Skip to content

พลิกปฐพี 226

ตอนที่ 226

อะไรถึงเรียกว่าอหังการของแท้!

ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองไหอวี่เฉิง ประมุขตระกูลลี่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?

จิงไห่ตกตะลึง!

เมื่อวานเขาพักรักษาบาดแผลในห้อง แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องที่ลี่หยุนเทามา ตอนนี้ สายตาของเขาออกจากลี่หยุนเทา ขยับไปที่มู่ชิงเกอ รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนเป็นใหญ่โตขึ้นมา… เพิ่งจะมาถึงเมืองไหอวี่เฉิงแค่วันเดียว ก็สามารถทำให้ประมุขตระกูลลี่มาพบถึงที่อยู่ได้นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก!

จิงไห่อายุยังน้อยแต่ฉลาดเฉลียว เพิ่งจะผ่านการฆ่าคนมา ยังไม่ทันได้เกิดความหวาดกลัวหลังฆ่าคน ก็ถูกการปรากฏตัวของลิ่หยุนเทาทำลายความหวาดกลัวนั้น ไปจนหมด

“อ้า? มีคนไม่รู้จักที่ตายมารบกวนการพักผ่อนของคุณชายมู่งั้นหรือ?’’ นัยน์ตาของลี่หยุนเทาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว กวาดตามองไปยังร่างศพบนพื้น

จิงไห่สัมผัสได้ว่าลี่หยุนเทาก็ไม่ได้สนใจเรื่องการฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนกับว่า การฆ่าคนในสายตาของเขานั้นเป็นเรื่องปกติ

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างเฉยชาประโยคหนึ่งแล้วค่อยเอ่ยกับลี่หยุนเทาว่า “ประมุขลี่ เชิญนั่ง”

ในระหว่างที่พูดก็ยกกาชามารินชา

ลี่หยุนเทาเดินเข้ามา และก็ไม่ลืมสั่งการบ่าวด้านนอกประตู “ใครก็ได้มาจัดการเก็บกวาดให้สะอาด”

คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป นอกประตูก็มีบ่าวตระกูลลี่สองคนเดินเข้ามา พวกเขามองเห็นร่างศพก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับแบกร่างศพไปอย่างเคยชิน แล้วก็ยังเอานํ้าสะอาดมาล้างคราบเลือดออกจากพื้นด้วย

จิงไห่ยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างตกตะลึง มองการกระทำของพวกเขา ความกลัวจากการฆ่าคนครั้งแรกค่อยๆ สงบลง

เขาในตอนนี้เหมือนจะเพิ่งได้รับรู้ข้อเท็จจริงว่าโลกแห่งผู้แข็งแกร่งที่เขาคิดจะไปสู่นั้น การเกิดและการตายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงเขาออกจากหมู่บ้าน ตัดสินใจเข้ามาสู่โลกใบนี้ หากเขาไม่ฆ่า เขาก็จะโดนฆ่า

ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ความคิดของจิงไห่กลายเป็นเติบโตขึ้นมากในพริบตา

เขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่เพิ่งออกจากหมู่บ้านและไม่รู้เรื่องราวของโลกผู้แข็งแกร่งภายนอกอีกต่อไป เขาเริ่มรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลก

หากตัวเองไม่แข็งแกร่ง ก็จะถูกคนเอาชีวิตไปเป็นของเล่น!

จิงไห่มองพื้นที่ค่อยๆ ถูกล้างไปจนสะอาดแล้ว ก็ถามตัวเองในใจว่า ‘ถ้าหากว่าตนเองถูกฆ่า เกรงว่าคงจะถูกล้างอย่างสะอาดเช่นนี้’

“ประมุขลี่มาหาเช้าถึงขนาดนี้มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยกจอกชาขึ้นมาจิบ วางไว้ที่ริมฝีปากเป่าเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม

ประมุขตระกูลลี่พยักหน้า “วันนี้ที่มา เรื่องหลักก็คือคิดอยากจะเชิญคุณชายมู่ไปพบคนๆ หนึ่ง”

“หืม?” มู่ชิงเกอเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มวางจอกชาลง นัยน์ตาวาววาบกวาดมองไปยังลี่หยุนเทา “ประมุขลี่คิดจะพาข้าไปเจอคนของตระกูลไปอย่างนั้นหรือ?”

ประโยคของนางเพิ่งจะหลุดออกไป ดวงตาของลี่หยุนเทาก็ฉายแววลึกลํ้าขึ้น ค่อยๆ หดตัวลง

แม้แต่จิงไห่ก็พบว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขาจะถูกคำพูดของอาจารย์ทำให้ตกใจ

ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะยังไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์ แต่จิงไห่ก็จำคำพูดของมู่ชิงเกอประโยคนั้นได้ ‘คิดจะเป็นศิษย์ของเขา ก็ต้องมีความกล้าที่จะฆ่าคน’

ตอนนี้ เขาฆ่าคนแล้ว ถือว่าเป็นศิษย์แล้วใช่ไหม?ในใจของจิงไห่คิดเอาว่าตัวเอง ได้รับสถานะศิษย์ของมู่ชิงเกอแล้ว

หลังจากท่าทางของลี่หยุนเทากลับคืนสู่ปกติแล้ว ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา สายตาที่มองมายังมู่ชิงเกอเพิ่มความระวังขึ้น “เหอ เหอ ปิดบังอะไรคุณชายมู่ไม่ได้เลยจริงๆ”

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ “ประมุขลี่ชมเกินไป ตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาในเมือง ก็ได้ยินว่าที่ตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้เพิ่มก็เป็นเพราะตระกูลลี่และตระกูลไป๋รับสมัครหลิวเค่อมาจำนวนไม่น้อย พวกเขาถึงเริ่มรับสมัครอย่างกะทันหัน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ลี่หยุนเทาก็เผยท่าทางที่ดูนับถือออกมา เอ่ยชมมู่ชิงเกอว่า “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณชายมู่กลับสามารถอาศัยแค่คำพูดเหล่านี้เดาออกได้ว่า ข้ากับตระกูลไป๋ร่วมมือกันแล้ว ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะอย่างน้อยคนของตระกูลโต้วก็เดาไม่ออก”

พูดจบเขาก็มองไปยังเสวี่ยหยาและจิงไห่ จากนั้นก็ส่งสายตามาถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเข้าใจความหมายจากสายตาของเขา จึงยิ้มและเอ่ยกับเขาว่า “ประมุขลี่ไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเขาล้วนเป็นคนกันเอง”

ในเมื่อมู่ชิงเกอพูดถึงขนาดนี้แล้ว ลิ่หยุนเทาก็ไม่ซักไซ้ เขาเอ่ยว่า “เมื่อวานข้าได้มาพูดความในใจกับคุณชายมู่แล้ว วันนี้พวกเราไปพบประมุขตระกูลไป๋ ถือว่าไปพบหน้าพูดคุยวางแผนกัน ผลลัพธ์จะสำเร็จหรือไม่ ไม่กี่วันนี้ก็คงได้รู้แล้ว”

“ได้” มู่ชิงเกอตอบตกลง

เห็นมู่ชิงเกอตกลง ลี่หยุนเทาก็ยืนขึ้นทันที กวาดตามองไปยังเสวี่ยหยาและจิงไห่ แล้วค่อยเอ่ยว่า“เช่นนั้น ข้าจะไปรอคุณชายมู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม”

เขามอบเวลาให้แก่มู่ชิงเกออย่างมีไหวพริบ เพราะว่าในใจของเขารู้ดี ตัวเองโผล่เข้ามาอย่างกะทันหัน ก็ได้ขัดขวางเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่

หลังจากลี่หยุนเทาออกไปแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงพวกมู่ชิงเกอสามคน

จิงไห่คุกเข่าลงต่อหน้าของมู่ชิงเกออีกครั้ง โขกหัวให้เขาสามครั้ง เอ่ยกับเขาว่า “อาจารย์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย”

รอจนเขาโขกศีรษะเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยว่า “คิดจะเป็นศิษย์ของข้า ก็ต้องรับการฝึกฝน ซึ่งจะโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก แล้วก็ไม่มีโอกาสให้ถอยหลังอีกแล้ว ถ้าหากว่าวันใดเจ้าทรยศข้า ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวข้าเอง ไม่มีเมตตาเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าหากว่าการฝึกฝนของเจ้าไม่ถึงความต้องการของข้า ก็ล้มเลิกไปได้เลย ยังมีอีกอย่าง ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ เรียกข้าว่า ครูฝึก”

“ครูฝึก?” จิงไห่เอ่ยคำที่ไม่คุ้นเคยออกมา

“ใช่” มู่ชิงเกอพยักหน้า นางรู้สึกรื่นหูต่อคำว่า ‘ครูฝึก’ มากกว่าพวกคำว่าอาจารย์นี่ถือว่าเป็นอาการเรื้อรังจากชีวิตก่อนหรือไม่?

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เอ่ยกับเขาว่า “จำคำของข้าไว้ให้ดี?”

“ขอรับ ครูฝึก!” จิงไห่พยักหน้าอย่างจริงจัง ใบหน้าอ่อนเยาว์เริ่มปรากฏแววสุขุมลึกลํ้าออกมา ความไร้เดียงสาดูเหมือนว่าจะหายไปในเวลาเพียงแค่คืนเดียว

“พวกเจ้าทั้งสองตามมา” มู่ชิงเกอทิ้งคำออกไป แล้วก็เดินออกไปนอกห้อง

เสวี่ยหยารีบตามไปในทันที จิงไห่ตามไปเบื้องหลัง ลอบถามว่า “พี่สาว เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าต้องเรียกท่านว่าอาจารย์แม่ใช่หรือไม่?”

แก้มของเสวี่ยหยาแดงขึ้นนึกย้อนไปตอนที่เมื่อก่อนมู่ชิงเกอเออออตามนํ้าตามความเข้าใจผิดของจิงไห่ นางเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่จำเป็น เจ้ายังคงเรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ”

“เอ๋?” จิงไห่คิดไปมาอย่างมึนงง

เห็นใบหน้าที่ดูมึนงงของเขาแล้ว เสวี่ยหยาก็อธิบายไปประโยคหนึ่ง “ข้าไม่ใช่ภรรยาของเขาเป็นแค่บ่าวรับใช้ประจำตัว”

เพียงแค่ประโยคเดียว ก็พูดได้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของนางกับมู่ชิงเกอ แล้วก็ทำให้จิงไห่ได้ยินถึงความเศร้าใจในนํ้าเสียง

เดิมคิดว่าพี่สาวที่งดงามถึงขนาดนี้จะเป็นภรรยาของอาจารย์คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ประจำตัว? ทันใดนั้นจิงไห่ก็รู้สึกเต็มไปด้วยความสงสัยต่อครู ฝึกของตนเอง

ทั้งสองคนตามมู่ชิงเกอเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม ด้านนอกโรงเตี๊ยม ลี่หยุนเทานั่งอยู่บนรถลากที่มีสัตว์อสูรวิญญาณลากจูงรออยู่

รถลากสัตว์อสูรวิญญาณนี้ไม่ใช่อะไรที่รถลากของอารองตระกูลสือจะสามารถเทียบได้

แม้แต่สัตว์อสูรวิญญาณที่ลากรถก็ไม่ใช่ระดับเดียวกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการตกแต่งที่ดูงดงามกว่ามาก ห้องโดยสารดูแข็งแกร่ง

มู่ชิงเกอกวาดตามองแวบหนึ่ง ในใจเกิดความชื่นชมไม่หยุด อยู่ในหลินชวนสัตว์อสูรวิญญาณคือสิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัว แต่ในโลกแห่งยุคกลาง สัตว์อสูรวิญญาณกลับกลายเป็นพาหนะให้คน เหมือนเช่นสัตว์เลี้ยงในบ้าน

รอจนพวกมู่ชิงเกอสามคนปรากฏตัวออกมา ลี่หยุนเทาก็ค่อยเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกมา

เขาพยักหน้าให้มู่ชิงเกอ นางก็ขึ้นไปบนรถ เสวี่ยหยาก็เข้าไปนั่งตาม ส่วนจิงไห่ก็รู้ตัวนั่งอยู่ข้างคนขับรถ ไม่ได้เข้าไปในห้องโดยสาร

หลังจากคนครบแล้ว คนขับรถก็ควบคุมสัตว์อสูรวิญญาณค่อยๆ จากไปจากโรงเตี๊ยม

ทิศทางที่รถมุ่งไป ไม่ใช่จวนของตระกูลไป๋ แต่เป็นบ้านพักนอกเมืองแห่งหนึ่ง

บ้านพักตั้งอยู่ห่างไกลออกไป ลึกลับมาก เป็นสถานที่ๆ เหมาะแก่การหารือเรื่องลับ

ตามทาง ลี่หยุนเทาก็แนะนำมู่ชิงเกอว่า “บ้านพักแห่งนี้ เป็นบ้านอีกหลังของข้า รอบด้านล้วนแต่เป็นคนของตระกูลลี่ คนปกติไม่อาจเข้าใกล้ได้ เรื่องใหญ่เรื่องนี้พูดคุยที่นี่ปลอดภัยที่สุด”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไร

ในความเป็นจริง ความปลอดภัยที่ว่าก็เป็นเพียงแค่การคาดคะเนและการเปรียบเปรยเท่านั้น

ก็เหมือนกับความแข็งแกร่งที่เป็นเพียงแค่การคาดคะเนและเปรียบเปรย ไม่ใช่จะแน่นอนและวัดระดับได้แน่ชัดไปเสียหมด

“คุณชายมู่ เดิมข้าคิดจะร่วมมือกับตระกูลไป๋ไปล้มล้างตระกูลโต้ว และในตอนที่ตระกูลไป๋อ่อนแอไม่ทันระวัง ก็จะล้มล้างตระกูลไป๋ไปในคราวเดียว วันนี้ เดิมทีข้าไม่ได้อยากให้คนของตระกูลไป๋กับเจ้าพบกัน แต่เป็นเพราะทางฝั่งของตระกูลไป๋ได้ยินข่าวเรื่องที่ข้ากับเจ้าพบกัน เดาออกว่าข้าคิดจะลากเจ้ามาร่วมมือ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดอยากจะเจอเจ้าสักครั้ง” ลี่หยุนเทาเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “พบข้าแล้ว ก็เริ่มข่มขู่ ทำให้ข้ายอมปล่อยผลประโยชน์ถ้าหากไม่ได้ก็จะจัดแบ่งผลประโยชน์ให้ชัดเจนใช่หรือไม่?’’

ท่าทางของลี่หยุนเทาไม่ได้ดูกระดากใจ แต่กลับพยักหน้าต่อคำพูดของมู่ชิงเกอ เอ่ยปลอบว่า “คุณชายมู่วางใจได้ เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน รอพบคนของตระกูลไป๋แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจ”

มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูดจา ละสายตาออกจากลี่หยุนเทาไปที่นอกหน้าต่าง

การตัดสินใจในใจของลี่หยุนเทา นางเข้าใจดี

ดึงดูดนางเข้าไปในกระดาน จะเดินอย่างไรก็ต้องรอให้พวกเขาตัดสินใจแล้ว

รถลากแล่นเข้าไปภายในเขตบ้านพัก

ภายในบ้านพัก อาจจะเป็นเพราะป้องกันไม่ให้มีใครแอบฟัง จึงมองไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่น้อย

หลังลงจากรถแล้ว พวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนก็ถูกนำเข้าไปโดยลี่หยุนเทา เดินเข้าไปในห้องโถงที่ใช้พูดคุยธุระ

ตอนที่พวกเขามาถึง ภายในห้องโถงก็มีคนนั่งอยู่แล้วสองคน

ใบหน้าของทั้งสองคนดูคล้ายกัน แต่อายุกลับห่างกันเกือบยี่สิบกว่าปี มองออกไม่ยากว่าเป็นพ่อลูกกัน

เห็นลี่หยุนเทาเดินเข้ามา ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ หลังจากมองเห็นพวกมู่ชิงเกอสามคนแล้ว ท่าทางของทั้งสองคนก็ฉายแววดูแคลนและท้าทาย ก่อนจะนั่งลงไป ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นพวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนอยู่ในสายตา

การพบกันเช่นนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจเลยสักนิด เพียงแต่นำเสวี่ยหยาและจิงไห่สองคนหาที่นั่ง แล้วนั่งลง

เพิ่งจะนั่งลง ก็รู้สึกถึงสายตาอันดุดันสองสายมองมาทางพวกเขา

นางเงยหน้ามองไป มองเห็นนายน้อยของตระกูลไป๋ผู้นั้น กำลังใช้ดวงตาอันเร่าร้อนจ้องมาทางเสวี่ยหยา ส่วนเสวี่ยหยาก็ขมวดคิ้วอย่างรำคาญ ค่อยๆ หันกาย หลบสายตาอันเร่าร้อนนั้น

ถ้าหากว่าเป็นเพราะไม่อยากทำลายเรื่องของมู่ชิงเกอ เสวี่ยหยาก็คงจะลงมือสั่งสอนเจ้าคนใจกล้าผู้นี้ไปนานแล้ว

“มา ข้าจะแนะนำทุกคนเสียหน่อย สองท่านนี้คือประมุขตระกูลไป๋ ไป๋จิ้งถิง นายน้อยไป๋เซียว ท่านนี้คือมู่ชิงเกอ คุณชายมู่”

“นายน้อยไป๋สนใจผู้หญิงข้างกายข้ามากอย่างนั้นหรือ?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากขึ้นมา ตัดบทพูดของลี่หยุนเทา

คำพูดเพิ่งหลุดออกไป ก็นำพาพายุอารมณ์หึงหวงของหนุ่มสาวให้ลุกโชนขึ้นมา

ลี่หยุนเทามองมู่ชิงเกออย่างประหลาดใจ ดูเหมือนเมื่อก่อนที่เขาได้สัมผัส ก็ไม่พบว่ามู่ชิงเกอเป็นคนที่ชอบสาวงาม หรือเป็นคนที่ชอบหึงหวง

ส่วนไป๋เซียว นายน้อยไป๋ผู้นั้นหลังจากได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็เพียงแต่ชะงัก พยักหน้าอย่างไม่ละอาย “ไม่ผิด ข้าชอบนาง อย่างไร? คุณชายมู่ยอมปล่อยให้งั้นหรือ?’’

ไป๋จิ้งถิงได้ยินบุตรชายพูดจาเหลวไหลแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม ดูเหมือนว่าก็มีใจคิดอยากจะให้บุตรชายสั่งสอนมู่ชิงเกอสักครั้ง

ส่วนลี่หยุนเทาที่มองไม่ออกถึงความคิดของมู่ชิงเกอ ก็ทำได้เพียงเงียบ ในใจลอบคาดการณ์หวังว่ามู่ชิงเกอคง ไม่ทำลายแผนการใหญ่ของตนเองเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว

มู่ชิงเกอค่อยๆ ยิ้มออกมา เอ่ยกับไป๋เซียวว่า “นายน้อยไป๋เข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่คิดจะบอกเจ้าว่า ของของข้า คนของข้า หากว่ามีใครกล้าอยากได้ เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มควักตาเขาออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยตัดคอเขา”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ไป๋เซียวกับไป๋จิ้งถิงสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน

โดยเฉพาะไป๋เซียว ภายในเมืองไหอวี่เฉิง ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน? ใบหน้าของเขาเยียบเย็นขึ้น มองมู่ชิงเกออย่างอำมหิต “เจ้า!”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้พ่อลูกตระกูลไป๋อดกลั้นไม่อยู่ แต่กลับทำให้เสวี่ยหยาค่อยๆ รู้สึกซาบซึ้ง คำพูดอย่างอหังการของมู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง แม้ว่านางจะเข้าใจดีว่าที่มู่ชิงเกอให้นางอยู่ข้างกายนั้นเป็นเพราะอะไร แต่นางก็ยังคงหวั่นไหวแล้ว ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน

แสงสีม่วงเทาสายหนึ่ง พุ่งมาที่มู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ไป๋เซียวลงมืออย่างไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี คิดแต่อยากจะสั่งสอนมู่ชิงเกอ

การโจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้จิงไห่ตกใจจนหน้าถอดสี กำลังจะพุ่งไปขวางข้างหน้า แต่ก็ถูกเสวี่ยหยาจับแข เอาไว้ขวางการเคลื่อนไหวของเขา

การโจมตีของผู้เพิ่งจะข้ามระดับสู่ระดับสีเทา ไป๋จิ้งถิงกับลี่หยุนเทาคิดจะห้ามก็ห้ามได้

แต่พวกเขากลับเงียบไม่ลงมือ

มุมปากของมู่ชิงเกอมีรอยยิ้มออกมา การโจมตีที่พุ่งเข้ามาหานางสายนั้น มาจนถึงข้างหน้าของนาง นางก็ยังคงไม่ขยับ

ในตอนที่ไป๋เซียวคิดว่าเขาตกใจกลัวการโจมตีของตนเองนั้น การโจมตีที่ดุดันนี้ ก็แตกสลายไปอย่างไร้สุ่มเสียง ต่อหน้ามู่ชิงเกอ

เหล่าแสงสีม่วงเทาเหล่านั้น แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ น้อยๆ ตกลงมา

ส่วนในตอนที่พวกมันกำลังจะสลายไปนั้น มู่ชิงเกอก็สะบัดมือ ม้วนเอาเหล่าแสงนั้นขึ้นมา กลายเป็นลูกบอล โยนทิ้งไปยังไป๋เซียว

ฉากๆ นี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน การโจมตีนั้นพุ่งไปใส่ไป๋เซียว เร็วเสียยิ่งกว่าตอนมาอีก เร็วเสียจนไป๋จิ้งถิงคิดจะยื่นมือออกหยุดยั้ง ก็ทำได้เพียง

แค่ทำให้ฝ่ามือของตัวเองได้รับบาดแผลเท่านั้น

ลูกบอลแสงไปจนถึงตรงหน้าของไป๋เซียว ระเบิดเข้าที่หน้าอกของเขา

ปัง!

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นภายในห้องโถง ไป๋เซียวร้องออกมาอย่างโหยหวน ลอยออกจากที่นั่ง พุ่งเข้าไปชนกำแพงด้านหลังอย่างรุนแรง ตกลงพื้นกระอักเลือดออกมา

“เซียวเอ๋อร์—–!” ไป๋จิ้งถิงตกตะลึงลีหน้าถอดสี รีบวิ่งเข้าไปตรวจดูบาดแผลของลูกชาย

ลี่หยุนเทามองไปยังมู่ชิงเกอ ลอบพยักหน้า และก็เดินเข้าไปตาม

มู่ชิงเกอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ไม่ได้กังวลใจกับสถานการณ์ทางนั้น ดูเหมือนว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของนาง

ลักษณะที่ดูสงบเช่นนั้น อาการที่สาหัสของไป๋เซียว ทำ ให้จิงไห่มองอย่างบูชาอยู่ในใจ ตื่นเต้นขึ้นมา

ในตอนที่ไป๋เซียวมองเสวี่ยหยาอย่างป่าเถื่อนนั้น เขาก็คิดอยากจะพูดอะไรออกมาแล้ว แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่าคำพูดของเขานั้นอาจจะเบาไป ทั้งยังไม่ส่งผลอันใด ทำอะไรไม่ได้ หากฝืนออกหน้าไป ก็จะเพียงแต่ทำให้อาจารย์ลำบาก ดังนั้นจึงได้อดทนเอาไว้

ดังนั้นพูดได้ว่า การเคลื่อนไหวที่แข็งกร้าวของมู่ชิงเกอ ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความแค้นในใจออกมาได้ ความนับถือที่มีต่อมู่ชิงเกอเพิ่มขึ้นไปอีก

“เจ้า! ลูกชายของข้าพูดแค่สองประโยค เจ้ากลับลงมือหนักถึงขนาดนี้เลยหรือ?” หลังจากไป๋จิ้งถิงตรวจดูอาการบาดเจ็บของไป๋เซียวแล้วก็ตะคอกหาความยุติธร

รมกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเยาะหยันเอ่ยกับเขาว่า “ประโยคนี้ของประมุขไป๋ น่าจะพูดก่อนที่นายน้อยไปจะลงมือกับข้าถึงจะถูก แล้วก็ยังมีคำพูดเหล่านี้ มาพูดคำเช่นนี้ในตอนนี้ ไม่รู้สึกว่าน่าอายหรืออย่างไร? สู้ไม่ได้ก็ถือว่าแล้วไป แต่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้นี่จะทำให้คนดูแคลน”

“เจ้า…เจ้า…” ไป๋จิ้งถิงโกรธจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เดิมทีคิดจะสั่งสอนมู่ชิงเกอสักรอบ จะให้เขาได้รู้ว่าผลประโยชน์ในเมืองไหอวี่เฉิงไม่ใช่อะไรที่คนนอกจะ สามารถเข้ามาขอแบ่งได้

แต่ว่า เพิ่งจะลงมือ ทุกอย่างก็พลันพลิกกลับ ที่ถูกสั่งสอนนั้นไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เป็นตระกูลไป๋ของพวกเขา

สีหน้าของไป๋จิ้งถิงเปลี่ยนเป็นเขียวคลํ้าด้วยความโมโห ไป๋เซียวกองอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น

มู่ชิงเกอกลับมองไปยังลี่หยุนเทา เอ่ยตรงๆ กับเขาเลยว่า “ประมุขลี่ตัดสินใจจะลงมือเมื่อไหร่?”

ลี่หยุนเทาก็คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะอาศัยเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ ทำให้คนของตระกูลไป๋ไร้คำพูดที่จะเอ่ย หลังจากได้ยิน คำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว เขาถึงเอ่ยว่า “ได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว เพียงแค่รอจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมลงมือกับตระกูลโต้ว…”

มู่ชิงเกอยืนเอ่ยอย่างไม่อดทนว่า “สองตระกูลต่อกรตระกูลเดียว ยังต้องวางแผนอะไรอีก? โจมตีไปเลยก็สิ้นเรื่อง”

เพ้ย!

ไป๋จิ้งถิงตกตะลึง

ลี่หยุนเทาก็ตกตะลึง!

พวกเขาใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดที่อหังการมั่นใจเช่นนี้ออกมาจากปากของมู่ชิงเกอ!

อะไรที่เรียกว่าโจมตีไปเลย?

ให้ตายเถอะ! จะง่ายดายและบ้าระหํ่าถึงขนาดนี้เลยหรือ?

เจ้าเด็กคนนี้คิดว่านี่เป็นการเล่นสนุกอย่างนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าจ เป็นสองตระกูลโจมตีหนึ่งตระกูล กำลังมีเพียงพอ แต่ก็ไม่สามารถจะล้มเหลวได้!

ไป๋จิ้งถิงมองลี่หยุนเทาอย่างแค้นเคือง ตะคอกเอ่ยว่า “ลี่หยุนเทา เจ้าไปหาเด็กขี้โม้นี้มาจากไหน? คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในแผ่นดินแล้วหรืออย่างไร?”

ในคำพูดของเขาดูแคลนอย่างไม่ไว้หน้า

ลี่หยุนเทาได้ยินแล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวและแดง เขาก็ไม่รู้ว่าวันนี้มู่ชิงเกอเป็นอะไรไป

เมื่อวานตอนที่พบเขา ก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่าถึงเขาจะอายุยังน้อย แต่จิตใจกลับลํ้าลึก เหตุใดมาวันนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนที่ไร้ความคิด มุทะลุขึ้นมาได้?

มู่ชิงเกอกลับยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ตอนกำลังไม่พอมีการวางแผนถึงจะเรียกว่าลอบทำการอย่างสงบ หากวางแผนทั้งที่มีกำลังเพียงพอนั่นก็เรียกว่าคิดมากเกินไป ในเมื่อมีกำลังเพียงพอแล้ว ก็โจมตีไปตรงๆ เสีย เหตุใดจึงต้องคิดมากด้วย?”

คำพูดของนางนี้ทำให้ไป๋จิ้งถิงกับลี่หยุนเทาชะงัก

ตอนนั้นเองมู่ชิงเกอก็ยิ้มเยาะพร้อมกับเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ประมุขลี่ไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไหอวี่เฉิงมิใช่หรือ? ยอดฝีมือของตระกูลลี่และตระกูลไป๋รวมกับหลิวเค่อที่สมัครเข้ามา เป็นการต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แล้วยังจะกลัวตระกูลโต้วเพียงแค่ตระกูลเดียวอีกหรือ? กำลังที่ชัดเจนเช่นนี้ยังต้องวางแผนอีกทำไม?”

“นี่…คุณชายมู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สมควรหรือไม่ที่จะวางแผนให้ดีเสียหน่อย?” ลี่หยุนเทารู้สึกว่าหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมา

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองเขา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วางแผนให้ดี รออย่างช้าๆ รอจนตระกูลโต้วเตรียมพร้อมแล้วค่อยลงมืออย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าก็ล้วนพูดแล้วว่าตระกูลโต้วรับสมัครบ่าวรับใช้นั้นก็เป็นเพราะว่ารับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของพวกเจ้าสองตระกูล เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว พวกเจ้าไม่ฉวยโอกาสโจมตีตอนที่เขาไม่พร้อม กลับยังจะให้เวลาแก่ศัตรูของพวกเจ้าอีก ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก”

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลน ทำให้ลี่หยุนเทากับไป๋จิ้งถิงล้วนแต่ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาต่อว่าดี พวกเขารู้สึกว่ามู่ชิงเกอนั้นพูดถูก

หากพวกเขายังวางแผนต่อไป รอให้ตระกูลโต้วเตรียมพร้อมแล้วค่อยลงมืออย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นจะไปโจมตีทำไมอีก?

ลี่หยุนเทากัดฟัน เอ่ยอย่างตัดสินใจว่า “ดี! ข้าจะกลับไปเรียกรวมพลเดี๋ยวนี้คืนนี้ลงมือ!”

พูดจบ เขาก็มองไปทางไป๋จิ้งถิง ดูเหมือนว่ากำลังกดดันเขา

สีหน้าของไป๋จิ้งถิงไม่น่าดูเป็นอย่างมาก

เขาดูเหมือนว่าจะถูกพูดจนหวั่นไหวแล้ว แต่ก็โกรธที่ลูกชายยังสลบ ไม่ยอมตัดสินใจอยู่นาน

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “อ่อนโยนดุจสตรี”

ประโยคนี้แทงใจจนทำให้ไป๋จิ้งถิงดวงตาแดงฉานไปชั่วขณะ เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ได้! วันนี้ล้างตระกูลโต้ว รอจัดการตระกูลโต้วเสร็จแล้ว ข้าค่อยล้างแค้นเรื่องที่เจ้าทำร้ายลูกชายข้าบาดเจ็บ”

พูดแล้ว เขาก็เอ่ยกับลี่หยุนเทาว่า “ประมุขลี่ ข้าจะกลับไปก่อน คืนนี้ยามจื่อหนึ่งเค่อ ข้าจะพาคนไปที่จวนตระกูลโต้ว!”

ไป๋จิ้งถิงรีบนำไป๋เซียวที่ยังสลบไม่ฟื้นออกไปจากบ้านพักของลี่หยุนเทา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจะรีบไปรักษาบาดแผลให้ไป๋เซียว หรือว่าไปเรียกรวมพลมาต่อกรกับ ตระกูลโต้วกันแน่

ภายในห้องโถง เหลือเพียงลี่หยุนเทากับพวกมู่ชิงเกอสามคน

เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ในเมื่อเวลาก็ได้กำหนดแล้ว คุณชายมู่ก็พักผ่อนที่นี่เถอะ คืนนี้ตอนจะออกเดินทาง ข้าจะมารับคุณชายมู่ที่นี่” เขาไม่หวังให้มู่ชิงเกอกลับไปโรงเตี๊ยมอีก อย่างน้อยก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหว มู่ชิงเกอจะต้องอยู่ในสายตาของเขา

ตอนนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ขัดขืน พยักหน้ารับ

เมื่อจัดการเรื่องทางมู่ชิงเกอเสร็จแล้ว ลิ่หยุนเทาก็รีบจากไป ทิ้งไว้แค่เพียงบ่าวคอยดูแลรับใช้อย่างระมัดระวังในบ้านพัก

จนมาถึงตอนนี้จิงไห่ถึงได้ฟังเข้าใจว่า อาจารย์ของตัวเองจะร่วมมือกับตระกูลลี่และตระกูลไป๋ ต่อกรกับตระกูลโต้ว!

“ครูฝึก เหตุใดจึงต้องต่อกรกับตระกูลโต้วด้วย?” จึงไห่ถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เขาคิดมาตลอดว่าเมืองไหอวี่เฉิงนั้นสงบ สามตระกูลก่อตั้งขึ้นคานอำนาจกัน

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ความคิดของเขาล้วนปรากฏอยู่ในดวงตา “ผลประโยชน์ทำให้คนเป็นบ้า ตระกูลลี่และตระกูลไป๋ ต่อกรกับตระกูลโต้วก็เพื่อผลประโยชน์ในเมืองไหอวี่เฉิง พวกเขาล้วนแต่คิดอยากจะได้ผลประโยชน์ที่มากที่สุด ส่วนข้าที่ต่อกรกับตระกูลโต้วก็เพราะว่าตระกูลโต้วได้มีความคิดที่จะฆ่าเจ้าและข้าแล้ว ในเมื่อมีคนคิดจะฆ่าข้า เช่นนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือก่อนที่พวกเขาจะลงมือ ก็ฆ่าเขาก่อน ตัดไฟแต่ต้นลม”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้จิงไห่จมเข้าไปอยู่ในความคิดที่ไม่เคยมีมาก่อน

เขาคิดจะพูดอะไร แต่เมื่อคิดไปถึงนักฆ่าที่ถูกเขาฆ่าตายคนนั้นแล้ว จากคำพูดของอาจารย์เขาสามารถรู้ได้ว่า นักฆ่าคนนั้นเป็นตระกูลโต้วส่งมา แล้วก็ยังมีก่อนหน้านี้ บนถนน คนของตระกูลโต้วก็มองอย่างสนุกสนาน บีบให้สือปัวฆ่าตนเอง นั้นไม่ใช่การข่มขวัญแต่เป็นเรื่องจริง

ชีวิตคนสำหรับเหล่าคนที่มีอำนาจแล้วก็ไม่ได้ถือว่ามีค่าอะไรเลย

“เสี่ยวไห่ เจ้าจำเอาไว้ว่าโลกใบนี้นั้นถืออำนาจเป็นใหญ่ เป็นโลกที่กำลังมีค่ามากกว่าเหตุผล และก็เป็นโลกที่โหดร้าย อยู่ในโลกนี้ไม่ต้องการความเห็นใจ และก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความเมตตา เจ้าอยากจะดีกับใครก็ต้องดูว่าคนๆ นั้นคู่ควรหรือไม่ มอบความรู้สึกอ่อนโยนแก่คนที่คู่ควรเท่านั้นก็พอ คนนอกเหนือจากนั้นเจ้าต้องแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าออกมา” มู่ชิงเกอมองดวงตาของจิงไห่ เอ่ยเน้นเป็นคำๆ

เสวี่ยหยายืนอยู่ด้านหลังของนาง ตั้งใจฟังพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย

นางสนิทกับมู่ชิงเกอมากกว่าจิงไห่ เคยเห็นท่าทางของเขาที่ปฏิบัติต่อลูกน้อง

ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความเป็นจริงในคำพูดของเขามากกว่า

มู่ชิงเกอเอ่ยกับจิงไห่ว่า “คืนนี้เจ้าไปกับข้า ดูโลกใบนี้ให้ดี เข้าใจโลกใบนี้ให้ชัดเจน”

พูดจบแล้วนางก็เดินออกไปจากห้องโถงเพียงคนเดียว

หลังจากเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางแล้ว นางก็จะไม่สูญเสียโอกาสฝึกปรือแม้แต่นิดเดียว

หลังจากมู่ชิงเกอจากไปแล้ว จิงไห่ก็มองไปยังเสวี่ยหยา เอ่ยถามว่า “พี่สาว อาจารย์ข้า…ไม่ใช่ ครูฝึกเป็นคนอย่างไรกันแน่?”

เสวี่ยหยายิ้มๆ มองไปทางที่มู่ชิงเกอจากไป เอ่ยตอบว่า “เขาเป็นคนที่ซับซ้อนและจิตใจดีมากคนหนึ่ง”

“ทั้งซับซ้อนและจิตใจดี?” จิงไห่ทวนคำพูดของเสวี่ยหยาอีกครั้ง ไม่เข้าใจเลยสักนิด

เสวี่ยหยาก้มหน้ามองเขา ยิ้มอย่างใจดีให้กับหนุ่มน้อยที่ออกมาจากหมู่บ้านชาวประมง เอ่ยปลอบว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องคิดมาก จำคำพูดทุกคำของอาจารย์เจ้า ทำตามที่เขาสั่งก็พอแล้ว รอเจ้าพบเห็นมากแล้ว สิ่งที่ไม่เข้าใจในตอนนี้ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้าใจเอง”

จิงไห่พยักหน้าอย่างเข้าใจและไม่เข้าใจ

ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมา “พี่สาว เช่นนั้นเมื่อไหร่ข้าถึงจะสามารถฝึกฝนได้?”

“เรื่องนี้…” เสวี่ยหยาส่ายหน้า “ต้องดูการจัดการของอาจารย์เจ้า”

ยามกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยามคํ่าคืนเริ่มต้นขึ้น

ตกยามกลางคืน ใกล้ถึงเวลานัดเข้ามาเรื่อยๆ

จิงไห่มองท้องฟ้าที่เติมไปด้วยแสงดาวอย่างกังวลใจ สำหรับตระกูลโต้วที่คิดจะฆ่าเขานั้น เขาไม่ได้รู้สึกเห็นใจ เขาเพียงแต่ไม่เคยร่วมการปฏิบัติการเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

มู่ชิงเกอกับเสวี่ยหยาปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา จิงไห่รีบเดินเข้าไป เอ่ยคำนับ “ครูฝึก”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับเขาว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ ภายในเมืองไหอวี่เฉิง มีข้าอยู่ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้อีก”

“ข้า…ข้าไม่กลัว!” จิงไห่เอ่ยอย่างกล้าหาญ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ไม่ได้พูดมากอะไร

ลี่หยุนเทามาก่อนยามจื่อ ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกมู่ชิงเกอทั้งสามคน

เห็นเขานำจิงไห่มาด้วย ลี่หยุนเทาก็เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “คุณชายมู่ ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ น้องชายผู้นี้ไม่เคยฝึกปรือมาก่อน นำไปด้วยอาจจะเกิดอันตรายได้ไม่สู้ให้เขารอพวกเรากลับมาอยู่ที่นี่?”

มู่ชิงเกอกลับปฏิเสธ “ไม่จำเป็น เขาอยู่ข้างกายข้า มีข้าคอยปกป้อง”

คำพูดของนางแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมที่ไม่อาจขัดขืน

ในใจของลี่หยุนเทาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

กลุ่มคนออกไปจากบ้านพักท่ามกลางความมืด มุ่งไปยังที่อยู่ของตระกูลโต้วภายในเมืองไหอวี่เฉิง

“คนของตระกูลโต้ว นอกจากประมุขตระกูลที่อยู่ระดับสีเทาชั้นสามแล้ว นอกนั้นล้วนแต่อยู่ระดับสีเทาชั้นสองและชั้นหนึ่ง ส่วนมากล้วนอยู่ระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงและสูงสุด แต่ทว่า พูดกันว่าในตระกูลของพวกเขามีผู้เฒ่าตระกูลโต้วคนหนึ่งเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ ทั้งยังมีระดับสีเทาชั้นสามแล้ว เขาไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลาร้อยปี และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่หรือไม่ หากว่าอยู่ก็ไม่รู้ว่าระดับเท่าไหร่แล้ว”

ตามทางไป ลี่หยุนเทาก็บอกสถานการณ์ของตระกูลโต้วให้มู่ชิงเกอฟัง

“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามตรงๆ

ลี่หยุนเทายิ้มเอ่ยว่า “ที่จริงฝั่งทางตระกูลโต้ว ไม่จำเป็น ต้องให้คุณชายมู่ลงมือเองมากมาย เพียงแค่มีแม่นางเสวี่ยหยารับผิดชอบคนระดับสีเทาส่วนหนึ่ง ฝั่งทางพวกข้า ก็มีโอกาสชนะมากแล้ว แต่หากว่าผู้เฒ่าตระกูลโต้วท่านนั้นของตระกูลโต้วปรากฎตัวและลงมือ หากข้าไปช่วยไม่ทันก็ขอให้คุณชายมู่ลงมือจัดการสุนัขเฒ่าตระกูลโต้วให้ด้วย”

จิงไห่ก็สัมผัสได้ว่า พอลี่หยุนเทาพูดถึงประโยคส่วนหลัง นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววดำมืดออกมาอย่างชัดเจน

“ได้” มู่ชิงเกอหัวเราะตกลง

ดูเหมือนคำขอของลี่หยุนเทาง่ายดายสำหรับนางมาก

การตอบสนองเช่นนี้ทำให้ลี่หยุนเทายินดีมาก เขากดเสียงเบาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “รอจัดการกับตระกูลโต้วแล้ว ฝั่งทางตระกูลไป๋ ก็ขอรบกวนคุณชายมู่หน่อยแล้ว ท่านวางใจได้ข้าจะพยายามลดทอนกำลังของฝั่งตระกูลไป๋”

จนมาถึงตอนนี้จิงไห่ถึงได้รู้ว่าประมุขตระกูลลี่ผู้นี้ไม่เพียงแต่ต้องการต่อกรกับตระกูลโต้ว แต่ยังมีตระกูลไป๋ด้วย!

เขาถูกความทะเยอทะยานของลี่หยุนเทาทำให้ตกตะลึง และก็เป็นห่วงอาจารย์ของตนขึ้นมา

ที่เขามองมา ลี่หยุนเทาฆ่าแม้แต่ตระกูลไป๋ เช่นนั้นหากเรื่องราวสำเร็จแล้ว ได้ใช้ประโยชน์จากอาจารย์แล้ว จะกลับมาฆ่าพวกเขาหรือไม่?

สีหน้าของจิงไห่ซีดขาว เขามองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาฉายแววกังวลใจ

“เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป อาจารย์ของเจ้ารู้สถานการณ์ดี” เสวี่ยหยาพบความแปลกไปของเขา จึงกระซิบปลอบใจเขาที่ข้างหู ใช่แล้ว! อาจารย์เก่งกาจถึงขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องเตรียมการอยู่ก่อนแล้ว

จึงไห่ปลอบใจตัวเอง

ตอนนี้ เขาก็ได้ยินมู่ซิงเกอเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้าสัญญากับเจ้า เจ้าวางใจได้ เรื่องที่เจ้าสัญญากับข้าก็ให้จดจำด้วย”

ลี่หยุนเทายิ้มเอ่ยว่า “คุณชายมู่วางใจได้ ข้าไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา”

“เช่นนั้นก็ดี” มู่ชิงเกอยิ้มจบประโยค

คนของตระกูลลี่จะเข้ามาในเมืองไหอวี่เฉิงในยามกลางคืนนั้นง่ายดายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่นั่งอยู่บนรถก็คือประมุขตระกูลลี่ ลี่หยุนเทา

หลังจากเข้ามาในเมืองไหอวี่เฉิงอย่างสบายๆ แล้ว รถของตระกูลลี่ก็มุ่งไปยังจวนตระกูลโต้ว

ภายใต้ยามคํ่าคืน ชาวเมืองในเมืองไหอวี่เฉิงล้วนแต่กำลังตกอยู่ในความฝัน

สำหรับพวกเขาแล้ว คํ่าคืนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากคํ่าคืนอื่นๆ เพียงแค่ตื่นขึ้นมา ก็เป็นวันใหม่อีกหนึ่งวัน แต่ว่าพวกเขากลับไม่รูถึงไอสังหารภายในความมืดที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

เงามืดจำนวนนับไม่ถ้วน ล้อมเข้าไปยังกำแพงของจวนตระกูลโต้วอย่างไร้สุ่มเสียง เหล่าบ่าวตระกูลโต้วที่เฝ้ายามกลางคืนนั้นยังไม่ทันได้ร้องเตือนก็ถูกตัดหลอดลมแล้ว ผู้ที่โจมตีนำกลุ่มแรกของตระกูลลี่และตระกูลไป๋ล้วนแต่มาจากหลิวเค่อ พวกเขาฆ่าคนอย่างมีประสบการณ์และก็เข้าใจการลอบฆ่าเป็นอย่างดี

คนของตระกูลโต้วยังคงนอนอยู่ในเรือนของตนเองไม่รู้เลยว่าเทพแห่งความตายกำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้

ประมุขตระกูลโต้วกอดภรรยาและนางบำเรอของตนเองนอนอยู่บนเตียง ในระหว่างที่กำลังนอนอยู่ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดขึ้น เขาเบิกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ยินเสียงการปะทะของโลหะบางเบา

พริบตาเดียว ประตูห้องก็ถูกคนกระแทกให้เปิดออก มีคนวิ่งเข้ามา ร้องตะโกนว่า “ท่านประมุข ไม่ดีแล้ว ตระกูลลี่กับตระกูลไป๋ร่วมมือกันแล้ว! พวกเขาบุกเข้ามา ถึงส่วนในของจวนแล้ว!”

“อะไรนะ!” ประมุขตระกูลโต้วกระโดดออกมาจากเตียง หยิบเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวม เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

คนที่มาพูดคำพูดเมื่อครู่อย่างหวาดกลัวอีกครั้ง

ครั้งนี้ประมุขตระกูลโต้วได้ยินอย่างชัดเจน

แสงเปลวไฟด้านนอก เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ตระกูลลี่ ตระกูลไป๋!”

พูดจบแล้ว เขาก็สวมเสื้อผ้า มองภรรยาและนางบำเรอที่หดตัวกอดกันสั่นๆ อยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกไป

คนตระกูลโต้วที่กำลังค้นหาความฝันยามคํ่าคืนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก

แสงสว่างจากเปลวไฟ เริ่มทำลายความมืด

เสียงฆ่าฟัน เสียงร้องอย่างโหยหวน เสียงอาวุธปะทะกัน ดังปนกันไปมา ทำลายความสงบ

คนของตระกูลไป๋และตระกูลลี่ ก็ล้วนตามมาด้านหลัง หลิวเค่อเก็บเอาชีวิตของคนตระกูลโต้ว ไม่ว่าพวกเขาจะแซ่โต้วหรือไม่ เพียงแค่เป็นคนที่ปรากฏตัวอยู่ในจวนตระกูลโต้ว ก็ล้วนแต่ยากจะหลบจากมีดดาบได้

เสวี่ยหยาลงมือต่อสู้แทนฝั่งมู่ชิงเกอ

ส่วนมู่ชิงเกอกลับนำจิงไห่ เดินเล่นไปมารอบจวนตระกูลโต้ว

“ครูฝึก พวกเราจะไปไหนกัน?” จิงไห่มองโลกที่เป็นสีเลือดเบื้องหน้าแล้ว ก็คิดอยากจะอาเจียนอยู่หลายครั้ง เขาหลบเลี่ยงรอยเลือดรอบด้าน ตามหลังมู่ชิงเกอไป ติดๆ เอ่ยถามเสียงเบา

“สำรวจโดยรอบ” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ ทำให้คนหมดคำพูด

ดูเหมือนว่า บรรยากาศการฆ่าฟันรอบด้านสำหรับเขาแล้วจะเป็นเพียงเรื่องปกติ

จิงไห่ไม่เข้าใจ สำรวจ สำรวจดูอะไร?

มู่ชิงเกอสำรวจรอบด้าน แน่นอนว่าต้องการดูว่าตระกูลโต้วนั้นมีอะไรดีๆ บ้าง อย่างเช่นศิลาวิญญาณ หีบสมบัติ นางออกแรงแล้วแน่นอนว่าต้องได้อะไรกลับมา บ้าง

อีกอย่าง สิ้นสงครามกับการแบ่งปันเมื่อเสร็จงานนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

มูชิงเกอตั้งใจนำจิงไห่ไปทางห้องที่ดูลึกลับหรือห้องที่ดูหรูหราเหล่านั้นของตระกูลโต้วเพื่อเสาะหา ตลอดทาง ก็ทำให้นางพบของดีบ้างแต่ก็ไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้

ในตอนที่นางเดินไปถึงปากประตูที่ทำขึ้นจากหินนั้น ด้านในก็มีกลิ่นเหม็นลอยออกมา ทำให้ต้องนางหยุดชะงัก

นางมองไปยังประตูใหญ่ที่ทำจากเหล็กดำที่ปิดสนิทนั้น ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็สะบัดมือฟาดไป

ประตูใหญ่เหล็กดำล้มลง กลิ่นเหม็นที่เข้มกว่าพุ่งออกมา มู่ชิงเกอหลบได้ทัน ปิดจมูกไว้ แต่จิงไห่กลับไม่ได้โชคดี ถูกกลิ่นเหม็นพุ่งเข้าใส่ ประกอบกับฉากที่ดุเดือดเมื่อครู่

เขาอดไม่ได้อีกต่อไป วิ่งไปอาเจียนอีกข้าง

หลังจากเขาอาเจียนเสร็จแล้วกลิ่นก็กระจายไปมากแล้ว

มู่ชิงเกอถึงได้พุ่งเข้าไปด้านใน

“ครูฝึก!” จิงไห่รีบไล่ตามไป

หลังจากเข้าไปแล้ว จิงไห่ก็มองรอบด้าน เอ่ยตามอย่างตกใจว่า “ที่นี่คือสถานที่อะไรกัน?”

มู่ชิงเกอกวาดตามองแวบหนึ่งก็เข้าใจ “คุกใต้ดินของ

ตระกูลโต้ว”

คุกใต้ดิน?

พวกเขาเข้ามาในคุกใต้ดินทำไม?

จิงไห่สงสัยในใจ

ความจริงแล้วที่มู่ชิงเกอเข้ามาก็เพื่อสำรวจเท่านั้น นางอยากจะรู้ถึงอุปกรณ์การลงโทษของโลกแห่งยุคกลางเพื่อเทียบกับหลินชวน

แต่ว่า ในตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาถึงห้องขังห้องหนึ่งนั้น

ก็หยุดชะงักฝีเท้าลง ภายในห้องขัง มีร่างศพร่างหนึ่งนอนอยู่ ด้านบนมีบาดแผลหลายแห่ง เนื้อเลือดแหลกเละ แต่ยังสามารถดูออกได้ว่าเป็นใคร

ยังมีดวงตาคู่นั้นที่เบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

“สือ…สือปัว…” จิงไห่จ้องร่างศพบนพื้นนั้น เอ่ยอย่างตกใจ

เขาคิดไม่ถึงว่าสือปัวจะมาตายอยู่ภายในคุกใต้ดินของตระกูลโต้วได้ เขายังคิดว่า สือปัวได้กลับไปหมู่บ้านแล้ว

หรือไม่ก็เข้าสู่จวนตระกูลโต้ว

“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอกวาดตามองสือปัวแวบหนึ่ง เอ่ยกับจิงไห่ หันกายเดินออกไปด้านนอก

จิงไห่ตามหลังมู่ชิงเกอไปอย่างมึนงง ดวงตาแดงกํ่า สีหน้าขาวซีด

ในใจของเขาโกรธที่สือปัวไร้นํ้าใจ และก็ตัดสินใจจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป แต่ว่าในตอนที่ได้พบเห็นร่างศพของสือปัวด้วยตัวเองนั้นในใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวด

“ทางเลือกของทุกๆ คนก็ล้วนต้องยอมรับผลที่จะตามมา” เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ตํ่าลงของจิงไห่ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงพูดออกไปประโยคหนึ่ง

ถ้าหากว่าตอนแรกสือปัวยืนยันที่จะยืนอยู่ข้างจิงไห่ หรือไม่ก็ไม่ได้แทงมีดออกมา เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไม่เป็นเช่นนี้

แต่ว่าบนโลกในนี้ไม่มี ‘ถ้าหาก’

เรื่องของสือปัวทำให่จิงไห่เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบขึ้นมา

ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปรบกวนเขามาก เพราะว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องอาศัยตัวเองถึงจะคิดได้

นางเพียงแต่ค้นหาสถานที่ที่มีกลิ่นไอพลังจิตมากที่สุดในจวนตระกูลโต้วอย่างละเอียด เดาว่านั่นน่าจะใช่ที่เก็บศิลาวิญญาณของตระกูลโต้วหรือไม่

ห่างออกจากสถานที่ฆ่าฟัน มู่ชิงเกอนำจิงไห่เดินมาถึงเรือนขนาดเล็กที่ดูห่างไกลและเงียบสงบหลังหนึ่ง

ภายในเรือน มีห้องหินที่ไม่มีหน้าต่างอยู่ห้องหนึ่ง ประตูเหล็กดำเพียงหนึ่งเดียวก็ปิดสนิท แต่ว่า จากด้านในกลับมีความเคลื่อนไหวของไอพลังจิต

ดูเหมือนว่าด้านในมีกองศิลาวิญญาณอยู่เป็นพันเป็นหมื่นก้อน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย ในตอนที่นางกำลังจะก้าวไปข้างหน้านั้น ก็มีเสียงแก่ชราและดูดุดันดังออกมา

“ใครกันกล้าบุกตระกูลโต้วของข้า!” เสียงนี้ดุจดังเสียงสายฟ้าฟาด

สั่นสะท้านจนหูของจิงไห่รู้สึกปวด ตื่นขึ้นมาจากการคิดถึงการตายของสือปัว

ดวงตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง กลับไปยังข้างกายของจิงไห่ทันที คว้าไหล่ของเขา กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ นางเพิ่งจะกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ก็เห็นประตูใหญ่ เหล็กดำที่ปิดสนิทเปิดออกในทันที คลื่นพลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งออกมา แยกพื้นด้านหน้าออก รวมถึงที่ที่นางและจิงไห่ยืนอยู่เมื่อครู่

มู่ชิงเกอหรี่ตามองไป ก่อนจะพบว่าภายในห้อง เต็มไปด้วยกองศิลาวิญญาณเป็นชั้นๆ และก็มีชายแก่คนหนึ่ง นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ภายในกองศิลาวิญญาณ ดูดพลังจิตจากศิลาวิญญาณ

“บ้าเอ้ย! ร่ำรวยถึงขนาดนี้เชียวหรือ!” มู่ชิงเกอบ่นด่าออกไปเบาๆ

ความรํ่ารวยของชายเฒ่าทำให้นางเกิดความคิดของประชาชนที่อยากจะโค่นล้มทรราชที่รํ่ารวย!

“เจ้าหนูสกปรกมาจากที่ไหนกัน ถึงกับกล้ามารบกวนตระกูลโต้วของข้า!” ชายเฒ่าในกองศิลาวิญญาณมองมู่ชิงเกอด้วยแววตาที่ดูอำมหิต

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ผู้เฒ่าตระกูลโต้วใช่หรือไม่ ได้กลิ่นเลือดของลูกหลานตระกูลโต้วบ้างหรือเปล่า? แต่ว่า นั่นไม่ใช่ข้าทำหรอกนะ ข้าเพียงแค่มาเติมนํ้ามันเท่านั้นเอง”

นัยน์ตาของผู้เฒ่าตระกูลโต้วฉายแววดุดัน เขาได้กลิ่นเลือดลอยมาไม่ขาดสาย

“พวกเจ้ากล้าลงมือกับคนขอตระกูลโต้ว!” เขาตะคอก พุ่งออกมาจากภายในห้อง พุ่งไปบนอากาศจัดการกับมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น ผลักจิงไห่เข้าไปภายในห้องที่เต็มไปด้วยศิลาวิญญาณเหล่านั้น ปลอกนิ้วเปลี่ยนมาเป็นทวนหลิงหลง ต่อผู้กับผู้เฒ่าตระกูลโต้ว

เพิ่งจะเริ่มต่อสู้ ความเคลื่อนไหวของพวกเขาทางนี้ ก็ดึงดูดความสนใจของการต่อสู้อีกฝั่งในทันที

คนของตระกูลโต้วเป็นเพราะว่าการปรากฏตัวของผู้เฒ่า ตระกูลโต้วทำให้พวกเขาได้รับแรงใจ ส่วนลี่หยุนเทากับไป๋จิ้งถิงเมื่อเห็นมู่ชิงเกอต่อสู้อย่างเสมอกันกับผู้เฒ่าตระกูลโต้วแล้ว ในใจก็เกิดความตกตะลึง

เพราะว่าพวกเขาสัมผัสจากกลิ่นอายของผู้เฒ่าตระกูลโต้วได้ว่าเขาอยู่ระดับสีเทาชั้นห้าแล้ว

สามารถต่อสู้เสมอกันกับผู้เฒ่าตระกูลโต้วที่อยู่ระดับสีเทาชั้นห้าได้นั้นคือหมายถึงสิ่งใดกัน?

นัยน์ตาของลี่หยุนเทาวาววาบ เมื่อก่อนเขายังคิดว่าหลังจากใช้ประโยชน์จากมู่ชิงเกอเสร็จแล้ว ก็จะฆ่าเขา ทำให้เขารู้ว่าไม่ใช่ว่าจะเอาผลประโยชน์ไปได้โดยไม่สนใจสิ่งใด

แต่กลับไม่คิดว่า กำลังของมู่ชิงเกอจะเหนือกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้ ดูท่าแล้วทุกอย่างต้องวางแผนระยะยาว

มู่ชิงเกอกวาดทวนหลิงหลงออกไป กดดันผู้เฒ่าตระกูลโต้วให้ถอยร่น

นางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง มองแล้วเอ่ยกับเขาว่า “เดิมทีคิดว่าจะเป็นยอดฝีมือ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นเพียงสวะที่อาศัยพลังจิตจากศิลาวิญญาณผลักดันขึ้นมา”

เพียงประมือ นางก็ค้นพบจุดอ่อนของผู้เฒ่าตระกูลโต้ว ไม่มีใจคิดจะสู้ต่อไปอีก

ภายใต้ท่าทางที่ดูดุร้ายของผู้เฒ่าตระกูลโต้ว นางใช้ท่วงท่าที่ดูลํ้าลึกท่าหนึ่งแทงออกไป ปลายทวนเปล่งแสงวาววาบ แทงทะลุหน้าอกของผู้เฒ่าตระกูลโต้ว หัวใจที่เต้นอยู่นั้น โผล่ออกมาจากด้านหลัง แตกออกกลางอากาศ

ผู้เฒ่าตระกูลโต้วมองไปยังห้องหัวใจที่ว่างเปล่าของตน อย่างยากที่จะเชื่อ เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เจ้า…เจ้า…”

ในที่สุดก็ทำได้แค่เพียงตกลงจากฟ้าอย่างไม่ยินยอม ผู้เฒ่าตระกูลโต้วตายลง ทำให้ทุกคนในตระกูลโต้วเกิดความสิ้นหวัง

การโจมตีของตระกูลไป๋และตระกูลลี่รุนแรงดุร้ายมากยิ่งขึ้น

ส่วนมู่ชิงเกอก็ร่อนตัวลงมาจากกลางอากาศ ยืนอยู่ด้านหน้าของห้องนั้น สะบัดมือ เก็บศิลาวิญญาณทั้งห้องเข้าไปในช่องว่าง จิงไห่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าของนาง แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้อธิบายอันใด

ข้างกายของนาง มีแสงสีขาววาบออกมา ข้างกายซ้ายขวาปรากฏเงาร่างที่ดูหล่อเหลาและงดงาม

จิงไห่ตื่นตะลึง

ส่วนมู่ชิงเกอกลับยืนอยู่ด้านหน้าสุด มองไปยังค่ำคืนสีแดงด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่ง พึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!