Skip to content

พลิกปฐพี 227

ตอนที่ 227

จวนครึ่งเมือง มุ่งสู่เมืองอวี่สุ่ยเฉิง

ท่านผู้เฒ่าตระกูลโต้วก็ตกตายง่ายเช่นนี้เลยหรือ?

สายตาของลี่หยุนเทาที่อยู่ในระหว่างการต่อสู่ไหววูบไปมาไม่หยุด

ในระหว่างนั้นในใจของเขาก็บังเกิดความรู้สึกขี่เสือกลืนจิ้งจอกขึ้นมา ราวกับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ควรดึงมู่ชิงเกอเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้…

ฉับ!

มีศีรษะหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศและหล่นตุบลงบนพื้น

ทำเอาการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ชะงักลงฉับพลัน ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็เพ่งสายตามองไปยังศีรษะที่ตายตาไม่หลับนั่น

นั่นคือศีรษะของประมุขตระกูลโต้ว ส่วนตัวของเขานั้นยืนอยู่ด้านหน้าของลี่หยุนเทาก่อนจะค่อยๆ ร่วงลงไป

ดาบใหญ่ในมือของลี่หยุนเทา อาบเลือดแดงฉาน แยกไม่ออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นของใคร

เมื่อทุกคนกวาดสายตามองมาที่เขา สายตาลี่หยุนเทาเยือกเย็น เอ่ยขึ้นด้วยไอสังหารน่าสะพรึง “ฆ่าให้หมด! อย่าให้เหลือรอดไปได้!”

เมื่อเขาสั่งการลงมา การฆ่าฟัน ก็เริ่มต้นอีกครั้ง

คนของตระกูลโต้วถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง เลือดสีแดง ฉานอาบย้อมไปทั่วจวนตระกูลโต้ว

“ในเมื่อพวกเขาไม่คิดจะต่อต้านแล้ว เหตุใดยังต้องฆ่า?” จิงไห่ที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอ มองดูความโหดเหี้ยมและโลกแห่งการฆ่าฟันตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอย้อนถามว่า “หากเจ้าเป็นคนตระกูลโต้ว วันนี้หนีรอดด่านเคราะห์นี้ไปได้ เจ้าจะทำเช่นไร?”

จิงไห่นิ่งชะงัก สายตาของเขามองซ้ายทีขวาที พบว่าหญิงชายคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างท่านอาจารย์ส่งสายตาหยอกล้อมองมาที่เขา

เขาหน้าแดงกัดฟันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นตัวข้า ข้าจะหนีไปให้ไกล กราบอาจารย์ร่ำเรียนศึกษา รอให้มีกำลังความสามารถแล้วจะกลับมาที่เมืองไหอวี่เฉิงเพื่อล้างแค้น”

มู่ชิงเกอหัวเราะออกมาโดยไม่มีเสียง “ยังสงสัยอยู่หรือไม่ว่าเหตุใดต้องฆ่าทิ้ง?”

จิงไห่แววตานิ่งขึง ส่ายหน้าเอ่ยเสียงทุ้ม “ตัดรากถอนโคน!”

เขาเม้มริมฝีปากไว้แน่น สองมือที่ตกอยู่ข้างตัว ค่อยๆ กำเข้าหากัน เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “อาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว สถานการณ์ต่างกันตัวเลือกก็ต่างกัน หากวันนี้ปล่อยคนตระกูลโต้วไป เกรงว่าวันหน้าผู้ที่ต้องตายคงเป็นคนตระกูลตนเอง”

มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อย แทบไม่ทันสังเกต เอ่ยขึ้นนิ่งๆ “เด็กคนนี้โตแล้ว พอที่จะถ่ายทอดสั่งสอนให้ได้”

ไป๋สี่มองหน้าจิงไห่ด้วยความสนใจ มองจนเด็กหนุ่มหน้าแดงหูร้อน นางเปิดปากหัวเราะเบาๆ ย้ายไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “ชิงเกอ ลูกศิษย์ตัวน้อยของเจ้าคนนี้น่าสนใจ”

เสียงของไป๋สี่ทำให้จิงไห่ตกใจอ้าปากด้ค้ง ราวกับว่า เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีที่มีเสน่ห์เย้ายวนผู้นี้ นํ้าเสียงของนางจะ…จะ…อืม เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้ เดียงสาเพียงนั้น

เหอ เหอ!

อาการตื่นตระหนกของจิงไห่ถูกไป๋สี่เห็นเข้า สายตาเย็นชาปรากฏในดวงตาพราวเสน่ห์คู่นั้น “เด็กน้อย มองอะไร? อยากตายรึไง?”

จิงไห่สีหน้าแปรเปลี่ยนไป รีบกลั้นลมหายใจ ละสายตากลับมาไม่กล้ามองต่อ

มู่ชิงเกอปรายตามองไป๋สี่ครู่หนึ่ง อธิบายกับจิงไห่ว่า “นางไม่ชอบที่คนอื่นสงสัยนํ้าเสียงของนาง”

จิงไห่พยักหน้าลงอย่างรวดเร็ว เม้มริมฝีปากแน่น

“ชิงเกอ-” ไป๋สี่เอ่ยเสียงเง้างอน

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นว่า “พอได้แล้ว อีกสักครู่มีโอกาสให้เจ้าระบายโทสะ”

“อะไรหรือ?” ไป๋สี่กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“ฆ่าคน” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาสองพยางค์! ด้วยท่าทีสงบนิ่ง

เมื่อเอ่ยสองพยางค์นี้ จิงไห่รู้สึกว่าบรรยากาศอบอุ่นรอบๆ หนาวเหน็บลงทันใด จากนั้นเมื่อเขามองไปที่ไป๋สี่ และหยินเฉินที่เงียบขรึม กลับพบว่าสายตาของไป๋สี่เป็นประกายลิงโลดอยู่บ้าง ในสายตาสีเลือดของหยินเฉินกลับมีสีเข้มลงไปส่วนหนึ่ง

“เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว พวกเราไปดูเถอะ” มู่ชิงเกอพูดจบก็ยกเท้าขึ้นเดินจากไป

จิงไห่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กลับมาแม้แต่น้อย ลนลานตามไปติดๆ

ในตระกูลโต้ว บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพ มีเลือดนองไปทั่ว

คนตระกูลไป๋และคนตระกูลลี่ต่างก็ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพ มองดูภาพตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ตระกูลโต้วที่ครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองไหอวี่เฉิงมาเนิ่นนานเพียงนี้ จะจบเห่แล้วจริงๆ รึ

ไป๋จิ้งถิงลูบรอยเลือดที่เปรอะบนหน้าออก ความตื่นเต้นในดวงตามองไปยังลี่หยุนเทาอย่างยากที่จะปิดบัง

พอตระกูลโต้วล่มสลาย ทุกสิ่งอย่างในเมืองไหอวี่เฉิงก็ต้องแบ่งสันปันส่วนกันใหม่ ตระกูลไป๋ของพวกเขายิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น!

เมื่อไปจิ้งถิงมองมา ลี่หยุนเทาก็มองตอบเขาเช่นกัน ไม่เหมือนกับความตื่นเต้นของไป๋จิ้งถิง แววตาของลี่หยุนเทายังซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ด้วย

“พี่ลี่ คืนนี้เรื่องใหญ่บรรลุผล พวกเราต้องไปดื่มกันสักจอก!” ไป๋จิ้งถิงหัวเราะเดินมาทางลี่หยุนเทา

มุมปากของลี่หยุนเทาแฝงรอยยิ้มมีนัยยะ จวบจนรอให้ ไป๋จิ้งถิงเดินเข้ามาใกล้ ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ร่ำสุราก็ไม่ต้องแล้ว”

พอไป๋จิ้งถิงได้ยินดังนั้น ก็ชะงักไป “หมายความว่าอย่างไร?”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร คือว่า…”

ชิ้ง—–!

ลี่หยุนเทายังไม่ทันพูดให้จบก็ลงมือจู่โจม ดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันใส่ไป๋จิ้งถิง ไป๋จิ้งถิงตกใจจนสีหน้าถอดลีรีบคว้ากระบี่คู่ในมือขึ้นมาตั้งรับ

เมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกันเกิดเป็นเสียงโลหะเสียงดังคมชัด

“ท่านประมุข!”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดก็ทำให้คนตระกูลไป๋ที่เหลือตกอยู่ในอาการตกตะลึง พวกเขาพากันทยอยล้อมเข้ามาทางไป๋จิ้งถิง

ไป๋จิ้งถิงยืนตั้งหลัก มองลี่หยุนเทาด้วยสายตาอำมหิต ตะโกนเสียงดัง “ลี่หยุนเทาเจ้าช่างชั่วช้าสามานย์คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับพวกพ้อง!”

ลี่หยุนเทากลับเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เมืองไหอวี่เฉิงใหญ่แค่นี้ ตระกูลลี่ของข้าก็เพียงพอแล้ว วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายของตระกูลโต้วเท่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายของตระกูลไป๋ของเจ้าด้วย”

พอเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ คนตระกูลลี่ต่างก็กรูเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ยืนประจัญหน้ากับคนตระกูลไป๋

“ลี่หยุนเทา เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวถูกผู้คนสาปแช่งรึ!” ไป๋จิ้งถิงตะคอก

ลี่หยุนเทาหัวเราะเยือกเย็น “แต่ไหนแต่ไรมาผู้ชนะก็เป็นจ้าว ใครจะกล้าก่นด่า?”

ไป๋จิ้งถิงเอ่ยขึ้นว่า “ตามพื้นเพตระกูลลี่ของเจ้า หากต้องการทำสงครามกับตระกูลไปของข้าจริงๆ แม้เจ้าจะโชคดีได้รับชัยชนะไป ก็ต้องได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต เมื่อถึงตอนนั้นเจ้านึกหรือว่าเมืองไหอวี่เฉิงจะยังเป็นของเจ้า? เกรงว่าจะมีตระกูลอื่นถือโอกาสนี้ลุกฮือขึ้นมา โค่นตระกูลลี่ของเจ้าลงเช่นตระกูลโต้วในวันนี้ ล่มสลายลงภายในคืนเดียว!”

คำพูดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของไป๋จิ้งถิง ไม่ได้ทำให้ลี่หยุนเทามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไป

เขาหัวเราะหยันคล้ายกับว่าขบขันความใสซื่อของไป๋จิ้งถิง “ไป๋จิ้งถิง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ได้เตรียมการก่อนเดินหมากเช่นนี้หรือ?”

พอเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ จู่ๆ ก็ปรากฏเงาคนขึ้นท่ามกลาง กองกำลังของทั้งสองฝ่าย

เมื่อเงาคนปรากฏชัดเจน ไม่เพียงไป๋จิ้งถิงที่ตกใจ ลี่หยุนเทาเองก็ตกใจเช่นกัน สองตาของเขาจับจ้องมองไปยังหญิงชายคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ

ทั้งสองคนทำให้เขาสัมผัสถึงความรู้สึกร้ายกาจอย่างยิ่งยวด!

‘ข้างกายคนแซ่มู่มีเพิ่มขึ้นมาสองคนตั้งแต่เมื่อไรกัน?’ ลี่หยุนเทาเอ่ยเสียงเคียดแค้นในใจ ส่วนจิงไห่นั้นถูกเขามองผ่านไปตั้งนานแล้ว

มู่ชิงเกอก้าวเท้าเข้ามาอย่างมั่นใจ เสวี่ยหยาเองก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายนางอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางซากศพคนตระกูลโต้วที่กองพะเนิน เมื่อเทียบกำลังของสามฝ่ายจำนวนคนของนางน้อยที่สุด ทว่า กลับทำให้ผู้คนไม่กล้าประมาท ไม่กล้าดูถูก

พอไป๋จิ้งถิงเห็นมู่ชิงเกอดวงตาก็เป็นประกายรีบส่งเสียง “คุณชายมู่ วันนี้เจ้ายอมเป็นกำลังให้ข้า รอให้ฝุ่นที่ฟุ้งสร่างซา ข้าแซ่ไป๋ผู้นี้ยอมแบ่งเมืองไหอวี่เฉิงกับท่าน!”

คำมั่นสัญญาเช่นนี้อีกแล้ว

มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นไม่รู้ตัว มองดูลีหน้าของลี่หยุนเทาที่เคร่งขรึมลงด้วยนัยยะไม่ชัดเจน

“ไป๋จิ้งถิง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะดิ้นรนก่อนตายอีกหรือ?” ลี่หยุนเทาตะเบ็งเสียงใส่ไป๋จิ้งถิงอย่างมีโทสะ จากนั้นหันไปมองหน้ามู่ชิงเกออย่างเกรงว่าเขาจะหักหลัง เอ่ยโพล่งขึ้นมาว่า “คุณชายมู่ เวลาก็ผ่านไปพอควรแล้วพวกเราเร่งดำเนินการตามแผนการที่นัดแนะไว้เป็นอย่างไร?”

ประโยคนี้ของเขา แสดงให้ไป๋จิ้งถิงเห็นว่าระหว่างเขากับมู่ชิงเกอมีผลประโยชน์ต่อกันอย่างไม่ต้องสงสัย

เดิมทีไป๋จิ้งถิงคิดจะดึงเอามู่ชิงเกอมาเป็นพวกในยามคับขัน แต่พอได้ยินประโยคนี้ แววตาเคียดแค้นของเขาก็ ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เอ่ยกับลี่หยุนเทาว่า “ดีนี่! ลี่หยุนเทานะ ลี่หยุนเทา ข้าก็ว่าเหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงหาผู้อื่นเข้าพวก ดูแล้วเจ้ากำลังรอฆ่าอยู่สินะ!”

ลี่หยุนเทาหัวเราะอย่างไม่แยแส เป็นเครื่องพิสูจน์การคาดเดาของไป๋จิ้งถิง

“เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ” มู่ชิงเกอหัวเราะออกมาตามอารมณ์

เสียงเหนื่อยหน่ายของนางราวกับสื่อถึงอารมณ์ของนาง ในฐานะผู้ชมความสนุกว่าเรื่องสนุกนี้น่าเบื่อเกินไปแล้ว

มู่ชิงเกอมองเสวี่ยหยาแวบหนึ่ง ฝ่ายเสวี่ยหยาก็รับรู้ได้ทันที หายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

พอเสวี่ยหยาจากไป ไป๋จิ้งถิงก็กระวนกระวายอย่างไม่มีสาเหตุรีบเอ่ยถามขึ้นว่า “นางไปที่ใด?”

คำถามนี้ลี่หยุนเทาเองก็สงสัยเช่นกัน เขาไม่รู้แผนการของมู่ชิงเกอ ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่มู่ชิงเกอรับปากว่าจะร่วมมือแล้ว ไม่ว่าอะไรล้วนก็ ‘ดี’ ไปเสียหมด เรื่องที่ขอเพียงหนึ่งเดียวก็คือการโจมตีในคํ่าคืนนี้ ไม่ปรารถนาจะรออีกต่อไป

มู่ชิงเกอระบายยิ้มอ่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้ไม่เห็นคุณชายไป๋ ในใจข้ารู้สึกคิดถึงอยู่บ้าง จึงส่งบ่าวรับใช้ไปเยี่ยมเยียนเสียหน่อย ถือโอกาสส่งคุณชายไป๋ไปด้วยเลย” เมื่อตอนกลางวันไป๋เซียวทำตัวไร้มารยาทกับเสวี่ยหยา ให้เสวี่ยหยาส่งเขาไปปรโลกด้วยมือตนเอง เป็นอะไรที่เหมาะที่สุดแล้ว

นางเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย แต่ไป๋จิ้งถิงฟังแล้วก็โมโห จนกระบอกตาร้อนผ่าวแทบแตก

ลี่หยุนเทาเองก็รู้สึกตกใจขึ้นในใจ เขาตีหน้าตายมองหน้ามู่ชิงเกอ คุณชายผู้สวมใส่ชุดสีแดงสดผู้นี้บางคราวก็ปราดเปรื่อง บางคราวก็ทำตามอารมณ์ตน ตกลงมี ไหวพริบสติปัญญาดีหรือว่าครุ่นคิดทุกฝีก้าวกันแน่?

“ไป๋สี่ หยินเฉิน ลงมือเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างหมดความสนใจ ส่วนตนเองยกมือขึ้นกอดอก พาจิงไห่ถอยหลังไปอยู่ข้างหนึ่ง

ไป๋สี่กับหยินเฉินแทบจะอดใจรอไวไม่ไหวตั้งนานแล้ว หลังจากที่นางออกคำสั่งทั้งสองก็พุ่งเข้าไป เปิดการฆ่าฟัน

ลี่หยุนเทาเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ก็ไม่คิดอะไรมาก สั่งการให้คนตระกูลลี่เข้าร่วมการต่อสู้ทันที

การฆ่าฟันเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดในจวนตระกูลโต้วคละคลุ้งเข้มข้นขึ้น เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วน และเสียงร้องคำรามอย่างหวาดกลัวดังขึ้นท่ามกลางคํ่าคืนอันมืดมิด

เมื่อมีไป๋สี่กับหยินเฉินเข้ามาร่วมด้วย การต่อสู้ครั้งนี้ก็กลายเป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียว

เลือดสาดกระเซ็นราวกับเป็นสายฝนเลือดในอากาศ

มู่ชิงเกอยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทอดสายตามองดูอย่างไม่แยแส ราวกับชื่นชม ‘ความงามหลังฝนตก’ ท่ามกลางสายฝน คลุ้งกลิ่นคาวเลือด นี่ก็ทำให้จิงไห่ไม่กล้าขยับตัวโดยพละการ ทำได้แค่เพียงยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกออย่างว่าง่าย

ใบหน้ากระจ่างใสของเขาซีดเผือดริมฝีปากก็แห้งผาก เม้มเข้าหากันไว้แน่นราวกับถูกเหตุการณ์นองเลือดเบื้องหน้าพาให้ตระหนกไม่เบา

ภาพการสังหารสลักลึกเข้าไปอยู่ในดวงตาของเขา กระตุกจิตวิญญาณของเขา ‘ตระกูลโต้วที่ผยองในเมืองไหอวี่เฉิงก็ไม่มีแล้ว’

‘ตระกูลไป๋ที่ครองดินแดนในเมืองไหอวี่เฉิง เพียงแค่ดีดนิ้วเบาๆ เช่นนี้ก็ไม่มีแล้ว?’

และทั้งหมดนี้ก็เกี่ยวข้องกับพี่ชายที่เขาบังเอิญพบในหุบเขา…

ไม่สิ! ไม่ใช่พี่ชายแล้ว เป็นอาจารย์เป็นอาจารย์ของเขา!

จิงไห่ช้อนตามองช้าๆ มองดูเสี้ยวหน้าของมู่ชิงเกอ คราแรกที่เห็นใบหน้าโดดเด่นสะดุดตาผู้คนเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกดีมาก แต่เวลานี้ใบหน้านี้ยังคงงดงาม ทว่าใบหน้าเฉยเมยนี้กลับทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่บ้าง

“เจ้ากลัวข้า?” ทันใดนั้นก็มีเสียงเอ่ยถามดังขึ้น

จิงไห่รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่อย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้สติก็ประสานสายตากับมู่ชิงเกอที่หลุบตามอง

‘แววตาของอาจารย์สุกสกาวนัก ช่างราบเรียบ…ราวกับว่าถามขึ้นมาเฉยๆ’ จิตใจที่ว้าวุ่นอยู่บ้างของจิงไห่ ค่อยๆ สงบนิ่งลงท่ามกลางการมองมาของมู่ชิงเกอ

คำถามของมู่ชิงเกอดังขึ้นข้างหูเขา

เขาส่ายหน้าน้อยๆ ตามจิตใต้สำนึก เม้มปากเอ่ยชี้แจงว่า “ศิษย์…ศิษย์เพียงแค่ยังปรับตัวกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยได้”

มู่ชิงเกอละลายตากลับไปนิ่งๆ จับจ้องไปที่การฆ่าฟันเบื้องหน้า

ท่ามกลางผู้คนที่ฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในเวลานี้มีคนที่ต้องการพุ่งเข้ามาข้างนาง ต้องการชีวิตของนางไม่หยุดหย่อน ทว่าสาเหตุเพราะไป๋สี่กับหยินเฉิน ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำได้สำเร็จ ทำได้เพียงใช้สายตามองนางด้วยความอาฆาตแค้น

มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นช้าๆ

“ในใจเจ้าตอนนี้คิดเหมือนคนตระกูลไป๋หรือเปล่า ว่าต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้า? เพราะการปรากฎตัวของข้าทำให้ตระกูลของพวกเขาล่มสลาย?”

จิงไห่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอด้วยสายตาราวดาวจรัส

เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เนื่องด้วยเขามีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้างจริงๆ แต่ที่ไม่เหมือนกับที่อาจารย์กล่าวคือว่า เขาไม่คิดว่าการล่มสลายของตระกูลไป๋เป็นเพราะเขา เพียงแค่คิดไม่ตกว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับท่านอาจารย์ เหตุใดท่านอาจารย์จะต้องเอาตัวเองเข้ามาพัวพัน

จิงไห่มีจุดดีอย่างหนึ่งที่มู่ชิงเกอยกย่องนั่นคือการไม่ปิดบัง ไม่ว่าในใจของเขาจะคิดเห็นเช่นไรหรือว่าสงสัยสิ่งใด เขาจะเอ่ยปากถามออกมาตรงๆ

ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปสักพัก จิงไห่จึงได้เอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจออกมา

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ย มุมปากมู่ชิงเกอก็ยกโค้งขึ้นอย่างรวดเร็ว นางหันหลังกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนหลังตรงอยู่ด้านหลัง เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดว่าหากไม่มีผลประโยชน์มากพอ ข้าจะช่วยลี่หยุนเทาลงมือหรือ?”

มู่ชิงเกอค่อยๆ อธิบายว่า “การล่มสลายของตระกูลไป๋ เป็นเพียงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็เท่านั้น เพราะว่าจิตใจอันชั่วช้าของลี่หยุนเทาไม่อนุญาตให้พวกเขาดำรงอยู่ การปรากฏตัวของข้าเป็นเพียงแค่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เพิ่มเชื้อเพลิงให้ลี่หยุนเทาก็เท่านั้น ส่วนเขาเองก็กำลังต้องการเชื้อเพลิงอย่างข้า เพื่อให้เขามั่นใจมากขึ้น ลดการสูญเสีย สามารถครอบรองเมืองไหอวี่เฉิงได้อย่างมั่นคง ส่วนข้านั้นสิ่งที่ต้องการคือผลประโยชน์ ที่มองเห็นสองฝ่ายร่วมมือกันต่างฝ่ายก็ได้รับสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของข้า การลงมือทำเป็น เรื่องรอง อันดับแรกคือต้องมีสมอง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด จะต้องให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่มีค่าสูงสุด รู้ชัดว่าตนเองต้องการอะไร จุดประสงค์เพื่ออะไร”

ประโยคสุดท้ายราวกับระฆังในยามเช้าที่ชนเข้ากับจิตใจของจิงไห่ ทำให้เขาตาสว่างในพริบตา!

ราวกับว่าเขาได้เข้าใจอาจารย์ผู้ซึ่งไม่ชอบการอธิบายแล้วว่า เหตุใดจึงได้อธิบายบอกกับเขาในช่วงเวลานี้ อาจารย์กำลังสอนกฎแห่งการมีชีวิตรอดบนโลกใบนี้ให้ แก่เขา สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าเท่านั้นถึงจะสามารถอยู่รอดได้ ส่วนผู้ด้อยกว่าย่อมถูกกำจัดทิ้งจนสูญสิ้นไปในที่สุด เหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาเรียนไม่ได้ในการใช้ชีวิตที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้น

เมื่อเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอแล้ว จิงไห่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คารวะมู่ชิงเกอและเอ่ยออกมาด้วยความเคารพอย่างจริงใจ “ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ!”

เห็นว่าจิงไห่เข้าใจในความหมายของตนแล้ว มู่ชิงเกออก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

ทั้งสองราวกับคนนอกทั้งที่อยู่ในการฆ่าฟัน มองดูการฆ่าฟันท่ามกลางราตรีอันมืดมิด สัมผัสถึงบรรยากาศโดยรอบที่ถูกกลิ่นคาวเลือดเข้ากอบกุม เมื่อคนตระกูลไป๋ลดน้อยลง เสวี่ยหยาก็หวนกลับมาก่อนหนึ่งก้าว

ชุดสีพื้นที่นางสวมใส่อยู่บนร่างไม่มีร่องรอยเปื้อนเลือดเลยแม้แต่น้อย ยังคงบริสุทธิ์สะอาดตา งดงามทรงสง่าเช่นเดิม

เพียงแต่ว่า ศีรษะคนผู้หนึ่งที่ยังคงมีเลือดหยดที่นางถืออยู่ในมือ กลับทำให้ลมหายใจนางดูเยือกเย็นยิ่งขึ้น

การปรากฏตัวของเสวี่ยหยา เป็นจุดสังเกตของไป๋จิ้งถิง

และในขณะที่เขาก้มลงไปมองศีรษะคนที่อยู่ในมือของนาง ก็ร้องออกมาเสียงดังอยู่ในอาการบ้าคลั่ง

“ท่าไม่ดีแล้ว! เขาจะระเบิดตัวเองรีบถอยออกมาเร็ว!” ลี่หยุนเทาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของไป๋จิ้งถิงรีบเอ่ยเตือนและพาคนตระกูลลี่ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ถอยออกมา สายตาของลี่หยุนเทาก็กวาดไปมองมู่ชิงเกอ เห็นว่านางยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ในใจก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา ‘หากเขาถอยออกมาไม่ทัน ถูกแรงระเบิดตายไป เช่นนั้นก็ดีไม่น้อย!’

แต่ว่ายังไม่ทันให้เขาได้รู้สึกยินดีกับความคิดนี้ ก็มีเสียงเล็กๆ เอ่ยอย่างไม่แยแสดังขึ้นมาในทันที “ต่อหน้าดรุณีน้อย ยังคิดที่จะระเบิดตัวเอง?”

จากนั้น ลี่หยุนเทาก็เห็นเพียงแสงสีขาวลำสายหนึ่ง พาไป๋จิ๋งถิงที่ตัวพองกลมขึ้นโบยบินขึ้นไป

ไป๋จิ้งถิงวาดเป็นเส้นโค้งไปเหนือตระกูลโต้ว

จากนั้นยังไม่ทันที่ใครจะได้มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ได้ยินเสียงเขาร้องโอดครวญน่าเวทนา ยังไม่ทันที่ทั้งร่างจะได้ระเบิดตนเอง ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างกลืนกินไปท่ามกลางสายตาของผู้คน ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้พาให้คนตระกูลลี่ตื่นตระหนก รวมถึงลี่หยุนเทาด้วย เขากะพริบตาปริบๆ เปลี่ยนความคิดในใจอย่างรวดเร็ว

นอกจากจิงไห่แล้วไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมู่ชิงเกอ

จิงไห่เบิกตาโต จ้องมองไปที่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของอาจารย์ตอนที่ไป๋จิ้งถิงถูกสะบัดไปในอากาศเมื่อครู่นี้ เขาเห็นอาจารย์ยิงบางอย่างออกจากนิ้วมือชัดๆ พอสิ่งของนั้นปรากฏราวกับบิดเบือนอากาศด้านหน้าของพวกเขา จากนั้นพุ่งเข้าใส่ไป๋จิ้งถิง จากนั้นพวกเขาก็เห็นฉากที่ไป๋จิ้งถิงหายตัวไป!

ไป๋จิ้งถิงที่เดิมทีจะระเบิดตนเอง กลับหายไปอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา?

คนตระกูลไป๋ที่เหลือตกอยู่ในอาการตะลึง เหม่อมองบริเวณที่ประมุขของตระกูลหายตัวไป

ลี่หยุนเทาที่มีปฏิกิริยารวดเร็วรีบส่งเสรียงร้องบอกคนตระกูลลี่ ให้พุ่งเข้าใส่คนตระกูลไป๋ที่เหลืออีกครั้ง

การตายของไป๋จิ้งถิง ศีรษะของไป๋เซียว ทำให้คนตระกูลไป๋ที่หลงเหลืออยู่ล่มสลายลงในที่สุด พวกเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการต้านทาน เริ่มหนีเอาตัวรอด

เสวี่ยหยาทิ้งศีรษะที่อยู่ในมือ ไปรวมตัวอยู่กับจิงไห่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกออย่างเงียบๆ

ไป๋สี่และหยินเฉินก็กลับมาแล้วเช่นกัน ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอ

สถานการณ์ที่เหลือ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือ

“พลังของพวกเจ้าสองคนตอนนี้เป็นเช่นไรกันแน่?” มู่ชิงเกอส่งเสียงถามไป๋สี่กับหยินเฉินเบาๆ

หยินเฉินเม้มปากตอบ “ไม่สู้ชิงเกอ”

มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย

ไป๋สี่กลับเอ่ยอย่างตั้งใจเล่นแง่ “เรื่องนี้หรือ…ความลับ!”

ประโยคเดียวทำเอามู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองไปยังคืนเดือนมืดที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก นางรู้สึกว่าตนเองถามคำถามที่ไม่ควรถามออกมาเลยจริงๆ ผลพลอยจากเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางออกหน้า

นางไม่สนใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อมองดูลี่หยุนเทาดำเนินการเข่นฆ่าคนตระกูลไป๋ ไม่มีการบอกกล่าวใดๆ นางก็พาคนข้างกายกลับไปที่โรงเตี๊ยม

ระหว่างทาง จิงไห่กับเสวี่ยหยาเดินรั้งท้ายโดยปริยาย เว้นตำแหน่งข้างกายมู่ชิงเกอไว้ให้ไป๋สี่กับหยินเฉิน

ไป๋สี่เอ่ยปากถามมู่ชิงเกอ “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้รับลูกศิษย์?”

มู่ชิงเกอชะงักฝีเท้าครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ ราวกับว่านางตั้งใจครุ่นคิดคำถามนี้ของไป๋สี่ สุดท้ายพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ความสนุกชั่วครู่”

ความสนุกชั่วครู่?

เอ๋!

รอยยิ้มหยอกล้อบนใบหน้าไป๋สี่แข็งค้าง ราวกับว่าได้ยินเรื่องร้ายแรง

‘ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? มู่ชิงเกอที่แต่ไหนแต่ไรทำสิ่งใดล้วนมีเป้าหมายที่แน่ชัด คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะเกิดรู้สึกสนุกอยากจะรับลูกศิษย์สักคน’ ไป๋สี่รู้สึกว่าหัวสมองของตนเองตามไม่ทัน นางหันมองไปทางหยินเฉินตามสัญชาติญาณ กลับพบว่าเขาผินใบหน้าเย็นชาด้านข้างใส่นาง สายตาของไป๋สี่ดุดันขึ้น แม้ว่าใบหน้าด้านข้างนั้นจะหล่อเหลาทรงเสน่ห์ปานใด แต่ว่ายังคงทำให้นางรู้สึกอยากจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่สักที!

ไป๋สี่ละสายตาจากหยินเฉิน ก็พบว่ามู่ชิงเกอเดินนำไปไกลแล้ว นางรีบเดินตามไปเอ่ยกับมู่ชิงเกอเบาๆ ด้วยความตกใจ “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? เจ้าบอกว่า ความสนุกชั่วครู่?”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับไม่พอใจคำอธิบายที่ตนเองให้ออกมา

ผ่านไปชั่วครู่ก็เอ่ยอธิบายว่า “ในโลกแห่งยุคกลาง ข้าจำเป็นต้องมีตัวแทนที่เป็นคนที่นี่โดยกำเนิด” ราวกับว่าคำตอบนี้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มู่ชิงเกอยกหางคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ตัวแทน?” ดวงตาของไป๋สี่เป็นประกายความสับสน

นางรู้สึกว่าคำตอบของมู่ชิงเกอยังคงไม่ตอบสนองต่อความอยากรู้ของนาง

แต่ว่าในขณะที่นางคิดจะถามต่อ มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้น เอ่ยขัดคำพูดของนาง “ข้าบอกคำตอบเจ้าไปแล้ว ไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเจ้า”

น้ำเสียงเย็นชาเผยให้เห็นท่าทีรำคาญของนาง

ไป๋สี่สงบปากสงบคำลงทันทีอย่างเชื่อฟัง แต่กลับไม่ละความพยายามหันกลับไปมองจิงไห่ที่อยู่ห่างออกไปด้านหลังระยะหนึ่ง ราวกับว่านางกำลังครุ่นคิดว่านอกจากรูปโฉมสะอาดสะอ้านแล้วเด็กหนุ่มที่มองไม่เห็นความพิเศษ มีสิทธิ์อะไรมาทำให้มู่ชิงเกอสนใจ

“มากความจริง”

ในขณะที่ไป๋สี่มองจิงไห่นั้นเอง เสียงเย็นชาจากคนข้างกายก็ดังแว่วมา

สายตาของไป๋สี่กวาดตามองทันควัน ตอนที่จับจ้องหยินเฉิน ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเปล่งประกายแสงสีทองอมม่วงอย่างรวดเร็ว

จิงไห่สัมผัสได้ถึงการมองประเมินของไป๋สี่

เขารู้สึกว่าสายตาของพี่สาวคนสวยนี้เย็นชาจนผู้คนตกใจ

“พี่เสวี่ยหยา พวกเขาเป็นใครหรือ?” จิงไห่ขยับเข้าไปใกล้เสวี่ยหยาช้าๆ กระซิบถามเบาๆ

นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว เสวี่ยหยาเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมที่สุด จิตใต้สำนึกบอกว่าหากเขามีปัญหาอะไรสามารถไประบายกับนางได้

เสวี่ยหยาช้อนสายตาขึ้น กวาดตามองแผ่นหลังของไป๋สี่และหยินเฉินแวบหนึ่ง หลุบตาลงโดยไม่มีเสียง “อสรพิษ และจิ้งจอก”

“เอ๋?” จิ่งไห่แน่นิ่งไป เขามองเสวี่ยหยาด้วยอาการตะลึง ลืมก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

ท่ามกลางห้วงความคิด ไม่หยุดที่จะแยกแยะว่า ‘อสรพิษและจิ้งจอก’ หมายถึงอะไร

เสวี่ยหยาเดินไปสองก้าว รู้สึกว่าคนข้างๆ อยู่ๆ ก็ห่างออกไป อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับมามองจิ่งไห่ด้วยสายตาสงสัย

เมื่อถูกนางมองมาด้วยสายตาเช่นนี้จิงไห่ก็ได้สติขึ้นมาทันใด เขาสาวเท้าออกมาวิ่งตามเสวี่ยหยา เอ่ยถามอย่างไม่ละอายว่า “พี่เสวิ่ยหยา เหตุใดถึงบอกว่า พวกเขาเป็นอสรพิษกับจิ้งจอกเล่า?”

ในจินตนาการของเขาอสรพิษเป็นสัตว์เลือดเย็นซ่อนตัวอยู่ตามกอหญ้าพุ่มไม้ ส่วนจิ้งจอกก็เป็นสัตว์เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก พี่เสวี่ยหยา ใช้คำว่าอสรพิษและจิ้งจอกมาบรรยายลักษณะคนข้างกายของอาจารย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก พอประสานกับสายตาใสชื่อบริสุทธิ์คู่นั้นของจึงไห่แล้วเสวี่ยหยาก็เอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเขาเป็นอสรพิษกับจิ้งจอก”

จิ่งไห่ชะงักค้างไม่มีสิ่งใดจะกล่าว

เวลานี้เขาสงสัยในคำบรรยายลักษณะของเสวี่ยหยา จวบจนหลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่เขาได้เห็นร่างที่แท้จริงของไป๋สี่และหยินเฉินจึงได้เข้าใจว่าที่พี่เสวี่ยหยาไม่ได้พูดผิด เพียงแค่เอ่ยเรื่องจริงที่ไม่สามารถจะจริงไปได้มากกว่านี้!

ผู้ร่วมเดินทางห้าคน หน้าหลังแบ่งเป็นสามตอนเดินอยู่ในเมืองไหอวี่เฉิงท่ามกลางแสงจันทร์

มู่ชิงเกอที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด ราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

นางไม่ได้คิดเรื่องอื่น เพียงครุ่นคิดคำถามที่ไป๋สี่เอ่ยถาม

เหตุใดจึงรับจิงไห่เป็นศิษย์?

เป็นเพราะตอบแทนบุญคุณอาหารหนึ่งมื้อ? หรือจู่ๆ คิดอยากทำตนเป็นอาจารย์? หรือเพราะสงสารเจ้าเด็กจิงไห่ ที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่ยังเล็กกันแน่?

เนิ่นนานก่อนที่ในห้วงความคิดของนางจะปรากฏดวงตาดึงดันไม่ยอมแพ้คู่หนึ่ง

นั่นคือดวงตาของจิงไห่

ตอนที่เขาถูกบ่าวรับใช้ตระกูลโต้วรุมทำร้าย ยังคงมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้

ปากของนางก็เอาแต่พรํ่าบอกว่าจิงไห่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ไม่เข้าใจสถานการณ์มากพอ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่นางชื่นชมคือการไม่ยอมพ่ายแพ้อะไรง่ายๆ เช่นนางสมัยเป็นเด็กมิใช่หรือ?!

ราวกับว่า ในที่สุดแล้วก็ขจัดความสงสัยในจิตใจตนเองได้

ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นของมู่ชิงเกอฉายแววตาสดใสแพรวพราว

นางมองไปยังสุดขอบฟ้าที่มืดสนิท นั่นคือจุดที่ดำที่สุด ก่อนที่รุ่งเช้าวันใหม่จะมาเยือน แต่ว่าเบื้องหลังความมืดสนิทนี้เป็นสัญลักษณ์ของรุ่งอรุณ

เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยขอห้องเพิ่มสองห้องให้กับหยินเฉินและไป๋สี่

ความจริง หลังจากที่แต่ละคนกลับห้องตนเองไปพักผ่อนแล้ว มู่ชิงเกอเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิเตรียมฝึกพลังยุทธ์อยู่บนเตียงได้ไม่นาน ไป๋สี่ก็แปลงกลับมาอยู่ในร่างอสรพิษน้อยสีขาวมุดเข้าไปในชายเสื้อของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ยึดที่มั่นตรงหัวไหล่ของนาง

ส่วนหยินเฉินน่ะหรือ? ก็ไม่ยอมน้อยหน้าแปลงร่างเป็นจิ้งจอกหิมะแสนน่ารัก พาดวงตาสูงส่งสีแดงเลือดที่ค่อนไปทางเกียจคร้าน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของมู่ชิงเกอ ใช้พวงหางจิ้งจอกอ่อนนุ่มม้วนร่างของตนเอง หลับตาพริ้มลงอย่างเงียบๆ บนหน้าตักของมู่ชิงเกอ

การเคลื่อนไหวของหนึ่งอสรพิษหนึ่งจิ้งจอกไม่สามารถปิดบังพลังจิตของมู่ชิงเกอได้ แต่นางกลับปล่อยเฉย

เพราะว่าไป๋สี่และหยินเฉินต่างก็รู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดี รู้ถึงเส้นแบ่งของตนเอง

ในระหว่างที่นางเข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์ราวกับว่าหยินเฉินก็เข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์เช่นกัน พลังที่แผ่รังสีออกมาจากร่างของมู่ชิงเกอราวกับถูกเหนี่ยวนำอย่างไรอย่าง นั้น ค่อยๆ ถูกชักนำไปทางหยินเฉิน เกิดเป็นแสงสีเงินอ่อนๆ บนผิวกายของเขาช่วงหนึ่ง

ก่อนที่แสงสีเงินเหล่านี้จะค่อยๆ ปลิวหายออกจากร่างของหยินเฉิน ถูกมู่ชิงเกอดึงดูดกลับไป ระหว่างหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกราวกับเกิดเป็นวงจรพิเศษ นำพลังที่ดูดกลืนของกันและกันแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า

ไป๋สี่ที่หดร่างอยู่ตรงชายเสื้อของมู่ชิงเกอลืมตาขึ้นมาในทันใด ดวงตาขีดกลางสีม่วงอมทองเป็นประกายขึ้นมา

นางตั้งใจมองดูมู่ชิงเกอและหยินเฉินแวบหนึ่ง ดวงตาขีดตรงสีม่วงอมทองค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกตกใจ…

ท้องฟ้าสว่างโร่ สีเลือดของเมืองไหอวี่เฉิงถูกล้างเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อย

พอเช้ามา ข่าวเรื่องตระกูลโต้วและตระกูลไป๋ล่มสลาย จากนี้ไปตระกูลลี่ผงาดขึ้นในเมืองไหอวี่เฉิงเพียงตระกูลเดียว ก็กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวเมือง กลิ่นคาวเลือดที่ที่ไม่อาจจับต้องได้ก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่วเมืองไหอวี่เฉิงช้าๆ

ส่วนมู่ชิงเกอที่อยู่ในการฝึกพลังยุทธ์ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เมื่อนางลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง ผ่อนลมหายใจ ในแววตานางก็ฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง

“ดูท่าเจ้าคงสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติแล้วสินะ” นํ้าเสียงอ่อนหวานละมุน ของไป๋สี่ดังออกมาจากในสาบเสื้อของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอชะงัก

ทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบ ไป๋สี่แปลงร่างเป็นคนยืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ

ในเวลานี้เองหยินเฉินเองก็ลืมตาขึ้น หลังจากที่ดวงตาสีเลือดจ้องมองไปที่ไป๋สี่แล้ว ก็กระโดดลงจากตักของมู่ชิงเกอแปลงร่างเป็นคนผมสีเงินยาวสลวยพลิ้วตามแรงลม มู่ชิงเกอกำหมัดทั้งสองข้าง ช้อนสายตาขึ้นมองไป๋สี่และหยินเฉิน

มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยนํ้าเสียงเจือความประหลาดใจ “ข้ารู้สึกว่าการฝึกพลังยุทธ์ของตนเองราวกับเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข”

ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าออกแรงน้อยแต่ประสบผลเป็นเท่าตัว

พอมู่ชิงเกอพูดจบ สายตาสีเลือดของหยินเฉินก็ฉายแววประหลาดใจ เขาก้มลงไปมองนิ้วมือเรียวยาวของตนเองเช่นกัน

ไป๋สี่เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงที่ไม่บ่งออกอารมณ์ยินดีหรือเกรี้ยวกราด “คิดไม่ถึงว่าการฝึกพลังยุทธ์ของพวกเจ้าก่อนหน้านี้จะรุดหน้าไปถึงเขตแดนลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่ง แน่นอนว่าการฝึกพลังยุทธ์ย่อมต้องเร็วขึ้นหนึ่งเท่า”

“ลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่ง?”

“ลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่ง!”

มู่ชิงเกอและหยินเฉินร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกัน

ไป๋สี่พยักหน้า มองหน้ามู่ชิงเกอด้วยสายตาไม่พอใจอยู่บ้างพลางอธิบายขึ้นว่า “ให้ข้าเดา อาจเป็นเพราะพันธะสัญญาระหว่างพวกเจ้าที่ก่อนหน้านี้ไปถูกเคราะห์อัสนี เพิ่มความแข็งแกร่งให้ความสัมพันธ์นี้เข้า ดังนั้นภายใต้ความบังเอิญก็เข้าสู่เขตแดนของลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่ง ส่งเสริมการฝึกพลังยุทธ์ของกันและกัน”

สายตาไม่พอใจนั้นราวกับตัดพ้อมู่ชิงเกอว่าเหตุใดนางจึงไม่ไปถึงเขตแดนของการที่ลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่งกับตนเอง

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกถี่ๆ มองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของนาง

นางให้ความสนใจกับคำอธิบายของไป๋สี่ หลุบตาลงครุ่นคิด

ส่วนหยินเฉินหลังจากที่ตื่นตระหนกแล้ว สายตาที่ทอดมองไปยังมู่ชิงเกอปรากฎแววตารักใคร่ในตัวเจ้านาย

สายตานี้ถูกไป๋สี่จับได้อดไม่ไหวที่จะตัวสั่นด้วยความตกใจ

นางรับไม่ได้จริงๆ กับสายตาออดอ้อนที่หยินเฉินแสดงออกมา

“บังเอิญเข้าถึงงั้นรึ หรือว่าจะไม่สามารถรู้ถึงหลักการที่จะเข้าถึงเขตแดนลมหายใจประสานรวมเป็นหนึ่ง แล้วตั้งใจใช้มันฝึกฝนได้? ยังมีอีก หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าระหว่างข้ากับเจ้าและหยวนหยวนก็สามารถสัมฤทธิ์ผลถึงขั้นการฝึกพลังยุทธ์ร่วมกัน?”

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นมามองไป๋สี่ด้วยสายตาเป็นประกาย

ราวกับว่านางด้นพบวิธีการฝึกพลังยุทธ์วิธีหนึ่ง!

ขอเพียงทฤษฏีนี้สามารถทำได้จริง เช่นนั้นเมื่อพวกนางทั้งสี่ฝึกพลังยุทธ์ร่วมกันก็จะมีความเร็วในการฝึกพลังยุทธ์ถึงสี่เท่า!

นี่เป็นข้อมูลตัวเลขที่น่ากลัวข้อมูลหนึ่ง?

ความคิดอาจหาญของมู่ชิงเกอทำเอาไป๋สี่ตะลึง และตรึงหยินเฉินไว้

จวบจนไป๋สี่วิเคราะห์สิ่งที่นางพูดออกมาแล้ว จึงได้เอ่ยถามงึมงำ “ข้าควรบอกว่าเจ้าโลภมาก? หรือว่าใจกล้าดี?”

มู่ชิงเกอกลับมองหน้านางด้วยสายตาแวววาว เอ่ยถามว่า “เจ้าบอกข้ามาเถอะ ความเป็นไปได้เช่นนี้มีหรือไม่?” ความจริงจังของนางบอกไป๋สี่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ไป๋สี่ค่อยๆ เก็บสีหน้าตกใจไว้พยักหน้าช้าๆ “ให้เวลาข้าคิดดูหน่อย”

ไม่ได้ปฏิเสธ ก็หมายความว่ามีหวัง!

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มสดใส เอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด

“เช่นกันก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว ไป๋สี่”

“ลำบากเจ้าแล้วอสรพิษน้อย” ทันใดนั้น หยินเฉินก็เอ่ยกับไป๋สี่ด้วยความจริงใจ

ครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกฉายาที่ไป๋สี่ชิงชังว่า ‘อสรพิษจอมตะกละ’ แต่ว่า ‘อสรพิษน้อย’ ที่เขาเอ่ยออกมากลับยิ่งกระตุ้นรังสีสังหารในใจของไป๋สี่

ในขณะที่รังสีสังหารของนางใกล้จะตกผลึก มู่ชิงเกอก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง กำมือป้องปากกระแอมกระไอเบาๆ “แค่กแค่ก ฟ้าสว่างแล้ว มิน่า ถึงได้รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว”

พูดจบนางก็ยกยิ้มมุมปาก

“เจ้าทั้งสองต้องการรับอาหารเช้าหรือไม่?”

พอพูดถึงเรื่องของกิน ดวงตาของไป๋สี่ก็เป็นประกาย รังสีสังหารจางหายไปไร้ร่องรอยรีบร้องรับ “ต้องการ!”

“ไม่ต้องการ” คำตอบที่ไม่เหมือนกันดังขึ้นพร้อมกัน

ไป๋สี่มองหยินเฉินที่ไม่ให้ความร่วมมือ แค่นเสียงเย็นชา “ไม่กินก็ไปเล่นตรงนั้น! อย่ามากระทบกับความอยากอาหารของดรุณีน้อย!”

หยินเฉินส่งสายตาเยือกเย็นใส่นางแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาอย่างไม่กลัวตาย “วางใจเถอะ ความอยากอาหารของเจ้าไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้”

“หยินเฉิน ในเมื่อเจ้าไม่กิน ก็ออกไปช่วยเตรียมอะไรให้พวกเรากินเถอะ” มู่ชิงเกอสบโอกาสเอ่ยปากขึ้น ยับยั้งการระเบิดอารมณ์ของไป๋สี่

หยินเฉินจากไปอย่างว่องไว หลังจากที่เงาร่างเขาหายไป มู่ชิงเกอจึงได้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้าง

นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เหตุใดหยินเฉินถึงได้ชอบลับฝีปากกับไป๋สี่ ราวกับว่าสองคนนี้มีความแค้นกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยถามไป๋สี่ด้วยความจริงจังว่า “ไป๋สี่ ก่อนหน้าที่เจ้าจะมาเกิดใหม่ มีชาติไหนกินเผ่าพันธุ์จิ้งจอกหรือไม่?”

ไป๋สี่มีอาการชะงักไป เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

แต่ว่ายังไม่ทันไร นางก็เอ่ยขึ้นอย่างใจร้อน “สิ่งของที่ดรุณีน้อยกินลงไปมีมากมาย ใครจะไปจำได้กันเล่าว่าเคยกินเนื้อจิ้งจอกหรือไม่?”

เมื่อลี่หยุนเทาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้ว

เรื่องของเมืองไหอวี่เฉิง มู่ชิงเกอจะไม่เข้าไปจัดการ และก็ไม่คิดที่จะจัดการ ดังนั้นนางไม่ได้ไปสืบความว่าลี่หยุนเทาจัดการความสงบในเมืองไหอวี่เฉิงอย่างไร ชาวเมืองถึงได้ยอมให้เขาดำรงตำแหน่งท่านเจ้าเมือง

ส่วนลี่หยุนเทาเมื่อเห็นไป๋สี่และหยินเฉินที่อยู่ข้างกายมู่ชิงเกออีกครั้ง สีหน้าก็เจื่อนลง ความรู้สึกไม่ยินดีภายในใจก็ทำได้เพียงสลายกลายเป็นไม่มี

ภาพมู่ชิงเกอระเบิดผู้เฒ่าตระกูลโต้ว เพียงพอให้เขาตื่นตระหนก

จากนั้นข้างกายนางก็ปรากฏคนสองคน ยิ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกยากจะคาดเดา

ไอพลังบนร่างของพวกเขา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย ความรู้สึกและประสบการณ์บอกเขาว่า ไม่ควรหาเรื่อง

เดิมทีเขาวางแผนว่าหลังจากใช้มู่ชิงเกอจัดการตระกูลไป๋แล้วก็จะสังหารเขาทิ้ง รอสบโอกาสที่ยังยังไม่ทันเตรียมตัว สังหารเขาทิ้งเงียบๆ ส่วนแบ่งของมู่ชิงเกอมากมาย ทำเอาเขารู้สึกปวดใจ แต่ว่ามาวันนี้หากไม่ระวังให้ดีเกรงว่าตระกูลลี่จะมีจุดจบเช่นเดียวกับตระกูลโต้วตระกูลไป๋!

หลังจากด้านหนึ่งจัดการเรื่องของเมืองไหอวี่เฉิง ด้านหนึ่งคิดไตร่ตรองอยู่ในใจแล้ว ลี่หยุนเทาก็รีบรุดมาที่โรงเตี๊ยม

เมื่อพบหน้า ลี่หยุนเทาก็รีบยื่นสัญญาหนึ่งฉบับและกุญแจไปตรงหน้ามู่ชิงเกอ ภายใต้การเลิกคิ้วน้อยๆ ของมู่ชิงเกอ เขาเอ่ยชี้แจงด้วยความระมัดระวังว่า “เดิมทีนี่เป็นบ้านพักตากอากาศติดบ่อนํ้าพุร้อนของตระกูลไป๋ ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงและพักผ่อนในวันธรรมดา ตกแต่งวิจิตรงดงามโดยช่างฝีมือที่มีชื่อเสียง วันนี้มันเป็นของคุณชายมู่แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นที่พักอาศัยของคุณชายมู่ในเมืองไหอวี่เฉิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

มุมปากมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของลี่หยุนเทา

อดกลั้นครู่หนึ่ง ลี่หยุนเทาจึงทอดถอนใจเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ในส่วนของร้านค้า กิจการที่ตระกูลโต้วแต่เดิมมีอยู่บ้าง… แม้คุณชายมู่จะใจกว้างบอกว่าไม่เอา แต่ตัวข้าแซ่ลี่ผู้นี้กลับเห็นว่าควรแบ่งส่วนหนึ่งให้คุณชายมู่”

มู่ชิงเกอกดยิ้มลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางเอ่ยขึ้นอย่างขำขัน “ข้ามีบ้านพักตากอากาศของตัวเองในเมืองไหอวี่เฉิงแล้ว ยังมีกิจการร้านค้า รวมกับส่วนแบ่งภาษีครึ่งหนึ่ง เหมืองแร่ครึ่งหนึ่งที่บอกไปก่อนหน้านี้…ดูท่าแล้ว ข้าคงเป็นเจ้าของเมืองครึ่งหนึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงไปเสียแล้ว”

ลี่หยุนเทามีท่าทีไม่สบอารมณ์ส่วนลึกของดวงตาฉายแววเจ็บปวดเหลือคณา

แต่เขากลับมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็วเอ่ยขึ้นว่า “ครึ่งเมืองไม่เลวทีเดียว! ไม่สู้ตั้งชื่อบ้านพักตากอากาศของคุณชายมู่ว่าจวนครึ่งเมืองเสียเลย!”

รอยยิ้มของมู่ชิงเกอยิ่งฉายแววขบขัน นางเอ่ยนิ่งๆ “แต่ว่า กิจการและร้านค้าในเมืองแห่งนี้ข้าไม่มีแรงจะไปจัดการนี่สิ!”

“ในส่วนนี้คุณชายมู่ไม่ต้องเป็นกังวล หากท่านเชื่อในตัวข้าแซ่ลี่ สามารถมอบหมายให้ข้าจัดการทั้งหมด กำไรในแต่ละปีข้าจะนำไปรวมกับส่วนแบ่งของสายแร่และภาษี นำส่งถึงมือคุณชายมู่พร้อมกันในทีเดียว” ลี่หยุนเทากล่าว

มู่ชิงเกอเอ่ยออกมายิ้มๆ “ในเมื่อเจ้าเมืองลี่กล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่ปฏิเสธความหวังดี” คำเยินยอว่า ‘เจ้าเมืองลี่’ คำเดียว พัดพาความไม่พอใจในใจของลี่หยุนเทาไปไม่น้อย ใช่แล้ว! ขอเพียงเมืองไหอวี่เฉิงนี่เป็นของเขา เขาก็คือ จ้าว!

ส่วนมู่ชิงเกอ…

อย่างมากก็เป็นได้แค่เพียงท่านอ๋องว่างงานที่เห็นหัวมิเห็นหางก็เท่านั้น!

ส่วนแบ่งผลประโยชน์ครั้งใหม่ของเมืองไหอวี่เฉิง จบลงท่ามกลางความพึงพอใจของทุกฝ่าย

มู่ชิงเกอที่อยู่ดีๆ ก็ถูกดึงเข้าไปเอี่ยวด้วยกลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด

“ทว่า คุณชายมู่ รายได้แต่ละปี ข้าจะนำให้ท่านได้อย่างไร?” ลี่หยุนเทาเลียบๆ เคียงๆ เอ่ยถามขึ้น ราวกับว่าในใจแอบสืบประวัติความเป็นมาของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอที่ได้เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เอ่ยขึ้นว่า “ในจุดนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเมืองลี่เป็นกังวล รอให้ในแต่ละปีเตรียมของไว้เป็นที่เรียบร้อย จะมีคนนำสัญลักษณ์ของข้ามารับของ”

หมัดสวนนี้ตั้งรับความคิดของลี่หยุนเทากลับไป

ลี่หยุนเทาจากไปอย่างจำยอม ยิ่งไม่ทราบที่มาที่ไปของมู่ชิงเกอได้แน่ชัด เขาก็ยิ่งไม่กล้าลงมือทำอะไรตามใจคิด

หลังจากที่ลี่หยุนเทาจากไป มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปดูบ้านพักตากอากาศที่เป็นของนางแต่อย่างใด นางเพียงแค่เก็บสัญญาและกุญแจไว้เป็นอย่างดี จากนั้นก็นำข้อมูล ตระกูลเล่อในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงขึ้นมาอ่านโดยละเอียด จากนั้นก็เผาทำลายทิ้ง

ตอนนางยืนชื่นชมพระอาทิตย์ตกในเมืองไหอวี่เฉิงอยู่ข้างหน้าต่างในห้อง จิงไห่ก็เดินถือนํ้าชาเข้ามา

เขายืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ ราวกับกำลังคิดว่าจะเอ่ยปากรบกวนดีหรือไม่

ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาได้ข้อสรุป เสียงของมู่ชิงเกอก็แว่วมา “จบเรื่องที่เมืองไหอวี่เฉิงแล้ว ข้ากำลังจะออกเดินทางจากไป เจ้าแน่ใจนะว่าจะจากไปกับข้า? หลังจาก จากไปแล้ว บางทีเจ้าอาจไม่มีโอกาสกลับได้ไปที่หมู่บ้านที่แสนสงบนั่นอีกแล้ว หรือไม่ก็ก้าวเข้าสู่อีกเส้นทางที่หันหลังกลับมาไม่ได้”

จิงไห่กะพริบตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคู่นั้น เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “อาจารย์ต่อจากนี้เราจะไปที่ใดหรือ?”

ประโยคนี้ทำเอามุมปากของมู่ชิงเกอยกขึ้นเล็กน้อยแทบไม่ทันสังเกต

นางหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับจิงไห่ ภายใต้การย้อนแสงราวกับว่าตัวนางเปล่งแสงสีทอง และก็เหมือนโดนเงามืดบดบัง นางในเวลานี้ราวกับกลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่อาจเอื้อมในสายตาของจิงไห่ ‘เทพเจ้า’ ที่ทำให้เขาเคารพและยกย่องไปตลอดชีวิตค่อยๆ เอ่ยกับเขาว่า “เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!