ตอนที่ 23
คนงามป่วย
วันนี้มู่เกออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก!
เหตุผลไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเพราะว่าผลลัพธ์ของยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอที่น่าทึ่ง
ความจริงแล้ว หลังจากที่ได้กินยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ นอกจากจะเจ็บปวดปางตายแล้ว มู่เกอก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอะไรนอกจากนี้อีก
จนถึงวันก่อนหน้านี้………………….
ในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงแรก คือเธอสามารถฝึกเวทมนต์ได้แล้ว จะไม่ต้องเป็นคนไร้ค่าอีกต่อไป
และเมื่อคืนนี้ เธอรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สอง คือเธอเลื่อนขั้นเวทพลังได้อย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด หลังจากที่ฝึกไปแล้วทั้งคืน พอตื่นมาจากคนไร้ค่าที่ฝึกฝนอะไรไม่ได้เลย ก็กลับกลายเป็นยอดฝีมือสูงสุดของขั้นสีเหลืองไป นี่เป็นประสบการณ์แบบไหนกันนะ
อย่าลืมว่าคนที่มู่เกอเห็นแล้วขัดตาอย่างรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวก็เป็นเพียงสีเหลืองขั้นสูงเท่านั้น
ในพริบตา จากไก่อ่อนกลายเป็นยอดฝีมือ และยังแซงหน้าคนที่ตนเองไม่ชอบ ความรู้สึกแบบนี้มันดีจนไม่รู้จะ ดีอย่างไร
“วันนี้คุณชายดูอารมณ์ดีจังเลย”
“อื้ม หรือว่าเมื่อวานในวังจะมีอะไรที่ทำให้คุณชายดีใจ”
ฮวาเยวี่ยและโย่วเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เกอคุยกันเบาๆ
สาวใช้ทั้งสองรับรู้ได้ถึงความสุขของมู่เกอตั้งแต่เช้า เจ้านายมีความสุข สาวใช้อย่างพวกนางก็พลอยมีความสุขไปด้วย
รอยยิ้มของโย่วเหออ่อนโยนกว่าปกติ กระทั่งไฝนํ้าตาบนใบหน้าของฮวาเยวี่ยเองก็ดูสดใสเป็นประกายขึ้นมาก ทำให้ใบหน้าของนางดูน่ารักเป็นพิเศษ “ฮวาเยวี่ยมานวดให้ข้าที” มู่เกอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก สั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง
เมื่อฮวาเยวี่ยได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กๆ น่ารักก็เผยยิ้มอย่างน่าดึงดูด เดินเข้าไปมือเล็กที่เนียนนุ่มราวกับไร้กระดูกก็วางลงบนไหล่ของมู่เกอ
“คุณชาย แรงประมาณนี้พอได้ไหมเจ้าคะ” ฮวาเยวี่ยถามอย่างอ่อนโยน
มู่เกอที่กำลังดื่มด่ำความสุขพยักหน้าช้าๆ ตอบเสียงขึ้นจมูกว่า “อื้ม” คำเดียว
โย่วเหอเห็นแบบนี้ก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ค่อยๆ เดินออกไปเพื่อไปเตรียมของหวานที่มู่เกอชอบ
ลมพัดผ่าน เสียงใบไม้กระทบกันดังซ่าๆ บริเวณสวนสระเมฆาราวกับเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง
สาวใช้หน้าตาสวยน่ารัก และเจ้านายผู้งดงามเป็นหนึ่งมีความสุขมากจริงๆ
โย่วเหอป้อนของหวานเข้าปากมู่เกอ แล้วปอกเปลือกผลไม้ต่อ พร้อมพูดว่า “จริงสิ คุณชาย วันนี้เป็นวันหยุด คนใหญ่คนโตทุกคนต่างก็ไม่ต้องเข้าท้องพระโรง นักเรียนที่โรงเรียนก็สามารถกลับบ้านได้3 วัน มั่วหยางให้คนมาถามว่า เขาไม่ได้เจอคุณชายมาเป็นเดือนแล้ว เขารู้สึกคิดถึง ในวันหยุดแบบนี้จะขอกลับจวนมาสัก 3 วันจะได้ไหม?”
มู่เกอที่ปิดตาและกำลังกินของหวานฝีมือฮวาเยวี่ย พอได้ยินที่โย่วเหอพูด ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับหิมะมองโย่วเหอแวบหนึ่งแล้ว พูดนิ่งๆ ว่า “ถ้าเขาอยากกลับมาก็กลับมาเถอะ” เธอก็อยากเห็นว่าเจ้าคนรับใช้ที่มู่ชิงเกอส่งไปเรียนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
“โย่วเหอขอขอบคุณคุณชายแทนมั่วหยางมากๆ เลยเจ้าค่ะ” โย่วเหอวางลูกองุ่นที่เพิ่งปอกเสร็จลง ลุกขึ้นคารวะมู่เกอ
มู่เกอบกมือบอกให้หยุด ไม่ได้สนใจมากนัก ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรง ดวงตาเป็นประกาย
“คุณชาย ยังนวดไม่เสร็จเลยนะเจ้าคะ” ฮวาเยวี่ย พยายามดึงตัวมู่เกอกลับมานอนบนเก้าอี้โยก
แต่ว่ามู่เกอกลับจับมือของฮวาเยวี่ยไว้แล้วดึงออก เธอลุกขึ้นปัดเสื้อเบาๆ แล้วพูดกับสาวใช้ทั้งสองว่า “วันนี้ถ้าไม่มีธุระอะไร เราไปรับมวหยางที่โรงเรียนกัน”
“หา!”
“คุณชาย…”
สาวใช้ทั้งสองมองเธอด้วยความแปลกใจ
เหมือนว่าจะไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจอย่างกะทันหันของเจ้านายสักเท่าไหร่ เป็นถึงเจ้านายไปรับเด็กรับใช้ ถือว่าเด็กรับใช้นั่นช่างมีเกียรติเหลือเกิน
มู่เกอที่ถูกโจมตีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ก็รีบทำสีหน้ารำคาญแล้วพูดว่า “ยังไม่รีบไปเตรียมรถม้าอีก ไปบอกพ่อบ้านว่าข้าจะออกไปข้างนอก”
เธอจะไม่ยอมรับง่ายๆ หรอกว่าอยู่แต่ในตำหนักตระกูลมู่ทุกวันแบบนี้ มันไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ น่าเบื่อมาก เธออยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก
ใช่ ! เธอก็แค่อยากจะหาเรื่องออกไปข้างนอกเท่านั้นเอง
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยจัดการทุกอย่างอย่างเร่งรีบ ไม่นานก็เตรียมทุกอย่างพร้อมเตรียมออกจากจวน
ออกจากจวนครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อ 2 วันก่อน มู่เกอเตรียมพร้อมทั้งคนและม้า ไม่เพียงแค่โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยเท่านั้นที่ติดตามไป แต่ตระกูลมู่ยังเตรียมทหารองครักษ์ให้เธออีก 20 นาย ทั้งหมดออกเดินทางไปยังสถานศึกษาเพียงแห่งเดียวของลั่วตู— ‘โรงเรียนจื่อหยาง’ โรงเรียนจี่อหยางเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในแคว้นฉิน
เริ่มแรกโรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้สืบทอดลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง แต่ไม่นานก็มีผู้มีวิชาความรู้และวรรณกรรมมาเข้าร่วม โรงเรียนจื่อหยางบ่มเพาะคนจำนวนไม่น้อยให้เป็นผู้ที่มีความสามารถ เป็นเสาหลักของแคว้นฉิน
ฉะนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงค่อยๆ กลายเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในแคว้นฉินและเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวของลั่วตู
ในโรงเรียนแห่งนี้ไม่แบ่งแยกรวยจนและอายุ หากแต่มีใจรักในการเรียน ก็สามารถเข้าเรียนได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้ว จะสามารถเรียนรู้ได้เท่าไหร่ และจะประสบความสำเร็จได้ไหมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล
ฉะนั้นในโรงเรียนแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีลูกหลานของประชาชนทั่วไป แต่ยังมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์และตระกูลที่มีฐานะทางสังคมด้วย เพียงแต่ว่าเป้าหมายของทั้งสองกลุ่มนี้ต่างกัน
นอกจากจะหาความรู้แล้ว ลูกหลานของประชาชนทั่วไปนั้นก็หวังจะได้รู้จักคนใหญ่คนโต ให้ตนเองสามารถไปได้ไกลขึ้น ส่วนลูกหลานของเชื้อพระวงศ์และตระกูลใหญ่ๆ ที่มีฐานะก็หวังที่จะเป็นคนที่มีความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลต่อไป
ด้วยฐานะของมู่ชิงเกอแล้ว นางก็เคยเป็นนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนจี่อหยาง
แต่ว่าเพราะความไร้ค่าของตัวนางและชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก ทำให้ชีวิตในโรงเรียนของนางไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ อาจารย์ไม่ชอบ นักเรียนที่เป็นประชาชนทั่วไปหวาดกลัว นักเรียนที่มีฐานะสูงส่งก็คอยค่อนขอดหัวเราะเยาะ เพราะฉะนั้นสุดท้ายนางจึงตัดสินใจเลิกเรียนและส่งเด็กรับใช้ข้างตัวที่รักการเรียนอย่างมั่วหยางเข้ามาเรียนแทน
และชื่อเสียงของมู่ชิงเกอในโรงเรียนแห่งนี้คือ ในด้านบู๊ ก็เป็นคนไร้ประโยชน์ ด้านบุ๋นก็ยังไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน
เพิ่งจะเข้าใกล้โรงเรียน แต่ยังไม่ได้เข้าไป มู่เกอก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของหนังสือท่ามกลางภูเขาสูงและแม่นํ้าที่อยู่รอบๆ
มู่เกอให้ฮวาเยวี่ยเปิดผ้าม่านบนรถม้า แล้วมองไปยังภูเขาและต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้า เธอพยักหน้าชมว่า “โรงเรียนจี่อหยางแห่งนี้ เลือกที่ได้ดีจริงๆ มีทั้งภูเขาและแม่นํ้าบรรยากาศดีมาก”
ระหว่างพูด รถม้าที่แขวนป้ายจวนตระกูลมู่ของเธอก็หยุดตรงหน้าป้ายขนาดใหญ่ที่ทำด้วยหยก
ด้านบนของบันได อาณาเขตหลังป้ายนี้คือโรงเรียนจื่อหยาง
รถม้าหยุดลงโดยไม่ได้สั่ง
มู่เกอขมวดคิ้วถาม “เข้าไปไม่ได้หรือ?”
เห็นเจ้านายทำหน้างง โย่วเหอก็อธิบาย “คุณชาย คุณชายลืมกฎของโรงเรียนแห่งนี้แล้วหรือเจ้าคะ หากไม่ได้รับเชิญ ถึงแม้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาเองก็ต้องรออยู่ด้านนอก”
“วัวแยกจริงๆ!” มู่เกอเลิกคิ้วขึ้นสูง
“คุณชาย ‘วัวแยก’ แปลว่าอะไรรึเจ้าคะ” ฮวาเยวี่ยถามอย่างจริงจัง ในอีกด้านหนึ่งโย่วเหอก็หันมามองด้วยความสงสัย
เอ่อ……………………
“แค่กๆ ‘วัวแยก’ ก็แปลว่าร้ายกาจมากอย่างไรล่ะ” มู่เกออธิบายสั้นๆ พูดแล้วเธอก็นั่งตัวตรง ในรถม้านั่นกว้างมากก็จริง แต่ก็ยังทำให้เธอรู้สึกอึดอัด มู่เกอไม่ฟังที่สาวใช้ทั้งสองห้าม โดดลงจากรถม้ามายืนอยู่บนพื้นดินแล้วบิดขี้เกียจอย่างสบาย โย่วเหอและฮวาเยวี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ทำได้แค่โดดลงรถม้าตามเธอ และยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของเธอ มู่เกอเงยหน้าขึ้นมองป้ายหยกสีขาวแกะสลัก แล้วสั่งทุกคนว่า “อย่างไรก็ยังไม่เลิกเรียน ข้าขอเดินเล่นรอบๆ ก่อน พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้ากลับมา”
“คุณชายจะไปไหนเจ้าคะ? พาบ่าวไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ?” โย่วเหอรีบพูด
ฮวาเยวี่ยพยักหน้าอยู่ข้างๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจที่มู่เกอจะทิ้งพวกนางไว้
หัวหน้าองครักษ์ยืนขึ้นคารวะมู่เกอแล้วพูด “คุณชาย ข้าน้อยยอมสละชีวิตเพี่อปกป้องความปลอดภัยของท่าน ถ้าคุณชายจะไปไหนก็ขอให้พาข้าน้อยไปด้วย”
มู่เกอเบ้ปาก
ครั้งนี้ที่พาทุกคนออกมาด้วย เพราะไม่อยากให้เหมือนครั้งก่อน ที่จะส่งข่าวหรือจะทำอะไรก็ไม่มีคนช่วย แต่ไม่คิดว่าคนพวกนี้พอพาออกมาแล้วก็เหมือนพาแมลงน่ารำคาญกลุ่มหนึ่งออกมาด้วย
“ข้าเป็นนาย คำสั่งของข้าถ้าใครกล้าขัด ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก” มู่เกอหน้าเครียดปฏิเสธที่จะให้ทุกคนตามไปด้วย
พอห้ามทุกคนเสร็จแล้ว มู่เกอก็รีบพลิ้วกายเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว
“คุณชาย รอบ่าวด้วย” ฮวาเยวี่ยตกใจรีบตามไป แต่ว่าโย่วเหอดึงนางเอาไว้ก่อน โย่วเหอส่ายหน้าแล้วพูดกับนางว่า“ฮวาเยวี่ย คุณชายบอกแล้วว่าห้ามตามไป เราก็อย่าขัดคำสั่งเลย นิสัยของนายน้อยพวกเราต่างก็รู้ดีกว่าใคร หากทำให้ท่านโกรธมากๆ กลัวแต่ว่าเราสองคนจะถูกขับออกจากเรือนสวนสระเมฆาน่ะสิ”
“แต่ว่า คุณชายออกไปคนเดียว…” ในแววตาของฮวาเยวี่ยสับสน นํ้าเสียงเป็นห่วงเป็นใย
โย่วเหอลูบหลังมือนาง แล้วปลอบใจ“วางใจเถอะ ที่นี่เป็นโรงเรียน ในป่าคงไม่มีสัตว์ร้ายอะไรโผล่ออกมาแน่ๆ เจ้าไม่เห็นเหรอว่าพี่ชายทหารพวกนั้นก็ไม่ได้ตามไป แสดงว่าข้างในต้องปลอดภัย”
พูดแล้วสาวใช้ทั้งสองก็มองไปที่หัวหน้าทหารของตระกูลมู่
ทหารร่างใหญ่กำยำเมื่อถูกสาวใช้ทั้งสองมองแบบนี้ก็หน้าแดง พูดอายๆ ว่า “แม่นางโย่วเหอพูดถูก ในป่าแถบ นี้ไม่มีสัตว์ร้ายอะไร เพราะอยู่ใกล้เขตโรงเรียน และไม่มีพื้นที่อันตรายอะไร คุณชายไม่เป็นอะไรหรอก” เมื่อครู่ที่เขาจะตามไปก็เพราะหน้าที่ แต่สุดท้ายถูกปฏิเสธ เขาก็ทำได้แค่ยืนรออยู่ที่เดิม แน่นอนว่าถ้าที่นี่มีอันตรายอะไร ถึงแม้ว่าต้องขัดคำสั่งเขาก็จะไม่ให้มู่ชิงเกอออกไปแน่นอน พอมู่เกอสลัดหลุดจากพวกแมลงน่ารำคาญพวกนั้นแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินเล่นอยู่ในป่าอย่างสบายอารมณ์ ชุดแดงทั้งตัวดั่งเปลวไฟ กลายเป็นสีสว่างสีเดียวที่ส่องสว่างไปทั่วผืนป่าสีเขียว จัดจ้าราวกับดวงอาทิตย์
ทันใดนั้น มีเสียงพิณดังขึ้น เสียงพิณนั้นฟังแล้วให้ความรู้สึกสงบ ราวกับมีพลังช่วยให้ห่างไกลจากความวุ่นวาย
มู่เกอหยุดเดิน คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินตามเสียงพิณไป
ไม่นาน เธอเดินลึกเข้าไปในป่า มาหยุดอยู่ตรงหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง
กระท่อมหลังนั้นไม่ใหญ่มาก ข้างในมีอยู่ไม่เกินสองห้อง ตั้งอยู่กลางป่าไผ่ที่เขียวขจีภายในกระท่อมมีเสียงเทียนส่องสว่างและกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกมา ที่หน้ากระท่อมมีคนงามสวมชุดสีเหลืองนวลตัวยาวแขนกว้างอยู่ผู้หนึ่ง ผมเงาดำไม่ได้รวบมัด มือคู่ใหญ่ของเขาวางอยู่บนพิณตรงหน้า ฉากนี้ช่างเหมือนกับภาพวาดภาพหนึ่ง ทำให้มู่เกอตาเป็นประกาย พินิจมองชายที่ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดผู้นั้น ในป่ามีลมเย็นๆ พัดผ่าน เสียงใบไผ่กระทบกันดังช่าๆ แขนเสื้อยาวแผ่วพลิ้วเต้นระบำ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมุนไปตามโน้ตพิณของเขา
ใบหน้าของเขางดงามมาก แต่กลับให้ความรู้สึกเปราะบาง ราวกับว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้สามารถทำให้เขาแตกสลายได้ ดูแล้วชวนให้คนเกิดความรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมาทันที มู่เกอรู้สึกสงสัย เธอกำลังอึ้งกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ทุกครั้งที่เส้นผมเงาดำราวกับหมึกของเขาพัดผ่านใบหน้าของเขาไปนั้น เธอยังกลัวว่าผมนั้นจะบาดเข้าผิวหน้าที่เปราะบางจนแทบจะโปร่งแสงนั้น จนอยากจะยื่นมือออกไปปัดผมนั้นออก
“เจ้าเป็นใคร!” ทันใดนั้น เสียงระแวดระวังก็ดังออกมาจากประตูกระท่อม
มู่เกอตื่นจากภวังค์เงยหน้าขึ้น กลับสบเข้ากับดวงตาอันลึกลํ้าราวกับทะเลสาบที่นิ่งสงบ ตาขาวกับดำตัดกันอย่างชัดเจน