Skip to content

พลิกปฐพี 225

ตอนที่ 225

ด้วยชื่อของอาจารย์ฆ่าคนเสีย

ในห้อง จิงไห่ก็ได้ออกมาจากอ่างอาบนํ้าแล้ว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่ที่เสี่ยวเอ้อร์ซื้อกลับมาให้นอนพิงเตียงดื่มนํ้า เสวี่ยหยานั่งอยู่ด้านข้าง มองไปทางเขา อย่างเงียบสงบ

หลังจากเห็นมู่ชิงเกอผลักประตูเข้ามาแล้ว เสวี่ยหยาก็รีบลุกยืนขึ้น จิงไห่ก็รีบร้อนจะชันกายขึ้นมา

“บนตัวเจ้ายังมีบาดแผล อย่าได้ขยับตัวส่งเดช” มู่ชิงเกอหยุดการกระทำของจิงไห่ เดินไปด้านข้างเก้าอี้ที่เสวี่ยหยานั่งก่อนหน้าก่อนจะนั่งลง

“พี่มู่ ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว! จริงๆ นะ กินยาของท่านทั้งยังได้แช่โอสถ ข้าตอนนี้ก็รู้สึกว่านอกจากความระบมของกล้ามเนื้อนิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรไม่สบายตัวอีก” จิงไห่ยืดอกขึ้น กล่าวไปทางมู่ชิงเกอ ในนํ้าเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ “เจ้าถูกคนทุบตีเช่นนั้น จะรู้สึกปวดระบมนั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว พักผ่อนดีๆ สักคืน พรุ่งนี้ก็จะ ดีขึ้นเอง”

ยาของนาง นางแน่นอนว่ารู้สรรพคุณของมัน อาการบาดเจ็บภายในพวกนั้นก็ได้รักษาจนหายดีไปนานแล้ว บาดแผลด้านนอกก็ถูกยานํ้าที่แช่ลดการอักเสบ ทว่า เขาก็ถูกตีมานานขนาดนั้นจะหลงเหลือความระบมตามตัวอยู่ก็เป็นเรื่องปกติมาก

“พี่มู่ ขอบคุณ ขอบคุณท่านกับพี่สาว” จิงไห่ถอนรอยยิ้มสดใสกลับ ก่อนจะหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอและเสวี่ยหยา ด้วยท่าทางซื่อตรงและซาบซึ้งใจ

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าก็พูดไปแล้วว่า ให้ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าให้พวกเราพักหนึ่งคืนกับทำเนื้อกระต่ายจานเด็ดให้พวกเรา”

จิงไห่กลับส่ายหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น “ข้ารู้ว่าสำหรับพี่มู่กับพี่สาวแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ แต่สำหรับข้าแล้วมันถือเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้”

จิงไห่มองไปทางทั้งสองคนอย่างจริงจัง ใช้นํ้าเสียงที่มุ่งมั่นเอ่ยไปทางทั้งสองคน “ข้าจะต้องตอบแทนพวกท่านให้ได้”

พอพูดจบเขาก็เลิกผ้าห่มบนตัวออก ก้าวลงจากเตียง คิดอยากจะก้มหัวให้มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา

แต่ว่าในตอนที่ขาทั้งสองข้างของเขาจะงอลงไปนั้น กลับค้นพบว่าขาทั้งสองข้างของตนก็เหมือนกับจะขยับไม่ได้ก็ไม่ปาน ไม่สามารถงอลงไปได้ทำได้เพียงค้างอยู่ในท่าที่จะคุกเข่าลงไป

จิงไห่ทันใดนั้นตื่นตระหนกสีหน้าเปลี่ยนสี มองไปทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าความผิดปกติของตนในตอนนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับพี่มู่ที่อยู่ตรงหน้า

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า “หัวก็ไม่ควรก้มให้ใครง่ายๆ”

พอกล่าวจบนางก็ส่งแรงผลักออกไป จิงไห่ทั้งตัวคนทันใดนั้นพลันลอยขึ้นไปกลางอากาศ ร่วงตกเข้าไปในเตียง

จิงไห่นั่งตกตะลึงอยู่บนเตียง มองไปทางมู่ชิงเกอด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

พลังเมื่อครู่ที่ตกกระทบลงมาบนตัวของเขา แข็งแกร่งเสียจนทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังเช่นนี้ ล้วนแต่ไม่มีแรงจะไปต่อต้านหรือขัดขืนแต่อย่างใด

เปรียบกับผู้ดูแลกับบ่าวรับใช้ตระกูลโต้วพวกนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกี่เท่าต่อกี่เท่า!

“ไหนลองเล่าซิว่าทำไมถึงได้ถูกตีจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้?” มู่ชิงเกอไม่สนใจความตกตะลึงของจิงไห่ เพียงแค่ ยกมือขึ้นปัดเสื้อของตนเองเบาๆ พร้อมกับเปิดปากถาม

พอกล่าวถึงเรื่องที่ถูกบ่าวรับใช้ตระกูโต้วทุบตี จิงไห่ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

เขาสีหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยขึ้นไปทางมู่ชิงเกออย่างร้อนใจ “พี่มู่ ข้าไม่ใช่ว่าสร้างความลำบากให้พวกท่านแล้ว? พวกท่านรีบไปเถอะ! รีบออกไปจากเมืองไหอวี่เฉิง!”

“เสี่ยวไห่ เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป”

อาการตื่นตระหนกของจิงไห่ก็ส่งผลให้เขาไอติดต่อขึ้นหลายครั้ง ภายใต้การบอกใบ้ของมู่ชิงเกอ เสวี่ยหยาก็เทนํ้าร้อนถ้วยหนึ่งก่อนจะยื่นไปทางด้านหน้าของจิงไห่

จิงไห่รับเอานํ้าที่เสวี่ยหยายื่นมาให้ ก่อนจะขอบคุณนางอย่างมีมารยาท

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ดื่มนํ้า แต่เป็นจับจ้องไปทางมู่ชิงเกอ ความเร่งร้อนในดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใดๆ มากล่าวอธิบายก็ล้วนแต่ทำให้คนรู้สึกถึงมันได้

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางๆ “เจ้ายังไม่มีปัญญาที่จะทำให้พวกข้าลำบากได้หรอก”

จิงไห่นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าชั่วขณะนั้นพลันแดงกํ่าขึ้นมา เขากัดฟันก้มหน้าลง เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ล้วนเป็นเพราะข้า! ล้วนแต่เป็นข้าที่ผิด! ถ้าหากข้าไม่มุทะลุ ก็คงไม่มีทางกลายเป็นเช่นนี้ได้”

หลังจากกล่าวจบเขาก็เอาเรื่องราวที่ได้ประสบพบหลังจากแยกย้ายกับพวกมู่ชิงเกอทั้งสองคนบอกเล่าออกไป

“ข้ากับสือปัวหลังจากเข้ามาในเมืองไหอวี่เฉิง ก็แยกย้ายกับอารองสือ มุ่งหน้าไปที่ตระกูลโต้ว ตอนที่พวกเราไปถึงตรงหน้าประตูของจวน ที่นั่นก็ได้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าเป็นคนงานของจวนตระกูลโต้ว พอรู้ว่าตระกูลโต้วต้องการจะรับคนงานจริงๆ พวกเราทั้งสองคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา มีความหวังต่ออนาคต ต่อแถวไปอย่างยาวนาน จนสุดท้ายก็ขยับมาถึงตาของพวกเรา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเรากลับถูกบอกว่าจำนวนคนนั้นเต็มแล้ว จะไม่รับคนเพิ่มอีก”

จิงไห่ระหว่างที่พูด ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

เขานึกย้อนไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ถ้าหากรับคนเต็มแล้วจริงๆ นั้นก็ถือว่าไม่เป็นไร ก็ถือว่าเป็นพวกเราที่ดวงไม่ดีเอง แต่ว่า ในตอนที่พวกเราจะจากไปกลับพบว่า คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังของพวกเราได้ถูกพาเข้าไปในจวนตระกูลโต้ว ได้รับแผ่นป้ายของคนงาน ข้ากับสือปัวรู้สึกสงสัยนัก สือปัวก็เลยบอกว่าให้ไปดู ด้วยความสงสัย พวกเราก็เลยลอบตามไป ก่อนจะพบว่าคนที่ต่อแถวอยู่ ด้านหลังของพวกเราผู้นั้นหยิบถุงหนักๆ ออกมาถุงหนึ่ง ส่งให้ผู้ดูแลตระกูลโต้วผู้นั้น ผู้ดูแลตระกูลโต้วผู้นั้นหลังจากรับไปเปิดดูแล้ว ก็หยิบศิลาวิญญาณที่อยู่ด้านในออกมา รวมเข้ากับสายตาที่พวกเขาส่งให้กัน ต่อให้เป็นคนที่โง่งมอย่างไรก็ต้องรู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร!”

จิงไห่ก็พูดขึ้นอย่างเคียดแค้นชิงชัง ฝ่ามือหนึ่งฟาดตบลงไปที่เตียง

“พอรู้ว่าพวกเขาแอบโกง ข้ากับสือปัวก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก ตอนนั้นสือปัวก็เลยตะโกนเสียงดังออกไปประโยคหนึ่ง…”

“เจ้าจะบอกว่าเป็นสือปัวที่ตะโกนออกไปก่อน?” มู่ชิงเกอขัดคำพูดของจิงไห่เอ่ยถามขึ้น

จิงไห่พยักหน้า

“เช่นนั้นทำไมคนที่ถูกทุบตีถึงเป็นเจ้า?” มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง

นางนั้นก็ไม่ได้กำลังสงสัยคำพูดของจิงไห่ แต่เป็นกำลังลอบประเมินสือปัวอยู่ในใจ

คำถามของมู่ชิงเกอก็ทำให้จิงไห่ก้มหน้าลง ขบกรามแน่น ผ่านไปชั่วอึดใจเขาถึงได้กล่าวขึ้นเสียงขรึม “ในเมื่อสือปัวล้วนแต่ร้องตะโกนออกไปแล้ว พวกเราก็แน่นอนว่าจะต้องทวงถามความเป็นธรรม ผู้ดูแลตระกูลโต้วผู้นั้น เห็นเรื่องราวถูกเปิดโปง ก็เลยนำพวกคนใช้ของจวนตระกูลโต้วมาไล่ตามพวกเรา บีบพวกเราจนไปถึงทางตัน เพียงแต่เขาตอนเริ่มต้นก็ไม่ได้ลงมือ เพียงแค่ด่าว่าพวกเรา หลังจากนั้นก็ให้พวกเราคุกเข่าขออภัย ข้าไม่ยอม แต่สือปัวกลับคุกเข่าลง…”

เรื่องราวต่อจากนั้นมู่ชิงเกอก็ได้รู้แล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอีก

นางค่อยๆ ลุกยืนขึ้น เดินไปที่ขอบเตียง ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกตัวอาคาร นิ่งเงียบไม่กล่าววาจาอยู่นาน

ห้องของจิงไห่ทันใดนั้นก็ตกเข้าสู่ความเงียบ ความเงียบเช่นนี้ก็ทำให้เสวี่ยหยาขมวดคิ้วขึ้น มองไปยังแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ จิงไห่ก็ค่อยๆ เงยหน้ามองไปทาง เขาเช่นกัน ในแววตาที่มองไปทางมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความงุนงง

มือทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอไพล่เอาไว้ด้านหลัง แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าสาดกระทบมาที่ใบหน้าของนาง ราวกับสวมหน้ากากสีทองเอาไว้ชั้นหนึ่ง

“เสี่ยวไห่เจ้ารู้หรือไม่? มีบางจุดที่เจ้าไม่อาจเทียบสือปัวได้” มู่ชิงเกอในที่สุดก็เปิดปาก แต่ว่าคำพูดที่นางกล่าวออกมากลับทำให้เสวี่ยหยากับจิงไห่ล้วนแต่นิ่งชะงักไป

“สือปัวก็เป็นคนรู้จักเวลาและสถานการณ์รู้ว่าควรเอาตัวรอดยังไงในตอนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง เจ้าจะบอกว่าเขารักตัวกลัวตายก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเช่นนี้ก็มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่าวีรบุรุษเหล่านั้น” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นพร้อมกับค่อยๆ หมุนตัวหันมา

แสงแดดปกคลุมไปทั่วร่างของนาง บนตัวนางกลายเป็นเส้นแบ่งความมืดและแสงสว่างขึ้นอย่างชัดเจนสายหนึ่ง ครึ่งร่างที่อยู่ใกล้หน้าต่างถูกแสงแดดเข้ากอบกุมดุจราวกับเทพเซียน ส่วนครึ่งร่างที่ตกอยู่ในเงามืดก็ดำมืดราวกับหมู่มาร

จิงไห่นิ่งชะงักอยู่กับที่ จ้องมองไปทางเขาอย่างตกตะลึง ก็ไม่รู้ว่าถูกสภาพของเขาในตอนนี้ทำเอาตกตะลึงหรือว่ากำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของเขา

เสวี่ยหยาก็เช่นเดียวกันจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือนางกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของมู่ชิงเกอ

“คนขอเพียงมีชีวิตต่อไป มีชีวิตอย่างยืนยาวก็ถึงจะมีโอกาสในการแก้แค้น มิควรรังแกผู้เยาว์* คำคำนี้ถึงจะกล่าวไว้ไม่ผิดแต่ก็ต้องใช้เวลาที่เพียงพอถึงจะทำมันให้ เป็นจริงได้ เกียรติและศักดิ์ศรีก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นดู แต่เป็นคงไว้อยู่ในใจ” มู่ชิงเกอมองไปทางจิงไห่พร้อมกับค่อยๆ เอ่ยขึ้น

นางไม่ได้เล่านิทานเรื่องที่ ‘หานซิ่นถูกรังแก**’ ให้เด็กหนุ่มฟัง เพียงแต่บอกเล่าหลักการให้เขาออกไปตรงๆ อยากจะคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตนก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น!

แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่มีใครกล้ารังแก หากทำได้เรื่องราวเช่นวันนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก

และการที่จะแข็งแกร่ง อย่างแรกก็คือทำให้จิตใจของตัวเองแข็งแกร่ง

อะไรคือการทำให้จิตใจแข็งแกร่ง? จิตใจแข็งแกร่ง ไม่ได้หมายถึงความดื้อรั้นเถรตรงและก็ไม่ใช่การยอมตายแต่ไม่ยอมเสียเกียรติ การทำให้จิตใจแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็คือไม่ว่าจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนก็ล้วนแต่สามารถมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอดต่อไป มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วอยู่รอดต่อไป

ไม่ว่ารอบด้านจะพากันด่าว่าเจ้าและไม่เข้าใจเจ้าเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเจ้าสั่นไหวได้

**ภาษิตจีน – หมายถึงคนรุ่นเยาว์ที่ท่านรังแกในวันนี้ อาจจะเป็นใหญ่ในวันหน้า ** นิทานที่เป็นที่มาของภาษิตข้างต้น

“หรือว่า…ข้าจะต้องเป็นแบบสือปัวเช่นนั้น ก้มหัวงั้นรึ?” จิงไห่ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอพุ่งกระแทกเข้าไปในจิตใจจนงุนงงล่องลอย เขาเอ่ยพึมพำขึ้น

เขาก็นึกมาตลอดว่าคนถึงจะลำบากแต่ศักดิ์ศรีก็ไม่ควรตกตํ่า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็ควรจะมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่สามารถก้มหัวได้ แต่ว่า คำกล่าวของมู่ชิงเกอกลับทำให้เขาสับสน มู่ชิงเกอยกยิ้มที่มุมปาก เอ่ยขึ้นกับเขา “เจ้ามีจุดที่ไม่อาจเทียบสือปัว แต่สือปัวก็มีจุดที่ไม่อาจเทียบเจ้าได้เช่นกัน ข้าก่อนหน้าพูดว่าสือปัวเป็นคนรู้จักสถานการณ์รู้ว่าควรจะเอาตัวรอดอย่างไร แต่ว่าเขาก็ไม่มีเส้นแบ่งหรือขีดจำกัด สำหรับเขาแล้วขอเพียงสามารถรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้ เช่นนั้นจะเอามีดไปแทงหัวใจเจ้าก็ถือว่าไม่เป็นอันใด เขานั้นโหดเหี้ยมพอและมีความกลับกลอก แต่เป็นเพราะสิ่งเหล่นี้ที่กำหนดเอาไว้ว่าเขาชั่วชีวิตนี้ก็จะอยู่ได้แค่เพียงจุดจุดนี้ เขาในอนาคตจะไม่สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้ ส่วนเจ้านั้นมีความมุ่งมั่น และมีความกล้าหาญอย่างเปี่ยมล้น แต่กลับซื่อตรงเกินไป เจ้าลองคิดคิดดู ถ้าวันนี้พวกข้าไม่เดินผ่านไป ไม่ได้ ออกหน้า เกรงว่าตอนนี้เจ้าก็คงจะเป็นเพียงแค่ซากศพที่ไร้ไออุ่นศพหนึ่ง แล้วจะไปแก้แค้นเช่นไร? แล้วจะผงาดขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ถ้าหากเจ้ายอมสยบยอมคุกเข่า ยอมรับผิดเหมือนกับสือปัว รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน เช่นนั้น เจ้าก็จะมีโอกาสในการแก้แค้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่เคยได้ฝึกวิชามาก่อน ก้มหัวให้กับขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่นี่ไม่ได้ถือว่าเสียเกียรติ”

คำพูดประโยคนี้ก็ค่อยๆ ชำระล้างม่านหมอกตรงหน้าของจิงไห่

แล้วก็ยังทำให้เสวี่ยหยามองไปทางมู่ชิงเกออย่างครุ่นคิด นางถึงกับคาดเดาและจำลองสถานการณ์ขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากตนเองเป็นจิงไห่ก็จะตัดสินเลือกทางไหน?

สุดท้ายก็ทำให้นางรู้สึกจิตใจตกตํ่า เพราะนางค้นพบว่า ทางเลือกของตนเองก็เกรงว่าจะเหมือนกับจิงไห่ในวันนี้ เพื่อที่คงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตน ไม่มีทางยอมก้มหัว

“ชีวิตก็ยังรักษาไม่ได้ แล้วจะไปพูดอะไรถึงศักดิ์ศรีกัน? น่าขันนัก” มู่ชิงเกอหัวเราะหยันขึ้น

คำกล่าวประโยคนี้ก็ราวกับศรแหลมคมปักเข้าไปในอกของเสวี่ยหยา ทำให้ดวงตากระจ่างของนางพลันกลายเป็นเบิกกว้างขึ้น

จิงไห่พลันเงยหน้ามองไป เหมือนกันกับเสวี่ยหยา มองไปทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

พวกเขาราวกับว่าอยากจะหาคำพูดโต้แย้งออกมา แต่ก็กลับมีความรู้สึกราวกับว่าไม่สามารถโต้แย้งหรือคัดค้านได้

ใช่แล้ว! ชีวิตก็ไม่มีแล้ว ยังจะไปพูดถึงศักดิ์ศรีอันใดได้อีก? คนตายไปแล้วเหลือแต่ศักดิ์ศรีทิ้งเอาไว้จะมีประโยชน์อันใด? จะมีใครไปจดจำเด็กหนุ่มผู้ที่ไม่ยอม สยบภายใต้ขุมกำลังของตระกูลโต้วผู้นี้ได้?

ที่น่าขันที่สุดก็คือ คนตายไปแล้ว แต่ศัตรูคู่แค้นกลับยังมีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรี นี่สิถึงจะเป็นการเย้ยหยันที่รุนแรงที่สุด!

“เสี่ยวไห่เจ้าทำไมถึงอยากจะฝึกวิชา? ทำไมถึงอยากเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง?” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็เอ่ยปากถามขึ้น

จิงไห่นิ่งอึ้งมองไปทางนาง ชั่วขณะนั้นก็ไม่สามารถตอบอะไรออกมาได้ “ข้า… ข้า…”

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เร่งเขา เพียงแต่รออย่างเงียบๆ

ผ่านไปชั่วขณะ จิงไห่ถึงได้เอ่ยขึ้น “ข้าที่คิดอยากจะแข็งแกร่งแต่เดิมก็เป็นเพราะหากแข็งแกร่งแล้วจะได้ออกไปตามหาพ่อแม่ได้”

“แต่เดิม?” มู่ชิงเกอมุมปากยกสูงขึ้น จิงไห่เม้มริมฝีปากแน่น ฝ่ามือที่ร่วงตกอยู่ข้างกายก็ค่อยกำแน่นไปที่ผ้าปูเตียง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พลันเงยหน้าขึ้น ในแววตาฉายแววความมุ่งมั่นพร้อมกับเอ่ยวาจาออกมา “ตอนนี้ข้าที่อยากแข็งแกร่งก็เป็นเพราะหวังว่า สักวันจะไม่ต้องถูกคนมารังแกอีก!”

“เช่นนั้นเจ้ากล้าฆ่าคนหรือไม่?” มุมปากของมู่ชิงเกอกลายเป็นยกโค้งขึ้นมากกว่าเดิม ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย้ายวนที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมัวเมา

เมืองไห่อวี่เฉิง ตระกูลโต้ว ผู้ดูแลตระกูลโต้วที่รุดไปจับตัวมู่ชิงเกอก็กลับมาถึงจวนตระกูลโต้วอย่างห่อเหี่ยวพะวักพะวง

ในโถงประชุมของตระกูลโต้ว เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าไปมองสีหน้าของท่านประมุขประจำตระกูล

ในตระกูลโต้วคนที่พอจะมีหน้าตาฐานะ ล้วนแต่แบ่งแยกกันนั่งซ้ายขวาของท่านประมุข สายตาอันแหลมคม เจ็ดแปดสายร่วงตกไปที่ตัวของผู้ดูแล ราวกับว่าอยากจะเจาะทะลุไปในตัวเขาสักหลายรู

ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง ประมุขตระกูลโต้วถึงค่อยเปิดปากขึ้น “เจ้าบอกว่าคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับลี่หยุนเทา?”

“ขอรับ…ขอรับ…! ลิ่หยุนเทาผู้นั้นตอนแรกก็ขัดขวางไม่ให้พวกข้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม หลังจากนั้นก็ยังเอ่ยวาจาข่มขู่ตระกูลโต้วของพวกเราไม่ให้ไปสร้างความลำบากให้คนผู้นั้นอีก” ผู้ดูแลตระกูลโต้วเอ่ยตอบขึ้นเสียงสั่นๆ

“หึ! เจ้าพวกเศษสวะ!” คนแรกที่นั่งถัดไปทางด้านขวาของท่านประมุขสบถเสียงเย็นไปทางผู้ดูแล “ถึงกับถูกลี่หยุนเทาทำให้ตกใจกลัวเช่นนี้ได้? เขาให้เจ้าจากมา เจ้าก็จากมางั้นรึ? เจ้าจริงๆ แล้วเป็นข้ารับใช้ของตระกูลโต้วของข้า หรือว่าเป็นคนของตระกูลลี่กันแน่!”

คำต่อว่าคำรบนี้ทำเอาผู้ดูแลตระกูลโต้วที่คุกเข่าอยู่บนกลายเป็นสีหน้าถอดสี

ประมุขตระกูลโต้วหลังจากรอเขาด่าว่าเสร็จแล้ว ถึงค่อยเอ่ยปากขึ้นอย่างขึงขัง “พอแล้วเจ้ารอง ลี่หยุนเทาเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงเรา ต่อให้เขาต่อต้าน ลี่หยุนเทาก็สามารถกำราบเขาในฝ่ามือเดียว ซึ่งนั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี”

ในนํ้าเสียงของเขาก็แอบซ่อนไว้ด้วยความริษยาที่มีต่อลี่หยุนเทา

พอกล่าวจบเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “คนผู้นี้จริงๆ แล้วมีความเป็นมายังไงกันแน่ ถึงกับทำให้ลี่หยุนเทาต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่ใช่บอกว่าเขาก่อนหน้าเพิ่งจะทุบตีลูกรักของลี่หยุนเทาไปไม่ใช่รึ?”

“ใช่แล้ว! ข้าก็แปลกใจนัก อิงตามนิสัยของตระกูลลี่ องค์หญิงน้อยของตระกูลลี่ถูกทุบตีกลางถนนเช่นนี้ ลี่หยุนเทาจะต้องเลาะกระดูกของเขาออกถึงจะถูก ทำไมถึงไปปกป้องเขาเช่นนี้ได้?” คนแรกที่นั่งถัดไปทางด้านซ้ายของประมุขตระกูลโต้วมองไปทางประมุขตระกูลโต้วพลางเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

คำกล่าวของเขาก็ทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของประมุขตระกูลโต้วกลายเป็นขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม

ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “ไม่ใช่บอกว่ายังมีเด็กอีกผู้หนึ่งที่เป็นพวกเดียวกันกับเด็กผู้นั้นที่ถูกเขาช่วยไปมิใช่รึ?”

“ขอรับ! ตอนที่พวกเขาจากไปก็พาไปแค่เด็กที่ถูกทุบตีจนมีลมหายใจรวยรินผู้นั้น แต่กลับเหลือทิ้งอีกคนเอาไว้ คนของพวกเราก็เลยนำตัวเขากลับมา” มีคนเอ่ยตอบขึ้น ในแววตาของประมุขตระกูลโต้วพลันกลายเป็นทอแสงวูบขึ้น เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “นำตัวเขาเข้ามา”

ผ่านไปชั่วอึดใจ สือปัวก็ถูกบ่าวรับใช้ของตระกูลโต้วลากเข้ามาในโถงประชุม

เขาพอปรากฏตัวก็นำพามาซึ่งกลิ่นเหม็นหอบหนึ่ง เหม็นเสียจนคนของตระกูลโต้วต่างคนต่างต้องพากันปิดปาก ปิดจมูก สีหน้าทอแววรังเกียจ

“นี่มันเรื่องอันใดกัน? ทำไมถึงได้เหม็นขนาดนี้?” นายท่านรองตระกูลโต้วร้องตะโกนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ประโยคหนึ่ง

ทำเอาคนที่ลากสือปัวเข้ามาต้องเร่งตอบขึ้นเสียงหนึ่ง “เรียนนายท่านรอง เจ้าเด็กนี่ถูกทำให้เสียขวัญจนหวาดกลัว อึราดกางเกง ทั้งยังถูกคุมขังเอาไว้ในห้องขัง ก็ เลย…”

ห้องขังของตระกูลโต้วเป็นสถานที่เช่นไรคนที่อยู่ในที่นี่ ล้วนแต่รู้แจ่มแจ้งกันดี

ดังนั้นหลังจากที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยอธิบายแล้ว ก็ทำให้นายท่านรองตระกูลโต้วที่มีนิสัยโมโหง่ายผู้นั้นทำได้เพียงสบถขึ้นอย่างไม่พอใจออกมาเสียงหนึ่ง แสดงท่า ทางรังเกียจของตน แต่ก็ไม่ได้ทวงถามเอาความผิดอันใดอีก

สือปัวที่อยู่ในห้องโถงทั่วทั้งตัวคนก็กำลังกระตุกสั่นกลัว

ราวกับกำลังตกอยู่ในภาพมายา ท่าทางเหม่อลอย

เสียงรอบด้านสำหรับเขาแล้วก็ราวกับว่ามันไม่ได้คงอยู่ก็ไม่ปาน

“เขาเป็นอะไรแล้ว?” ประมุขตระกูลโต้วชี้นิ้วไปทางสือปัวอย่างไม่พอใจ เขายังหวังจะเอาข้อมูลจากปากของเขา แต่ท่าทางเลื่อนลอยไม่รู้ความเช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกโมโหนัก

บ่าวรับใช้พอได้ฟังก็พลันถีบแรงๆ ไปที่หลังของสือปัวฝ่าเท้าหนึ่ง

สือปัวเพราะว่าไม่ทันระวังก็พลันพุ่งกลิ้งออกไปด้านหน้า ล้มกระแทกลงไปราวกับสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน และการล้มนี้ก็พลันทำให้เขาหลุดจากภวังค์อ้าปากร้องตะโกนขึ้น “อ้า อ้า! อย่าฆ่าข้า! ข้าไม่อยากตาย! อย่าฆ่าข้า!”

“หุบปาก!” เสียงตวาดทรงอำนาจเสียงหนึ่งพลันตกสะท้อนตกลงมา

สือปัวทั่วร่างสั่นสะท้าน ความรู้สึกนึกคิดกลายเป็นสงบลง และปิดปากเงียบลง

“นี่เจ้า เจ้ากับเด็กที่น่าตายผู้นั้นมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน? แล้วก็ยังมีคนที่มาช่วยตัวเขาไป จริงๆ แล้วคนผู้นั้นก็เป็นใครกันแน่? มีเบื้องหลังยังไง? พูดมันออกมาให้หมด?” ประมุขตระกูลโต้วเอ่ยขึ้นนํ้าเสียงเย็นชา

สือปัวไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหว เม้มริมฝีปากไม่กล่าววาจา ดวงตาทั้งสองข้างกวาดมองไปรอบด้านอย่างกระวนกระวาย ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“เจ้าเด็กนี่ยังไม่รีบพูดอีก? อยากตายงั้นรึ!” นายท่านรองตระกูลโต้วพลันร้องคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง สือปัวกลายเป็นตกใจกลัวจนต้องหมอบตัวลงกับพื้น ขบ กรามแน่น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท “ข้า…ข้าไม่กล้า… ข้าไม่กล้า…พูด…พูดแล้ว…ข้าคงกลับไปไม่ได้อีก…ข้าไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว…”

คำพูดตะกุกตะกักของเขาก็ค่อยๆ สะท้อนดังติดๆ ขัดๆ เข้าไปในหูของคนตระกูลโต้วไม่กี่คน

นี่แต่เดิมก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ก็คือมีคนมาท้าทายอำนาจของพวกเขาตระกูลโต้ว ซึ่งจริงๆ แล้วแค่ส่งคนออกไปจับตัวตรงๆ ทุบตีแรงๆ สักรอบ แล้วค่อยฆ่าทิ้งก็ได้แล้ว

แต่สุดท้ายลี่หยุนเทากลับยื่นมือเข้ามาสอด

การปรากฏตัวของเขาทำให้เรื่องราวกลายเป็นสลับซับซ้อนขึ้น

และทำให้คนของตระกูลโต้วไม่อาจไม่รู้สึกสงสัยถึงสถานะของมู่ชิงเกอขึ้นมาได้อยากจะรู้ว่าทำไมลี่หยุนเทาถึงมีท่าทางกับคนแปลกหน้าเช่นนั้นได้

และหนึ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาหาเบาะแสพบนั้นก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว

สือปัวก็เหมือนกับว่าภายใต้ความหวาดกลัวพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่ทำเอาคนของตระกูลโต้วยิ้มขันขึ้นมาอย่างรู้ทัน

นายท่านสามตระกูลโต้วมองไปทางประมุขโต้ว ประมุขโต้วกะพริบตาลงครู่หนึ่ง นายท่านสามรับทราบความนัย เอ่ยชักนำไปทางสือปัวด้วยท่าทางจิตใจดีมีเมตตาด้วยความอดทน “เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องกลัว พวกเราตระกูลโต้วก็เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิง ขอเพียงเจ้านำสิ่งที่รู้บอกออกมา พวกเราก็จะให้เจ้ารั้งอยู่ที่ตระกูลโต้ว เสพสุขกับความมั่งคั่งรํ่ารวย ไปจนถึงขั้นมากไปด้วยเกียรติยศ”

ประโยคล่อหลอกนี้ก็ทำให้แววตาของสือปัวทอแวววาดหวังขึ้นมา

เขาต่อให้ฉลาดยังไงก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านชาวประมงผู้หนึ่ง คิดใช้แผนการเจ้าเล่ห์เช่นนี้คิดหรือว่าจะหลอกลวงจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ในอำนาจมานานพวกนี้ได้

นายท่านสามตระกูลโต้วหลังจากพูดคำนี้ออกมา เขาก็พลันสลายท่าทีเกรงกลัวออกไป เงยหน้ามองไปอย่างตื่นเต้นยินดี “จริง…จริงหรือขอรับ?”

ท่าทีของเขาก็ทำให้คนตระกูลโต้วยิ้มหยันขึ้นในใจ นายท่านสามเอ่ยขึ้นต่อ “แน่นอนว่าเป็นความจริง ตระกูลโต้วของข้าก็ยังไม่ลดเกียรติไปหลอกลวงเด็กหนุ่มชาวบ้านเช่นเจ้า”

คำกล่าวประโยคนี้ก็เหมือนกับว่าจะเป็นการมอบความมั่นใจให้แก่สือปัว

เขาขบกรามพลางตัดสินใจแน่วแน่ขึ้น “ได้! เช่นนั้นข้าก็จะบอกทุกอย่างที่รู้ออกมาทั้งหมด เพราะถึงยังไงข้ากับเสี่ยวไห่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว” หลังจากเพิ่มความฮึกเหิมให้ตัวเองแล้ว สือปัวถึงได้กล่าวขึ้น “ทั้งสองคนนั้นข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ค่อยสนิทด้วยนัก เพียงแต่รู้ว่าจิงไห่พบพวกเขาในหมู่บ้านของพวกข้า หลังจากนั้นก็พาไปพักที่บ้านของเขา แล้วพวกเขาเผอิญต้องการมาที่เมือง ไหอวี่เฉิง พวกเราก็เลยเดินทางมาด้วยกัน ระหว่างทาง ข้าเห็นว่าพวกเขาแต่งกายไม่ธรรมดา ก็เลยคิดจะให้จิงไห่ไปสืบข้อมูล ดูซิว่าใช่คุณชายจากตระกูลใหญ่หรือไม่ กล่าวไม่แน่ว่าอาจมีวาสนาหรือโชคดีรออยู่ แต่จิงไห่เจ้านั่นกลับเป็นพวกหัวแข็งดื้อรั้น ไม่ยินยอมไปสืบข้อมูล ข้าก็เลยไม่อาจพูดอะไรมากได้พอมาถึงด้านนอกของเมืองไห่อวี่เฉิง พวกเราก็ทำการแยกย้าย ตอนที่ได้พบอีกครั้งก็เป็นบนถนนนั่น…”

ข้อมูลนี้เหมือนกับว่าจะไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

นี่ทำเอาคิ้วของคนตระกูลโต้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ รู้สึกเหมือนกับถูกเด็กผู้หนึ่งหลอกเข้า

สือปัวลอบมองไปสายตาหนึ่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของคนตระกูลโต้ว เร่งเอ่ยขึ้น “ที่ข้าพูดล้วนแต่เป็นความจริง ที่รู้ข้าก็พูดออกมาหมดแล้ว”

“พวกเขามาที่เมืองไหอวี่เฉิงเพราะอะไร เจ้าได้ยินมาหรือไม่?” นายท่านสามสะกดข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้ ฝืนแย้มยิ้มถามออกมา

“ไม่…ไม่ทราบขอรับ” สือปัวเอ่ยขึ้นเสียงสั่นๆ คำตอบนี้ทำเอารอยยิ้มของนายท่านสามกลายเป็นแข็งค้าง เอ่ยสั่งการไปทางบ่าวรับใช้ “นำตัวเขาออกไป”

สือปัวในระหว่างที่งุนงงก็ถูกลากออกไป

ตอนที่จะจากไปก็ยังฝันหวานว่าจะได้รั้งอยู่ที่ตระกูลโต้ว

สือปัวพอถูกพาตัวไปแล้วกลิ่นเหม็นเน่าในห้องโถงก็เริ่มค่อยๆ หายไป

นายท่านสามเอ่ยไปทางประมุขตระกูลโต้วที่สีหน้าดำมืด ไม่ชัดเจน “พี่ใหญ่ ไม่สัพวกเราส่งออกไปตรวจสอบว่า คนผู้นี้หลังจากเข้ามาในเมืองไหอวี่เฉิงแล้ว ไปที่ใดมาบ้าง พบใครมาบ้าง?”

“ไปเถอะ” ประมุขตระกูลโต้วเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ นายท่านสามค่อยๆ หลบฉากออกไป

ส่วนนายท่านรองก็ฟาดฝ่ามือไปยังที่เท้าแขนอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยไปทางประมุขตระกูลโต้ว “ไปสนใจมากมายขนาดนั้นทำไมกัน? แซ่ลี่ผู้นั้นบอกไม่ให้จัดการ ก็ไม่สามารถจัดการได้รึ? เขาลี่หยุนเทานับว่าเป็นตัวอันใด กล้ามายุ่งวุ่นวายกับกิจธุระของตระกูลโต้วเรา? จากที่ข้าดูก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปวุ่นวายขนาดนั้นส่งคนไปจับเจ้าคนผู้นั้นมาโดยตรง ทำการไต่สวนดีๆ สักรอบ ควรฆ่า ก็ฆ่า เขาลี่หยุนเทาก็จะทำอันใดได้? หรือว่าเพราะคนตายผู้หนึ่งกล้ามาล่วงเกินตระกูลโต้วของพวกเรา?”

“เจ้ารอง ไม่อาจผลีผลาม!” ประมุขตระกูลโต้วเอ่ยตำหนิขึ้นมา

ประมุขตระกูลโต้วทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะกล่าววาจาขึ้น “ตอนนี้ตระกูลโต้วไม่ได้เหมือนกับตระกูลโต้วเมื่อกาลก่อนแล้ว ช่วงเวลานี้ตระกูลลี่กับตระกูลไป๋ลอบติดต่อกัน คิดว่าพวกเราตระกูลโต้วของพวกเราจะไม่รู้รึไง? พวกเขาอยู่ๆ ก็ซื้อตัวพวกหลิวเค่อเข้าไปในตระกูลจำนวนไม่น้อย ฉากหน้าก็ใช้หลักการสวยหรูอย่างการคุ้มกันจวน แต่จริงๆ แล้วเพื่อสิ่งใด พวกเราทุกคนในใจก็รู้ดี หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้พวกเราตระกูลโต้วเองก็คงไม่ต้องแสร้งทำเป็นเปิดรับคนงานของตระกูล แต่ในทางลับกลับรับตัวพวกหลิวเค่อ ตอนนี้ตระกูลโต้วของพวกเราไม่อาจกระทำการมุทะลุ ไม่เช่นนั้นก็จะตกเข้าไปสู่กับดักวงล้อมของตระกูลลี่กับตระกูลไป๋”

คำกล่าวของประมุขตระกูลโต้วทำให้นายท่านรองหงุดหงิดนัก เขาพลันลุกยืนขึ้น เอ่ยไปทางประมุขตระกูลโต้ว “เฮ้อ! ตามจริงแล้วข้าก็ไม่ชอบแผนการโค้งๆ งอๆ ของพวกเจ้า แต่ก็เอาเถอะ หากถึงเวลาที่ต้องฆ่าคนหรือต่อยตีเมื่อไร ก็ค่อยมาเรียกข้าแล้วกัน!”

พอกล่าวจบเขาก็หมุนกายเดินออกไปจากห้องโถง

ในโรงเตี๊ยม ในห้องของจิงไห่ก็เหลืออยู่แค่เขาเพียงคนเดียว

มู่ชิงเกอหลังจากทิ้งประโยค ‘เจ้ากล้าฆ่าคนหรือไม่?’ เอาไว้ ก็จากไป

ส่วนเสวี่ยหยาก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ เพียงแค่เอ่ยชี้แนะขึ้นมา

“มีดของสือปัวอีกนิดก็เกือบจะแทงเข้าไปในอกของเจ้าแล้ว” พอกล่าวจบก็เดินตามมู่ชิงเกอจากไป

หมายความว่ายังไงกันแน่?

จิงไห่ขบคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจ!

กล้าฆ่าคนหรือไม่ มันมีความเกี่ยวข้องกับการที่สือปัวต้องการฆ่าเขางั้นรึ?

หรือจะบอกว่า…

‘สือปัวต้องการฆ่าเขา เขาก็ต้องไปฆ่าสือปัว ใช้มันยืนยันว่าตนเองนั้นกล้าฆ่าคน?’ การคาดเดานี้ก็ทำให้ นัยน์ตาทั้งสองข้างของจิงไห่หรี่เล็กลง เขาพลันส่ายหน้าไปมา ในปากเอ่ยพึมพำขึ้น “ไม่…ไม่ ไม่…ข้าไม่สามารถฆ่าสือปัวได้!”

สือปัวมีจิตใจโหดเหี้ยมคิดสังหารเขา เขาจากนี้เป็นต้นไปก็สามารถเดินไปคนละทางกับเขา แต่ไม่สามารถลงมือฆ่าเขาได้

หากฆ่าสือปัว พ่อแม่ของสือปัวจะทำอย่างไรเล่า? เขายังจะมีหน้ากลับไปที่หมู่บ้านได้อย่างไร?

ฝ่ามือที่ยังเจ็บทั้งสองข้างของจิงไห่กุมแน่นไปที่หัว เอาหัวซุกลงไปที่เข่าทั้งสองข้างของตน

ในตอนที่เขาปิดตาลงนั้น ที่ปรากฏขึ้นในหัวทั้งหมดก็เป็นภาพการยกมีดของสือปัวแล้วแทงมันลงมาอย่างไม่ลังเล

ใบหน้ามาดร้ายของสือปัว มีดที่ยกสูงขึ้นล้วนแต่ทำให้จิงไห่รู้สึกหัวใจหนาวเหน็บนัก

ทันใดนั้นเอง มีดก็พลันร่วงตกลงมา แทงปักไปที่อก ความเจ็บปวดสายหนึ่งไหลแล่นขึ้นมาจากในหัว เลือดสีแดงสดย้อมไปในดวงตา จิงไห่ค้นพบว่ามือทั้งสองข้างของตนก็เต็มไปด้วยเลือดเต็มไปหมด มีดเปื้อนเลือดเล่มนั้นถูกเขากำเอาไว้ในมือจนแน่น ที่นอนอยู่ในกองเลือดก็ไม่ใช่เขาแต่เป็นสือปัว

จิงไห่ตื่นตระหนก! เขามองไปทางสือปัว ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่สามารถมองเห็นตัวเองที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดราวกับภูติผีปีศาจจากดวงตาที่เบิกกว้างคู่นั้นของสือปัว

“ไม่—–!” จิงไห่ทิ้งมีดลง ก่อนจะร้องตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นเสียงหนึ่ง

เสียงเสียงนี้ดังสะท้อนไปมาภายในห้อง

หลังจากเสียงเงียบไป ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ของจิงไห่

เขาทั่วร่างเต็มไปด้วยเหงื่อนั่งอยู่บนเตียง บนตัวห่มคลุมด้วยผ้าห่ม ในดวงตาที่เบิกกว้างเต็มไปด้วยรอยเส้นเลือด

เขาเหมือนกับว่าจะฝันถึงความฝันที่น่ากลัวมากความฝันหนึ่ง ในความฝันเขานั้นฆ่าสือปัว…

ตอนนี้ด้านนอกก็ได้ถูกความมืดมิดเข้าปกคลุมแล้ว ภายในห้องก็ไม่ได้จุดโคมไฟ จิงไห่นั่งอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพัง มือทั้งสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แน่น

เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำไมถึงได้ฝันเช่นนี้ได้หรือว่าในใจของเขา เขาจะต้องการสังหารสือปัวจริงๆ?

ก๊อก ก๊อก—–!

เสียงเคาะประตูอยู่ๆ ก็ดังขึ้นมา

จิงไห่ตกใจจนสะดุ้งขึ้นมา มองไปทางขอบประตู สงบจิตใจ ถึงค่อยเอ่ยขึ้น “เชิญขอรับ”

ประตูห้องที่ปิดสนิทถูกเปิดออก ชายกระโปรงสายหนึ่งปรากฏให้เห็นจากช่องว่าง แสงเทียนอบอุ่นค่อยๆ ขับไล่ความมืดมิดในห้องออกไป จิงไห่มองไปทางเสวี่ยหยาที่ถือเทียนเข้ามา เดินเข้ามาในห้องของตน

เสวี่ยหยาเอาเทียนในมือวางไปบนโต๊ะในห้อง มองไปทางจิงไห่พลางเอ่ยถามขึ้น “ฝันงั้นรึ?”

จิงไห่ขบกรามแน่น พยักหน้า

อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา เขาก็เหมือนกับว่าจะค่อนข้างเปิดใจ ไม่ระมัดระวัง บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาช่วยตนเอาไว้?

เสวี่ยหยาเดินไปที่ขอบเตียง ดวงตากระจ่างที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนนั่น ดูสะดุดตายิ่งนัก “เป็นความฝันเช่นไร ถึงได้ทำให้เจ้าตกใจจนมีสภาพเช่นนี้”

“ข้า…ข้าฝันเห็นว่าตัวเองฆ่าสือปัว…” จิงไห่เอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ก่อนจะก้มหน้าของตนลงอย่างยาวนานก็ไม่ได้ยินเสียงของเสวี่ยหยาดังขึ้นเสียที จิงไห่เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีค่อนข้างร้อนรนใจ นี่ถึงค่อยค้นพบว่าเสวี่ยหยาก็ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่ที่ข้างเตียงของเขา เขาเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ มองไปทางเสวี่ยหยาด้วยท่าทางน่าสงสารพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น “พี่สาว ข้าเลวมากใช่หรือไม่?”

เสวี่ยหยาส่ายหน้าเบาๆ “เขาต้องการฆ่าเจ้า เจ้าอยากฆ่าเขานั่นก็เป็นเรื่องปกติ”

จิงไห่นิ่งชะงักไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างรับไม่ค่อยได้ “แต่ ว่า…แต่ว่าที่ผ่านมาพวกเราก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน! พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เที่ยวเล่นด้วยกัน ในตอนที่ข้าถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง เขาก็ยังอยู่เป็นเพื่อน…ต่อให้เขาต้องการฆ่าข้า ข้าก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้!”

“เจ้าก็พูดแล้วว่านั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมา ในเมื่อเขามีความคิดอยากสังหารเจ้า คงไม่ใช่ว่าครั้งหน้าที่ได้พบกันเจ้าก็จะยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้เขาสังหารเจ้าหรอกกระมัง?” เสวี่ยหยาเอ่ยถามขึ้น

“ไม่! แน่นอนว่าไม่มีทาง!”

ข้าหนีไปก็ได้!

จิงไห่แต่เดิมอยากจะพูดประโยคนี้ แต่พอสบเข้ากับดวงตาที่ราวกับสามารถมองทะลุผู้คนของเสวี่ยหยาคู่นั้น ก็พลันกลืนมันกลับไป

“พี่สาว คำพูดที่พี่มู่พูดตอนจากไป หมายความว่าเช่นไร?” ผ่านไปอึดใจหนึ่ง จิงไห่ก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง

คำถามนี้ก็รบกวนจิตใจเขามานาน ตอนนี้มีคนมาพูดคุยเป็นเพื่อนเขาแล้ว เขาแน่นอนว่าจะต้องเปิดปากถามออกไป

แต่ว่าเสวี่ยหยาไม่ได้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้เช่นนั้นเอ่ยอธิบายให้เขา แต่เป็นส่ายหน้ากล่าวขึ้น “ความคิดของคนอื่นๆ ข้ายังสามารถคาดเดาได้อยู่หลายส่วน แต่ว่ามีเพียงเขา ที่ข้ามองไม่ทะลุ และคาดเดาไม่ออก”

จิงไห่รู้สึกเสียดาย เสวี่ยหยาค่อยๆ นิ่งงันไป ความคิดราวกับว่าล่องลอยออกไปไกล

ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ดึงสติกลับมา ค้นพบว่าจิงไห่กำลังมองมาที่ตน ถึงค่อยเผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้น ยื่นมือออกไปลูบเส้นผมของเขา เอ่ยขึ้นกับเขา “ไม่ต้องคิดมากเกินไป พักผ่อนให้ดี บางทีคำตอบ เจ้าอาจได้รับรู้ในวันพรุ่งนี้”

พอกล่าวจบเสวียหยาก็หมุนกายจะเดินออกไป

“พี่สาว ข้าสามารถไปกับพวกท่านได้หรือไม่?” ในตอนที่เสวี่ยหยาเดินไปถึงขอบประตู จิงไห่อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น

เสวี่ยหยาหยุดเท้าลงก่อนหมุนตัวมองกลับไป

ภายใต้การจับจ้องของนัยน์ตาคู่นั้นของนาง จิงไห่พลันก้มหน้าลงอย่างกระดากอาย เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หมู่บ้านนั้นข้าก็ไม่คิดอยากกลับไปแล้ว เมืองไหอวี่เฉิงก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้อีก ข้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ดังนั้นแล้วสามารถตามพวกท่านไปได้หรือไม่?”

พอกล่าวจบ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางเสวี่ยหยา พลางกล่าวขึ้นอย่างขอร้องอ้อนวอน “พี่สาว ข้ารับรองว่าจะไม่เพิ่มความลำบากให้พวกท่าน? ข้าทำกับข้าวได้ ทั้งยังซักผ้าเป็น ข้ารั้งอยู่ที่ข้างกายของพวกท่านเป็นบ่าวรับใช้ให้พวกท่าน!”

เสวี่ยหยายืนนิ่งเงียบรอฟังเขาพูดจนจบ ภายใต้สายตารอคอยของเขา ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้”

คำตอบเช่นนี้ก็ทำให้จิงไห่ค่อนข้างผิดหวัง แต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร รอพรุ่งนี้ข้าค่อยไปลองถามพี่มู่ดู ถ้าหากเขาตอบตกลง คงจะดียิ่งนัก”

“แล้วถ้าหากเขาไม่ตอบตกลงเล่า?” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกสงสัย

จิงไห่นิ่งชะงักไป ก่อนจะยกมุมปากขึ้นมา เอ่ยขึ้นในแง่บวก “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เขตภาคใต้ใหญ่โตเช่นนี้ ข้าสามารถไปยังที่สักแห่ง หลังจากนั้นหาตระกูลที่ไม่เลว สมัครเข้าไปฝึกวิชา ก้าวหน้า จะต้องมีสักวันที่ข้าจะได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง!”

เขาอยากจะติดตามมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา แต่ว่าถ้าหากความหวังนี้ไม่บรรลุผล เช่นนั้นเขาก็ยังจะเดินในเส้นทางของผู้แข็งแกร่งเส้นนี้ต่อไป

พอในใจมีแผนการ จิงไห่ก็พลันรู้สึกปลอดโล่งขึ้นมาก

“พักผ่อนให้ดี” เสวี่ยหยาพูดออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปจากห้องของจิงไห่

“พี่สาวก็พักผ่อนให้ดี” จิงไห่พูดไปทางเสียงที่จากไปของเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาปิดประตูห้องของจิงไห่ลง เงยหน้ามองไปปราดหนึ่งก่อนจะเห็นเข้ากับมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน

‘ที่แท้ เขาก็ไม่ได้วางใจ’ เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นในใจประโยคหนึ่ง

แต่มู่ชิงเกอกลับกวาดตามองมาทางนางเพียงแค่สายตาเดียวก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องของตน

วันที่สอง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง มู่ชิงเกอพอตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝน ก็มองเห็นว่าตรงช่องว่างของขอบประตูด้านนอก ก็มีเงาร่างของคนยืนอยู่

“เข้ามาสิ” หลุบตาลงครุ่นคิดก่อนที่นางจะเปิดปากขึ้น

พอได้ฟังเสียงด้านในห้อง คนที่ยืนรอด้านนอกประตูอย่างยาวนานก็ถึงได้ผลักประตูเข้ามา

คนที่เข้ามานั้นก็เป็นจิงไห่ ในมือของเขายังยกอ่างนํ้า ร้อนเล็กๆ เข้ามาใบหนึ่ง เขาหลังจากเข้ามาในห้องแล้ว ก็เผยรอยยิ้มสดใสไปทางมู่ชิงเกอ เอาอ่างนํ้าร้อนวางไปบนชั้นวางตรงหน้าของมู่ชิงเกอ “พี่มู่รีบมาล้างหน้า ข้าวันนี้ก็ยืมห้องครัวของโรงเตี๊ยม ทำมื้อเช้าเอาไว้ ตอนนี้ก็กินได้แล้ว”

มู่ชิงเกอเดินลงมาจากเตียง มาที่ด้านข้างของอ่างนํ้าร้อน มองไปทางจิงไห่แวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ล้างหน้าล้างมือไปเงียบๆ จิงไห่ไม่ได้รั้งอยู่นาน เดินออกไปจากห้องนอนอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่มู่ชิงเกอล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็เห็นเขาที่ใบหน้าเต็มไปหยาดเหงื่อ ยกถาดสำรับที่วางเต็มไปด้วยจานอาหารเดินเข้ามาอีกครั้ง

เขาเอาจานอาหารในถาดสำรับยกวางไปบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง หลังจากนั้นก็หันมากล่าวกับมู่ชิงเกอ “พี่มู่ ท่านกินก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะยกอีกชุดหนึ่งส่งไปให้พี่สาว”

พอกล่าวจบก็พลันยกถาดสำรับออกไปจากห้อง มู่ชิงเกอเดินลงไปนั่งที่ตรงหน้าโต๊ะ สายตาจับจ้องไปบนจานอาหารและถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่บนโต๊ะ

รอจนตอนที่จิงไห่โผล่มาที่ห้องของเขาอีกครั้ง นางก็ได้กินมื้อเช้าที่เขาเตรียมเอาไว้เป็นพิเศษจนหมดแล้ว

ที่ตามจิงไห่เข้ามายังมีเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาหลังจากเข้ามาแล้วก็เดินไปที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ

ส่วนจิงไห่นั้นกลับกลายเป็นติดๆ ขัดๆ ยืนตรงหน้ามู่ชิงเกอด้วยจิตใจว้าวุ่น

มู่ชิงเกอมองไปทางเขา แต่กลับไม่ได้เอ่ยวาจา ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง จิงไห่อยู่ๆ ก็คุกเข่าลงไปที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ครั้งนี้นางไม่ได้หักห้ามเขาที่กำลังจะคุกเข่า เขานิ่งชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “พี่มู่ จิงไห่มีเรื่องอยากจะขอร้อง ข้าอยากจะติดตามอยู่ข้างกายของพี่มู่ ข้า…ข้าสามารถ ติดตามท่านได้หรือไม่?”

“เพราะอะไร?” มู่ชิงเกอยิ้มเย็นพลางเอ่ยขึ้น “เพราะเหตุ ใดถึงต้องการรั้งอยู่ที่ข้างกายข้า? เป็นเพราะรู้สึกว่าติดตามอยู่ข้างกายข้าแล้วจะไม่มีคนกล้ารังแกเจ้าอีกรึ?

หรือรู้สึกว่าพวกเราสามารถปกป้องตัวเจ้าได้?”

“ไม่! ไม่ใช่เพราะเป็นเช่นนั้น!” จิงไห่นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งรีบอธิบายขึ้น “พี่มู่ข้าไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น ข้าไม่คิดว่าจะให้พวกท่านมาปกป้องข้า ข้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน อยากจะตามพวกท่านไปก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นเจ้าจะเป็นตัวถ่วงของพวกเราหรือไม่?” เสียงของมู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างเย็นชา

“ข้า…” จิงไห่ถูกถามจนนิ่งงันไป เขาอยากจะบอกว่า ไม่ นัก แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เขารู้ว่าตัวเองนั้นไร้พลัง แน่นอนว่าจะต้องกลายเป็นตัวถ่วงของพวกมู่ชิงเกอทั้งสองคน

จิงไห่หลังจากนิ่งคิดไป ก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ในแววตาของเขาก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่น เขาเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “พี่มู่ ท่านสอนข้าฝึกฝนเถอะ! ข้าจะตั้งใจฝึกวิชา พยายามกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง! ข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใครอีก ไม่อยากจะหลบอยู่ด้านหลังของใครอีกแล้ว ข้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้น ข้าอยากจะใช้กำลังของตนปกป้องตัวเอง ปกป้องคนที่ข้าอยากปกป้อง!”

“เจ้าอยากจะกราบอาจารย์หรือไง?” มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นบางๆ ยิ้มขึ้นมาอย่างนึกสนุก

จิงไห่นิ่งชะงักไป ก่อนจะตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว พยักหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี “ขอรับ! ข้ากำลังกราบอาจารย์! พี่มู่ ไม่สิ…อาจารย์ขอร้องท่านได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะตั้งใจฝึกฝน ไม่มีทางทำให้ท่านต้องผิดหวัง”

จิงไห่ชัดเจนว่ายินดีอย่างถึงที่สุด เรื่องจะกราบมู่ชิงเกอเป็นอาจารย์เขา ก่อนหน้าไม่ได้คาดหวังแม้แต่น้อย

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบเรียกอาจารย์” ในตอนที่จิงไห่กำลังตื่นเต้นยินดีมู่ชิงเกออยู่ๆ ก็ขัดคำพูดของเขาขึ้น

จิงไห่มองไปทางเขา ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอมองไปทางเสวี่ยหยา ฝ่ายหลังหมุนกายจากไป ก่อนที่หลังจากนั้นไม่ทันไรนางก็ลากคนชุดดำที่สลบเมือดอยู่คนหนึ่งเอามาไว้ที่ตรงหน้าของจิงไห่

ตุบ

คนชุดดำถูกเสวี่ยหยาโยนลงไปที่ตรงหน้าของจิงไห่ จิงไห่มองไปทางคนชุดดำ นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาหรี่เล็กลง มองไปทางการแต่งกายของคนผู้นั้นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร เขามาปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ถูกพี่สาวสยบไปแล้วรึ?

ตอนนั้นเองมู่ชิงเกอก็พลันเปิดปากขึ้น “เขาเป็นมือสังหารที่ลอบเข้ามาในโรงเตี๊ยมเมื่อคืน บนตัวของเขาไม่ได้มีสิ่งของที่ใช้ยืนยันสถานะได้ แต่ก็ไม่ยากที่คาดเดาได้ว่าคนที่สั่งการมานั้นเป็นใคร หากเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ของข้า เช่นนั้นก็ฆ่าเขาเสีย”

“อะไรนะ?” จิงไห่ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอ

ฆ่าคน? เขาเคยแต่ฆ่ากระต่าย ฆ่าไก่ป่า ฆ่าปลา แต่ยังไม่เคยฆ่าคนมาก่อน!

ในตอนที่ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำเอานิ่งชะงักไปนั้น เสวี่ยหยาก็หยิบมีดออกมาแล้วเล่มหนึ่ง โยนไปที่ด้านหน้าของเขา

“ข้า…” จิงไห่ไม่ได้ยื่นมือออกไปจับมีด แต่เป็นมองไปทางมู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยา มู่ชิงเกอแววตาเฉยชาจ้องมองไปทางเขา “ข้านั้นเป็นแต่การสังหารคน อยากจะกราบข้าเป็นอาจารย์ ที่จะได้เรียนก็ล้วนแต่วิธีการสังหารคน เจ้าค่อยๆ คิดได้ และ สามารถล้มเลิกความคิดได้เช่นกัน ข้านั้นไม่ได้ขาดลูกศิษย์”

ในตอนที่จิงไห่กำลังตกอยู่ในการครุ่นคิด ในตระกูลโต้วตอนนี้ก็มีเสียงโต้เถียงอันดุดันระเบิดดังขึ้น

“เจ้ารอง เจ้าช่างเลอะเลือนนัก! ถึงกับส่งคนไปลอบสังหาร? จนถึงตอนนี้คนก็ยังไม่กลับมา คาดว่าคงจะถูกจัดการอยู่ด้านในแล้ว” ประมุขตระกูลโต้วเอ่ยขึ้นอย่าง นึกโมโห

นายท่านรองสีหน้าดำคลํ้า ไม่ได้กล่าววาจา

นายท่านสามก็พูดขึ้นมาอย่างรู้จังหวะ “ข้าได้ไปสืบข้อมูลมาแล้ว คนผู้นั้นหลังจากออกไปจากโรงนํ้าชาแล้ว ก็ได้ไปที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อ อยู่ในนั้นช่วงหนึ่งก่อนจะออกมา”

“กลุ่มของพวกหลิวเค่อ?” นัยน์ตาของประมุขตระกูลโต้วพลันหรี่เล็กลง ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่ที่ที่พวกเราตระกูลโต้วจะสามารถสอดมือเข้าไปได้”

พอกล่าวจบ เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แล้วสืบได้ข้อมูลอื่นใดนอกจากเรี่องที่เขาเข้าไปในกลุ่มของพวกหลิวเค่อหรือไม่ หรือว่ายังมีไปพบคนผู้ใดอีก?”

“มีคนเห็นเขาพูดคุยกับหัวหน้ากองกำลังระดับอำพันคนหนึ่งอยู่หลายประโยค ก่อนที่จะเดินตามกันไป หลังจากนั้นก็ไปตั้งภารกิจที่โถงรับภารกิจของพวกหลิวเค่อแล้วจากมา”

“ตั้งภารกิจที่โถงรับภารกิจ?” ในแววตาของประมุขตระกูลโต้วก็พลันไหววูบ เอ่ยถามขึ้น “ตรวจพบรึยังว่าเขาตั้งภารกิจอะไร?”

นายท่านสามกลับส่ายหน้าขึ้น “ยังขอรับ”

คำตอบนี้ก็ทำให้ประมุขตระกูลโต้วรู้สึกผิดหวังมาก ทั้งยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

“พี่ใหญ่ พวกเราตอนนี้ควรจะเช่นไรดี?” นายท่านสามเอ่ยถามขึ้น

ประมุขตระกูลโต้วเอ่ย “ในเมื่อฝั่งนี้หาเบาะแสอะไรไม่เจอ เช่นนั้นก็ไปจับตาดูฝั่งตระกูลลี่ ฝั่งของลี่หยุนเทาฝั่งนั้น!”

ฆ่า หรือว่าไม่ฆ่า?

นี้ก็ถือเป็นคำถามข้อหนึ่ง

มู่ชิงเกอก็พูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขานั้นเป็นแต่การสังหารผู้คน หากจะกราบเขาเป็นอาจารย์ก็จำเป็นต้องมีความกล้าที่จะฆ่าคน

จิงไห่ที่ตกอยู่ในความลังเลค่อยๆ คว้ามีดยกขึ้น

เขาพูดกับตัวเองอย่างต่อเนื่องไม่หยุดว่าคนตรงหน้านี้ไม่ได้เป็นคนดี เขาเป็นคนเลว

แต่ว่าพอนึกตอนที่มีดแทงเข้าไป นึกถึงฉากภาพที่เลือดทะลักพุ่งออกมา เขาก็สัมผัสได้ว่าฝ่ามือทั้งสองของตนกำลังสั่นไหว

“เสวี่ยหยา ไปลงมือแทนเขาเถอะ” ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นมาราวกับหมดความอดทน

“ไม่! ข้าทำได้!” จิงไห่หยุดยั้งการขยับตัวของเสวี่ยหยา

เขานัยน์ตาทั้งสองข้างแดงกํ่าจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ ขบกรามเอ่ยขึ้น “ข้าทำได้! ข้ารู้ข้าก็รู้มาตลอดว่า หากเริ่มต้นฝึกฝน ก็จะต้องได้พบกับสิ่งพวกนี้ ผู้แข็งแกร่งที่ แท้จริงก็จำต้องผ่านการชำระล้างด้วยโลหิตมาก่อน ข้าทำได้!”

พอกล่าวจบมือทั้งสองข้างของเขาก็กำแน่นไปที่มีด เล็งมันไปยังตำแหน่งหัวใจของชายชุดดำ ก่อนจะแทงลงไปในทันที

ตัวมีดก็แทงลงไปอย่างง่ายดายนัก แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ว่าเลือดจะต้องสาดกระเด็นออกมา เขาเพียงแต่ค้นพบว่าเลือดที่หลั่งออกมาก็ค่อยๆ ไหลย้อมลงไปบนเนื้อผ้าสีดำ

ชีวิตหนึ่งชีวิต ต้องมาจากไปอย่างไร้สุ่มเสียงเช่นนี้

จิงไห่นิ่งงัน ฝ่ามือทั้งสองคลายออก คุกเข่าลงไปกับพื้น ใบหน้าซีดขาวจ้องมองไปยังซากศพบนพื้น เลือดไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็วมาก ค่อยๆ ย้อมพื้นจน กลายเป็นสีแดง

“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” อยู่ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดัง ออกมาจากด้านนอกประตู

จิงไห่มองออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเห็นชายผ้าไหมหรูหราผืนหนึ่งโผล่เข้ามาสู่สายตาของตน

สายตาของเขาค่อยๆ ขยับเลื่อนขึ้น ก่อนจะเห็นเข้ากับชายวัยกลางคนที่มีโครงหน้าองอาจที่ให้ความรู้สึกดุดัน เสื้อผ้าของเขากับความทรงพลังนั้นก็ไม่ธรรมดาสามัญ ทำให้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ

“ที่แท้ก็เป็นประมุขตระลี่ ไม่มีอันใด เพียงแค่กำลังจัดการกับพวกที่มาโดยไม่เชิญก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอมองไปทางผู้มา เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงราบเรียบไม่ตื่นตระหนก

ประมุขตระกูลลี่!

ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิง!

นัยน์ตาของจิ่งไห่พลันหดเล็กลงอย่างรุนแรง กลายเป็นตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!

การปรากฏตัวของลี่หยุนเทาก็ราวกับว่าจะขับไล่ความหวาดกลัวหลังจากที่ได้ฆ่าคนจากเขาไปจนหมด…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!