Skip to content

พลิกปฐพี 242

ตอนที่ 242

ทำเนียบคู่แห่งโลกยุคกลาง

หยวนหยวนน่ะหรืออาย

โฮก—–!

ปัง ปัง ปัง—–!

เศษก้อนหินร่วงตกลงมา ตำหนักพิภพพังครืนลง หยินเฉินพาหานฉายไฉ่ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจอาการขัดขืนของเขาแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอกำทวนหลิงหลงเอาไว้ก่อนจะพุ่งไปทางหยวนหยวน แต่ระหว่างทางกลับถูกกรงเล็บไฟขนาดยักษ์ ตะปบขวางลงมา ขวางเส้นทางของนางเอาไว้ บีบให้นางต้องผละถอยกลับไปทางเดิม

“มู่ชิงเกอ สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงตัวนั้นกลายเป็นคลุ้มคลั่งแล้วรีบถอยออกมา!” ไกลออกไป ก็ดังสะท้อนมาด้วยเสียงของหานฉายไฉ่

คลุ้มคลั่ง!

มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม มองไปยังสัตว์อัคคีจำแลงที่ขนาดขยายใหญ่ขึ้นกว่าตอนก่อนหน้า ทั่วตัวตกอยู่ในเปลวเพลิง

มันร้องคำรามเสียงกดตํ่าออกมาจากลำคอ โซ่เพลิงที่คล้องอยู่บนลำคอของมัน ก็พลันถูกมันสะบั้นออกได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นพุ่งทะยานเข้าใส่มู่ชิงเกอ ทุกที่ที่ พาดผ่าน ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยคลื่นเปลวเพลิงอันร้อนระอุ

มู่ชิงเกอนัยน์ตาหดเล็กลง ถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง

ในเวลานี้ ตำหนักพิภพก็ได้พังทลายลงรุนแรงกว่าเดิมแล้ว ก่อนที่ทันใดนั้นจะมีเสียงสะท้อนรุนแรงดังขึ้นมา

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเพดานด้านบนของ ตำหนักพิภพถูกทะลุจะแตกกระจายออก เผยให้เห็นรูกว้างรูหนึ่ง ส่วนหยวนหยวนกับพญาเพลิงอัคคีแรก กำเนิดก็ได้พุ่งออกไปจากช่องว่างรูนั่นแล้ว ปะทะกันต่อด้านนอก

หยวนหยวนพอออกไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก

นางหลบการโจมตีของสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง ถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั่นเอง ด้านข้างของนางก็มีแสงสีขาวพุ่งวาดเข้ามา พุ่งไปทางสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง มู่ชิงเกอเพ่งมองดูแสงสายนั้นก่อนจะพบว่านั้นเป็นร่างของหยินเฉิน!

จิ้งจอกหิมะร่างกายใหญ่โตดุจขุนเขา หางทั้งเก้าที่ด้านหลังสะบัดออก นัยน์ตาสีเลือดเปล่งประกายดุดันออกมา ปะทะพัวพันเข้ากับสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง

“หยินเฉิน!” มู่ชิงเกอร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง หานฉายไฉ่กลับพุ่งมาอยู่ด้านข้างนาง เอ่ยขึ้นกับนาง “การต่อสู้ในร่างจริงจะทำให้สัตว์อสูรใช้พลังออกไปได้เต็มที่มากที่สุด ตอนนี้ในตัวของเขาก็มีมุกอัคคีอยู่ ไม่ต้องกลัวเปลวเพลิง มีเขาค่อยถ่วงเวลา พวกเราก็รีบออกไป ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน พอไปถึงข้างนอกแล้วค่อย วางแผนกันอีกครั้ง ที่นี่อีกไม่นานก็จะถล่มลงมาแล้ว”

มู่ชิงเกอมองไปทางหยินเฉินอย่างเป็นห่วง แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าขึ้น พุ่งออกไปพร้อมกับหานฉายไฉ่

เพราะนางรู้ว่าตนเองยิ่งออกไปได้เร็วเท่าไร หยินเฉินก็จะสามารถผละออกจากการพัวพันกับอัคคีจำแลงได้เร็วเท่านั้น

ทั้งสองคนก็ไม่ได้พุ่งกลับไปทางเดิม แต่เลือกที่จะออกไปทางช่องว่างที่ถูกหยวนหยวนกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดกระแทกจนเปิดออก หานฉายไฉ่ได้รับบาดเจ็บ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงพยุงตัวเขา ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งตัวไปยังช่องว่างทะลวงออกไป

ทั้งสองคนกลายเป็นแสงไหววูบสองสาย หายตัวไปจากด้านในของตำหนักพิภพ

หยินเฉินที่พัวพันสัตว์ปิศาจอัคคีจำแลงเอาไว้ ก็ทำการสกัดกั้นการก้าวเท้าของมัน

แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ นอกจากจะดึงเอาแก่นอัคคีของมันออกมาแล้ว ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสังหารมันให้ตายจริงๆ ได้ หลัง จากยืนยันว่ามู่ชิงเกอปลอดภัยแล้ว หยินเฉินก็สะบัดหางทั้งเก้าออกไป อาศัยแรงดีดนั้น ส่งตัวเองออกไปไกล พุ่งทะยานไปยังรูช่องว่างอย่างรวดเร็ว

“โฮก—–โฮก—–”

ด้านหลัง สัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงที่ถูกเล่นลูกไม้ใส่ก็ส่งเสียงร้องคำรามเกรี้ยวกราดออกมา มันตามติดไปไม่ปล่อย ลากเศษโซ่เพลิงที่ขาดสะบั้นพุ่งตามหยินเฉินไป แสงสีเงินกับแสงสีแดง หนึ่งหน้าหนึ่งหลังพุ่งออกไปจากรูช่องว่าง ตอนที่พวกมันเพิ่งจะจากไป ทั่วทั้งตำหนักพิภพก็รับนํ้าหนักเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ถล่มลงอย่างรวดเร็ว

สีฟ้าด้านนอกก็ได้มืดลงแล้ว รอบด้านเงียบสงบไร้ผู้คน เลยไม่มีใครได้เห็นถึงฉากภาพการถล่มลงของภูเขาไฟ

พญาเพลิงทั้งสองปะทะกันสนั่นหวั่นไหวอยู่บนฟ้า แสงเพลิงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ราวกับดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งบนท้องอันมืดมิด ส่วนด้านข้างของเขาก็ยังมีเปลวเพลิงที่มีประกายแสงราวกับสีดำมืดของผืนจักวาล กำลังพัวพันกับเขาอยู่

มู่ชิงเกอพยุงหานฉายไฉ่ร่อนลงไปยังกองหินที่แตกละเอียด สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ภูเขาไฟพอถล่มลง อุณหภูมิรอบด้านก็เลยกลายเป็นลดตํ่า ไม่มีไอร้อนอีก

“กินโอสถลงไปซะ” มู่ชิงเกอยื่นส่งโอสถเม็ดหนึ่งให้หานฉายไฉ่

หานฉายไฉ่หลังจากรับมันไปแล้วก็ไม่ได้ลังเล กลืนมันลงไปในทันที ชั่วขณะนั้น พลังจิตในร่างของเขาที่โคจรติดขัดก็พลันกลายเป็นฟื้นฟูปลอดโปร่งกลับมาอย่างรวดเร็ว

ดวงตารียาวของเขาพลันเปล่งแสงไหววูบขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง “ฝีมือการปรุงยาของเจ้าพัฒนาไปไกลมากนัก”

มู่ชิงเกอกวาดตามองไปทางเขาสายตาหนึ่ง ราวกับกำลังจะบอกว่าคำกล่าวของเขานั้นช่างไร้สาระนัก “ไม่ใช่ว่าได้มอบโอสถจักพรรดิระดับสมบัติไปให้เจ้าแล้วรึ?”

หานฉายไฉ่พยักหน้าขึ้นบางเบา เอ่ยขึ้นกับนาง “รอจนเรื่องนี้เสร็จแล้ว ข้าก็จะขอคุยการค้ากับเจ้าเสียหน่อย รับรองว่าเป็นจะเป็นเรื่องดีที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผล ประโยชน์’

เสียงของเขาเพิ่งจบลง แสงสีเงินกับแสงสีแดงหนึ่งหน้าหนึ่งหลังก็ปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้ายามราตรี

มู่ชิงเกอมองไปทางแสงสีเงินสายตาหนึ่ง เอ่ยขึ้นกับหานฉายไฉ่ “แต่ตอนนี้ก็ควรคิดวิธีจัดการสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงก่อนจะดีกว่า”

หานฉายไฉ่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สายหนึ่ง เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “ก็ไม่ได้มีวิธีพิเศษอันใด ปะทะกับมันไปตรงๆ หวังว่าพญาเพลิงฮุ้นหยวนจะสามารถยื้อพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเอาไว้ได้อีกสักช่วงหนึ่ง พวกเราสามคนร่วมมือกันจัดการสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงตนนั้น หลังกำราบมันได้ก็ค่อยไปจัดการกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดพร้อมกัน!”

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้าขึ้นไม่ได้ชักช้าแม้แต่น้อย นางพุ่งทะยานไปยังท้องฟ้ายามราตรี ก่อนจะทำการลอบโจมตีสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงจากด้านหลัง

การกระทำที่บอกให้สู้ก็สู้ ไม่ได้ทำตัวอิดออดนี้ ก็ทำเอาหานฉายไฉ่นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่เขาจะพุ่งออกไป รอบกายของเขาก็พลันห้อมล้อมด้วยพญาเพลิงที่ออกมาในรูปลักษณ์ของอสรพิษอัคคี นี่ก็เป็นพญาเพลิงเมฆสุริยาที่เขาหลอมรวมเข้ากับร่างกาย

ในท้องฟ้ายามราตรี การปะทะทั้งสองจุด ก็ล้วนแต่ดุเดือดจนทำผู้คนสายตาพร่ามัว

การสอดประสานของมู่ชิงเกอกับหยินเฉินก็ชัดเจนว่าไม่ต้องกล่าวถึง ยิ่งรวมเข้ากับหานฉายไฉ่ปีศาจเจ้าเล่ห์ผู้นั้น ในที่สุดก็สามารถสะกดข่มสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลงได้ เพียงแต่มันในตอนนี้ก็มีความเร็วกับพละกำลังมากเกินไป คิดอยากจะดึงแก่นอัคคีออกมาจากตัวมันตรงๆ ก็ชัดเจนว่ายากที่จะทำได้อีก

“งั้นก็เน้นตีไปที่หัวของมัน!” มู่ชิงเกอร้องตะโกนขึ้นเสียงดุดัน ทวนหลิงหลงในมือควบรวมเอาพลังที่นางส่งเข้าไป ก่อนที่จะใช้ท่าไม้ตายของทวนหลิงหลงออกไป พอมีประสบการณ์ของตอนก่อนหน้า พวกนางอย่างน้อยก็สามารถยืนยันได้ว่าแก่นอัคคีของมันซ่อนอยู่ในท้ายทอยด้านล่างหัวของมัน

ขอเพียงตีหัวมันแตกออกได้ ก่อนที่มันจะกลับคืนไปสู่สภาพเดิม หยิบเอาแก่นอัคคีออกมา มันจะต้องตายอย่างแน่นอน! ทวนหลิงวาดขึ้นไปบนท้องยามราตรี ราวกับดาวตก ลากออกเป็นเส้นแสงเรียวยาว

เสียงทวนเสียดสีกับอากาศดังขึ้นเสียงหนึ่ง มันรวบรวมพลังทั้งหมดของมู่ชิงเกอเอาไว้พุ่งฟาดออกไปที่หัวของสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง

สัตว์ปีศาจจำแลงร้องคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง เช่นเดียวกันพุ่งโจมตีสวนไปทางมู่ชิงเกอ

หานฉายไฉ่มือทั้งสองข้างประสานกันร่ายคาถาขึ้น ร้องคำรามออกไปเสียงหนึ่ง “พญาเพลิงเมฆสุริยา โจมตี—–!”

อสรพิษเพลิงที่ล้อมรอบตัวของเขาอยู่ทันใดนั้นก็พุ่งทะยานออกไป สายลมโหมกระหน่ำ ชั่วพริบตาก็พันมัดไปรอบตัวของสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง สกัดฝีเท้าของ มันเอาไว้ หยุดให้มันอยู่กับที่

ทวนหลิงหลงนำเอาคมทวนอันคมกริบที่แฝงไว้ด้วยแรงเหวี่ยงอันมหาศาล ปรากฏขึ้นไปที่ตรงหน้าของสัตว์ปีศาจอัคคีจำแลง ปลายทวนอันรวดเร็วพุ่งเข้าไปพร้อมกับสะเก็ดไฟ พุ่งโจมตีไปทางหัวของสัตว์ปีศาจ

“ปะทุ!” มู่ชิงเกอจับปลายทวนเอาไว้ร้องคำรามขึ้นเสียงขรึม

ปัง—–!

เสียงระเบิดพลันดังขึ้น หัวใหญ่ยักษ์ของสัตว์ปีศาจพลันระเบิดออกที่ตรงหน้าของทั้งสามคน ราวกับมีเปลวเพลิงผุดขึ้นมาในท้องฟ้ายามราตรีก็ไม่ปาน เจิดจ้างดงาม แสงเพลิงสาดแสงไปทั่วโดยรอบ

แรงสะท้อนของหัวที่ระเบิดออกทันใดนั้นพุ่งสะท้อนกลับไปทางทั้งสามคน

มู่ชิงเกอวาดทวนออกไปสกัดไว้ พญาเพลิงเมฆาสุริยาของหานฉายไฉ่ก็ถอยกลับไปที่ตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว รวมตัวกับเป็นโล่ผืนหนึ่ง สกัดกั้นแรงสะท้อนเอาไว้ แต่จากนั้นชั่วอึดใจ สะเก็ดเพลิงที่กระเด็นออกมา ก็พุ่งรวมตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นหัวของสัตว์ปีศาจขึ้นใหม่อีกครั้ง

ส่วนหัวแสดงอาการเกรี้ยวกราด ร้องเสียงคำรามออกไปเสียงหนึ่ง ก่อนจะพุ่งไปที่ร่างกายของมัน

ในตอนนั้นเอง หยินเฉินก็มองเห็นโอกาส พุ่งทะยานออกไปกรงเล็บแหลมคมคว้าจับเข้าไปยังแก่นอัคคีแสงวาววับที่อยู่ในคอที่ขาดออกของมัน

พอคาดเดาได้ถึงจุดประสงค์ของเขา หัวสัตว์ปีศาจที่พุ่งเข้ามา ก็พลันร้องคำรามเกรี้ยวกราดไปทางหยินเฉิน ปากขนาดยักษ์น่าเกลียดน่ากลัวนั้นก็คิดจะกัดแขนของหยินเฉินให้ขาด มู่ชิงเกอพอเห็นเข้าก็พลันยื่นทวนออกไปอีกครั้ง ทวนหลิงหลงทันใดนั้นฟาดตีไปบนใบหน้าของสัตว์ปีศาจเข้าอย่างจัง ตีจนใบหน้าของมันเกิดรอยฟาดเหวอะหวะขึ้นสายหนึ่ง และในขณะเดียวกันนั้นเอง หยินฉินก็เพิ่มแรงมากขึ้น กระชากดึงแก่นอัคคีออกจากตัวของสัตว์ปีศาจ!

สัตว์ปีศาจพอสูญเสียแก่นอัคคี ก็เหมือนกับว่าจะขาดซึ่ง แหล่งที่มาของพลังงาน มันร้องคำรามอย่างไม่ยินยอมขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนที่ทั่วทั้งร่างของมันจะสลายหายไป พร้อมกันนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้น

ตูม ตูม—–!

ส่วนหัวกับส่วนตัวระเบิดขึ้นพร้อมกัน ทำเอาท้องฟ้ายามราตรีถูกประดับไปด้วยสีแดงฉาน เปลวเพลิงโชติช่วงชัชวาล พุ่งกระจ่ายออกไปรอบทั้งสี่ทิศ

“อัก!”

“อัก!”

“อัก!”

ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกแรงระเบิดอันดุดันกระแทกใส่เข้าอย่างจัง ล้วนแต่พากันกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่วงกระแทกลงไปที่พื้น

“แค่ก แค่ก” หลังจากร่วงกระแทกเข้าไปกับพื้นอย่างแรง มู่ชิงเกอก็พลันขบกรามเกรี้ยวกราดขึ้น เอ่ยด่าว่าขึ้นในใจ ‘เกือบไป! กระดูกจะแตกละเอียดอยู่แล้ว!

นี่ก็ไม่ได้กล่าวเกินจริง ถ้าหากนางไม่ได้ขยันฝึกฝนร่างกายมาโดยตลอด ก็เกรงว่าตอนนี้ก็จะเหมือนกับหานฉายไฉ่ไม่ต่างกัน

มู่ชิงเกอมองไปทางหานฉายไฉ่ เขาที่อยู่บนพื้นก็เช่นเดียวกันกระแทกกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมหลุมหนึ่ง

แต่ว่า เขาก็ไม่ได้เหมือนกับมู่ชิงเกอที่สามารถลุกขึ้นมาได้ แต่เป็นนอนแผ่หลาอยู่ในหลุมนั่น ปากกระอักเลือดออกมา

มู่ชิงเกอชันพื้นลุกขึ้นมา เดินไปทางเขา หยินเฉินก็ลุกขึ้นมาจากพื้นได้แล้วเช่นกัน เดินตามเข้ามา

เขาเป็นสัตว์เทพแน่นอนว่าต้องรับความรุนแรงระดับนี้ได้

มู่ชิงเกอขยับแข้งขยับขาไปรอบหนึ่ง กระดูกในร่างส่งเสียงร้อง ‘กรอกแกรก’ กันขึ้นมา อาการที่ยังคงติดขัดพวกนั้นก็พลันหายไป

การปะทะของหยวนหยวนกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ก็ยังคงดำเนินต่อไป มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปสายตาหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปในหลุมของหานฉายไฉ่ หยินเฉินก็กระโดดตามติดลงไป

“แค่ก! เดรัจฉานน่าตายนัก ก่อนจะตายก็ยังถูกมันเล่นงานเอาได้” หานฉายไฉ่พอเห็นมู่ชิงเกอกับหยินเฉินปรากฏเข้ามา ก็พลันเอ่ยเคียดแค้นออกไปประโยคหนึ่ง

สัตว์ปีศาจพอสูญเสียแก่นอัคคีไป ร่างกายของมันก็ต้องสลายหายไปถึงจะถูก แต่นี่มันกลับใช้แรงเฮือกสุดท้าย ระเบิดตัวเองออกมา ทำร้ายพวกเขาทั้งสามคน ที่น่าเจ็บใจมากที่สุดก็คือ เขากลับถูกแรงระเบิดส่งตัวลอยกระแทกใส่พื้นจนขยับไม่ไหว แต่พวกมู่ชิงเกอทั้งสองก็เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น หยินเฉินก็พอทำเนา ในเมื่อเขาเป็นสัตว์เทพ กระดูกและความทนทานพวกนั้นก็ไม่สามารถเปรียบกันได้

แต่กับมู่ชิงเกอเล่า?

ชัดเจนว่าระดับพลังไม่ได้สูงกว่าเขา แต่พอเปรียบกับเขา กลับแข็งแรงมากกว่านัก!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ต้องมามีสภาพเช่นนี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าของหญิงสาวที่ตนเองต้องใจ นี่ก็ช่างน่าขายหน้าที่สุด!

พอคิดถึงภาพลักษณ์และความน่าอนาถของตัวในตอนนี้ หานฉายไฉ่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปจัดการสัตว์ปีศาจตนนั้นอีกรอบ!

มู่ชิงเกอตรวจสอบร่างกายของหานฉายไฉ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเขา “กระดูกหลุดอยู่หลายข้อเชียว” พอกล่าวจบก็หันไปพูดกับหยินเฉิน “อย่าให้เขาขยับตัวส่งเดช”

หานฉายไฉ่ยังไม่ทันคิดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็พลันรู้สึกว่าร่างของตนกลายเป็นหนักอึ้ง ขยับอะไรไม่ได้ ส่วนมู่ชิงเกอก็จับขาของเขาขึ้นมา ก่อนจะใช้ท่าทางประหลาดพิสดารกดและดึงมัน

กึก!

ความเจ็บสายหนึ่ง ทันใดนั้นพลันไหลแล่นขึ้นมาจากกระดูก ทำเอาหานฉายไฉ่หายใจหอบถี่รัว เบิกดวงตาเรียวยาวกว้างขึ้น

“เรียบร้อยแล้ว” ที่ข้างหู อยู่ๆ ก็มีเสียงของมู่ชิงเกอดังสะท้อนเข้ามา

ต่อกันนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าแขนทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอก็กดอยู่ที่หน้าอกของตน

กร๊อบ! กร๊อบ!

แล้วก็มีเสียงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวดังขึ้นมาสองเสียง นี่ก็ทำเอาสีหน้าของหานฉายไฉ่จากซีดขาวกลายเป็นม่วงคลํ้าอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเอง มู่ชิงเกอก็คว้าจับไปที่ไหล่ซ้ายของเขา ใช้แรงกระชากดึงออกไป

กร๊อบ—–!

หานฉายไฉ่ก็รู้สึกได้ว่าชีพจรติดขัดที่ตรงหน้าอกของตน พลันกลายเป็นถ่ายเทราบรื่นขึ้นมา เขาหลั่งเหงื่อเย็น จับจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ “มู่ชิงเกอเจ้ากำลังใช้โอกาสนี้แก้แค้นข้าใช่หรือไม่?”

มู่ชิงเกอกลับลุกยืนขึ้น ปัดมือของตนไปมา ก่อนจะเอ่ยมาทางเขา “ลองลุกขึ้นมาดู”

“ลุกอะไร…” คำพูดยังไม่ได้ทันกล่าวจบ หานฉายไฉ่ก็พลันรู้สึกว่าทั่วร่างของตนกลายเป็นผ่อนคลายขึ้น ความรู้สึกเหมือนกับขยับไม่ได้ก่อนหน้าหายไปแล้ว ตรงข้อกระดูกก็ไม่เจ็บแล้ว เขาปีนขึ้นมาจากหลุม ขยับตัวเล็กน้อย ค้นพบว่านอกจากบาดแผลภายในที่หลงเหลือจากแรงกระแทกแล้ว ตนเองตอนนี้ก็สามารถกระโดดวิ่งเดินได้แล้ว

นัยน์ตาของเขาเปล่งแสงวาววับพร้อมกับมองไปทางมู่ชิงเกอ ถูกวิธีพิสดารของนางทำเอาตกตะลึง

ส่วนมู่ชิงเกอกลับมองไปทางเขาอย่างเย้ยเยาะ เอ่ยบ่นในใจ ‘ก็แค่วิธีต่อข้อกระดูกของโลกก่อนก็เท่านั้น ถึงกับทำเอาคนต่างโลกผู้นี้ตกตะลึงเสียได้’

หลังจากบ่นเสร็จ มู่ชิงเกอก็พลันวาดมือออกไป ทันใดนั้นในฝ่ามือก็นอนอยู่ด้วยเม็ดโอสถสามเม็ด

นางหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แล้วมองไปทางหานฉายไฉ่กับหยินเฉิน ทั้งสองแยกกันหยิบไปคนละเม็ด ก่อนที่ทั้งสามคนจะกลืนมันลงไปพร้อมกัน ชั่วขณะนั้น อาการบาดเจ็บในร่างของพวกเขาก็ได้รับการฟื้นฟู บาดแผลภายในที่เกิดมากจากการกระแทกก็ทำการรักษาตัวเอง พอจัดการสัตว์ปีศาจกับรักษาบาดแผลได้แล้วแบบนี้ เช่นนั้นเป้าหมายถัดไปก็เหลือเพียงหนึ่งเดียวแล้ว

ทั้งสามเคลื่อนสายมองไปยังบนท้องฟ้าโดยไม่ได้นัดหมาย มองไปยังแสงไฟที่สว่างเจิดจ้าไปเกือบทั่วทั้งท้องฟ้ายามราตรี

สภาพการณ์แปลกประหลาดที่บนนั้น ถ้าหากมีคนมองเห็นมันก็คงจะนึกว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกขอบฟ้าในยามราตรี หรือไม่ก็มีดวงอาทิตย์เพิ่มมาใหม่อีกดวงหนึ่ง

“หยวนหยวน เจ้าไปพักก่อน ที่เหลือให้พวกข้ารับต่อเอง!” มู่ชิงเกอร้องตะโกนไปทางหยวนหยวน

ถึงแม้พญาเพลิงแรกกำเนิดจะเข้าสู่ช่วงอ่อนแอ แต่หยวนหยวนก็ยังไม่สามารถกำราบมันได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้พวกนางทั้งสามคนไปบั่น ทอนพลังของมัน แล้วค่อยให้หยวนหยวนหาจังหวะดูดกลืนมันเข้าไป

หยวนหยวนพอได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ ก็เร่งรีบผละตัวออกอย่างรวดเร็ว

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้กลับมาที่พื้น แต่กลับใช้สีของฟ้าในการหลบซ่อน เร้นกายอยู่ในความมืดมิดยามราตรี หากไม่ถูกแสงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดสาดส่อง แม้แต่มู่ชิงเกอเองก็ยังมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงไหน

หยวนหยวนพอถอยออกไป มู่ชิงเกอทั้งสามคนก็พลันพุ่งขึ้นมา

การปะทะกับพญาเพลิง หานฉายไฉ่แน่นอนว่าต้องเป็นกำลังหลัก พญาเพลิงเมฆสุริยาที่เขาปล่อยออกมาก็พุ่งเข้าปะทะกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ทำการส่งพลังจิตให้กับพญาเพลิงเมฆสุริยาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนมู่ชิงเกอกับหยินเฉินนั้นประกบสอดประสานอยู่ด้านข้าง ทำการก่อกวนพญาเพลิงแรกกำเนิดอย่างต่อเนื่อง

ทำให้มันกลายเป็นพะวักพะวงขึ้นหลายส่วน

ใบหน้าเหี่ยวชราซูบผอมใบนั้นก็พลันกลายเป็นดุดันขึ้นมา ความชิงชังในดวงตากลายเป็นเด่นชัดขึ้น ความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ก็ดังต่อเนื่องไปยาวนานถึงสองชั่วยาม

พอลองนับเวลาดู ไข่มุกอัคคีในตัวของทั้งสามก็จะหมดฤทธิ์ในอีกไม่ช้าแล้ว

และในตอนนั้นเอง ในตอนที่ความมืดยามราตรีจะหวนกลับไปสู่รุ่งอรุณ แสงเพลิงของพญาเพลิงอัคคีแรก

กำเนิดก็พลันกลายเป็นเด่นชัดขึ้นมา เพียงแต่พละกำลังก็ดูเหมือนจะอ่อนลงไปแล้วหลายส่วน

ทันใดนั้นเองหยวนหยวนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดมาโดยตลอดก็พลันขยับเคลื่อนไหว จับช่วงจังหวะที่เหมาะสม พุ่งทะยานไปออกไป กลายร่างเป็นปากขนาดใหญ่ คำหนึ่งกลืนกินพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่ไม่ได้ทันตั้งตัวลงไป

‘อ๊าก—–!’

พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดส่งเสียงร้องเกรี้ยวกราดออกมา

เขาดิ้นรนไปมา คิดอยากจะหลุดพ้นจากพลังดูดกลืนของพญาเพลิงฮุ้นหยวน แต่ว่า มันกลับไม่มีประโยชน์

“ให้เขาเหลือพลังส่วนหนึ่งเอาไว้ให้ข้า!” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นเสียงร้อนรน

มู่ชิงเกอเร่งรีบเอ่ยตะโกนไปทางหยวนหยวน “หยวนหยวน แบ่งพลังออกมาส่วนหนึ่ง!”

เสียงของนางพอดังสะท้อนออกไป พลังสายเล็กๆ ดุจเส้นผมสายหนึ่งก็พลันร่วงตกลงมาจากฟ้า มาที่ตรงหน้าของหานฉายไฉ่

หานฉายไฉ่เบ้มุมปาก นัยน์ตาขุ่นข้องมองไปทางมู่ชิงเกอ สบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง “เขี้ยวลากดินเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด!”

มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก มองไปยังสายพลังเรียวบางที่เหมือนกับเส้นผมสายนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดดี

หานฉายไฉ่รับพลังสายนั้นเอาไว้ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้านหลัง พูดทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่ง “คุ้มกันให้ข้า!”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ก่อนจะขยับสายตามองไปยังด้านบนท้องฟ้า การดิ้นรนของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ได้น้อยลงเรื่อยๆ เขาต่อให้จะแข็งแกร่งยังไงแต่ตอนนี้ก็ได้เข้าสู่ช่วงอ่อนแอแล้ว พลังชีวิตก็เปรียบไม่ได้กับหยวนหยวนที่กำลังเจริญเติบโต ถูกดูดกลืน นี่ก็เป็นบทสรุปที่ต้องเกิดขึ้น

ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ หยวนหยวนก็กลายร่างเป็นคนร่อนลงมาจากฟ้า ท้องก็ป่องจนบวมกลมออกมา มือทั้งสองข้างของเขาลูบไปที่หน้าท้อง เรอออกมาเสียงหนึ่งพร้อมกันกับเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากปากของเขา

หยวนหยวนนิ่งชะงัก มือทั้งข้างกุมไปที่ปากของตน กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับมู่ชิงเกอ “ลูกพี่ท่านแม่ ข้าก็คงจะต้องหลับสักงีบ”

พอกล่าวจบ เขาก็พุ่งไปยังด้านหลังเศษก้อนหิน ล้มลงไปนอนกับพื้น มู่ชิงเกอกับหยินเฉินพอเดินตามเข้าไป ก็เห็นเขาราวกับเด็กทารกก็ไม่ปานขดกายเข้าหากัน แขนทั้งสองข้างกอดเข่าเอาไว้ มุดหัวนอนหลับอยู่ในนั้น บนตัวของเขาก็ ปรากฏหมอกควันสีเทาขึ้นมารางๆ ทำการปกคลุมตัวเขาเอาไว้ด้านใน

มู่ชิงเกอกับหยินเฉินมองหน้ากันสายตาหนึ่ง ในสายตาของกันและกันต่างก็ฉายแววฉงนงุนงง

“น่าจะกำลังก้าวข้ามขีดจำกัดกระมัง” มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

หยวนหยวนนั้นเป็นตัวตนพิเศษ จำเป็นจะต้องใช้การดูดกลืนพญาเพลิงในการเพิ่มพลัง ทุกครั้งที่ดูดกลืนพญาเพลิงก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง คิดแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะใช่

“เจ้านาย เจ้านาย หยวนหยวนกำลังข้ามขีดจำกัดอยู่ใช่หรือไม่?”ในหัวของมู่ชิงเกอก็ดังสะท้อนมาด้วยเสียงตื่นเต้นของเหมิงเหมิง

มู่ชิงเกอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “น่าจะใช่กระมัง”

“ว้าว! ดียิ่งนัก ข้าจะได้!ปทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขา!” เหมิงเหมิงร้องตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในหัวของมู่ชิงเกอเสียงหนึ่ง ก่อนจะเงียบเสียงไป

เสียงเสียงนั้นก็ทำเอามู่ชิงเกอรู้สึกงุนงงนัก

“ชิงเกอ เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าคุ้มกันให้เอง” หยินเฉินเอ่ยไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหันมองไปรอบด้าน ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ “ถึงแม้ที่นี่จะอยู่ห่างจากเมืองหลานอูเฉิง แต่ตรงนี้ก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นขนาดนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะดึงดูดความ สนใจขุมกำลังอื่นๆ ในเมืองหลานอูเฉิงหรือไม่ ถ้าหากเกิดรุดมาตรวจสอบเช่นนั้นก็คงยากจะจัดการแล้ว”

พญาเพลิง ไม่ว่าจะอยู่ที่หลินชวนหรือว่าโลกแห่งยุคกลาง ก็ล้วนแต่เป็นของล่อตาล่อใจผู้คน เรื่องที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดอยู่ที่นี่ บางทีคนที่รู้ก็อาจไม่ใช่แค่หานฉายไฉ่เพียงคนเดียว แต่คนอื่นๆ ที่ไม่มากำราบมันนั้นก็คงจะเป็นเพราะความสามารถไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ถูกหยวนกลืนกินไปแล้ว ถ้าหากคนพวกนั้นเกิดความโลภเข้า แล้วมาตามไล่ล่าหยวนหยวนจะทำอย่างไร?

คิดแล้วคิดอีก มู่ชิงเกอก็หันไปกล่าวกับหยินเฉิน “เจ้าไปแบกหานฉายไฉ่ ส่วนข้าจะแบกหยวนยวนเอง ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หยินเฉินพยักหน้า ก่อนจะพุ่งทะยานไปยังทิศทางของหานฉายไฉ่

หนึ่งคืนผ่านไป ในตอนก่อนที่คืนของวันที่สองจะมาเยือน เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งก็พลันดังขึ้นที่ขอบรอบนอกของภูเขาไฟที่ถล่มลงมา บ่งบอกว่าคำพูดของมู่ชิงเกอนั้นไม่ผิด

เพียงแต่น่าเสียดายที่ชาวเมืองหลานอูเฉิงพวกนี้มาช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่ว่าเบาะแสใดๆ ก็หาไม่เจอ

ส่วนมู่ชิงเกอนั้นก็ได้พาหานฉายไฉ่กับหยวนหยวนออกไปจากเขตรกร้างผืนนั้นตั้งนานแล้ว หาถํ้าที่แห้งสะอาด ในภูเขาตรงเขตชานขอบรอบนอกของเมืองหลานอูเฉิง รอคอยการฟื้นตื่นของพวกเขาอย่างเงียบสงบ

หลังจากผ่านไปสามวัน หานฉายไฉ่ก็เป็นฝ่ายที่ตื่นขึ้นมาก่อน

เขาพอลืมตาขึ้น ก็เห็นเข้ากับมู่ชิงเกอที่ยืนบังแสงสว่างอยู่ตรงปากถํ้า ชุดสีแดงกับแผ่นหลังองอาจนั่น ก็ประดับอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของเขา ไม่ว่าจะสลัดยังไงก็สลัดไม่ออก

“เจ้าตื่นแล้ว” ในตอนที่เขานิ่งงันไป มู่ชิงเกอก็หันมองมาทางเขา

หานฉายไฉ่ดึงสายตากลับ พยักหน้า ก่อนจะลุกยืนขึ้นมาจากพื้น กวาดมองไปรอบด้าน พบว่าถํ้าแห่งนี้ก็ไม่เหมือนกับถํ้าก่อนหน้าที่ตัวเองใช้หลอมกลืนพลัง

“อยู่ๆ ที่นั่นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้น เกรงว่าจะ ดึงดูดคนด้านนอกเข้ามา พวกข้าก็เลยพาพวกเจ้าเคลื่อนย้ายมาที่นี่” มู่ชิงเกอออกเสียงอธิบาย

หานฉายไฉ่พยักหน้าเข้าใจ “เป็นข้าบกพร่องเอง แต่ว่าพลังของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดหากถูกแบ่งออกมา แล้วก็จะต้องดูดกลืนมันในทันที ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะลดน้อยลงไปมาก ความเสี่ยงนี้…”

เขาค่อยๆ แย้มยิ้มขึ้นมา

มู่ชิงเกอก็จับได้ถึงแผนการข้อหนึ่งในรอยยิ้มของเขา ก่อนจะกลายเป็นเข้าใจขึ้นมา “ดังนั้นเจ้าก็เลยลากข้ามาด้วย ไม่เพียงสามารถร่วมมือกับเจ้ากำราบพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด แต่ก็ยังสามารถช่วยเจ้าจัดการเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาในภายหลัง”

หานฉายไฉ่แย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าก็เชื่อว่าขุมอำนาจในเมืองหลานอูเฉิงแห่งนั้นไม่ว่าอะไรก็จะไม่ได้มันไป”

“เจ้าก็ช่างมีความมั่นใจในตัวข้านัก!” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

หานฉายไฉ่ก็เหมือนกับว่าจะไม่ได้ยินนํ้าเสียงของนางก็ไม่ปาน พยักหน้าเอ่ยขึ้น “นั้นก็แน่นอน คุณชายของจวนหย่งหนิงกง เวลาไหนกันที่ทำให้คนผิดหวังมาก่อน?”

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยเย้ยหยันออกไป “กล่าวชมไปแล้ว”

หานฉายไฉ่ค่อยๆ ดึงเก็บรอยยิ้มกลับ เอ่ยขึ้นกับนาง “ขอบคุณมาก แผนการครั้งนี้ก็ถือว่าสำเร็จลงแล้ว หลอมรวมพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดสำเร็จ ปลุกพลังของพญาเพลิงเมฆสุริยาในตัวข้า พอเป็นเช่นนี้ข้าก็มีความมั่นใจพอที่จะเผชิญหน้ากับการทดสอบของตระกูลแล้ว”

“เช่นนั้นก็คงต้องขออวยพรให้เจ้าสำเร็จล่วงหน้าแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ย

หายฉายไฉ่กวาดมองไปรอบด้านสายตาหนึ่ง พอไม่เห็นเงาร่างของหยินเฉิน ตรงหน้าก็มีเพียงเขากับมู่ชิงเกออยู่กันสองคนเพียงลำพัง ในใจชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นยินดีขึ้นมา

พอจับถึงความยินดีของเขาได้ มู่ชิงเกอก็ยิ้มเย็นพลางเอ่ยขึ้น “ในถํ้าแห่งนี้ยังมีถํ้าย่อยด้านในอีกแห่งหนึ่ง หยินเฉินก็กำลังคุ้มกันหยวนหยวนอยู่ในนั้น เจ้าคิดอยากจะขอบคุณเขาสักหน่อยไหม เพราะเขาแบกเจ้ามาตลอดทาง”

หานฉายไฉ่ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนสี นิ่งชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น“เช่นนั้นรอเขาจัดการเรื่องราวเสร็จแล้วค่อยขอบคุณก็ได้”

“ใช่แล้ว เจ้าบอกว่าต้องการจะคุยการค้าอะไรกับข้านะ?” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็นึกไปถึงคำพูดก่อนหน้าของหานฉายไฉ่

อยู่กินกองเงินกองทองไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้ในทุกปีนางจะมีรายรับจากสายแร่ศิลาวิญญาณของเมืองไหอวี่เฉิง แต่เมืองไหอวี่ก็เล็กเกินไป ศิลาวิญญาณที่สามารถขุดได้ก็น้อยเกินไป แต่ตัวเขมือบที่นางเลี้ยงไว้ก็มีมากเกินไป

ในเมื่อหานฉายไฉ่เสนอร่วมมือ แน่นอนว่านางก็สนใจที่จะฟัง

หานฉายไฉ่เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ทุกปีเจ้าเอาโอสถออกมาบางส่วน ให้หอสรรพสิ่งของข้าขาย ส่วนจะขายอย่างไร ให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ราคาที่ขายได้เจ้าเอาหกข้าเอาสี่ นี่เป็นวิธีหนึ่งในการร่วมมือ ยังมีอีกวิธีก็คือข้าสามารถช่วยเจ้ารับใบสั่งจองหลอมยา อย่างเช่น มีคนต้องการยาอะไร ยินยอมที่จะจ่ายเท่าไหร่ ข้าก็สามารถช่วยเจ้ารับเอาไว้ได้ รับเอาเงินประกัน จากนั้นก็ติดต่อเจ้าให้หลอม หลังจากหลอมเสร็จแล้ว ก็ค่อยให้หอสรรพสิ่งของข้าออกหน้ามอบให้แก่ผู้ซื้อ การร่วมมือแบบนี้ แบ่งห้า-ห้า”

ได้ยินคำพูดของหานฉายไฉ่ มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว เขาสนใจในทักษะการหลอมยาของตนเอง

นางไม่ได้ตอบกลับไปในทันที แต่ว่าครุ่นคิดในใจรอบหนึ่ง

ส่วนหานฉายไฉ่ก็ไม่ได้เร่งรัดนาง เพียงแต่รอคอยอย่างอดทน

“ร่วมมือไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าเงื่อนไขต้องเปลี่ยนสักหน่อย” มู่ชิงเกอมองไปยังหานฉายไฉ่แล้วเอ่ย

ดวงตาเรียวยาวของหานฉายฉายไฉ่แวววาบออกมา สบถว่า “ก็รู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าจะไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆ พูดๆ มา เจ้าต้องการเปลี่ยนอะไร?”

มู่ชิงเกอกระตุกปากยิ้มออกมา “อย่างแรก ทุกปีข้าสามารถส่งยาให้หอสรรพสิ่งหนึ่งร้อยเม็ด ข้ารับรองว่าหนึ่งร้อยเม็ดนี้จะต้องเป็นระดับสูงสุดของข้าในตอนนั้น หากทำก็ต้องทำของดีมีคุณภาพ แต่ว่าเรื่องสมุนไพรในการหลอมยานี้ต้องให้หอสรรพสิ่งออกด้วยครึ่งหนึ่ง อีกอย่างส่วนแบ่งก็ต้องเปลี่ยนเป็นข้าเจ็ด เจ้าสาม”

หานฉายไฉ่หรี่ตาเล็กลง กัดฟันเอ่ยว่า “การต่อรองนี้ของเจ้าโหดไปหน่อย”

ไม่เพียงกดกำไรของหอสรรพสิ่งแต่ยังให้หอสรรพสิ่งร่วมลงทุนอีก

แน่นอนว่า ทุกปีขายยาที่มีคุณภาพสูงหนึ่งร้อยเม็ด จุดนี้เขาเห็นด้วย

ของยิ่งลํ้าค่าหายากราคาก็ยิ่งสูง ภาคใต้ ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ไม่เหมือนกับภาคตะวันออกและภาคกลาง ทรัพยากรยาขาดแคลนอีกอย่างแม้แต่ยาธรรมดาที่ ระดับไม่สูง ถ้าหากว่ามู่ชิงเกอตกลงร่วมมือ แม้จะเป็นเพียงแค่ยาร้อยเม็ดแต่ก็สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลแล้ว

ที่สำคัญก็คือสามารถเพิ่มระดับชื่อเสียงของหอสรรพสิ่งขึ้นไปได้อีก!

“รีบร้อนอะไร ข้ายังพูดไม่จบ” มู่ชิงเกอเหลือบมองเขา แวบหนึ่ง เอ่ยต่อว่า “อย่างที่สอง หลอมยาที่สั่งจอง ทุกปี ข้าจะรับงานแค่สามครั้ง ส่วนสมุนไพรทุกชนิดที่ใช้ต้อง ให้หอสรรพสิ่งรับผิดชอบทั้งหมด ทุกครั้งล้วนต้องจัดเตรียมสมุนไพรไว้สามส่วน เพราะตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจรับรองได้ว่าครั้งเดียวแล้วจะสำเร็จเลยในทันที ส่วน ส่วนแบ่งนั้น เปลี่ยนเป็นข้าหก เจ้าสี่ นอกจากการค้านี้แล้ว ข้ายังต้องการบัตรลดราคาของหอสรรพสิ่งหนึ่งใบ ที่เพิ่มสิทธิ์พิเศษของข้าในหอสรรพสิ่ง อีกอย่างต้องให้ส่วนลดที่ต่ำที่สุดให้แก่ข้าด้วย”

“มู่ชิงเกอ ตาของเจ้ากลายเป็นเหรียญตำลึงแล้ว!” หานฉายไฉ่เอ่ยอย่างอดไม่ได้

มู่ชิงเกอหยักไหล่ เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ถึงอย่างไรการร่วมมือครั้งนี้ก็เป็นเจ้ามาหาข้า สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไร เงื่อนไขของข้าก็เป็นเช่นนี้ เจ้าตัดสินใจเองเถอะ”

หานฉายไฉ่ก้มหน้าลง ดวงตาเรียวยาวฉายแววเยียบเย็น จ้องมองมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างบริสุทธิ์ใจว่า “ข้าไม่ได้พูดว่าให้หอสรรพสิ่งมอบข่าวสารให้ข้าเปล่าๆ ทุกปี หรือว่าให้มอบสมุนไพรกับของวิเศษอะไรให้ข้าสักหน่อย นี่ก็ได้เห็นแก่มิตรภาพของเราแล้ว หอสรรพสิ่งของเจ้าใหญ่โตถึงขนาดนั้น ก็ไม่ดีที่จะมารังแกข้าผู้หญิงอ่อนแอผู้หนึ่งหรอกกระมัง ขาดทุนไปบ้างจะเป็นอะไรไป”

“เจ้าเป็นหญิงอ่อนแองั้นหรือ?” หานฉายไฉ่โกรธจนรู้สึกตลก

มู่ชิงเกอกะพริบตา เอ่ยอย่างจริงจังว่า “สำหรับยักษ์ใหญ่อย่างหอสรรพสิ่งแล้ว ข้ายังไม่อ่อนแองั้นหรือ? อย่างน้อยด้านพลัง ข้าก็ไม่สู้เจ้า”

นางทิ้งท้ายไว้ด้วยคำชม

หานฉายไฉ่ถูกมู่ชิงเกอทำจนไร้คำพูด คิดจะตอกกลับ แต่ก็ตอบไม่ได้

รู้ดีว่านางกำลังยั่วโทสะตัวเอง เอาเปรียบหอสรรพสิ่ง แต่เขาก็ยังเอ่ยอย่างอดสูว่า “เอาละ ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพูด”

เห็นเขาตกลง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกายขึ้นมา เอ่ยในทันทีว่า “เช่นนั้นก็ทำสัญญา หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนเสียใจย้อนหลัง!”

มีสัญญาร่วมมือ จะได้ไม่ต้องกลัวคนไม่ทำตามสัญญา!

มิเช่นนั้น อิงตามที่นางรู้จักหานฉายไฉ่ ยังคงกลัวจริงๆ ว่าเขาจะแอบทำอะไรลับหลัง คิดลอบโจมตี

สีหน้าของหานฉายไฉ่ครื้มลงเอ่ยว่า “กลับไปเมืองหลานอูเฉิง เจ้าหาเวลามาหอสรรพสิ่งร่างสัญญา”

“ใช่แล้ว ข้ารับเพียงแต่ศิลาวิญญาณเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะขายอย่างไร สุดท้ายแล้วส่วนที่เป็นของข้า ข้าต้องการแค่เพียงศิลาวิญญาณเท่านั้น” มู่ชิงเกอเพิ่มเติม หนึ่งประโยค

หานฉายไฉ่ยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะต้องการพวกเหล็ก ทองเงินเหล่านั้นงั้นหรือ?”

“แล้วก็…” เสียงของมู่ชิงเกอดังขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “ถ้าหากว่ามีคนเอาศิลาวิญญาณออกมาไม่ได้ แล้วใช้ของอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยน เจ้าจะต้องบอกข้าก่อน ให้ข้าดูแล้วถึงสามารถตัดสินใจ”

หายฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น พยักหน้าตกลง

“ยังมีอีก สถานะของข้าต้องเป็นความลับ” นางไม่อยากมีชื่อเสียง

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” หานฉายไฉ่เอ่ยตอบอย่างสบายใจ เขามองมู่ชิงเกอยิ้มๆ ไม่พูดจา รอยยิ้มนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกๆ

‘มู่ชิงเกอเอ๋ยมู่ชิงเกอ ข้าสนใจในทักษะการหลอมยาของเจ้า แต่ว่าหลังจากที่ร่วมมือกับข้าสำเร็จแล้ว เจ้าก็จะหลบข้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ข้าสามารถพบเจ้าได้อย่างถูกต้อง ใครก็ห้ามไม่ได้ ดูเหมือนว่าข้ายอมให้เจ้าเอาเปรียบ แต่เจ้าก็คงไม่รู้ว่าสามารถได้มีโอกาสติดต่อกับ เจ้านั้นถึงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุด’ หานฉายไฉ่มองมู่ชิงเกอ เอ่ยในใจ

“เจ้ามองข้าทำไม?” มู่ชิงเกอถูกหานฉายไฉ่มองจนรู้สึกขนลุก อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

นัยน์ตาของหานฉายไฉ่วาววาบ เอ่ยถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องทำเนียบชิงอิงหรือไม่?”

มู่ชิงเกอชะงัก สีหน้าดูงุนงง

‘ทำเนียบชิงอิงอะไร?’

หานฉายไฉ่เหลือบมองนางแล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ไม่รู้จริงๆ!”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ถามอย่างไม่อาย “อธิบายด้วย”

หานฉายไฉ่เคร่งขรึมขึ้น จากนั้นถึงได้เอ่ยว่า “ทำเนียบชิงอิงถือว่าเป็นทำเนียบรายชื่อของผู้กล้าในโลกแห่งยุคกลาง เป็นที่ยอมรับกันในทุกภาคในโลกแห่งยุคกลาง คนในทำเนียบนี้จะต้องมีอายุอยู่ระหว่างยี่สิบปีถึงสี่สิบปี ในทำเนียบมีรายชื่อของคนหนึ่งร้อยคน มีเพียงคนที่เข้าสู่ระดับสีเงินแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้ ทุกๆ สามปีทำเนียบชิงอิงจะจัดเรียงใหม่โดยตำหนักเทพของภาคกลางที่จะอาศัยข่าวสารต่างๆ นานา ภายในสามปีนั้นๆ”

มู่ชิงเกอเข้าใจคราวๆ แล้วว่า ‘ทำเนียบชิงอิง’ นี้หมายถึงอะไร

เพียงแต่ว่า หานฉายไฉ่มาบอกนางทำไมกัน? นางไม่ได้สนใจ แล้วก็ยังมีตำหนักเทพแห่งภาคกลางนั้นอีก เป็นองค์กรอะไร?

“ทำเนียบชิงอิงจะถูกห้อยติดไว้ในเมืองหลักของทุกภาค เป็นเกียรติที่รุ่นเยาว์ในโลกแห่งยุคกลางต้องการมากที่สุด เจ้าไปถึงเมืองจินไห่ ก็ควรจะไปทำความเข้าใจเสียหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงที่จะไปปะทะกับคนบนทำเนียบ จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย” หานฉายไฉ่เอ่ย

มู่ชิงเกอส่งเสียงลอดไรฟันออกไปประโยคหนึ่ง “หานฉายไฉ่ ปากของเจ้าก็พูดให้ดีๆ หน่อยได้หรือไม่?”

หานฉายไฉ่ขบริมฝีปาก ไม่สนคำต่อว่า เอ่ยต่อขึ้น “นอกจากทำเนียบชิงอิงแล้ว ในทุกๆ เมืองหลักก็ยังมีทำเนียบฉูเฟิ่ง ทำเนียบฉูเฟิ่งนั้นมีทุกภาค รับเฉพาะผู้กล้าที่ดูแล้วมีสิทธิ์จะเข้าไปอยู่ในทำเนียบชิงอิงได้เท่านั้น อายุระหว่างสิบห้าปีถึงสามสิบปี พลังอยู่ระดับสีเทาขั้นสามขึ้นไป ขอเพียงมีคนทะลวงสู่ระดับสีเงินได้ก็จะได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบชิงอิง แต่แน่นอนว่าอย่างแรกก็ต้องให้ทำเนียบชิงอิงนั้นมีตำแหน่งว่างลงก่อน”

ตำแหน่งว่างนี้หานฉายไฉ่ไม่ได้พูดอย่างละเอียด แต่จากเนื้อหาที่เขาพูดออกมา มู่ชิงเกอก็เดาออกว่า ตำแหน่งว่างก็คือไม่คนบนทำเนียบชิงอิงตายก็ต้องอายุเกิน กำหนด ถูกคัดออกไปจากทำเนียบ

“คนบนทำเนียบฉูเฟิ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร้ายกาจสู้คนบนทำเนียบชิงอิง แต่ก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยม ทั้งจำนวนรายชื่อก็ไม่จำกัด เพียงแค่เงื่อนไขครบก็สามารถเข้าไปได้ คิดอยากจะเพิ่มระดับชื่อก็ต้องดูที่คะแนนการรบ สามารถไปท้าประลองกับคนที่อยู่ด้านหน้ารายชื่อของเจ้า หรือไม่ก็ทำเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้คนทั้งแผ่นดินล้วนแต่รับรู้กำลังของเจ้า”

หานฉายไฉ่พูดจบแล้ว ก็มองไปทางมู่ชิงเกอ นิ่งครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เจ้า เข้ามาในโลกแห่งยุคกลางก็ต้องเข้าใจฐานกำลังในโลกแห่งยุคกลาง คิดจะเข้าใจอำนาจของตระกูลต่างๆ ก็ให้ดูที่กำลังของภาคต่างๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คือดูจากทำเนียบสอง ทำเนียบนี้”

“เจ้าพูดมาตั้งมากมาย ก็เพื่อให้ตอนที่ข้าไปเมืองจินไห่ ทำความเข้าใจกำลังของรุ่นเยาว์ในโลกแห่งยุคกลาง รู้ว่ามีใครบ้างที่ไม่อาจไปล่วงเกิน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หานฉายไฉ่พูดว่า “เจ้าสามารถเข้าใจเช่นนี้ก็ได้ ตามที่ข้ารู้มา บนทำเนียบฉูเฟิ่งของภาคตะวันตก มีผู้หญิงแซ่ซางคนหนึ่ง อายุสิบแปดปี อยู่ลำดับที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด พลังอยู่ระดับสีเทาขั้นสี่”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยกับเขาว่า “นี่เกี่ยวอะไรกับข้า?”

หานฉายไฉ่เพียงแต่หัวเราะ ไม่ได้ตอบ แต่กลับถามกลับว่า “ปีนี้เจ้าก็อายุยี่สิบสองแล้ว”

มู่ชิงเกอชะงัก ปีนี้นางอายุถึงยี่สิบสองแล้วงั้นหรือ?

“นับตามจำนวนปีก็น่าจะถึงแล้ว” หานฉายไฉ่หลุบตาคำนวณในใจ ไม่ได้สนใจไปถึงสีหน้าหมองเศร้าของมู่ชิงเกอ

‘นางมาถึงโลกนี้เป็นเวลาหกเจ็ดปีแล้วหรือ? ทุกอย่างดูเหมือนผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียว พริบตากลับผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ตอนที่มาแรกๆ ร่างกายนี้ก็เพิ่งจะสิบห้าปี…’

“มู่ชิงเกอ” เสียงของหานฉายไฉ่ทำให้นางตื่นจากภวังค์ นางเงยหน้ามองเขา เห็นนัยน์ตาของเขามีความสงสัย จึงยิ้มๆ เอ่ยว่า “อายุของผู้หญิงนั้นเป็นความลับ ไม่อาจจะเปิดเผยอย่างง่ายดายได้ เข้าใจหรือไม่?”

“เจ้าถือว่าตัวนั้นเป็นผู้หญิงแล้วงั้นหรือ?” หานฉายไฉ่กระซิบเบาๆ ไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากจะบอกเจ้าว่า อาศัยกำลังของเจ้าในตอนนี้ สามารถเข้าไปอยู่ในทำเนียบฉูเฟิ่งได้อย่างง่ายดาย ทั้งลำดับก็อยู่หน้าๆ เพียงแต่ว่า เจ้าเพิ่งจะเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางไม่นาน ยังไม่มีใครรู้จักเจ้า ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะไปภาคตะวันตกเพื่อหาคน คิดจะหาง่ายหน่อย ก็สามารถทำให้เจ้าอยู่บนทำเนียบมีชื่อเสียง ทำให้คนที่เจ้าคิดจะหาสนใจเจ้า ไม่ว่าจะห่างไกลกันแค่ไหน แต่อย่างน้อยนางก็จะคุ้นเคยกับชื่อของเจ้ามิใช่หรือ? อีกอย่างถ้าหากว่าเจ้าสามารถทะลวงสู่ระดับสีเงินได้ เข้าไปอยู่ในทำเนียบชิงอิงแล้วก็จะดีต่อการเดินทางในโลกแห่งยุคกลางของเจ้า”

มู่ชิงเกอหัวเราะ “แม้แต่ตัวข้าเองล้วนแต่ไม่มั่นใจว่าคนที่ข้าต้องการหานั้นอยู่ในโลกแห่งยุคกลางหรือไม่ แล้วเหตุใดต้องไปทำเรื่องที่ไร้สาระพวกนี้ด้วย? ทำเนียบฉูเฟิ่ง ทำเนียบชิงอิงอะไรนั้นข้าไม่สนใจ แต่ว่าทำความรู้จักเสียบ้างก็ถือว่าทำได้ อย่างน้อยก็รู้ว่ากำลังของตนเองอยู่ระดับใดในรุ่นเยาว์ของโลกแห่งยุคกลางนี้ เพื่อเตือนให้ตนเองหมั่นฝึกฝน”

พูดแล้วนางก็มองไปยังหายฉายไฉ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างขี้เล่นว่า “ใช่แล้ว เจ้าก็ทะลวงสู่ระดับสีเงินแล้ว อยู่ลำดับเท่าไหร่ในทำเนียบชิงอิงกัน?”

แต่เดิมนี่ก็เป็นคำพูดลอยๆ ไม่คิดว่าจะทำให้สีหน้าของหานฉายไฉ่ครึ้มลง นํ้าเสียงเย็นชา “ข้าก็เพิ่งกลับมาไม่นาน ในโลกแห่งยุคกลางใครจะจดจำหานฉายไฉ่แห่งตระกูลหานได้? เพียงแต่ว่าผ่านไปอีกสามเดือนก็จะถึง วันเปลี่ยนรายชื่อของทำเนียบชิงอิงแล้ว บนทำเนียบในครั้งนี้ อย่างน้อยก็มีสิบคนที่ถึงขีดจำกัดของอายุ จะต้องถูกไล่ออก ยังมีบางส่วนที่ตายไป ข้ามีความมั่นใจว่าจะสามารถเข้าไปอยู่ในทำเนียบชิงอิงได้”

พูดจบแล้ว ภายในดวงตาเรียวยาวของเขาก็มีเปลวไฟของความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้น

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วน้อยๆ จากคำพูดของหานฉายไฉ่ นางฟังออกถึงความไม่ยินยอม บางทีหานฉายไฉ่อาจจะเคยถูกกีดกันมาหลายครั้ง ดังนั้นตอนนี้ถึงได้ทยอยเอาคืนกลับมา

แน่นอน ทุกๆ คนล้วนแต่ต้องมีเหตุผลในการแข็งแกร่ง!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอ คิดถึงตัวเอง เอ่ยถามตัวเองในใจว่า ‘ตอนนี้ตนก็ถึงระดับสีเทาชั้นห้าแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะสามารถทะลวงถึงระดับสีเงินได้?’

ทำเนียบฉูเฟิ่ง ทำเนียบชิงอิง นางไม่สนใจ แต่ว่าสนใจในพลังของตัวเอง!

นางกลับไม่ได้คิดถึงว่านางที่เริ่มฝึกอย่างแท้จริงนั้น ก็อยู่ในช่วงเวลายืมร่างเปลี่ยนวิญญาณในช่วงหกเจ็ดปีนี้เท่านั้น แต่กลับขึ้นมาจากระดับพลังชั้นสีแดง ก้าวทีละก้าวขึ้นมาถึงระดับสีเทาชั้นห้า

ความสามารถเช่นนี้ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าอัจฉริยะในโลกแห่งยุคกลางบนทำเนียบชิงอิงมากเท่าไหร่!

พวกเขาเกิดขึ้นมาก็คือระดับพลังชั้นสีม่วง เริ่มฝึกฝนตั้งแต่เป็นเด็ก ตอนนี้ก็ยังเข้าถึงได้เพียงระดับสีเงินเท่านั้น หากว่าเทียบความสามารถ เทียบเวลาในการฝึกปรือ พวกเขาไม่มีใครที่จะสามารถภูมิใจได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของมู่ชิงเกอ

“ชิงเกอ” ทันใดนั้น เสียงของหยินเฉินก็ดังขึ้นมา

มู่ชิงเกอตั้งสติกลับมา หันไปมองหยินเฉินที่เดินออกมาจากในถํ้า “มีอะไรงั้นหรือ?”

หยินเฉินกวาดมองหานฉายไฉ่แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองมาทางมู่ชิงเกอ มุมปากกระตุกเอ่ยปากพูดว่า “มีเสื้อผ้าหรือไม่ หยวนหยวนอยากใส่”

“เสื้อผ้า?” มู่ชิงเกอมีสีหน้ามึนงง

บนร่างกายของหยวนหยวนก็ไม่ใช่ว่าสวมเสื้อผ้าอยู่หรือ?

“อา เรื่องนั้น เสื้อผ้านั้นตอนนี้หยวนหยวนสวมไม่ได้แล้ว” หยินเฉินอธิบาย

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาบ เข้าใจในทันที นางเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าจะบอกว่าหยวนหยวนเติบโตขึ้นแล้วใช่ไหม?”

หยินเฉินพยักหน้า

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ดี ข้าไปหาเดี๋ยวนี้แหละ” ภายในช่องว่างของนางมีเสื้อผ้าทิ้งไว้มากมาย ชุดผู้ชาย ชุดผู้หญิงล้วนแล้วแต่มี…แน่นอนว่าหยวนหยวนไม่ต้องการชุดผู้หญิง

ไม่นาน มู่ชิงเกอก็เข้าไปสู่ช่องว่าง เตรียมจะหาเสื้อผ้าให้แก่หยวนหยวน

“เจ้านาย!” เหมิงเหมิงขวางอยู่ข้างหน้าของมู่ชิงเกอ ตอนนี้ในมือของสาวน้อยมีผ้าแพรหลากสีสันม้วนหนึ่ง

“เหมิงเหมิง?” สายตาของมู่ชิงเกอตกลงไปยังผ้าที่ดูสะดุดตาในมือของนาง

“เป็นหยวนหยวนตื่นแล้วต้องการสวมเสื้อผ้าใช่หรือไม่? ข้าเตรียมไว้ให้เขาดีแล้ว เอาไปให้เขาเถอะ!” ดวงตากลมโตของเหมิงเหมิงวาววาบ ส่งผ้าหลากสีในมือให้แก่มู่ชิงเกอด้วยสีหน้าจริงจัง

อา…

มู่ชิงเกอมองเห็นผ้าหลากสีตรงหน้าของตัวเอง มุมปากกระตุก นางจ้องมองใบหน้าที่ดูบริสุทธิ์ของเหมิงเหมิง เอ่ยถามว่า “เหมิงเหมิง ข้าอยากถามเจ้ามานานแล้ว เจ้าแน่ใจนะว่า เจ้าไม่ได้คิดแกล้งหยวนหยวน?”

“ข้าบริสุทธิ์ใจขนาดนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” เหมิงเหมิงเอ่ย

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกอย่างรุนแรง นางปฏิเสธความหวังดีของเหมิงเหมิง เอ่ยโน้มน้าวอย่างอดทนว่า “เอ่อ เหมิงเหมิง ตอนนี้หยวนหยวนโตแล้ว ไม่ใช่เด็กไม่กี่ขวบแล้ว สวมเสื้อผ้าก็ต้องดูความเหมาะสม เสื้อผ้าของเจ้าเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะสวย แต่ก็ไม่เหมาะกับเขาแล้ว”

“เพราะเหตุใด? เสื้อผ้าสวยถึงขนาดนี้!” เหมิงเหมิงเอ่ยอย่างอดสู

มู่ชิงเกอยิ้มๆ “ใช่ สวยงามจริงๆ แต่ว่าไม่เหมาะสม”

พูดจบนางก็หลีกออกจากเหมิงเหมิงรีบไปหาชุดให้หยวนหยวนใส่ ในใจคิดว่า สวมอะไรก็ได้ไปก่อน รอถึงเมืองหลานอูเชิงค่อยตัดให้เขาหลายๆ ชุด มู่ชิงเกอหยิบชุดผู้ชายของตัวเองออกจากช่องว่างมาหนึ่งชุด ในใจคิดไปถึงว่า ต้องหาเวลาไปจัดการกับรสนิยมของเหมิงเหมิงเสียบ้างหรือไม่?

“นี่ เอาไปสิ” มู่ชิงเกอเอาชุดสีแดงในมือส่งให้หยินเฉิน

หยินเฉินรับมา พยักหน้า แล้วหันกายเข้าไปในถํ้า

รอมู่ชิงเกอหันกลับมา ก็มองเห็นหานฉายไฉ่มองมาอย่างพิจารณา

นางขมวดคิ้วขึ้น “มองอะไร?”

“ข้าพบว่าร่างกายของเจ้านั้นมีความลับมากมายที่ข้ายังไม่รู้” หานฉายไฉ่เอ่ยตามตรง

มู่ชิงเกอหัวเราะ “บนร่างของทุกๆ คนก็ล้วนแต่มีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ทั้งนั้น”

“เช่นนั้นเขารู้หรือไม่?” หานฉายไฉ่ถามอย่างตรงไปตรงมา

ใครที่เขาหมายถึง ในใจของมู่ชิงเกอรู้ดี

แต่ว่า นางกลับไม่ยอมตอบคำถามนี้ ไม่ใช่เพื่ออะไรเพียงแต่ไม่คิดอยากจะพิสูจน์อะไรต่อหน้าหานฉายไฉ่ ความรู้สึกของนางกับซือมั่วไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ไห้ใครเห็น หรือว่าเทียบกับใคร

หานฉายไฉ่กำลังรอคำตอบจากนาง แต่มู่ชิงเกอกลับไม่คิดจะตอบ

ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังติดขัด หยินเฉินก็ออกมาอีกครั้ง ทำลายสถานการณ์นี้ เขาเดินตรงไปข้างกายของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็มองไปทางถํ้า

ภายในถํ้า เกิดเสียงขลุกขลักดังออกมา แต่กลับมองไม่เห็นเงาคน

“เขารู้สึกอายเล็กน้อย” หยินเฉินอธิบายให้มู่ชิงเกอฟังเบาๆ ที่ข้างหู

“หยินเฉินเจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยอาย!” เพียงแต่ไม่รอให้มู่ชิงเกอเอ่ยปาก เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มก็ดังออกมาจากภายในถํ้า

ในนํ้าเสียงนี้ยังดูคล้ายกับเสียงของมู่ชิงเกอในกาลก่อนที่ฟังดูขึงขังดุดัน

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วสูงขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

หานฉายไฉ่ก็มองไปในถํ้าอย่างสนใจ

“หากว่าไม่อาย แล้วเหตุใดจึงไม่ออกมา” หยินเฉินเอ่ยตอบ

“ข้า…ข้า…ข้าเพียงแต่ไม่ค่อยชิน!” ชายหนุ่มในถํ้า ตอบกลับมา

มู่ชิงเกออดไม่ได้ ตะโกนไปเอ่ยกับหยวนหยวนว่า “หยวนหยวนออกมาเถอะ”

ในที่สุด ภายใต้คำสั่งของมู่ชิงเกอ คนที่อายมาโดยตลอด ก็ก้าวออกมาจากถํ้าขาหนึ่ง ชุดสีแดงด้านบนรองเท้าหนังก็เผยออกมามุมหนึ่ง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!