ตอนที่ 241
พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดผู้อับโชค
โขดหินสีเทาดำ ทิวสันเขาเกลี้ยงเกลา ภูเขาไฟที่สูงขึ้นจากพื้นไม่หยุดที่จะปล่อยควันออกมา เถ้าถ่านปริมาณมากพ่นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ กลายเป็นชั้นเมฆหนาแน่นบนท้องฟ้าแผ่คลุมทั่วทั้งแผ่นฟ้าเป็นรัศมีกว่าสิบลี้
ฝุ่นควันสีขาวเกาะกลุ่มกันไม่หายไปไหน ยิ่งรวมตัวยิ่งหนาหนักขึ้นจนราวกับว่าจะร่วงลงมา
ท่ามกลางฝุ่นควันแน่นหนาก็มีประกายไฟวับๆ แวมๆ ลาวาร้อนระอุบางส่วนทะลักออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ไหลบ่าลงบนเขาเกิดเป็นเปลวเพลิงเผาไหม้ลงมา
เมื่อไกลถึงเชิงเขาก็ค่อยๆ เย็นตัวลง กลายเป็นก้อนหินสีเทาดำ
บนสันเขาลาดชันทิ้งไว้เพียงรอยเท้าสามคนเดินเรียงแถวย่ำไปบนหินภูเขาไฟที่ป่นละเอียด มุ่งหน้าไปบนยอดเขาไม่หยุดยั้ง เหนือร่างของพวกเขาห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีขาวฟ้าเป็นชั้นบางๆ พยายามกันความร้อนไว้ด้านนอก
ถึงอย่างไรยิ่งเข้าใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ เปลวเพลิงสีขาวฟ้านี้ก็ค่อยๆ หมดประโยชน์เปลวเพลิงก็เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งระเหยกลายเป็นไอความร้อน
“ปะทุออกมาครึ่งเดือนเว้นครึ่งเดือนอีกนานแค่ไหนที่จะปะทุขึ้นมาอีกรอบ?” มู่ชิงเกอถาม
หานฉายไฉ่ตอบว่า “ครั้งที่แล้วเพิ่งปะทุไปห้าวัน”
“ก็หมายความว่ายังมีเวลาอีกสิบวัน” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงขรึม
หายฉายไฉ่พยักหน้า “ให้ข้าเดา การปะทุในแต่ละครั้งก็ล้วนเป็นเพราะพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ตามความอ่อนแอของมัน มันก็จะค่อยๆ เข้าสู่การหลับใหล และก็เป็นวันที่ภูเขาไฟจำศีล หลังจากนี้ไปความห่างของช่วงเวลาในการปะทุก็ยิ่งยาวนานขึ้น แน่นอนว่าถ้าหากพวกเราเดินทางราบรื่นสามารถจัดการมันได้ ภูเขาไฟที่รูปร่างแปลกประหลาดนี้ก็จะหายไป”
“ปัญหาอยู่ที่จะจัดการมันอย่างไร” มู่ชิงเกอมองหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ส่งสายตามองนางและหยินเฉินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราสามคน รวมกับพญาเพลิงระดับเทพฮุ่นหยวนของเจ้า น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่”
“ตอนนี้พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ก็เริ่มค่อยๆ ต้านทานความร้อนของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดไม่อยู่แล้ว ข้าเกรงว่าพวกเรายังไม่ทันหาเขาเจอก็ถูกไฟเผาตายเสียก่อน ยังจะพูดถึงเรื่องต่อสู้ไปทำไมอีก?” มู่ชิงเกอแขวะ
พูดแล้ว นางก็มองหานฉายไฉ่ด้วยสายตาแปลกๆ “พวกเจ้าผู้ซึ่งมีสายเลือดแห่งเพลิงเพียบพร้อม มิใช่ไม่กลัวเปลวเพลิงหรอกหรือ?”
“พญาเพลิงทั่วไปพวกเราย่อมไม่มีทางกลัว แต่ว่าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเป็นพญาเพลิงที่ร้อนที่สุด สายเลือดของพวกเรายังไม่แข็งแกร่งถึงระดับนั้น” หายฉาย ไฉ่เอ่ยอย่างมีเหตุมีผล
มู่ชิงเกอจนคำพูด มีความรู้สึกเหมือนถูกลวงหลอก นางก็น่าจะรู้ว่าหานฉายไฉ่ไม่มีทางช่วยนางเปล่าๆ
“หยินเฉินเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หากทนไม่ไหวข้าจะส่งเจ้ากลับไป” มู่ชิงเกอหันมาเอ่ยกับหยินเฉินที่อยู่ข้างหลัง
บนหน้าผากของหยินเฉินหยาดเหงื่อไหลริน ถึงแม้จะมีพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่อยู่แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบาย แต่คำพูดของมู่ชิงเกอกลับทำให้เขาส่ายหน้าทันควัน “ข้าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกลับไป”
เขาอยากจะอยู่ช่วยมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่สังเกต เอ่ยกับเขาว่า “ไม่ต้องฝืน หากไม่ไหวก็บอกข้า”
หยินเฉินพยักหน้าหนักแน่น
มู่ชิงเกละสายตากลับมา พอดีเห็นว่าหานฉายกำลังมองประเมินนางอยู่
นางยกหางคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “มองอะไร?”
หานฉายไฉ่ก็เอ่ยขึ้นประชดประชัน “เมื่อไรเจ้าจะอ่อนโยนกับข้าบ้าง ห่วงใยข้าบ้าง?”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ขี้เกียจไปสนใจเขา
หยินเฉินเป็นสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของนาง และก็เป็นคู่หู อีกอย่างเดิมทีเขาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว นางย่อมเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง หานฉายไฉ่น่ะหรือ?
แม้ว่าเขาจะมีเหงื่อ แต่นางมองว่าเขาดูจะสบายกว่าใครทั้งหมด
“ใกล้ถึงแล้ว” เมื่อเห็นปากปล่องภูเขาไฟรางๆ หานฉาย ไฉ่ก็หยุดลงทันใด
ยืนอยู่ตรงนี้ ความร้อนยิ่งทวีความรุนแรง แทบจะสามารถแผดเผาคนได้ทุกเมื่อ “ความร้อนของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด มิใช่ว่าใครๆ ก็สามารถทานทนได้ มันคิดจะดับสูญแล้วเกิดใหม่อยู่ที่นี่ ยิ่งต้องทำให้ที่นี่ร้อนจนไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาใกล้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ตัวเอง ถ้าหากพวกเรามาช้ากว่านี้สักหน่อย เกรงว่าแม้แต่ตรงนี้ก็เดินขึ้นไปไม่ได้แล้ว” หานฉายไฉ่กล่าว
พูดจบเขาก็ยื่นมือออกมาแบตรงหน้ามู่ชิงเกอ บนฝ่ามือของเขาปรากฏไข่มุกสีแดงสามเม็ด
มู่ชิงเกอส่งสายตามองไปบนนั้น เอ่ยถามขึ้นว่า “นี่คือสิ่งใด?”
“ไข่มุกหลีกอัคคี” หานฉายไฉ่ตอบ
“ไข่มุกหลีกอัคคี?ไข่มุกที่สามารถหลบหลีกเปลวเพลิงทั้งหมดในตำนานนั้นน่ะหรือ?” มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใด หยินเฉินก็มีอาการตื่นตระหนกขึ้นมา ตวัด สายตามองมาที่หานฉายไฉ่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ในเมื่อเขามีของลํ้าค่าเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องให้มู่ชิงเกอได้รับความลำบากด้วย?
คำอธิบายของหยินเฉินทำเอามู่ชิงเกอหรี่ตาลงมองหานฉายไฉ่ด้วยสายตาดุดัน
หานฉายไฉ่กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ไข่มุกหลีกอัคคีไม่ได้อัศจรรย์ตามที่กล่าวไว้ในตำนาน มันสามารถกีดขวางไม่ให้เปลวเพลิงเข้าใกล้ป้องกันพลังความร้อนได้จริง แต่ทว่ามีเวลาจำกัด ต่อหน้าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด อย่างมากมันก็สามารถมีฤทธิ์ต่อเนื่องนานห้าชั่วยามเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจะต้องหาพญาเพลิงอัคคีแรก กำเนิดให้เจอภายในเวลาห้าชั่วยาม และทำให้มันยอมจำนน มิฉะนั้นพวกเราคงต้องสังเวยชีวิตไว้ที่นี สรุปคือ ไม่ว่าจะหาเจอหรือไม่ จะสำเร็จหรือเปล่า พวกเรามีเวลาเพียงห้าชั่วยามเท่านั้น ในห้าชั่วยามหากไม่สำเร็จก็ถอย
ทัพ”
คำพูดของหานฉายไฉ่ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อธิบายว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่นำไข่มุกหลีกอัคคีขึ้นมาตั้งแต่ในตอนต้น แต่ความจริงแล้วมู่ชิงเกอและหยินเฉินกลับเข้าใจดี
ในเมื่อเวลามีจำกัด เช่นนั้นในเวลานี้ย่อมต้องใช้ในตอนที่เหมาะสม หากพวกเขาใช้ไข่มุกหลีกอัคคีตั้งแต่ในตอนแรกที่เข้าใกล้ภูเขาไฟแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเวลาที่จะตามหาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็จะเหลือน้อยลง พวกเขาก็จะมีอันตรายเพิ่มขึ้นหลายส่วน
มู่ชิงเกอหยิบไข่มุกหลีกอัคคีในมือของหานฉายไฉ่มาสองเม็ด มอบเม็ดหนึ่งให้กับหยินเฉินจากนั้นถึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ของลํ้าค่าเช่นนี้เจ้าได้มาจากที่ใด? มีเท่าไร?”
หานฉายไฉ่ยิ้มหยัน “นี่เป็นของลํ้าค่าของตระกูลหาน มีทั้งหมดห้าเม็ด ครั้งนี้ข้านำมาสามเม็ด”
สองนิ้วของมู่ชิงเกอคีบไข่มุกหลีกอัคคีขึ้นมาพิจารณาตรงหน้า ไข่มุกสีแดงมีขนาดเท่ากับไข่นกกระทา คล้ายกับมีเปลวเพลิงเคลื่อนไหวอยู่ด้านในของไข่มุก ช่างสวยงามคล้ายกับอัญมณีส่องประกายท่ามกลางแสงแวววาว “นี่เป็นสิ่งของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวหรือว่าสามารถใช้ซํ้าได้อีก?”
หานฉายไฉ่นำไข่มุกหลีกอัคคีในมือใส่เข้าปากอมไว้ อธิบายท่ามกลางสายตาแปลกใจระคนสงสัยของมู่ชิงเกอและหยินเฉินว่า “อมไข่มุกหลีกอัคคีลงไว้ก็เป็นการเริ่มการทำงานของมัน ตามกาลเวลาที่ผันผ่านมันก็จะค่อยๆ อับแสงลงเช่นก้อนหินไปอย่างช้าๆ หลังจากหมดฤทธิ์ลงก็คายมันออกมา นำไปฟื้นฟูที่สถานที่พิเศษใหม่อีกครั้ง ประมาณหนึ่งปีให้หลังก็จะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกวิธีการใช้งานไข่มุกหลีกอัคคีทำให้นางปวดใจอยู่บ้าง
นางหยิบไข่มุกหลีกอัคคีไว้ไม่กล้านำเข้าปากสักที
เพราะนางไม่รู้ว่าไข่มุกหลีกอัคคีที่อยู่ในมือนางนั้นครั้งก่อนถูกใครอมเข้าไป และถูกอมมากี่ครั้งแล้ว ชุ่มนํ้าลายคนไปมากน้อยเพียงไร?
เมื่อเห็นท่าทีงองํ้าของนาง หานฉายไฉ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าวางใจได้ไข่มุกหลีกอัคคีทุกเม็ดหลังการใช้งานจะถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดี ใช้ธารนํ้าแข็งบริสุทธิ์จากภูเขาอวี๋เสวี่ยซานชำระล้าง ยังมีพญาเพลิงแผดเผา อีกอย่างมันยังถูกดูแลทำความสะอาดอย่างดีเป็นปี แม้ว่าจะมีอะไรจริงๆ ก็น่าจะสะอาดหมดจดตั้งแต่ในตอนแรกแล้ว”
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่ค่อยสบายใจอยู่บ้าง!
มู่ชิงเกอลอบเอ่ยอยู่ในใจ
คิดดูแล้วนางก็หลับตา กัดฟัน นำไข่มุกหลีกอัคคีในมืออมเข้าไป เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญที่สุด ในเมื่อไม่มีทางอื่นให้จัดการแก้ไข เช่นนั้นเหตุใดจำต้องมากความด้วยเล่า?
นางอมไข่มุกหลีกอัคคีไว้ในปาก หยินเฉินก็รีบร้อนอม ตามอย่างรวดเร็ว
เมื่อไข่มุกหลีกอัคคีเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเย็นสบายสายหนึ่งก็กระจายออกจากภายในร่างกายสู่ภายนอก ขจัดความร้อนภายในร่างกาย คล้ายกับว่าทั้งร่างกำลัง แช่อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ช่างสบายยิ่งนัก มู่ชิงเกอลืมตาขึ้น ดวงตาสุกสกาวปรากฏแววตกใจ นางคิดไม่ถึงว่าไข่มุกหลีกอัคคีจะอัศจรรย์เพียงนั้น!
หยินเฉินเองก็เช่นกัน หลังจากอมไข่มุกหลีกอัคคีเข้าไปแล้ว ความต้านทานที่เขามีต่อพลังความร้อน ความรู้สึกหงุดหงิดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หากไม่ได้ยืนอยู่บนภูเขาไฟ เขาคงจะนึกว่าตนเองอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าในช่องว่างของมู่ชิงเกอ
อบอุ่น แสนสบาย
“นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเรามีเวลาเพียงห้าชั่วยาม” หานฉายไฉ่เอ่ยเตือนสติทั้งสองอีกครั้ง
มู่ชิงเกอและหยินเฉินพยักหน้าอย่างอย่างตั้งใจ
“ออกเดินทางได้” มู่ชิงเกอเอ่ยปาก
ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปยังปากปล่องภูเขาไฟอย่างไม่หยุดพัก ไม่นานก็มายืนอยู่ด้านบนของภูเขาไฟ
ปากภูเขารูปวงแหวน คลื่นพลังร้อนระอุ การเผาไหม้ของธารลาวา หากไม่มีไข่มุกหลีกอัคคี มู่ชิงเกอคิดว่าตนเอง คงถูกจมลงไปแล้ว!
“มันต้องซ่อนตัวอยู่ด้านล่างแน่นอน พวกเราลงไปเถอะ” หานฉายไฉ่กล่าว
“อืม” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วน้อยๆ
จากนั้น ทั้งสามคนก็กระโจนลงไปจากปล่องภูเขาไฟเข้าสู่ธารลาวาร้อนระอุ ธารลาวาร้อนระอุที่ไหลออกจากปากปล่องภูเขาไฟก็ลุกฮือติดไฟทันที
โลกแห่งลาวา อาณาบริเวณล้วนเป็นสีส้มแดง
มู่ชิงเกอจมลงไปในนั้น รู้สึกว่าร่างกายตนเองไม่หยุดที่จะจมดิ่งลงไป ยังดีที่มีของวิเศษเช่นไข่มุกหลีกอัคคี ทำหน้าที่กีดขวางการกัดเซาะของธารลาวาแทนนาง
สองมือของนางปัดป่ายลาวา ทำให้การมองเห็นของนางชัดเจนขึ้นมาบ้าง
ตั้งใจเป็นอย่างมากจึงได้เห็นเงาร่างสองคนที่อยู่ไม่ไกลจากตนเอง
มาถึงที่นี่ได้ล้วนแต่อาศัยการตรวจจับทิศทางของพญาเพลิงของหานฉายไฉ่ มูชิงเกอเพ่งสายตาส่งสัญญาณให้หยินเฉินตามติดหานฉายไฉ่
“ลูกพี่ท่านแม่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของมันแล้ว!” ทันใดนั้นในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอก็ปรากฎเสียงของหยวนหยวนแว่วมา
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามอยู่ในใจ ‘หยวนหยวน เจ้าอยู่ในช่องว่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดได้รึ?’
“ใช่แล้วขอรับ! หลังจากครั้งก่อนที่หยวนหยวนฝึกพลังยุทธ์ร่วมกับท่านแม่ ก็พบว่าข้าสามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณของโลกภายนอกผ่านท่านแม่ได้บ้าง” หยวน หยวนเอ่ยตอบ
คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอยินดีแทบบ้า
เมื่อเป็นเช่นนี้หยวนหยวนก็ไม่ต้องปรากฏตัวออกมาก่อน ดึงดูดความสนใจของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด แต่สามารถลอบตรวจจับทิศทางแทนพวกนางได้ ลด เวลาในการตามหาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดไปได้มาก
สำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดเช่นพวกเขาสามคนแล้ว นี่เป็นข่าวดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกอย่าง การรับรู้ระหว่างพญาเพลิงกับพญาเพลิงด้วยกัน ย่อมน่าเชื่อถือกว่าความสามารถในการรับรู้ที่มีอยู่ในสายเลือดเช่นหานฉายไฉ่อยู่บ้าง
มู่ชิงเกอพกข่าวดีนี้มุ่งมั่นว่ายเข้าไปหาหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ที่กำลังมุ่งหน้าตามหาร่องรอยของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ในเวลานี้ก็ต้องขมวดคิ้วอยู่บ้าง เพราะว่าหลังจากที่เข้ามาแล้ว บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยกลิ่นไอของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดทำให้เขายากที่จะตรวจจับทิศทางได้ว่าแท้จริงแล้วร่างจริงของมันอยู่ที่ไหน
เปลวเพลิงของที่นี่ล้วนเป็นร่างแปลงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดย่อมต้องแฝงกลิ่นไอของมันอยู่แล้ว เพิ่มความยากในการแยกแยะของหานฉายไฉ่อย่างไม่ต้อง สงสัย
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีคนตบไหล่เขาทีหนึ่ง หันศีรษะ กลับไปมองก็พบว่าเป็นมู่ชิงเกอทำไม้ทำมืออะไรบางอย่างให้เขา
สายตาของหานฉายไฉ่บังเกิดความงุนงงสงสัย
ทว่าไม่รอให้เขาทำความเข้าใจ มู่ชิงเกอก็พุ่งไปอีกทางหนึ่งออกแรงจมลงไป
ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ฉายแววชะงักไปครู่หนึ่ง ยื่นมือไปหมายจะรั้งนาง น่าเสียดายกลับช้าไปก้าวหนึ่ง เวลานี้เองหยินเฉินก็จมตามมู่ชิงเกอลงไป
หานฉายไฉ่ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก ทำได้เพียงจมตามสองคนนั้นไป
คนนำทางเปลี่ยนเป็นมู่ชิงเกอ
“ลงไปอีกนิด ลงไปอีกนิด ด้านขวา ด้านขวา ไม่ใช่ ซ้ายหน่อย ” เสียงของหยวนหยวนดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอไม่หยุดหย่อน ปรับทิศทางให้นาง
มู่ชิงเกอปรับมุมองศาตามการแนะนำของหยวนหยวนไปเรื่อยๆ จมลง จมลง…
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง ก็มาถึงก้นของธารลาวา
ทว่าหยวนหยวนกลับยังตะโกนว่า “ยังต้องลงไปอีกลงไปอีก!”
“หยวนหยวน ถึงก้นแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกหยวนหยวนในใจ
“เอ?” แว่วเสียงหยวนหยวนประหลาดใจ เขาพึมพำว่า “ไม่ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลึกกว่านี้ ตรงนี้ยังไม่ถึง อย่างน้อยก็ยังห่างอีกเป็นครึ่งชั่วยาม”
ห่างกันมาก เพียงนั้น!
แววตามู่ชิงเกอฉายแววนิ่งขรึม นางไม่ได้สงสัยสัมผัสรับรู้ของหยวนหยวน แต่มองหาด้วยตนเองอย่างละเอียด หยวนหยวนอาศัยการตรวจจับทิศ? อัตราความผิดพลาดก็ไม่มาก แต่ว่าพวกเขาอาจจะถูกเมฆหมอกบังตา
‘หยินเฉินสำรวจบริเวณรอบๆ ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ หรือว่ามีทางเข้าออกอื่น’ มู่ชิงเกอส่งเสียงบอกหยินเฉินผ่านพันธะสัญญา
หยินเฉินเข้าใจได้ในทันที เริ่มต้นการค้นหา
หานฉายไฉ่เห็นท่าทีของทั้งสองคน ก็กระจ่างขึ้นมาในทันใดว่าเกิดเรื่องอะไร จึงค้นหาตามมาติดๆ
ไม่นาน มู่ชิงเกอก็ค้นพบปากถํ้าที่แอบซ่อนอยู่ ปากถํ้านี้คับแคบอย่างยิ่ง สามารถผ่านเข้าไปได้คนเดียว มู่ชิงเกอเอ่ยกับหยวนหยวนว่า “หยวนหยวน เจ้าลองสัมผัสดูให้ดี กลิ่นไอของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดออกมาจากด้านในนี้หรือไม่”
หยวนหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยบอกมู่ชิงเกอว่า “กลิ่นไอด้านในนี้เข้มข้นมากจริงๆ ลองเข้าไปดูเถอะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันกลับไปเรียกหยินเฉินและหานฉายไฉ่ที่อยู่ด้านหลัง แล้วจึงก้าวนำเข้าไปในอุโมงค์
พอนางหายเข้าไป หยินเฉินกับหานฉายไฉ่ก็ตามมาติดๆ เข้าไปในอุโมงค์ที่แสนคับแคบนั่น
ถํ้าแสนแคบ คลื่นพลังภายในเทียบกับด้านนอกอุโมงค์แล้วร้อนดั่งนั่งบนกองเพลิง แม้ว่าจะมีไข่มุกหลีกอัคคี พวกเขาก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก ลมหายใจที่สูดเข้าไป เข้าสู่ร่างกายแล้วให้ความรู้สึกแผดร้อน
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มองเห็นปากถํ้า สองเท้าออกแรงเตะ หลุดพ้นออกจากอุโมงค์แสนคับแคบ
หลังจากออกมาแล้ว สายตาของนางกระจ่างแจ้งในทันใด ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางช่องว่างขนาดใหญ่
หยินเฉินและหานฉายไฉ่ออกมาราวปลาผุด ยืนขนาบอยู่ซ้ายขวามู่ชิงเกอ
ที่นี่ไม่มีธารลาวาพวยพุ่งมืดฟ้ามัวดิน เหมือนกับตำหนักพิภพที่ดูโอ่อ่าแห่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีร่องรอยการขุดเจาะของมนุษย์ราวกับสร้างขึ้นจากธรรมชาติ
บนพื้นที่เกิดจากหินสีดำ มีลำธารหลายสาย สิ่งที่ไหลในลำธารไม่ใช่นํ้าใสสะอาด แต่เป็นธารลาวา
ธารลาวาเหล่านี้ไหลไปในทิศทางเดียวกันรวมตัวกันเป็นสายเข้าไปในถํ้า ราวกับว่าฝั่งนั้นเป็นจุดกำเนิด
ทั้งสามคนพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ต่างก็มีสายตาตกตะลึงพร้อมกัน
ด้านบนของตำหนักพิภพนั้นมีค้างคาวเพลิงห้อยหัวอยู่อย่างหนาแน่น!
ค้างคาวเพลิงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นร่างจำแลงที่ถูกพญาเพลิงแปลงมา ก็เหมือนกับเมื่อครั้งตอนที่อยู่ที่ที่ราบลั่วรื่อ ตอนที่พญาเพลิงเมฆสุริยาจำแลงเป็นมัจฉาประหลาดเหล่านั้น
จุดประสงค์ของดำรงอยู่ของพวกมันคือ ปกป้องไม่ให้พญาเพลิงถูกรบกวน ขัดขวางมนุษย์และสัตว์ที่ปรารถนาในพญาเพลิงตาเป็นมัน!
ค้างคาวเพลิงที่ตำหนักพิภพนี้มีปริมาณมาก มองจนรู้สึกคันยุบยับ เรียงยาวทับซ้อนยาวเหยียดไม่มีที่สิ้นสุด อย่างน้อยก็มีราวๆ หนึ่งแสนขึ้นไป จำนวนที่ใหญ่โตเพียงนี้ทำ เอาทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก
“ลูกพี่ท่านแม่ เดินเข้าไปข้างใน ข้าสัมผัสได้ถึงไอพลังของเขาชัดเจนขึ้นแล้ว!” หยวนหยวนเอ่ยเร่งเร้าในช่องว่าง
มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์ละสายตาที่กำลังพิจารณาด้านบนของตำหนักพิภพ มองดูหยินเฉินกับหานฉายไฉ่
สถานที่แห่งนี้ไม่มีธารลาวาห่อหุ้ม พวกเขาสามารถสนทนากันได้อย่างอิสระ
แต่ว่าการเผชิญหน้ากับค้างคาวเพลิงมากมายเพียงนั้น พวกเขากลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาส่งเดช
‘พวกมันน่าจะตามเสียงมาเตรียมการป้องกันภัย’ มู่ชิงเกอส่งเสียงบอกกับทั้งสองคน
หานฉายไฉ่พยักหน้า ดวงตาเรียวยาวปรากฏความจริงจังที่ยากจะได้พบออกมา ‘จากความสามารถของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เกรงว่าอัคคีจำแลงจะไม่ได้มีเพียงแค่ค้างคาวเพลิง ยิ่งเข้าไปด้านในยิ่งอันตราย แม้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่จะไม่ได้ไปรบกวนพวกมัน แต่รอให้ตามหาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเจอแล้วสู้กันขึ้นมาก็จะยั่วยุให้พวกมันพุ่งเข้ามาโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช่นกัน’
คำพูดนี้ทำเอามู่ชิงเกอขบเม้มริมฝีปากนิ่งขรึมลง
นางเอ่ยถามหยวนหยวนอยู่ในใจ “หยวนหยวน มีวิธีใดสามารถขัดขวางอัคคีจำแลงเหล่านี้หรือไม่ หรือว่าทำให้พวกมันสูญเสียการควบคุมชั่วคราว?”
หยวนหยวน ‘อึม’ อยู่เป็นนานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พลังจิตของอัคคีจำแลงเชื่อมต่อกับร่างจริงของพญาเพลิงโดยตรง ขอเพียงร่างจริงของพญาเพลิงมีคำสั่ง พริบตาเดียว ก็ถ่ายทอดเข้าสู่จิตสำนึกของอัคคีจำแลงทุกตัว ไม่มีวิธีไปทำให้พวกมันสูญเสียการควบคุม เว้นเสียแต่ทำให้พญาเพลิงยอมศิโรราบ”
“เจ้าไม่มีอัคคีจำแลงหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หยวนหยวนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “อัคคีจำแลงเป็นการจำแลงของพญาเพลิงเฒ่าที่ใช้ปกป้องตนเองเวลาได้รับบาดเจ็บหรือต้องการหลบรอความตาย ตัวข้านี้ยังอ่อนเยาว์เปี่ยมล้น ต้องใช้ของเหล่านี้ที่ไหนกัน?”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เอ่ยถามต่อว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?”
นางขมวดคิ้ว หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวก นางสามคนต่อกรกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ยังไม่รู้เลยว่าผลแพ้ชนะเป็นเช่นไร ยังมีอัคคีจำแลงมืดฟ้ามัวดินเหล่านี้มาเสริมอีก โอกาสรอดตายก็มีน้อยมากจริงๆ
“พวกเราสามารถกางกับดัก!” เสียงของหยวนหยวนเผยแววเจ้าเล่ห์
“กับดัก?” มู่ชิงเกอแววตาแวววาว
หยวนหยวนเอ่ยขึ้นว่า “ร่างของอัคคีจำแลงเหล่านี้พลังการต่อสู้ไม่มาก แต่ได้เปรียบที่จำนวนมาก พวกท่านต้องระวังเสียหน่อย อย่าไปทำให้พวกมันไหวตัวทัน แต่ละช่วงที่เดินผ่าน ข้าก็จะทำกับดักรอพวกมันเอาไว้พอพวกมันตื่นแล้วบินเข้ามา ก็จะถูกกับดักที่วางไว้จัดการ หึหึ!”
‘เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์นี้เรียนรู้มาจากผู้ใดกันแน่?’ มู่ชิงเกอเย้ยหยันอยู่ในใจ
แต่ว่านางเองก็เข้าใจความหมายของหยวนหยวน
มู่ชิงเกอฉีกยิ้ม เอ่ยกับหยินเฉินและหานฉายไฉ่ว่า “ไปกันเถอะ ระวังหน่อย อย่าทำให้พวกมันตกใจตื่น”
ว่าแล้ว ก็มุ่งเข้าไปในตำหนักพิภพ
ครั้งนี้มู่ชิงเกอเดินรั้งท้าย หานฉายไฉ่กับหยินเฉินไม่รู้ว่านางจะทำอะไร
เห็นเพียงว่านางเดินเดินหยุดหยุด นั่งย่อตัวเป็นระยะ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
เดินมากว่าครึ่งโดยประมาณในที่สุดพวกเขาก็เดินผ่านบริเวณค้างคาวเพลิง ตอนนี้พวกเขามาถึงหน้าประตูหินบานหนึ่ง ด้านหน้าประตูหินมีสิงโตอัคคีสามเศียรตัวหนึ่งกำลังหลับสนิทหมอบราบอยู่
ทั้งสามคนหยุดฝีเท้าลง ส่งสายตาให้กัน
ความหมายในสายตาหานฉายไฉ่ชัดเจนว่าไม่เกินสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้จริงๆ อัคคีจำแลงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ไม่ได้มีเพียงค้างคาวเพลิงด้านนอกเท่านั้น
สิงโตอัคคีสามเศียรตัวนี้ร่างกายใหญ่โตดุจขุนเขา เมื่อทั้งสามคนยืนอยู่ต่อหน้ามันก็ดูเหมือนคนที่มาจากเมืองคนแคระจริงๆ
เวลานี้มันกำลังหลับสนิท ส่งเสียงกรนราวอัสนีบาตฟาดลงมาเป็นระยะ นํ้าลายที่ไหลออกจากปากหยดลงบนพื้น เกิดเป็นกลุ่มควันสีขาว บนพื้นก็ถูกกัดเซาะเป็นรู ขนาดเล็ก
ขนพวงที่อยู่ตั้งแต่หัวลงมาจนถึงสันหลังเห็นได้ชัดว่าเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผา
มี ‘สุนัข’ เฝ้าประตูขวางทางเดินเช่นนี้ พวกเขาจะเข้าไปด้านในอย่างไรถึงจะไม่ทำให้มันตกใจตื่น?
‘สังหาร!’ หานฉายไฉ่เสนอ
มู่ชิงเกอแววตาเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “จำเป็นต้องยิงปืนนัดเดียวเข้าเป้า!”
หากไม่สามารถจบการต่อสู้ได้โดยเร็วแล้วล่ะก็ จะทำให้ค้างคาวเพลิงด้านนอกตกใจตื่น ยังมีพญาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดด้านในอีก
นางหันไปมองหานฉายไฉ่ ส่งเสียงถามว่า “เจ้ารู้จักพญาเพลิงเป็นอย่างดี รู้จุดตายของมันหรือไม่?”
หานฉายไฉ่เม้มปากชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น “โดยทั่วไปแล้ว อัคคีจำแลงมีรูปลักษณ์ภายนอกไม่เหมือนกัน แต่ว่าจุดกำเนิดพลังของพวกมันจะอยู่ที่แก่น อัคคี ขอเพียงหาตำแหน่งของแก่นอัคคีให้พบ จากนั้นควักออกมาพวกมันก็จะตาย”
มู่ชิงเกอสายตาเป็นประกาย เอ่ยถามต่อว่า “แก่นอัคคี อยู่ตำแหน่งใด”
“จุดตาย” หานฉายไฉ่ตอบสั้นๆ
มู่ชิงเกอสีหน้ำแข็งค้าง ตวัดสายตามองหานฉายไฉ่อย่างเกรี้ยวกราด นี่นับเป็นคำตอบอะไรกัน? นางเองก็เพิ่งเคยเจอสิงโตอัคคีสามเศียรเป็นครั้งแรก จะรู้ได้อย่างไรว่าจุดตายของมันอยู่ที่ใด?
หานฉายไฉ่กลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ นั่นก็หมายความว่า ‘ข้าเองก็เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก จะรู้ไปทุกอย่างได้อย่างไรกันเล่า?’
“ลูกพี่ท่านแม่ แก่นอัคคีซ่อนอยู่บริเวณหน้าผากของหัวใดหัวหนึ่ง!” หยวนหยวนส่งเสียงบอกทันที
เมฆหมอกในแววตามู่ชิงเกอพลันสลายไป พลิกมือขวาปรากฏทวนหลิงหลงอยู่ในมือ
เมื่อเห็นนางเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ หานฉายไฉ่กับหยินเฉินเองก็เข้าสู่ท่าเตรียมในทันที
“แก่นอัคคีอยู่ที่หน้าผากของหัวหนึ่ง พวกเราสามคนแยกกันโจมตี จัดการมันให้ได้ภายในหนึ่งกระบวน” มู่ชิงเกอเอ่ยกับทั้งสองอย่างเสียงขรึม
หานฉายไฉ่กับหยินเฉินต่างพากันพยักหน้ารับ
แผนการพอชัดเจน พวกมู่ชิงเกอก็ลงมือทันที
พวกเขาทะยานขึ้นกลางอากาศ แยกกันพุ่งใส่สามเศียร ของสิงโตอัคคี
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ จู่ๆ ร่างของสิงโตอัคคีก็สะดุ้ง ลืมตาตื่นขึ้นมา
ระยะประชิด จู่ๆ สิงโตอัคคีก็ลืมตาขึ้นมา สายตาเปลวเพลิงแผดเผาทำเอามู่ชิงเกอผงะ ทวนหลิงหลงที่อยู่ในมือปักเข้าที่หน้าผากของมันอย่างแรง
แทบจะในขณะเดียวกัน หานฉายไฉ่กับหยินเฉินเองก็ปักเข้าที่อีกสองหน้าผาก
“โฮก!” สิงโตอัคคีสามเศียรคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนจะล้มลงกับพื้น
‘ไม่ดีแล้ว!’ ในใจของทั้งสามลอบรู้สึกไม่ค่อยดี เสียงคำรามเกรี้ยวกราดของสิงโตอัคคีสามเศียรนี้ เกรงว่าจะไปทำให้ค้างคาวเพลิงที่อยู่ด้านนอกและ พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดด้านในตื่นตกใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีวิธีอุดปากของสิงโตอัคคีสามเศียร ตอนนี้ทำได้แค่เพียงรีบเอาชนะให้เร็วที่สุด!
สายตาเคร่งขรึม มู่ชิงเกอถอนทวนหลินหลงออกมา ปลายทวนกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด นางมองไปยังหานฉายไฉ่ เขาก็ส่ายหน้าให้นาง ขณะที่มองไปที่หยินเฉินก็ พบว่าในกรงเล็บแหลมคมของเขากำแก่นอัคคีสีแดงสดเม็ดหนึ่ง
“กี๊ด กี๊ด กี๊ด!”
ทิศทางที่ผ่านเข้ามาแว่วเสียงร้องร้องจอแจขึ้นมาทันใด
ทั้งสองหมุนกายลงบนพื้น มองไปยังด้านหลัง
“ดูท่าค้างคาวเพลิงเหล่านั้นคงถูกทำให้ตกใจตื่นเสียแล้ว” หานฉายไฉ่เอ่ยเสียงขรึม
หยินเฉินมอบแก่นอัคคีให้มู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอส่งเข้าไปในช่องว่าง นางเลิกคิ้วมองไปยังทิศทางที่ผ่านเข้ามา เอ่ยกับทั้งสองว่า “ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน พวกเราเดินเข้าไปต่อรีบทำเวลา!”
หานฉายไฉ่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงดูมีความเชื่อมั่นเพียงนั้น แต่ก็หมุนตัวพุ่งไปยังประตูหินด้านหลังสิงโตอัคคีสามเศียรกับนาง
เมื่อพวกเขาเปิดประตูหิน สิงโตอัคคีสามเศียรที่สูญเสียแก่นอัคคีไปก็ค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่า หายไปต่อหน้าพวกเขา
ค้างคาวเพลิงในตำหนักพิภพถูกเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดของสิงโตอัคคีสามเศียร ทยอยลืมตาสีแดงเลือดดุจเพลิง ขยับปีกบินเข้ามายังส่วนลึกของตำหนัก พิภพ
แต่ว่าเมื่อพวกมันบินเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทันใดนั้น บนพื้นก็เกิดกำแพงเปลวเพลิงโปร่งใสขึ้นสายหนึ่ง เผาไหม้พวกมัน
ค้างคาวเพลิงเปล่งเสียงร้องโหยหวน หายไปท่ามกลางเปลวเพลิงไม่หยุด คล้ายกับถูกลากเข้าไปในความว่างเปล่า
ค้างคาวเพลิงที่โชคดีรอดพ้นไปได้ก็มุ่งหน้าบินไปต่อ แต่ว่าทุกระยะห่างก็จะปรากฏกำแพงเพลิงโปร่งใสขึ้น ขวางทางไปของพวกมันเผาไหม้พวกมันจนเกลี้ยง
ค้างคาวเพลิงกว่าแสนตัวพุ่งไปยังตำแหน่งที่สิงโตอัคคีสามเศียรเคยอยู่ ก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เหลือประปรายเพียงร้อยตัว
ส่วนบนร่างพวกร้อยตัวนี้อาบย้อมไปด้วยเศษเสี้ยวของพญาเพลิงปาฮวงซูคง พวกมันพุ่งออกมาจากกับดักได้ แต่กลับหนีไม่พ้นชะตาที่ถูกดูดกลืนเข้าสู่ความว่างเปล่า
เพียงแค่ดิ้นรนชั่วพริบตา ค้างคาวเพลิงกว่าร้อยตัวก็หายไปท่ามกลางเสียงร้องสิ้นหวัง
ส่วนเวลานี้ พวกมู่ชิงเกอก็เข้าไปในประตูหินด้านหลังสิงโตอัคคีสามเศียรตั้งนานแล้ว
ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับตัวส่งเดช
เพราะว่าด้านหลังประตูหินนี้เป็นตำหนักพิภพขนาดใหญ่เวลานี้มีอัคคีจำแลงสองตัวที่ถูกโซ่อัคคีล่ามอยู่ แยกเขี้ยวคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด แววตาแฝงความดุ ร้ายใส่พวกเขา
สองเศียรนี้ครึ่งหนึ่งเป็นโครงกระดูก ครึ่งหนึ่งเป็นเลือดเนื้อ อัคคีจำแลงร่างกายน่าเกลียดน่ากลัวขนาดใหญ่ถูกล่ามอยู่บนเสาหิน สุดปลายทางของบันไดที่ทอดยาวอยู่ระหว่างพวกเขา มีท่านผู้เฒ่าซูบผอมผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สร้างจากเปลวเพลิง
แววตาของเขาพร่ามัว เยือกเย็น จ้องผู้บุกรุกทั้งสามอย่างไม่วางตา ภายใต้ผิวหนังของเขาราวกับเปลวเพลิงที่ปะทุอยู่แจ่มชัด เส้นผมของเขาประหนึ่งว่าหลอม ละลายรวมไปกับเก้าอี้
“เขาคือพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม หานฉายไฉ่ที่อยู่ข้างๆ เบาๆ
หานฉายไฉ่พยักหน้ารับแทบจะไม่ทันสังเกต
เวลานี้เองพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เอ่ยขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กรุ่นหลังมุทะลุไม่กี่คน จะกล้าบุกเข้ามาทำลายสถานที่เข้าฌานของข้า และยังสังหารอัคคีจำแลงของข้าอีก!”
เมื่อเขาเปล่งเสียงออกมา อัคคีจำแลงสองเศียรสองตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าสิงโตอัคคีสามเศียรก็เปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดออกมาพร้อมกัน
เสียงร้องคำรามนี้นประหนึ่งเทพปีศาจ พุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณทำให้ผู้คนขวัญหาย
หานฉายไฉ่เอ่ยกับมู่ชิงเกอเบาๆ “อัคคีจำแลงนี้น่าจะยังวิวัฒนาการไม่สมบูรณ์อัคคีจำแลงครึ่งร่างเช่นนี้เกิดวิปลาสขึ้นมา จึงถูกล่ามเอาไว้จัดการกับศัตรู ดังนั้น อีกสักครู่เมื่อปะทะกันต้องระวังให้มาก”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด
“ฉวยโอกาสตอนที่ตัวข้ายังไม่บันดาลโทสะ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!” พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด
มู่ชิงเกอกลับแค่นยิ้มเย็นชา “ข้มาจนถึงประตูบ้านแล้ว ท่านไม่สังหารพวกเราก็แล้วไป ยังปล่อยพวกเราไปอีก? ดูท่าตอนนี้ท่านคงจะอ่อนแอมากจริงๆ!”
“เจ้าเด็กรุ่นหลัง! รนหาที่ตาย!” พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดถลึงตา เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งออกมาจากข้างหลัง จู่โจมเข้าใส่มู่ชิงเกอ
แววตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอฉายแสงเปลวเพลิงขึ้น
ตัวนางถอยหลังไปหนึ่งตลบ เบี่ยงกายหลบเปลวเพลิงที่พุ่งเข้าใส่ กลุ่มเปลวเพลิงนั้นเฉียดผ่านตัวนางไป ปะทะประตูหินที่เปิดออก ตกลงบนพื้นด้านนอกเผาเป็นหลุมขนาดใหญ่
มู่ชิงเกอหันกลับไปมองหลุมขนาดใหญ่แวบหนึ่ง ในใจยังรู้สึกหวาดผวา
‘อันตรายจริง! เมื่อครู่หากนางหลบไม่ทัน เกรงว่าคงจะสิ้นชื่อแล้ว’
มองกลับมา มู่ชิงเกอมองพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มาถึงที่นี่ได้ ย่อมไม่กลัวความตาย”
“ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาพูดกับเขา ปล่อยพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนออกมาเถอะ” หานฉายไฉ่เอ่ยบอกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า สะบัดมือ เด็กน้อยราวกับหยกแกะสลักกลิ้งออกมา สวมใส่อาภรณ์ลวดลายสดใสบนร่าง
หรูหรา ทิ่มแทงตายิ่งกว่าหานฉายไฉ่เสียอีก!
“เพ้ย! มีคุณชายอยู่ ใครกล้ารังแกลูกพี่ข้า!” หยวนหยวนยกมือหนึ่งท้าวเอว อีกมือชี้ไปที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด บนใบหน้ารูปไข่ได้รูปนั้นประหนึ่งถลึงตากว้าง ด้วยความกรุ่นโกรธ
เขาถือปฏิบัติตามคำสอนของมู่ชิงเกอ เวลาอยู่ข้างนอกให้เรียกนางว่า ‘ลูกพี่’!
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่เองก็กระตุก
เขามองหน้ามู่ชิงเกอราวกับกำลังถามว่า ‘ของตรงหน้านี้ คือพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนหรือ?’
มู่ชิงเกอหลบสายตาของหานฉายไฉ่ นางยอมรับว่าเดิมทีหยวนหยวนเป็นคุณชายผู้ทะนงตน แต่ถูกเหมิงเหมิงพาเสียคนกลายเป็นตัวตลกขบขัน!
“พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน!” พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดหรี่ตาฝ้าฟางลง ก่อนจะจำร่างจริงของหยวนหยวนได้
“เฒ่าอัคคีแรกกำเนิด ในเมื่อเจ้ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของข้าคุณชายน้อย ก็อยู่นิ่งๆ ให้คุณชายน้อยกินแต่โดยดี! กระดูกผุกร่อนของเจ้า ข้าก็ไม่รังเกียจถ้ามันจะติด ซอกฟัน!” หยวนหยวนกระดิกเท้าใบหน้าฉายแววเป็นต่อ
ดวงตาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ราวเปลวไฟสั่นระริก เห็นได้ชัดว่าถูกคำพูดของหยวนหยวนทำให้เกิดอารมณ์เกรี้ยวกราดขึ้น
เสียงของเขาฉายแววเหี้ยมเกรียม ในปากพ่นเปลวไฟออกมา “ตัวข้าหลงนึกว่าพวกเจ้าคิดจะฉวยโอกาสตอนที่ตัวข้าอ่อนแอจัดการข้า ที่ไหนได้พวกเจ้าคิดจะให้พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนกลืนข้าลงไป!”
“ยินดีด้วย ตอบถูกแล้ว! น่าเสียดายไม่มีรางวัล!” หยวนหยวนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
หานฉายไฉ่กัดฟันเอ่ยถามมู่ชิงเกอ “การกระตุ้นให้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดโมโห เวลาสู้กันขึ้นมาจะสบายหน่อยใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอหัวเราะกระอักกระอ่วน
หยวนหยวนกลับหันหน้ามา กัดฟันกรอดเอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “เจ้าคนลักเพศ ความกล้าไม่มีสักนิด ยังจะคิดแย่งท่านแม่ไปจากท่านพ่อข้าอีก!”
หานฉายไฉ่สีหน้าทะมึน
มู่ชิงเกอสีหน้าเปลี่ยนสี!
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนลักเพศ?” นํ้าเสียงของหานฉายไฉ่ฉายแววอันตราย
มู่ชิงเกอเอามือกุมขมับอยู่ในใจ นี่ใครสอนเขากัน! เหมิงเหมิงที่สมควรตาย!
เวลานี้นางรู้สึกว่าเด็กบริสุทธิ์ขาวสะอาดเช่นหยวนหยวนถูกเหมิงเหมิงทำให้แปด
เปื้อนเสียแล้ว
แย่งไปแย่งมาอะไรกัน เห็นนางเป็นสิ่งของกันหรือไง?
“เจ้าแต่งตัวลวดลายมากสีเพียงนี้ไม่ใช่ลักเพศแล้วจะเป็นอะไร?” หยวนหยวนมองหานฉายไฉ่อย่างพิจารณา เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจไยดี
หานฉายไฉ่โกรธจนยิ้มเย็นชา “เจ้าตัวจ้อย เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไร ท่ามกลางพญาเพลิงคงไม่มีใครมีรสนิยมเช่นนี้ เจ้าก็นับเป็นหนึ่งเดียว!”
“พอได้แล้ว!”
“มีอย่างที่ไหนกัน! พวกเจ้าเห็นข้าเป็นอากาศธาตุหรือไง?”
เสียงของมู่ชิงเกอและพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดดังขึ้นพร้อมกัน
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของสงครามภายใน” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงขรึม นางมองหยวนหยวน เอ่ยด้วยท่าทีจริงจังอยู่บ้าง “หยวนหยวน เจ้ามีความมั่นใจไหม?’’
หยวนหยวนเก็บอารมณ์ขี้เล่นบนใบหน้า เอ่ยจริงจัง “อืม ตาเฒ่าผู้นี้ต่อกรด้วยไม่ง่ายสักเท่าไร แต่ว่าหยวนหยวนไม่กลัว สู้ไม่ได้ข้าก็ฆ่าซะเลย!”
มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าระวังตัวด้วย พวกเราจัดการกับอัคคีจำแลงสองตัวนั้นแล้วจะไปช่วยเจ้า”
“วางใจเถอะ ลูกพี่!” หยวนหยวนหันมามองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะพุ่งตัวผ่านช่องว่างระหว่างอัคคีจำแลง พุ่งไปทางพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด
พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดดวงตาขุ่นมัว เอ่ยแฝงความอำมหิต “หึ! คิดจะกลืนกินตัวข้า? ก็ระวังฟันร่วงให้ดี! ดีเหมือนกัน ตอนนี้ตัวข้าก็ขาดวัตถุดิบบำรุงร่างกายพอดี ดูดชีวิตของเจ้าตุ๊กตาน้อย ตัวข้าก็สามารถเลื่อนเวลาอ่อนแอให้ช้าลงไป!”
“เอาเลยท่านผู้เฒ่า เจ้าคิดจะดูดกลืนคุณชายน้อย ก็ไม่ดูตนเองเสียเลยว่ามีความสามารถพอหรือไม่! ระวังอกแตกตายเล่า!” หยวนหยวนพุ่งมาอยู่ตรงหน้าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด กลายร่างเป็นเปลวเพลิงร่างจริง เปลวเพลิงที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างราวกับเมฆทะมึนปกคลุมพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด
ส่วนพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า กลายร่างเป็นร่างจริงราวกับพระอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น ปะทะดุเดือดเข้ากับหยวนหยวน
“พวกเราเองก็ลงมือเถอะ!” พอมู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการพุ่งเข้า ใส่อัคคีจำแลงตนหนึ่ง
หานฉายไฉ่เอ่ยกับหยินเฉินว่า “เจ้าไปช่วยนางเถอะ ที่เหลืออีกหนึ่งเศียรให้เป็นหน้าที่ข้า”
ตอนนี้เขาอยู่ในระดับพลังชั้นสีเงินขั้นหนึ่ง ต่อกรกับอัคคีจำแลงย่อมเบาแรงกว่ามู่ชิงเกออยู่บ้าง
ไม่ต้องให้เขาบอก หยินเฉินย่อมต้องไปปกป้องมู่ชิงเกออยู่แล้ว เขาตวัดตามองหานฉายไฉ่ก่อนไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ร่วมมือกับนางต่อกรกับอัคคีจำแลง
หานฉายไฉ่ก็ไปที่อัคคีจำแลงอีกตนหนึ่ง
อัคคีกำแลงที่ยังวิวัฒนาการไม่สมบูรณ์สองตนนี้พลังอยู่ระหว่างระดับสีเงินขั้นหนึ่งขั้นสอง
หานฉายไฉ่มีระดับสีเงินขั้นหนึ่งบวกกับมีพญาเพลิงคอยช่วยเสริม มีความเป็นไปได้ที่จะจัดการกับอัคคีจำแลงไม่สมบูรณ์ตนหนึ่งที่ถูกล่ามไว้ได้ต้ เพียงแต่ติดปัญหาที่เรื่องของเวลาก็เท่านั้น
แน่นอนว่าต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเจ้าอัคคีจำแลงนี้จะไม่คลุ้มคลั่ง
ส่วนทางด้านมู่ชิงเกอ นางอยู่ในระดับพลังสีเทาขั้นห้า พลังยุทธ์ของหยินเฉินนางไม่แน่ใจ แต่นางรู้ว่าไม่อ่อนด้อยไปกว่าตนเองแน่นอน สองคนร่วมกันโจมตีมาได้ระยะหนึ่ง มู่ชิงเกอก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาบ้าง
ราวกับว่า…ตอนนี้พลังของหยินเฉินแข็งแกร่งกว่านางเสียอีก!
ถึงระดับพลังขั้นสีเงินแล้วหรือ?
มู่ชิงเกอตระหนกในใจ!
แบบนี้เท่ากับว่าในกลุ่ม กลายเป็นตนเองอ่อนด้อยที่สุดใช่หรือไม่?
พลังที่จู่โจมเข้าใส่ ทำให้ทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอขยับว่องไวขึ้นหลายส่วน
มู่ชิงเกอสกัดอัคคีจำแลงอยู่ด้านหน้า ทันใดนั้นหยินเฉินก็อ้อมไปข้างหลัง ยื่นมือเข้าในไปส่วนของโครงกระดูกที่ไม่มีเลือดเนื้อห่อหุ้มว่องไวราวสายฟ้าฟาด คว้าแก่นอัคคีที่ซ่อนอยู่ด้านใน
แก่นอัคคีถูกคว้าไว้สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงก็ส่งเสียงร้องอย่างมีโทสะ เปลวไฟบนร่างลุกโชนขึ้นหลายส่วน ทว่าหยินเฉินกลับดึงแก่นอัคคีออกมาจากโครงกระดูก ทันที
เวลานี้เองกรงเล็บอันแหลมคมของสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงก็มาอยู่ด้านบนมู่ชิงเกอ แต่มันกลับถูกนางใช้ทวนหลิงหลงยันเอาไว้ แก่นอัคคีพอถูกดึงออกไป สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงก็คำรามออกมาอย่างไม่ยินยอม ก่อนจะสลายหายไปไร้ร่องรอย
มู่ชิงเกอกับหยินเฉินถอยออกมาอย่างรวดเร็ว หลบเปลวเพลิงที่แผดเผา
หลบมาอยู่ด้านหนึ่ง มู่ชิงเกอมองไปที่การต่อสู้ของหานฉายไฉ่ เอ่ยกับหยินเฉินว่า “ไปช่วยเขาหน่อย”
หยินเฉินกลับเอ่ยอย่างเย็นชา “เขาบอกว่าไม่ต้อง”
เอ๋!
มู่ชิงเกอชะงัก หวนนึกอยู่ในใจ ‘หานฉายไฉ่เคยพูดหรือ?’
ส่วหานฉายไฉ่ที่กำลังพัวพันกับการต่อสู้ได้ยินที่หยินเฉินกล่าว ในใจก็โมโห เขาเคยพูดตั้งแต่เมื่อไรว่า ‘ไม่ต้องช่วย?’
เขาบอกแค่ว่าให้หยินเฉินไปช่วยมู่ชิงเกอเท่านั้น
แต่เอาเถอะ เพราะหากดูความหมายอีกนัยหนึ่งก็คล้ายกับบอกว่าตนเองสามารถต่อกรกับอัคคีจำแลงอีกตนหนึ่งได้นั้นแหละ
หานฉายไฉ่กลุ้มใจ ลงมือดุดันขึ้นหลายส่วน
ในเมื่อหานฉายไฉ่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ มู่ชิงเกอก็ละลายตาไปมองการต่อสู้ระหว่างหยวนหยวนกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด
การต่อสู้ระหว่างพญาเพลิงยากที่จะยื่นมือช่วยเหลือ ดังนั้นในเวลานี้นางก็ไม่รู้ว่าจะยื่นมือเข้าไปได้อย่างไร ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองการต่อสู้อย่างใกล้ชิด
หยวนหยวนแปลงร่างเป็นร่างที่แท้จริง ต่อสู้กับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ดูยากที่จะตัดสินได้ชัดเจน
ทันใดนั้น พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เปล่งเสียงด่าทอออกมาด้วยความโกรธ “อ๊าก! พญาเพลิงฮุ้นหยวนสมควรตาย ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกลืนพญาเพลิงปาฮวงซูคงไปแล้ว!”
พูดจบ เปลวเพลิงทั้งสองก็แยกออกจากกัน อย่างรวดเร็วรักษาระยะห่างเอาไว้
ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ชุลมุน แปรสภาพเป็นใบหน้าของหยวนหยวนในปากเขากัดเปลวเพลิงสีแดงเข้มไว้ดวงหนึ่ง ส่วนพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ปรากฏรูปร่างแก่ ชราซูบผอม บนใบหน้าของเขาแหว่งไปส่วนหนึ่ง บนนั้นยังมีลาวาเพลิงไหลริน
หยวนหยวนกลืนเปลวเพลิงที่อยู่ในปากลงไป เอ่ยด้วยความพึงพอใจ “คุณชายน้อยกลืนพญาเพลิงลงไปตั้งมาก คงมิใช่ต้องบอกให้ท่านผู้เฒ่าทราบทุกอย่างหรอกนะ?”
“น่ารังเกียจ! ต่ำช้า!” แววตาขุ่นมัวของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดปรากฏความเคียดแค้น
ส่วนที่แหว่งบนใบหน้าเขา ก็เป็นเพราะถูกหยวนหยวนใช้พญาเพลิงปาฮวงซูคงมาโจมตีกัดไปทีหนึ่ง
“ผิดแล้ว! นี่เรียกว่าศึกไม่หน่ายกลอุบาย!” บนใบหน้าหยวนหยวนไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคำพูดคำจาและนํ้าเลียงของหยวนหยวนช่างคุ้นเคย
ทันใดนั้นหยินเฉินที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้นางได้สติรับรู้ในทันที “หยวนหยวนคล้ายชิงเกอเข้าไปทุกที”
มู่ชิงเกอกลอกตา ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของหยินเฉิน อืม ในที่สุดนางก็ได้รู้ที่มาของความคุ้นเคยนี้เสียที นางยักคิ้ว หว่างคิ้วเผยความรู้สึกเป็นเกียรติ ราวกับว่าการที่หยวนหยวนเหมือนตนเองนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
“เอาเลยท่านผู้เฒ่า ท่านให้คุณชายน้อยกลืนลงไปเสียดีๆ นี่ก็ถือว่ามีเกียรติอยู่บ้าง!” หยวนหยวนเข่นเขี้ย เคี้ยวฟัน แต่กลับไม่ได้ทำลายความงดงามของใบหน้า รูปไข่ของเขา
ส่งเสียงประหลาดออกมาทีหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าใส่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด พญาเพลิงสองสายกลายเป็นปะทะชุลมุนเข้าหากันอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าหยวนหยวนยังมีพลังต่อปากต่อคำ มู่ชิงเกอก็รู้ว่าเขายังรับมือได้อยู่ ดังนั้นจึงนำสายตาไปหยุดอยู่ที่หานฉายไฉ่ที่กำลังสู้กับสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงอยู่ ยากที่จะตัดสินแพ้ชนะ สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงที่ถูกล่ามไว้ถูกโซ่อัคคีดึงไว้เกิดเสียง ‘กึก กึก’ เป็นระยะ
มู่ชิงเกอเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ตัวที่พวกเราจัดการคล้ายอ่อนแอกว่ามาก!”
หยินเฉินตวัดตามองมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นนิ่งๆ “หากไม่มีชิงเกอดึงดูดความสนใจอยู่ข้างหน้า ข้าก็ยากที่จะลงมือได้อย่างรวดเร็ว”
มู่ชิงเกอเลิกปลายคิ้ว เข้าใจความหมายของหยินเฉิน
เขาหมายความว่าการที่พวกเขาจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะพันธะสัญญาระหว่างทั้งสอง คนหนึ่งรับมือข้างหน้า อีกคนคอยซุ่มโจมตี ลงมือดุดัน แม่นยำรวดเร็ว ย่อมจบการต่อสู้ลงได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าฝั่งหานฉายไฉ่ เขารับมืออยู่คนเดียว แม้พลังจะไม่ลดน้อยลง ทว่ากลับยากที่จะแบ่งสมาธิ แม้ว่าสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ว่าในระหว่างการต่อสู้ยิ่ง เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปฏิกิริยาและการตอบสนองของมันในเวลานี้รวดเร็วกว่าตอนเริ่มอยู่มาก
มู่ชิงเกอมองแล้วก็ขมวดคิ้ว เอ่ยกับหยินเฉินว่า “ไม่สามารถยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไปได้ เจ้าไปช่วยเขาจบการต่อสู้”
หยินเฉินฟังออกถึงความจริงจังในคำพูดของมู่ชิงเกอ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ
แต่ว่าจังหวะที่เขาเตรียมจะไปช่วยหานฉายไฉ่นั้น ฝั่งนั้นก็แว่วเสียงคำราม คลื่นพลังอันน่ากลัวแผ่กระจายมาจากทางนั้น
โครม!
คลื่นพลังแปลกประหลาดสีแดง แฝงความร้อนระอุยากจะเทียบเทียมแผ่กระจายไปทั่วตำหนักพิภพ
หานฉายไฉ่เซถอยหลัง มุมปากกระอักเลือดออกมา
ในเวลานี้เอง ทั่งทั้งตำหนักพิภพก็สั่นไหวราวกับแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น ก้อนหินร่วงกราวราวกับจะถล่มลงมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” มู่ชิงเกพยุงหานฉายไฉ่ที่ลมหายใจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ พอมีเวลาให้กวาดสายตามอง เปลวเพลิงลูกใหญ่ที่โจมตีใส่จนต้องถอยออกมา จากนั้น จึงมองไปที่พญาเพลิงทั้งสองที่ก่อให้ตำหนักพิภพสั่นไหว
หยวนหยวนและพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดไม่หยุดที่จะกระแทกใส่กำแพงตำหนักพิภพ จนบริเวณรอบๆ พัง ทลายลงมา
“จะถล่มแล้ว พวกเราออกไปกันก่อน!” หานฉายไฉ่เอามือกุมอก เอ่ยบอกกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอบอกกับหยินเฉิน“พาเขาออกไป ข้าจะไปรับหยวนหยวนก่อน”
พูดจบนางก็ส่งหานฉายไฉ่ไว้ในมือหยินเฉิน ตัวเองคว้าทวนหลิงหลงไปยังพญาเพลิงทั้งสองที่สู้กันอย่างอุตลุด…