนตอนก่อนหน้าอีก
“นายน้อย” เสวี่ยหยาเดินไปที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ เอ่ยเรียกขึ้นเสียงเบา
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย เปิดปากเอ่ยขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”
พอกล่าวจบนางก็หมุนกายเดินจากไป แต่ว่าเพิ่งจะเดินไปได้แค่สองก้าว นางก็พลันหยุดเท้าลง ในตอนที่ชายเครายาวนิ่งชะงักงุนงง นางก็เอ่ยถามขึ้นเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจว่า “อ้อ ใช่แล้ว! ข้าเมื่อครู่ได้ยินมาว่าตระกูลเล่อตั้งภารกิจไว้ภารกิจหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจอันใด”
“ขนส่งสินค้าจำนวนหนึ่งจากเมืองไหอวี่เฉิงไปที่เมืองเปียนเฉวียนเชิง” ชายเครายาวพอกล่าวจบทันใดนั้นก็พลันปิดปากลง เขาดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง ราวกับ ไม่เชื่อว่าตนเองจะยอมให้ความร่วมมือตอบคำถามออกไป
มู่ชิงเกอมุมปากยกขึ้นบางๆ “ขอบคุณ”
หลังจากนั้นก็เดินออกจากกลุ่มของพวกหลิวเค่อพร้อมกับเสวี่ยหยา
หลังจากเดินออกมาจากกลุ่มหลิวเค่อ ท้องฟ้าก็ได้กลายเป็นมืดลงแล้ว
ไม่ทันรู้ตัวพวกนางก็มาถึงเมืองไหอวี่เฉิงได้ค่อนวันแล้ว
“ก็ไม่รู้ว่าจิงไห่ที่ไปสมัครเป็นคนงานที่ตระกูลโต้วจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?” เสวี่ยหยามองไปทางมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น จิงไห่ก็นับว่าเป็นคนแรกที่พวกนางรู้จัก หลังจากเข้ามาสู่โลกแห่งยุคกลาง อีกทั้งก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีความคิดความอ่านไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง แน่นอนว่าจะต้องทำให้เสวี่ยหยาจดจำได้
มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “ถ้าหากคำพูดของคนในโรงนํ้าชาพวกนั้นไม่ได้เป็นเพียงข่าวลือ นํ้าขุ่นของตระกูลโต้วในครั้งนี้เขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะเป็นการดี”
เสวี่ยหยาก็นึกย้อนไปถึงข้อมูลที่ได้ฟังมาจากในโรงนํ้าชา อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าขึ้น
“ไปหาที่พักกันก่อน” มู่ชิงเกอเปิดปากเอ่ยขึ้น
เสวี่ยหยาก็แน่นอนว่าไม่มีความเห็นอันใด พวกนางไม่ว่าใครก็ไม่ได้เอาเรื่องทุบตีคุณหนูตระกูลลี่มาเก็บใส่ใจ
มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาเดินลอยชายไปบนถนน ชื่นชมความเป็นอยู่ของชาวเมืองในเมืองไหอวี่เฉิงไปพร้อมกับเสาะหาโรงเตี๊ยมที่ดูถูกใจไปในตัว
อยู่ๆ ทันใดนั้นที่ด้านหน้าก็มีเสียงร้องวุ่นวายดังเข้ามา
“ตีเขา! ตีเขาให้ตาย!”
“เจ้าเด็กหัวเหม็น! ไว้หน้าแล้วไม่รับ! วันนี้ก็จะตีเจ้าให้ตาย ดูซิว่าจะมีใครยอมออกหน้าให้เจ้า!”
มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาพลันหยุดเท้าลง เงยหน้าหันมองไปในมุมมุมหนึ่งที่ห่างจากพวกนางออกไปไม่ไกล ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรุมล้อมชี้มือชี้ไม้มุงดูอะไรบางอย่างอยู่
“พวกเจ้า พวกต่ำช้า! ต่อให้ตีข้าจนตายข้าก็ไม่มีทางคุกเข่าให้พวกเจ้า!” เสียงดื้อรั้นของเด็กหนุ่มเสียงหนึ่งดังสะท้อนเข้ามา
เสียงเสียงนี้ก็แฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอม แฝงไว้ความกรุ่นโกรธ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความตั้งมั่นที่จะไม่ยอมเสียเกียรติ
แต่ว่าเสียงเสียงนี้สำหรับมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยาแล้วก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกด้านในนั้น นั่นก็เป็นเพราะเจ้าของ ของเสียง เสียงนี้ก็คือจิงไห่
“ลองไปดู” คิดแล้วคิด มู่ชิงเกอก็เปิดปากขึ้น
เสวี่ยหยาพยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปทางกลุ่มคน พอเดินเข้าไปใกล้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียงหนึ่งก็พลันดังเข้ามาในหูพวกนาง
“ได้ยินมาว่าเจ้าเด็กสองคนนี้จะไปสมัครเป็นคนงานของตระกูลโต้ว แต่พอถูกตระกูลโต้วปฏิเสธเอาก็เลยไม่ยินยอมมาสร้างเรื่องสร้างราวอยู่ที่นี่ นี่ถึงได้ถูกผู้ดูแลของตระกูลโต้วออกมาจัดการ”
“ก็ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คนงานของตระกูลโต้วก็เป็นกันได้ง่ายๆ รึ? ถ้าหากเจ้าเด็กสองคนนี้สามารถเป็นได้ พวกเราก็คงสามารถสมัครกันเข้าไปได้หมดแล้ว”
“ก็ใช่นะสิ! คนเขาก็พูดชัดเจนแล้วว่าไม่เอา ยังจะไปสร้างเรื่องวุ่นวายอีก ไม่จัดการพวกเขาแล้วจะไปจัดการใคร?”
คำวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ก็ลอยเข้าไปในหูของมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา ทำให้พวกนางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น ในความทรงจำ จิงไห่ก็ไม่ใช่คนแบบนั้นที่พูดออกมาจากปากของพวกเขา
มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาเบียดเข้าไปในกลุ่มคน มองไปยังจิงไห่ที่ถูกกลุ่มคนรุมล้อมทุบตีอยู่ด้านใน
เขาขดตัวเอาไว้ มือทั้งสองข้างกุมเอาไว้บนจุดสำคัญบนศีรษะ ยอมให้คนของจวนตระกูลโต้วทุบตี มู่ชิงเกอก็สังเกตเห็นได้ว่าคนงานของจวนตระกูลโต้วพวกนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างตํ่า แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ระดับสีม่วงขั้นกลาง ในตอนที่พวกเขาทุบตีจิงไห่กลับใส่พลังจิตเข้าไปในหมัดและฝ่าเท้าด้วย ทุกหมัดและทุกฝ่าเท้าดูเผินๆ เหมือนกับว่าทำให้แค่กายเนื้อบาดเจ็บ แต่จริงๆ แล้วนั้นมันก็กำลังทำลายเส้นชีพจรและกระดูกของจิงไห่อยู่
การลงมือที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ก็ทำให้แววตาของมู่ชิงเกอทอประกายดำมืดขึ้นมา
‘แล้วอีกคนนึงเล่า?’ มู่ชิงเกอก็นึกขึ้นได้ว่าจิงไห่ก็ไม่ได้ไปที่จวนตระกูลโต้วเพียงคนเดียว ข้างกายยังมีเด็กที่ชื่อว่าสือปัวอยู่ด้ายอีกคน พอนึกได้ก็กวาดตามองไปโดยรอบ
ก็ไม่ผิดจากที่นางจำได้ นางก็สามารถหาสือปัวในกลุ่มคนจนพบ
สือปัวก็ไม่ได้ถูกทุบตี เพียงแต่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าของชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดค่อนข้างหรูหราผู้หนึ่ง มือทั้งสองข้างกุมหัวเอาไว้แน่น แขนทั้งสองสั่นไหวไม่หยุด ทั้งยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
ฉากภาพนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอแววตากลายเป็นดำมืดขึ้นมา
เด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนกันสองคน กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่าง จริงๆ แล้วเพราะเหตุใดกันแน่?
ก็ในตอนนี้เองสือปัวก็ถูกชายวัยกลางคนผู้นั้นถีบจนกลิ้งตลบ กลิ้งออกไปบนพื้น
คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น “เขาไม่ใช่เป็นคนบ้านเดียวกันกับเจ้าหรอกรึ? เขาก็จะถูกตีจนจะตายอยู่แล้ว เจ้าทำไมถึงไม่ไปเกลี้ยกล่อมหน่อยเล่า?”
สือปัวก็ถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย พอได้ฟังคำกล่าวของชายวัยกลางคน เขาก็รีบคลานไปที่ข้างกายของจิงไห่ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก กลัวว่าจะถูกลูกหลง “เสี่ยวไห่… เสี่ยวไห่… เจ้าก้มหัวลงเถิด! ก็ไม่ใช่แค่คุกเข่าก้มหัวเท่านั้นรึ? ดีกว่าถูกตีจนตาย!”
จิงไห่ขบกราม หอบหายใจ พอได้ยินคำพูดของสือปัวแล้ว เขาก็ร้อง ‘หึ’ ขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง “ต่อให้ถูกตีจนตายข้าก็ไม่ก้มหัว! ชัดเจนว่าการรับสมัครของพวกเขามีการโกง พอถูกจับได้ ก็คิดจะทุบตีคนบีบให้ข้ารับผิด หากข้าไม่ยอมก็จะตีข้าจนตาย! เอาสิ! เช่นนั้นก็ตีข้าให้ตายเลย! หากตีข้าไม่ตาย ข้าก็จะไปจัดการพวกเจ้า”
จิงไห่หลังจากพูดถึงประโยคสุดท้าย ในแววตาคู่นั้นที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาก็พลันทอแววดื้อดึงออกมา นี่ก็ทำให้คิ้วเรียวของมู่ชิงเกอเลิกขึ้นเล็กน้อย
“เสี่ยวไห่เจ้าก็อย่าได้ดื้อรั้นแล้ว! เจ้าอยากตาย แต่ข้าก็ไม่อยากนะ!” สือปัวร้องไห้ตะโกนออกไป
ชายวัยกลางคนของตระกูลโต้วผู้นั้นพอได้ฟังคำพูดของเสี่ยวไห่ ก็พลันยิ้มเย็นขึ้นอย่างชั่วร้าย “โกง? ต่อให้โกงจริงๆ แล้วจะทำไม? กิจธุระของตระกูลโต้วเรา ก็จำเป็นต้องอธิบายให้เด็กหัวเหม็นเช่นเจ้าฟังด้วยรึ?”
จิงไห่พลันร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “เจ้า! พวกข้าก็เห็นเจ้ารับเงินจากคนอื่น!”
ชายวัยกลางคนแววตากลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ร้องขึ้นเสียงชิงชัง “เจ้าช่างรนหาที่ตายนัก! ตีให้ข้าแรงๆ!”
พอกล่าวจบ แววตาดุร้ายของเขาก็พลันสะบัดไปทางสือปัว
สือปัวเสียขวัญอย่างถึงที่สุด เอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า…ข้า…ข้าไม่ว่าอะไรก็มองไม่เห็น อะไร ก็ล้วนแต่มองไม่เห็น! ขอร้องท่าน ได้โปรดละเว้นข้าด้วย!”
ระหว่างที่พูดเขาก็คุกเข่าโขกหัวลงกับพื้นให้ชายวัยกลางคนไม่หยุด
เรื่องราวก็ราวกับว่าจะค่อยๆ กลายเป็นกระจ่างชัดขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครไปเห็นใจกับสิ่งที่จิงไห่ประสบพบเจอ ภายใต้สายตาของกลุ่มคนที่มุงดู ฝั่งที่หมัดแข็งกว่าก็ถือว่าเป็นใหญ่ ต่อให้ผู้ดูแลท่านนี้จะไป รับสินนํ้าใจมาจากคนอื่นจริงๆ เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร? ไปยุ่งอันใดกับพวกเขา?
พวกเขาก็ยิ้มขันถึงความไม่รู้ความของเด็กหนุ่ม ยิ้มขันให้กับความไร้เดียงสาของเขา
การนิ่งเงียบของกลุ่มคน การคุกเข่าอ้อนวอนของสือปัว เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของผู้ดูแลตระกูลโต้ว นี่ก็ทำให้ความกระจ่างใสในแววตาของจิงไห่สลายหายไป ราวกับว่าในตอนนี้เขาถึงจะรู้จักว่าโลกที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
“เด็กน้อย อยากจะให้ข้าละเว้นเจ้าหรือไม่?” ผู้ดูแลตระกูลโต้วอยู่ๆ ก็กล่าวไปทางสือปัว
สือปัวเร่งพยักหน้าอย่างร้อนรน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงประกายตาอำมหิตที่ส่องสะท้อนขึ้นมาในแววตาของผู้ดูแล
เคร้ง!
มีดเล่มหนึ่งตกลงไปที่ด้านหน้าของสือปัว
ผู้ดูแลตระกูลโต้วหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา ก้มหน้ามองไปทางเขาอย่างผู้เหนือกว่า “นั้นก็ไม่ใช่เพื่อนรักของเจ้าหรอกรึ หากฆ่าเขาแล้ว ข้าก็จะเชื่อว่าเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ”
พอกล่าวจบเขาก็หันไปส่งสายตาให้คนไม่กี่คนที่กำลังรุมทุบตีเสี่ยวไห่อยู่
คนพวกนั้นก้าวถอยไป หยุดการทุบตี แต่ก็ไม่ได้จากไปไหน
“อะไรนะ!” สือปัวมองไปทางเขาอย่างตกตะลึง
จิงไห่ก็ได้ยินคำพูดเมื่อครู่เช่นกัน เขาพลันเงยหน้าขึ้น แววตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ปาน จ้องเขม็งไปทางผู้ดูแลตระกูลโต้ว
“ข้า… ข้า…” สือปัวตอนนี้ก็เสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“หยิบมีดขึ้นมา!” ผู้ดูแลตระกูลโต้วร้องตะคอกขึ้นเสียงหนึ่ง
สือปัวทั่วร่างสั่นสะท้าน เร่งรีบเหยียดกายขึ้นมาจากพื้น หยิบมีดขึ้น
“หากฆ่าเขาได้! ข้าก็จะให้เจ้าได้เข้าจวนตระกูลโต้วเป็นกรณีพิเศษ” เสียงของผู้ดูแลตระกูลโต้วก็ดังสะท้อนไปมาไม่หยุดในหูของสือปัว
“ฆ่าเสี่ยวไห่ เข้าจวนตระกูลโต้ว… ฆ่าเสี่ยวไห่แล้วเข้าจวนตระกูลโต้ว…” สือปัวมือทั้งสองข้างกำไปที่มีดอย่างสั่นกลัว ค่อยๆ หันมองไปทางจิงไห่
กลุ่มคนที่มุงดู ไม่ว่าใครก็ไม่มีท่าทีจะขึ้นไปขัดขวาง กลับกัน กลับล้วนแต่มองดูอย่างเย็นชา พวกเขาก็รู้สึกสงสัยนักว่าเจ้าเด็กที่ขวัญอ่อนกลัวตายผู้นี้ จริงๆ แล้วจะกล้าเอามีดไปแทงที่อกของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นหรือไม่
“สือปัว…” จิงไห่มองไปทางสือปัวอย่างตกตะลึง
เขาก็ถูกความดุดันที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแววตาของสือปัวทำเอานิ่งชะงักไป
“สือปัว… สือปัว…เป็นข้านะ เสี่ยวไห่ไง!” จิงไห่คอแดงกํ่า เอ่ยตะโกนไปทางสือปัว
สือปัวพลันส่งสายตามองมา ในแววตาของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำไปทั้งผืน เพียงแค่เอ่ยทวนพึมพำอยู่ในปาก “ฆ่าจิงไห่ ข้าก็จะสามารถเข้าจวนตระกูลโต้ว เข้าจวนตระกูลโต้วข้าก็จะสามารถฝึกฝน ก็จะไม่มีคนกล้ามารังแกข้าอีก…ฆ่าเสี่ยวไห่…”
เขาค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้จิงไห่ ไม่ว่าจิงไห่จะร้องตะโกนยังไง เขาก็ล้วนแต่เหมือนกับจะฟังไม่ได้ยิน
รอยยิ้มของผู้ดูแลตระกูลโต้วดูสะดุดตานัก ความรู้สึกชั่วช้าที่เหมือนกับมีมาโดยกำเนิดนั่น ไม่ว่าทำยังไงก็ปิดเอาไว้ไม่มิด บ่าวรับใช้ที่เหลือของตระกูลโต้วพวกนั้นก็มีใบหน้ายิ้มหยันมองไปทางฉากภาพตรงหน้า ราวกับว่าชีวิตของเสี่ยวไห่ในสายตาของพวกเขาแล้วก็ไม่นับว่าเป็นอันใด
“ย๊ากก—–!” สือปัวร้องขึ้นเสียงดังเสียงหนึ่ง ยกมีดขึ้นสูง ก่อนจะเล็งไปทางหัวใจของเสี่ยวไห่แล้วพลันปักมันลงไป
ถ้าหากมีดมีดนี้เขาทำได้สำเร็จ จิงไห่ก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในตอนที่มีดร่วงตกลง จิงไห่ก็หยุดลมหายใจ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างมองไปยังมีดที่ร่วงตกลงมาทางตน ในแววตาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนรักของตนก็จะต้องการฆ่าตนเองจริงๆ
ก็ในตอนที่มีดเพิ่งจะกรีดผ่านเสื้อผ้าของจิงไห่เข้าไป สือปัวก็เหมือนกับว่าจะถูกพลังไร้รูปกระแทกแรงๆ เข้าไปสายหนึ่ง ทั่วทั้งตัวคนกระเด็นลอยออกไป กระแทกลงไปที่แทบเท้าของผู้ดูแลตระกูลโต้วอย่างจัง มีดก็กระเด็นตกไปอีกข้าง
ผู้ดูแลตระกูลโต้วพลันร้องตะโกนขึ้น “เป็นใคร! เป็นใคร ที่กล้ามายุ่งกิจธุระของตระกูลโต้วของข้า!”
“เป็นข้า” สองคำที่กล่าวออกมาอย่างเนิบๆ ค่อยๆ ดังสะท้อนขึ้นในกลุ่มคน
คนที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอหลังจากถอยหลังออกไปตามสัญชาติญาณถึงได้ค้นพบว่าคนที่กล่าววาจา ถึงกับเป็นคุณชายชุดแดงที่มีใบหน้างดงามเลิศลํ้าที่ชวนให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล ที่ด้านหลังของเขาก็ยังติดตามอยู่ด้วยหญิงงามชุดขาวผู้หนึ่งที่งดงามราวกับนางเซียนที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์
เสียงของมู่ชิงเกอก็ทำให้เสี่ยวไห่ที่อยู่บนพื้น ฝืนความเจ็บปวดเงยหน้าขึ้นมา
ในตอนที่เขามองเห็นมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา ก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นเสียงหนึ่ง “พี่มู่!”
มู่ชิงเกอหันมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ เดินขึ้นไปด้านหน้าหลายก้าว
เสวี่ยหยาก็เดินไปที่ข้างกายเสี่ยวไห่ ประคองเขายืนขึ้นมา ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา เพียงพินิจมองไป เสวี่ยหยาก็พลันขมวดคิ้วขึ้น ในแววตากระจ่างใสคู่นั้น ปรากฏแววคุกรุ่นขึ้นมา ถ้าหากว่าสภาพร่างกายของเสี่ยวไห่ไม่เลว ก็เกรงจะไม่สามารถรับมัดเท้าก่อนหน้าเอาไว้ได้ไหวเป็นแน่ ต่อให้เป็นตอนนี้จิงไห่ก็ยังอาศัยความตั้งมั่นเฮือกสุดท้าย ในการยื้อตัวเองเอาไว้ถึงไม่ได้ล้มลง คนพวกนี้ลงมือกับเด็กคนหนึ่งก็ถึงกับโหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้
“เจ้าเป็นใคร? ถึงกับกล้ามาวุ่นวายกับกิจการภายในของตระกูลโต้ว!” ผู้ดูแลตระกูลโต้วตวาดขึ้นเสียงดังไปทางมู่ชิงเกอ บ่าวรับใช้ตระกูลโต้วก็ทำการล้อมกรอบพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้
“เอ๋ นี่ก็ไม่ใช่คุณชายที่ทุบตีคุณหนูลี่ในโรงนํ้าชาผู้นั้นรึ?” ในกลุ่มคนก็มีจำมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาได้
อย่าได้โทษว่าคนเขาความจำดี หากจะโทษก็ต้องโทษพวกเขาที่มีรูปลักษณ์ที่ทำคนมองผ่านแล้วยากจะลืมเลือน
“เพิ่งจะล่วงเกินตระกูลลี่มา ตอนนี้ยังมายุ่งกับเรื่องของตระกูลโต้วอีก นี่จริงๆ แล้วก็เป็นคุณชายที่โผล่มาจากที่ไหนกัน ช่างหาเรื่องได้เก่งเสียจริง!”
“เหอะๆ เจ้าจะไปสนใจมากมายเช่นนั้นทำไมกัน? พวกเราดูเรื่องสนุกก็พอแล้ว”
ในกลุ่มคนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ก็ลอยเข้ามา
“ข้าเป็นใครนั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเจ้าตีคนของข้า” มู่ชิงเกอคิ้วเรียวเลิกคิ้วบางเบา หันไปทางผู้ดูแลตระกูลโต้วพลางยิ้มเย็นขึ้น
ผู้ดูแลตระกูลโต้วพลันนิ่งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นจะหัวเราะลั่นขึ้นมา “ที่แท้ก็รู้จักเจ้าเด็กหัวแข็งผู้นี้! ทำไม คิดจะช่วยเขางั้นรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลโต้วของพวกเราในเมืองไหอวี่ อ๊ากกก—–!”
เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้นตัดบทคำพูดของเขา ในสายตาของกลุ่มคน ผู้ดูแลตระกูลโต้วก็พลันถูกหมัดเดียวต่อยกระเด็นออกไป พุ่งออกไปจากกลุ่มคน พุ่งเข้าไปกระแทกกับกำแพงเข้าอย่างจัง
ชั่วขณะนั้นตัวกำแพงก็มีรอยร้าวแผ่ขยายออกไป
ส่วนผู้ดูแลตระกูลโต้วที่อวดดีผู้นั้นทั่วทั้งตัวคนก็งอติดอยู่ในกำแพง เหมือนกับว่ากระดูกจะถูกต่อยจนแตกละเอียดไปแล้วก็ไม่ปาน
ฉากภาพนี้ก็ทำเอาบริเวณนั้นกลายเป็นเงียบกริบ กลุ่มคนล้วนแต่เบิกตากว้างมองไปทางเสวี่ยหยาที่ค่อยๆ เหยียดตัวตรงขึ้นมากับกำหมัดที่ยังยกค้างอยู่
เกรงว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูผอมบางหน้าตาสะสวยเช่นนี้ ก็จะมีพลังที่ดุดันและร้ายกาจเช่นนี้ เพียงหมัดเดียวก็สามารถจัดการจนผู้ดูแลตระกูลโต้วมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้
ถ้าหากพวกเขามองไม่ผิด ผู้ดูแลของตระกูลโต้วผู้นี้ก็น่าจะมีระดับพลังอยู่ที่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุดกระมัง!
ไม่เพียงแค่กลุ่มคนที่มุงดู แม้แต่บ่าวรับใช้ของตระกูลโต้วก็ยังนิ่งชะงักไป
สือปัวนิ่งงันไป จิงไห่ก็นิ่งงันไปเช่นกัน
จิงไห่เงยหน้ามองไปทางเสวี่ยหยา อ้าปากกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง
มีเพียงมู่ชิงเกอที่เหมือนกับจะรู้ว่าจะมีฉากภาพนี้เกิดขึ้นก็ไม่ปาน มุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ