Skip to content

พลิกปฐพี 243

ตอนที่ 243

เด็กเพิ่งโต!

ชุดสีแดงที่ดูคุ้นเคยภายในถ้ำ ทำให้ผู้คนดวงตากระจ่างวาบ

สายตาของมู่ชิงเกอ หยินเฉินและหานฉายไฉ่ในตอนนี้ ล้วนแต่มองไปยังชายเสื้อสีแดงนั่น รอคอยอย่างสงบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ มีชายหนุ่มใบหน้าขาวนวลดังจันทรา โครงหน้าทรงเสน่ห์ดังมวลบุปผา คิ้วดำเฉียงคมขึ้นดังกระบี่ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากระจ่างใส ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาที่ถึงแม้เวลาโกรธก็คงจะยังงดงาม พลันปรากฏออกมาจากด้านใน

หว่างคิ้วของเขายังมีจุดสีแดงชาด จุดที่ดุจดั่งเปลวไฟนั้นก็ดูสะดุดตานัก

ชุดสีแดงของมู่ชิงเกอที่อยู่บนร่างของเขาดูไม่ด้อยเลย เพิ่มความหล่อเหล่าและความมีเสน่ห์ของชายหนุ่มเข้าไปอีก

การปรากฏตัวของเขา ดูเหมือนกับมีเปลวไฟดวงหนึ่ง สะท้อนแสงสว่างไปทั่วทั้งถํ้าชั่วขณะ

“ลูกพี่ท่านแม่!” เขาเพิ่งเดินออกมา ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายมองมายังมู่ชิงเกอ ยิ้มกว้างพุ่งเข้ามาหานาง

“หยวนหยวน?” มองแวบหนึ่งไปยังชายหนุ่มที่พุ่งตัวเข้ามาออดอ้อนออเซาะตัวเอง ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะมีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังตกตะลึงไปเล็กน้อย ถ้าหากบอกว่าแต่ก่อนหยวนหยวนเป็นเด็กน้อยหน้าจ้ำม่ำที่ทำให้คนรู้สึกเอ็นดู เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เป็นชายหนุ่มที่ดูน่าลุ่มหลงทีเดียว

“ลูกพี่ เป็นข้า!” หยวนหยวนดีใจมาก จับมือของมู่ชิงเกอ แกว่งไปแกว่งมาดุจดังเด็กน้อย

“ฮ่าๆๆๆๆๆ—–! ข้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว! ข้าโตขึ้นแล้ว!” หยวนหยวนดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปมา หลังจากเสียงร้องตื่นเต้นของเขาจบลง ก็หัวเราะแปลกๆ ขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า “เหอะ เหอะ ข้าจะไม่ต้องถูกเหมิงเหมิงแกล้งอีกต่อไปแล้ว! ข้าเป็นอิสระแล้ว!”

มู่ชิงเกอมองหยวนหยวนอย่างนึกขำพลางเผยรอยยิ้มออกมา

การเติบโตของเจ้าเด็กนี่ก็ถือว่าผ่านความลำบากมามาก ไม่มีพญาเพลิงก็ไม่สามารถเติบโตได้ ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะได้กลืนพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่แข็งแกร่งแล้ว เกรงว่าเขาคงจะไม่ได้เติบโตเป็นชายหนุ่มอายุสิบสี่ สิบห้าปีในพริบตาเช่นนี้

ในตอนที่แสดงตัวต่อหน้ามู่ชิงเกอเสร็จแล้ว หยวนหยวนก็กระโดดไปข้างกายของหยินเฉิน เอ่ยอย่างได้ใจว่า “เป็นอย่างไร ข้าหล่อใช่ไหมละ!”

หยินเฉินยิ้มเล็กน้อย มองเขาพอเป็นพิธีแวบหนึ่ง แล้วก็หลุบตาลง มาเทียบความงามกับจิ้งจอกงั้นหรือ? นี่ถือเป็นการหาความอับอายให้ตนเองโดยแท้!

ท่าทางของหยินเฉินทำให้ท่าทีที่ดูได้ใจของหยวนหยวน แข็งค้างไป เขาไม่ยอมถอดใจกระโดดไปตรงหน้าของหานฉายไฉ่ ชี้ไปที่เขาแล้วเอ่ยว่า “อย่างน้อยก็ดูดีกว่าคนเจ้าสำอางผู้นี้ก็แล้วกัน!”

“เจ้าเด็กหัวเหม็น เจ้าว่าใครเจ้าสำอาง?” ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่หรี่เล็กลง เผยท่าทีดุดันออกมา

หยวนหยวนกลับเพียงแต่มองเขาอย่างหยิ่งยโสแวบหนึ่ง สบถออกไปหนึ่งคำ

ความหมายนั้นกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน!

“เอาละ ในเมื่อทุกคนไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็สมควรกลับกันได้แล้ว” มู่ชิงเกอก้าวออกมา ขัดจังหวะสงครามที่กำลังจะปะทุ

ผู้ชายไม่กี่คนที่จะทะเลาะกันเพราะเรื่องความความงามที่นี่ นางรับไม่ได้จริงๆ!

เมื่อนางออกปากออกไป บรรยากาศภายในถํ้าก็เปลี่ยนในทันที ไม่ใช่บรรยากาศที่พร้อมจะปะทะคารมกันเช่นเดิม

หลังจากกลิ่นควันไฟของการปะทะระหว่างหยวนหยวนและหานฉายไฉ่จางหายไปแล้ว ทั้งสี่คนก็พากันออกไปจากถํ้า มุ่งไปยังเมืองหลานอูเฉิง

หยวนหยวนในครั้งนี้เติบโตแล้ว กำลังตื่นเต้น บอกว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ ไปในช่องว่าง มู่ชิงเกอจึงตามใจเขา

แต่ว่า นี่ก็ทำให้เกิดผลตามมา ก็คือเหมิงเหมิงร้องไปมาในหัวของมู่ชิงเกอไม่หยุด ‘เจ้าหยวนหยวนหัวเหม็น เจ้าหยวนหยวนสารเลว เจ้าเตี้ย! เจ้าคนไม่มีจิตใจ กล้าทิ้งเสื้อผ้าที่ข้าทำให้…อ้า อ้า อ้า…’

ตลอดเส้นทาง มู่ชิงเกอถูกก่อกวนจนปวดหัว จนอดไม่ไหว ถึงได้เอ่ยกับเหมิงเหมิงว่า ‘เอาล่ะ หยวนหยวนไม่ได้ทิ้งเสื้อผ้าที่เจ้าทำให้ รอเขาสนุกกับความแปลกใหม่พอแล้ว กลับไปช่องว่างพวกเจ้าทั้งสองคนค่อยพูดคุยกัน

เรื่องเสื้อผ้า ตอนนี้หุบปาก อย่ากวนข้า!’

เมื่อถูกมู่ชิงเกอตะคอกใส่ ในที่สุดเหมิงเหมิงก็หยุดร่ำร้อง เงียบสงบลง

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “เจ้านาย ท่านต้องรีบจัดการให้เจ้าเตี้ยนั่นเข้ามาโดยเร็วนะ! ข้าจะจัดการเขา!”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อยตอบ ‘อืม’ ไปอย่างไม่ใส่ใจ ในใจกลับเอ่ยว่า ‘เจ้าเตี้ยงั้นหรือ? ตอนนี้หยวนหยวนไม่ได้เตี้ยเลยสักนิด ดูเหมือนว่าจะสูงเท่านางแล้ว’

ภายในเมืองหลานอูเฉิง ทุกอย่างยังคงเหมือนกับก่อนจากไป ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่ในความเป็นจริง คนหลายตระกูลในเมืองหลานอูเชิง ที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้กลับย้อนกลับมาโดยไม่มีผลงาน

มู่ชิงเกอนำหยินเฉินกับหยวนหยวนกลับไปยังเรือนพักชั่วคราว จิงไห่มองเห็นหยวนหยวนที่ดูแปลกหน้าก็แปลกใจไปเล็กน้อย จากนั้นบนใบหน้าก็ฉายแววผิดปกติ

“ครูฝึก” จิงไห่เดินไปถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ คำนับทักทาย

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยกับเขาว่า “คนอื่นๆ ละ?”

“พวกเขาล้วนแต่ออกไปแล้ว มีแต่ข้าเพียงคนเดียวที่อยู่” จิงไห่ตอบตามความจริง แต่ดวงตากลับไม่หยุดมองไปยังหยวนหยวนผู้มองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น

‘เขาสวมชุดของอาจารย์’ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นัยน์ตาของจิงไห่มืดมนลงหลายส่วน

“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าฝึกต่อไปเถอะ” มู่ชิงเกอพูดจบ ก็คิดจะเข้าไปในห้อง ในเมื่อรับปากร่วมมือกับหานฉายไฉ่แล้ว นางก็ต้องอาศัยเวลาว่างหลอมยาออกมา ส่งมอบให้หานฉายไฉ่

“ครูฝึก…” อยู่ดีๆ จิงไห่ก็ร้องเรียกนาง มู่ชิงเกอหยุดเท้าหันกลับมามองเขา

เมื่อถูกดวงตาสดใสของนางจ้องมอง จิงไห่ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย สองมือของเขาที่อยู่ข้างกายค่อยๆ กำแน่น แล้วก็คลายออก พยายามข่มความหวั่นเกรงในใจถึงเอ่ยขึ้นว่า “ผู้นี้คือศิษย์น้องที่มาใหม่ใช่หรือไม่?”

มู่ชิงเกอชะงัก จากนั้นก็ค่อยตอบสนองได้ว่าที่จิงไห่พูดถึงก็คือหยวนหยวน

“ข้าเป็นอาจารย์อาเล็กของเจ้า!” ไม่รอให้มู่ชิงเกอแนะนำ หยวนหยวนก็กระโดดออกมาถึงตรงหน้าของจิงไห่ แล้วก็ชี้มือมาที่ตัวเองพลางยิ้มกว้างเอ่ยออกมาภายใต้ท่าทางที่ดูแข็งค้างไปของจิงไห่ รอยยิ้มนี้ดูเหมือนกับพระอาทิตย์ดวงน้อย ที่สามารถสาดกระจายไปยังทุกคนที่อยู่ข้างกาย กวาดเงามืดที่อยู่ลึกภายในใจ ทำให้ทั้งหัวใจสว่างสดใสขึ้นมา

“อาจารย์อาเล็ก?” จิงไห่เรียกทวนออกมาอย่างตกตะลึง เมื่อไหร่กันที่เขามีอาจารย์อาเล็กเพิ่มมาหนึ่งคน?

‘แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ศิษย์น้องมาใหม่ก็ดีมากแล้ว!’

จิงไห่คิดในใจอย่างรู้สึกผิด เขารู้ว่าตัวเองนั้นธรรมดาเกินไป ไม่โดดเด่น เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะเขาอดทนต่อความลำบากได้ พยายามได้ เขายังกลัวว่าตัวเองจะพยายามไม่พอ ทำให้มู่ชิงเกอผิดหวัง และก็กลัวที่จะมีศิษย์น้องที่โดดเด่นโผล่ออกมา แย่งเอาสายตาและความสนใจของมู่ชิงเกอไปจากตัวเขา

แต่ก่อน เขาคิดจะฝึกปรือก็เพื่อกลายผู้แข็งแกร่งที่บิดาคาดหวัง ตอนนี้เหตุผลที่เขาคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นก็เพิ่มมาหนึ่ง นั่นก็คือสามารถกลายเป็นผู้ช่วยของ อาจารย์ได้!

มีคำพูดบางคำที่เขาทำได้แต่เพียงซ่อนไว้ในใจ ไม่กล้าพูดกับใคร

เขาจะใช้ความจริงมาพิสูจน์ทุกอย่าง พิสูจน์ว่าเขาทำได้! สามารถทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายให้ได้!

“อืม ก็ถือว่าเป็นอาจารย์อาเล็กเถอะ” มู่ชิงเกอได้ยินหยวนหยวนเอ่ยแนะนำตัวเองแล้ว ก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่เมื่อคิดตาม หยวนหยวนเรียกตัวเอง ว่าลูกพี่ จิงไห่เรียกเขาว่าอาจารย์อาเล็กก็ไม่มีอะไรผิด

อีกอย่าง อิงตามสถานะของหยวนหยวน จิงไห่เรียกเขาว่าอาจารย์อาเล็กก็ไม่ขาดทุน

มู่ชิงเกอมองไปยังชายหนุ่มสองคนที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้น วันนี้จิงไห่ก็ไม่ต้องฝึกฝนแล้ว เจ้าพาอาจารย์อาเล็กของเจ้าไปเดินเล่นในเมืองเถอะ แล้วก็พาเขาไปเลือกเสื้อผ้า”

พูดจบเขาก็มองไปยังหยวนหยวน เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ห้ามก่อเรื่อง!”

หยวนหยวนพยักหน้าเอ่ยว่า “วางใจเถอะลูกพี่! ข้าจะดูแลเขาเอง!” พูดจบก็ตบๆ บ่าของจิงไห่อย่างเป็นมิตร

ท่าทางทีดูเป็นกันเองของเขานี้ทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นของจิงไห่ค่อยๆ กลายเป็นโล่งใจ

จิงไห่มองรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของหยวนหยวน และก็ยิ้มขึ้นมาตาม รู้สึกว่าอาจารย์อาเล็กผู้นี้สนิทด้วยได้ง่าย ไม่เลวเลยจริงๆ!

‘ข้างกายของอาจารย์มีแต่คนดี!’ จิงไห่สรุปในใจของตนเอง

มู่ชิงเกอใช้สายตาส่งสองหนุ่มนั้นจากไป จากนั้นก็ครุ่นคิดขึ้นมา นางยกมือขึ้นมาลูบคางของตนเองเบาๆ พึมพำเอ่ยว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าให้พวกเขาไปด้วยกัน นั้นไม่น่าไว้ใจเลย?”

“จิงไห่นั้นมีนิสัยนิ่งเงียบ ไม่ก่อเรื่องแน่นอน” หยินเฉินที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอวางมือลง นัยน์ตาดูครึ้มลงเอ่ยว่า “ปัญหาก็คือเขาเอาหยวนหยวนไม่อยู่” นิสัยชอบเล่นของหยวนหยวน นอกจากนางแล้วก็มีแต่เหมิงเหมิงที่เอาอยู่

คิดแล้ว นางก็เอ่ยว่า “หยินเฉิน เจ้าลอบตามไป อย่าให้พวกเขาก่อเรื่องได้”

นางในตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวของมู่ยี่ ไม่อาจสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกได้

หยินเฉินพยักหน้าเงียบๆ กลายร่างเป็นแสงสีเงินหายไปจากสายตาของมู่ชิงเกอ

เรือนหลังเล็กที่ดูห่างไกล เหลือเพียงแต่มู่ชิงเกอคนเดียว นางกลับไปที่ห้อง เข้าไปในช่องว่าง เพียงเข้าไปในช่องว่าง นางก็มองเห็นเหมิงเหมิงนั่งเด็ดหญ้าอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ

แผ่นหลังนั้นดูแล้วอ้างว้างมาก

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปหานาง ยืนอยู่ด้านหลังของนาง ร้องเรียกว่า “เหมิงเหมิง”

เมื่อได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ เหมิงเหมิงก็วางหญ้าในมือลง ลุกขึ้นมาจากพื้น หันกายมามองนาง “เจ้านาย…”

เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอ มุมปากของเหมิงเหมิงก็เบ้ออก ดวงตากลมโตมีความคับข้องใจ พุ่งเข้ามาหานาง

นางพุ่งเข้ามาในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ ทำจนมู่ชิงเกอชะงัก “เหมิงเหมิง เจ้าเป็นอะไรไป?”

เหมิงเหมิงกลับร้องไห้อย่างหนัก “ฮือ ฮือ ฮือ—–เจ้านาย เหมิงเหมิงน่ารังเกียจมากใช่หรือไม่! ทุกคนล้วนแต่จากไปแล้ว เหลือเพียงแต่ข้าคนเดียวที่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ แม้แต่หยวนหยวนเจ้าเด็กเตี้ยก็ไม่ยอมกลับมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว…ฮือ ฮือ ฮือ…”

ได้ยินเหมิงเหมิงร้องไห้ตัดพ้อ มู่ชิงเกอก็นิ่งงันไป นางลูบๆ ผมของเหมิงเหมิง เอ่ยปลอบว่า “เหมิงเหมิ ง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หยินเฉินกับไป๋สี่ออกไปก็เพราะ ว่าพวกเขามีภารกิจต้องทำ ส่วนหยวนหยวนก็เพิ่งจะเติบโต กำลังสนใจกับโลกภายนอก ดังนั้นถึงได้อยู่นานหน่อย รอเขาหายตื่นเต้นแล้วก็จะกลับมาเอง พวกเขา ล้วนแต่ชอบเจ้ามาก ไม่มีใครรังเกียจเจ้า”

“จริงหรือ?” เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้นมา ใช้ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยนํ้าตามองมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “ข้าเคยหลอกเจ้าด้วยงั้นหรือ?”

เหมิงเหมิงกะพริบตา ในที่สุดก็หยุดร้องไห้พยักหน้า ออกจากอ้อมอกของมู่ชิงเกอ เหมิงเหมิงเช็ดนํ้าตา

อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็คิดเอ่ยว่า “เหมิงเหมิง เจ้าไม่สามารถออกจากช่องว่างได้งั้นหรือ?”

ถ้าหากนางสามารถออกไปได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวแล้ว

พอคิดได้ว่าเหมิงเหมิงโดดเดี่ยวอยู่ในช่องว่างแห่งนี้มาเป็นพันเป็นหมื่นปีแล้ว ก็ดูอ้างว้างจริงๆ

ในตอนที่นางคุ้นเคยกับความคึกครื้นแล้วกลับมาอ้างว้างอีกครั้ง ในใจก็แน่นอนว่าต้องว้าเหว่

คำถามของมู่ชิงเกอ ทำให้ท่าทางของเหมิงเหมิงเปลี่ยนเป็นดูคับข้องใจยิ่งขึ้น นางเอ่ยว่า “ข้าแน่นอนว่าสามารถออกไปได้ แต่ว่าพลังของเจ้านายยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้ข้าออกไปได้!”

เอ่อ…

มุมปากของมู่ชิงเกอชะงักค้าง เอ่ยในใจว่า ‘ที่แท้ปัญหาก็อยู่ที่นางเอง!’

“เช่นนั้นต้องถึงระดับไหน เจ้าถึงจะสามารถเข้าออกจากช่องว่างได้อย่างอิสระ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

“เมื่อไหร่ที่ท่านสามารถพาคนเข้ามาในช่องว่างได้ เมื่อนั้นข้าก็สามารถออกไปได้!” เหมิงเหมิงเอ่ยตอบ

ระดับสีทอง!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ในใจมีคำตอบแล้ว

“ข้ารู้แล้ว ข้าจะพยายาม” มู่ชิงเกอลูบหัวของเหมิงเหมิง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องหลอมยาของนาง

เหมิงเหมิงสูดๆ จมูก มองการจากไปของมู่ชิงเกอ กะพริบๆ ตา “เหตุใดวันนี้เจ้านายจึงดูแปลกๆ? ตามปกติ ไม่ใช่ว่าเจ้านายต้องทะเลาะกับข้าสักหน่อยก่อน จากไปมิใช่หรือ?”

คิดไปมา เหมิงเหมิงก็ยังไม่เข้าใจ

นางไม่รู้ว่า ช่วงเวลานี้นั้นมู่ชิงเกอรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการพัฒนาการของตนเอง ทำเนียบฉูเฟิ่ง ทำเนียบชิงอิง ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้นางจะไม่ได้สนใจ แต่ว่าในใจของ นางกลับรู้ดีว่า หากนางคิดจะแข็งแกร่งมากขึ้น คิดจะก้าวไปข้างหน้าต่อไป คนบนทำเนียบเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นความท้าทายของนาง

นางเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเท่านั้น นางถึงจะสามารถก้าวไปสู่จุดยอดสุดได้เร็วขึ้น เดินไปถึงข้างกายของชายผู้นั้น!

เรื่องที่หานฉายไฉ่บอกนาง ทำให้นางเข้าใจได้ชัดเจนถึงระยะห่างระหว่างนางกับเหล่าผู้กล้าของโลกแห่งยุคกลางเหล่านั้น

นางอายุยี่สิบสองปี ไม่ถือว่าเด็กแล้ว!

ตอนที่เดินเข้ามาในห้องหลอมยานั้น ดวงตาของมู่ชิงเกอก็เต็มไปด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด มู่ชิงเกอก็เริ่มหลอมยา เมื่อจะทำก็ต้องทำของดี ดังนั้นการหลอมในครั้งนี้ล้วน แต่เป็นยาขั้นสมบัติ ทั้งยังมีความยากมาก ความต้องการทางตลาดสูง

ตลอดทางกลับมา หานฉายไฉ่ได้มอบบัญชีรายชื่อยาที่ขาดแคลนในโลกแห่งยุคกลางให้นางหนึ่งใบ

“ถ้าหากว่าได้ ก็จะลองทำยาชั้นเทวะดู” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง ขบริมฝีปาก ตั้งใจมากยิ่งขึ้น

นางนำแหวนจัดเก็บออกมา เอาสมุนไพรด้านในออกมา นี่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้หอสรรพสิ่งออก สมุนไพรครึ่งหนึ่ง หลังจากนำสมุนไพรเหล่านี้มาแยกประเภทแล้ว มู่ชิงเกอก็เพิ่มสมุนไพรที่ขาดลงไปบางส่วน ก่อนสุดท้ายจะเอาเสี่ยวเฮยออกมา

ใช้หม้อผลาญสวรรค์ในช่องว่างหลอมยา มู่ชิงเกอก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลใจ

ประตูห้องหลอมยาปิดสนิท ไม่นานก็มีกลิ่นหอมของยา ลอยออกมา ค่อยๆ กระจายไปทั่วทั้งช่องว่าง

“หอมจังเลย!” เหมิงเหมิงยืนบนปลายเท้า หรี่ดวงตา ยืดคอ ใบหน้าดูดื่มด่ำไปกับกลิ่นหอมของยาที่ลอยไปในอากาศ เอ่ยอย่างมึนเมา

ไม่นาน มุมปากของนางก็มีนํ้าลายไหลออกมา

“หอมเกินไปแล้ว!” เหมิงเหมิงอดไม่ไหวกลืนนํ้าลาย

นางมองไปยังห้องหลอมยาของมู่ชิงเกอ ค่อยๆ เข้าไป ใกล้อย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงฟ้าร่องขึ้น ทำให้เหมิงเหมิงหวาดกลัวจนเอามือกุมศีรษะ “เหตุใดจึงเกิดฟ้าผ่าขึ้นมาได้!”

เปรี้ยง—–!

ยังไม่ต้องให้เหมิงเหมิงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงเปรี้ยงที่ข้างหู ร่างกายของนางถูกโจมตี

เหมิงเหมิงร้อง ‘ว้าก’ ออกไป

รอนางเพ่งตามอง ก็มองเห็นของกลมๆ กลิ้งไปมาบนพื้น เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “พิรุณโอสถ!”

ชั่วขณะนั้น นางก็ยิ้มออกมา หมอบลงกับพื้น ใช้สองมือรีบหยิบยาจำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

พิรุณโอสถ เกิดจากกลิ่นอายของยา ถึงแม้ว่ายาเหล่านี้จะอยู่เพียงระดับสูง แต่สำหรับเหมิงเหมิงที่ถือเอายาเป็นขนมขบเคี้ยวเล่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เมื่อสองมือไม่พอจับ เหมิงเหมิงก็เอาเสื้อที่ทำให้หยวนหยวนออกมากางวางลงบนพื้น เก็บเอายามาวางไว้ด้านบน

ภายในช่องว่าง คนหนึ่งกำลังพัฒนาระดับการหลอมยา อีกคนกำลังเก็บยาอย่างมีความสุข

ภายในเมืองหลานอูเฉิง บนถนนอันคึกคัก มีเงาร่างที่ดึงดูดสายตาคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา

ใบหน้าที่งดงามราวภาพวาด ดวงตาอันน่าหลงใหล ชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มดุจดังดวงตะวัน กำลังเดินไปมาอย่างสนอกสนใจบนถนน มองไปที่ของบนแผงขายของไปมาไม่หยุด

ด้านหลังของเขานั้นมีชายหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าคมคาย ดูสุขุมเงียบสงบ สีหน้าดูลำบากใจ คอยเร่งเขาอยู่ตลอด “อาจารย์อาเล็ก พวกเราไปร้านขายเสื้อผ้ากันก่อนเถอะขอรับ เรื่องที่ครูฝึกมอบหมายยังไม่ทันได้สำเร็จเลย”

จิงไห่จำได้ว่ารับปากกับมู่ชิงเกอว่าจะหาเสื้อผ้าให้หยวนหยวน

ใครจะรู้ว่าอาจารย์อาเล็กผู้นี้ จะเหมือนกับม้าป่าที่ถูกปลดปล่อย ลากอย่างไรก็เอาไม่อยู่

มองไปยังสายตาของเหล่าคนรอบกายที่มองมา ก็เหมือนกับจะกลืนอาจารย์อาเล็กของเขาลงท้องเสียอย่างนั้น จิงไห่อดรู้สึกขนลุกไม่ได้

“ไม่รีบๆ เวลายังเช้าอยู่ พวกเราเดินเล่นต่ออีกหน่อย” หยวนหยวนขัดจังหวะการเร่งของจิงไห่ กวาดสายตาสนใจไปรอบกาย

แผงขายของเล็กๆ ที่น่าสนใจเหล่านี้ สามารถดึงดูดสายตาของเขาไว้ได้มากที่สุด

ในตอนที่เขามองไปเห็นแผงขายของเล่นเด็กแผงหนึ่งนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ‘ฟึ่บ’ แวบหนึ่ง วิ่งไปในทันที

จิงไห่เพียงแต่รู้สึกว่าตรงหน้าของตัวเองมีลมร้อนพัดผ่านไป จากนั้นอาจารย์อาเล็กก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เขาตกใจไปครู่หนึ่ง มองหาไปรอบกาย ในที่สุดก็มองไปเห็ เงาร่างของหยวนหยวนที่แผงขายของข้างทางแผงหนึ่ง

“เจ้าของร้าน นี่ขายอย่างไร?”

จิงไห่เพิ่งจะไปถึง ก็มองเห็นว่าในมือของหยวนหยวนถือ พิณอันหนึ่งยื่นไปให้เจ้าของร้าน

พิณอันนั้นทำออกมาได้ประณีตมาก แกะสลักได้รูปงดงาม ทั้งสองข้างมีแถบผ้าสีผูกเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เป็นของเล่นของเด็กผู้หญิง

‘เหตุใดอาจารย์อาเล็กถึงได้สนใจของเล่นของเด็กผู้หญิงได้?’ จิงไห่บ่นในใจ

“อา! นั้น..อันนั้น หากคุณชายต้องการ ก็สิบเหรียญเงินแล้วกัน” เจ้าของแผงถูกความหล่อเหลาของหยวนหยวนดึงดูด สติหลุดไปอย่างยาวนาน เมื่อได้ยินคำถามของเขาถึงได้สติขึ้นขึ้นมา เอ่ยตอบออกไป

“สิบเหรียญเงิน! ถูกขนาดนั้นเชียว!” จิงไห่ได้ยินแล้วก็ตกตะลึง พิณเช่นนี้ แม้แต่ในสถานที่เล็กๆ ของเขาก็ต้อง ใช้เงินหนึ่งตำลึงซื้อแล้ว แต่ที่นี่กลับมีราคาเพียงแค่หนึ่งในสิบ

“อืม! ข้าซื้อมัน” หยวนหยวนไม่รู้เรื่องราคา หลังจากถามราคาแล้วก็หันไปมองจิงไห่ที่อยู่ข้างกาย

จิงไห่รีบเอาสิบเหรียญเงินออกมา ส่งให้กับเจ้าของร้าน จากนั้นก็รีบลากหยวนหยวนเข้าไปในกลุ่มคน ดูเหมือนจะกลัวว่าเจ้าของร้านจะกลับคำ

“จะเดินเร็วไปทำไมกัน?” หยวนหยวนหัวเราะเอ่ยกับจิงไห่

จิงไห่ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์อาเล็ก เหตุใดท่านจึงสนใจของเล่นเด็กผู้หญิงเหล่านี้ได้?”

“นี่เพื่อมอบให้แก่เหมิงเหมิง” หยวนหยวนชั่งนํ้าหนักพิณในมือ ยิ้มๆ เอ่ยกับจึงไห่

“เหมิงเหมิง?” จึงไห่แสดงท่าทีของมาว่าชื่อนี้ไม่คุ้นเคย

“อ้า! ใช่แล้ว เจ้ายังไม่รู้จัก” หยวนหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยกับจึงไห่ว่า “ไม่เป็นไร ต่อไปก็จะรู้จักเอง”

พูดจบแล้ว เขาก็เก็บพิณไว้อย่างดี ในมือของเขามีแหวนจัดเก็บอันหนึ่งที่มู่ชิงเกอให้ไว้ แหวนจัดเก็บอันนี้ก็ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ดู เหมือนว่าจะเป็นของสินสงครามจากการปะทะบางแห่ง ซึ่งนางเองก็จำไม่ได้

“อาจารย์อาเล็ก พวกเราไปร้านขายเสื้อผ้ากันเถอะ” จิงไห่เอ่ยเร่งอีกครั้ง

ในใจของเขานั้น ภารกิจที่มู่ชิงเกอมอบให้นั้นคือที่หนึ่งเสมอ!

“เอาละ ไปร้านขายเสื้อผ้ากันก่อน” ใจแล้ว หยวนหยวนก็ไม่ได้ดื้อดึงต่อข้อเสนอของจิงไห่

ชายหนุ่มสองคน มาถึงร้านขายเสื้อผ้าในเมืองหลานอูเฉิง

เพียงแค่เข้ามา ความโดดเด่นของหยวนหยวนก็ดึงดูดสายตาของทุนคนภายในร้านขายเสื้อผ้า แม้แต่เจ้าของร้านที่กำลังรับรองลูกค้าอยู่ก็ลืมคำพูดที่กำลังพูดอยู่

มองมาทีเขา

จิงไห่ที่แต่เดิมรูปลักษณ์ก็ดูไม่ด้อย ตอนนี้เมื่ออยู่ข้างกายของหยวนหยวนก็ได้ถูกลบหายไปจนสะอาดหมดจด

“เจ้าของร้าน พวกเราต้องการซื้อเสื้อผ้า” จิงไห่เดินไปถึงตรงหน้าของเจ้าของร้านแล้วเอ่ย

“อ้า! ดีเลย คุณชายทั้งสองเชิญด้านใน เสื้อผ้าชั้นดีล้วนแต่อยู่ด้านใน” เจ้าของร้านตอบสนองกลับมา รีบทิ้งลูกค้าตรงหน้า มานำทั้งสองคนไปห้องด้านใน รอเงาร่างของพวกเขาหายไปแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ในร้าน ถึงได้เริ่มพูดคุยกันว่าเป็นคุณชายของตระกูลไหนกัน

“คุณชายน้อย ชุดผู้ชายของทางร้านอยู่ที่นี่หมดแล้ว เชิญทั้งสองท่านค่อยๆ เลือก” เจ้าของร้านเอ่ยกับทั้งสอง คนอย่างกระตือรือร้น

จิงไห่ยิ้มเอ่ยกับเขาว่า “พวกเรารู้แล้ว เจ้าของร้านเชิญต้อนรับแขกต่อเถอะ รอเลือกเสร็จแล้ว พวกเราจะเอาออกไปคิดราคา”

“ได้ขอรับ หากว่าที่ชอบขนาดไม่พอดีก็สามารถบอกให้ แก้ได้ในทันทีเลยนะขอรับ” เจ้าของร้านตอบกลับมา

“รู้แล้ว ขอบคุณเจ้าของร้าน” จิงไห่เอ่ยอย่างมีมารยาท

ส่วนหยวนหยวนในตอนนี้สายตาก็ได้จ้องมองไปยังเสื้อผ้าที่หลากหลายเหล่านั้นแล้ว

รอเจ้าของร้านเดินออกไปแล้ว จิงไห่กลับมาอยู่ข้างกายของเขา ก็ได้ยินเสียงเขาพึมพำว่า “แปลกแล้ว ชุดเหล่านี้ เหตุใดจึงดูไม่เหมือนที่เหมิงเหมิงทำเลย? แต่ว่า ทำได้ดูดีเสียยิ่งกว่าที่เหมิงเหมิงทำเสียอีก”

“อาจารย์อาเล็ก ท่านพูดว่าอะไร?” จิงไห่ไม่เข้าใจ จึงเอ่ยปากถาม

หยวนหยวนได้สติกลับมามองเขาแวบหนึ่ง ชี้มือไปที่ชุดเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “เสื้อผ้าล้วนแต่เป็นเช่นนี้งั้นหรือ?”

จิงไห่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยวนหยวนจึงถามเช่นนี้ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบตามความเป็นจริง

ได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้ว ท่าทางอันสง่างามของหยวนหยวนก็เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นหลายส่วน เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ข้าก็รู้อยู่แล้วว่านางต้องแกล้งข้า!”

“อาจารย์อาเล็กไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” จึงไห่เอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร!” หยวนหยวนตอบกลับไป เริ่มเลือกเสื้อผ้า

แต่เขาก็รู้สึกว่ารสนิยมของตนเองดูเหมือนจะถูกเหมิงเหมิงทำให้เบี่ยงเบนไปบ้างแล้ว เลือกอยู่รอบหนึ่งกลับไม่รู้ว่าจะเลือกตัวไหนดี เขาจึงหันมามองจิงไห่อย่างเคร่งขรึม ตบบ่าเขาแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวไห่ ข้าเป็นอาจารย์อาเล็กของเจ้าใช่หรือไม่?”

จึงไห่พยักหน้าอย่างมึนงง

“เช่นนั้นก็ดี อาจารย์อาเล็กมีภารกิจจะมอบให้เจ้าอย่างหนึ่ง”

ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมของหยวนหยวนทำให้จิงไห่อดไม่ได้ที่จะยืดหลังตรงขึ้น ท่าทางดูจริงจังขึ้นมา “อาจารย์อาเล็ก ท่านบอกมา! จิงไห่รับรองว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”

ในใจของเขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นี่ดูหมือนว่าจะเป็นภารกิจแรกที่เขาได้รับหลังจากที่ติดตามอาจารย์มา!

“ดี! อาจารย์อาเล็กไม่ได้ดูเจ้าผิดไป! เสี่ยวไห่ไปเลือกชุดให้ข้าสักหลายๆ ชุด! จำไว้ว่าชุดของข้าต้องงดงามน่าหลงใหลและเป็นเอกลักษณ์!” หยวนหยวนเอ่ยอย่างจริงจัง

หา?

ท่าทางของจิงไห่ดูตกตะลึง ชะงักอยู่กับที

‘นี่…นี่ถือว่าเป็นภารกิจอะไรกัน?’

เพียงแต่เห็นหยวนหยวนขมวดคิ้ว เงียบลง แล้วก็เปลี่ยนคำเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่สามารถดูดีกว่าลูกพี่ได้! ไม่สามารถแย่งความเด่นจากอาจารย์ของเจ้า! แต่ต้องอ่อนลงมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวก็พอ”

หยวนหยวน ใช้นิ้วทำเป็นช่องเล็กๆ อยู่ตรงหน้าของจิงไห่

จิงไห่ฝืนยิ้มออกมา พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้วท่านอาจารย์อาเล็ก”

“อืม ไปเถอะ!” หยวนหยวนตบๆ ไหล่ของจิงไห่ จิงไห่หันกายไปมองเสื้อผ้าเหล่านั้นในใจคิดไปถึงความ ต้องการของหยวนหยวน…

‘งดงามน่าหลงใหลและมีเอกลักษณ์ทั้งยังต้องไม่โดดเด่นไปกว่าอาจารย์’ ในทันใดนั้นจิงไห่ก็คิดขึ้นมาว่า ภารกิจนี้ก็ถือว่าเป็นภารกิจที่ลำบากทีเดียว

เขาคิดอยากจะบอกแก่หยวนหยวนมากว่า ‘อาจารย์อาเล็ก ถึงแม้ว่าท่านจะหล่อเหลาแต่หากเทียบกับอาจารย์ของข้าแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะแย่งความเด่นของเขา’

แต่ว่า เขาคิดว่าการจะพูดเช่นนั้นกับ ‘ผู้อาวุโส’ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีมารยาท ในที่สุดก็กลืนคำนี้ลงท้องไป

เลือกอย่างยาวนาน ในที่สุดจิงไห่ก็เลือกชุดสีม่วงออกมา ให้หยวนหยวนสองชุด ยังมีอีกชุดที่มีสีแดงคนละแดงกับชุดของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็เอาไปให้หยวนหยวนดู

“อาจารย์อาเล็ก ท่านดูว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ท่านชอบหรือไม่?” จิงไห่เอ่ยถาม

หยวนหยวนกวาดตามองแวบหนึ่ง สายตาตกไปอยู่ที่ชุดสีม่วงสองชุดนั้น นัยน์ตาเปล่งประกายหยิบขึ้นมา “ใช่ สีนี้ไม่เลวเลย อิงตามสีนี้ เลือกมาสักหลายๆ แบบ”

“ขอรับๆ ” จิงไห่พยักหน้า วางชุดในมือลง เริ่มเลือกเสื้อผ้าตามที่หยวนหยวนต้องการอิกครั้ง

ไม่นาน ก็ได้ชุดสีม่วงออกมาสี่ห้าแบบ ส่งไปตรงหน้าของหยวนหยวน

หยวนหยวนพยักหน้า เอ่ยกับเขาว่า “เท่านี้เถอะ!”

ในที่สุดภารกิจก็สำเร็จจิงไห่ลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ เขาพับเสื้อผ้าอย่างดีแล้วก็เอาออกไปจ่ายเงิน ก่อนที่ไม่นานจะนำเอาเสื้อผ้ากลับมา เอ่ยกับหยวนหยวนว่า “อาจารย์อาเล็ก ท่านจะลองชุดหน่อยไหม หากว่าไม่พอดีจะได้แก้ได้”

หยวนหยวนส่ายหน้าปฏิเสธ “ยุ่งยากเกินไป รอกลับไปค่อยลอง หากว่าไม่พอดี โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยจะช่วยข้าแก้เอง”

ได้ยินเขาพูดถึงโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยสองสาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายของอาจารย์แล้ว จิงไห่ก็ไม่เอ่ยรบเร้าอีก เขาเอาเสื้อผ้าส่งให้หยวนหยวน “เช่นนั้นอาจารย์อาเล็ก ก็เก็บไว้ได้เลย จ่ายเงินเสร็จหมดแล้ว”

“ขอบคุณมากเสี่ยวไห่” หยวนหยวนยิ้มอย่างร่าเริง ในระหว่างที่โบกมือ เสื้อผ้าที่อยู่ในมือของจิงไห่ก็หายไปในพริบตา

จิงไห่กะพริบตาชะงักมองไป

อุปกรณ์ช่องว่างนั้นเขาก็รู้จัก แต่ตอนที่ได้เห็นจริงๆ ก็คือหลังจากมาติดตามมู่ชิงเกอ แต่ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ทุกครั้งที่เห็นก็ล้วนแต่ทำให้ใจของเขาเกิดความตกตะลึง

“เสี่ยวไห่ ไม่ต้องอิจฉาไป เจ้าตั้งใจให้ดี ต่อไปอาจารย์ของเจ้าจะมอบให้เจ้าเอง ถ้าหากว่าไม่ให้ ข้าจะเอาให้เจ้าเอง!” หยวนหยวนจับบ่าของจิงไห่ อีกมือก็ตบหน้าอกเอ่ยรับประกัน

จิงไห่ยิ้มเอ่ยออกมาว่า “อาจารย์อาเล็ก ในตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการ”

หยวนหยวนมองเขา ยิ้มกว้างออกมา “เสี่ยวไห่ เจ้าไม่เลวเลยทีเดียว!”

ทั้งสองคนทั้งพูดทั้งหัวเราะเดินออกมาจากห้องด้านใน

ของร้านขายเสื้อผ้า ผ่านการพบปะช่วงนี้ไป ก็ทำให้ความแปลกหน้าที่ทั้งสองคนเคยมีให้กันก่อนหน้านี้ลดลงไปมาก ความแปลกหน้านี้คือหมายถึงจิงไห่ เพราะ สำหรับหยวนหยวนที่มาก็สนิทได้เลยนี้ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘แปลกหน้า’

คำว่า ‘มิตรภาพวาสนา’ ได้เกิดขึ้นแล้วภายในใจของทั้งสองคน

เป็นครั้งแรกที่หยวนหยวนพบคนที่เด็กกว่าเขา ลำดับตํ่ากว่า กำลังก็ยังไม่สู้เขา ทั้งจิงไห่ก็อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ ถึงแม้ว่าทุกๆ คนจะดีต่อเขา แต่ก็ขาดคนที่จะสามารถเล่นกับเขา พูดกับเขาได้ เป็นพรรคพวกกับเขาได้ การปรากฏตัวของหยวนหยวน สำหรับเขาแล้วก็เป็นการเติมเต็ม และก็เป็นเรื่องน่ายินดี

ส่วนสำหรับหยวนหยวนนั้น ก็เป็นคู่หูชนิดหนึ่ง

“ไปเถอะ ไปเดินเล่นต่อ” หยวนหยวนเอ่ยกับจิงไห่

“ช้าก่อน” ทันใดนั้น ก็มีเสียงที่ดูเล็กแหลมราวกับสตรีร้องเรียกคนทั้งสอง

หยวนหยวนกับจิงไห่ชะงัก เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองไปเห็นคุณชายตระกูลชั้นสูงที่รูปร่างผอมบาง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้าย ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา

ทำไมถึงบอกว่าเป็นคุณชายตระกูลชั้นสูงงั้นหรือ?

เพราะว่า เขาไม่เพียงสวมชุดที่ดูหรูหรา เครื่องประดับบนร่างกายก็งดงามลํ้าค่า ด้านหลังของเขา ยังมีผู้ชายร่างกายบึกบึนสองคนยืนอยู่ด้วย

หยวนหยวนกวาดตามองไปยังร่างของชายสองคนนั้น แวบหนึ่งนัยน์ตาก็ปรากฏแววเยียบเย็นออกมา

ชายสองคนนี้ กลับมีพลังถึงระดับสีเทาชั้นหนึ่ง แต่ว่าคนที่มีพลังเช่นนี้กลับเป็นลูกน้องของคนอื่น สามารถเห็นได้ถึงอำนาจของคนที่ขวางทางแล้ว

“พวกเจ้ามีเรื่องอะไร?” จิงไห่เอ่ยถามออกไป

คนผอมบางที่ขวางทาง แววตาดูหื่นกระหาย ดูเหมือนมีความต้องการทางเพศมากกว่าปกติปรากฏอยู่บนใบหน้า เขาจ้องมองหยวนหยวน เผยให้เห็นถึงความต้องการ เอ่ยเบาๆ ว่า “หนุ่มน้อยผู้นี้เป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่?”

หนุ่มน้อย ช่างเป็นคำเรียกที่ดูสยิวอะไรเช่นนี้!

หยวนหยวนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจไปชั่วขณะ

“ข้าเป็นคนต่างถิ่นหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” หยวนหยวนเชิดคางขึ้น เอ่ยด้วยใบหน้าที่ดูหยิ่งยโส

ไม่รู้เลยว่า ใบหน้าอันงดงามของเขา เมื่อเผยความโกรธออกมาก็ยิ่งทำให้จุดสีแดงยิ่งดึงดูดสายตา ทำให้คนมองแล้วจิตใจหวั่นไหว ชายคนที่ขวางทางไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูลุ่มหลงว่า “งดงาม งดงามจริงๆ!”

งดงาม?

กล้าใช้คำที่ดูสยิวเช่นนี้มาอธิบายลักษณะของข้า!

นัยน์ตาที่งดงามของหยวนหยวนเผยความโมโหออกมา คิดจะปล่อยเปลวไฟออกไปเผาคนตรงหน้า

“เอ๋ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นคุณชายตระกูลมู่มิใช่หรือ? เหตุใด วันนี้จึงมีเวลาว่างมาร้านเล็กๆ ของข้าน้อยได้’?” เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า เดินเข้ามาขวางระหว่างทั้งสอง

“ไสหัวไป!” แต่ว่า คุณชายมู่ที่มีตัณหามากเหลือล้น กลับใช้มือผลักเจ้าของร้านที่บังสายตาของเขาออกไป ส่งสายตามาจ้องที่หยวนหยวนต่อ

“หนุ่มน้อย เจ้าตามข้ากลับบ้านไปดื่มไปกินของอร่อยเป็นอย่างไร?” นํ้าเสียงของเขาดูเหมือนหมาป่าที่กำลังจะลักพาตัวเด็ก

“เจ้าไสหัวไป! ระวังข้าจะจัดการเจ้าจนพ่อแม่จำหน้าไม่ได้!” หยวนหยวนกัดฟัน ยกแขนขึ้นมาพร้อมต่อยตี

จิงไห่รีบห้ามเขา เอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “อาจารย์อาเล็ก ครูฝึกบอกว่าห้ามก่อเรื่อง!”

หยวนหยวนสะบัดแขนออก กำกำปั้นกวัดแกว่งไปมา ตรงหน้าของจิงไห่ เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ไม่ใช่ข้าก่อเรื่องแต่เป็นเรื่องมาหาข้า?”

จิงไห่นิ่งชะงัก ไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไร เขากลืนนํ้าลาย เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”

นัยน์ตาของหยวนหยวนเปล่งประกาย เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “สู้สิ! เจ้าจัดการเจ้าผอมนั้น สองคนด้านหลังนั้นเจ้าไม่ใช่คู่มือของพวกเขา ข้าจัดการเอง!”

พูดแล้ว เขาก็กระโจนผ่านคุณชายมู่ผู้นั้นไปต่อสู้กับชายสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาในทันที

กำปั้นที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้ชายทั้งสองตกตะลึง หมัดที่แหวกอากาศมา ทำให้ทั้งสองรู้ว่าหากถูกหมัดนี้เข้าไปคงหนักมาก ในใจลอบเอ่ยว่า ‘ไม่ดีแล้ว!’

แต่อีกฝ่ายก็ลงมือแล้ว พวกเขาก็ทำได้แต่เพียงรับมือ

ทั้งสองคนออกกระบวนท่าพร้อมกัน เป็นทิศทางเดียวกัน สอดประสานลงตัวกันอย่างร้ายกาจ ดูจากกระบวนท่านี้

หยวนหยวนก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งสองคนนี้ถึงได้ร่วมมือกันเป็นผู้คุ้มกันให้กับผู้คน

ฝั่งทางหยวนหยวนลงมือแล้ว จิงไห่ก็ไม่รู้สึกไม่ดีหากจะยืนอยู่เฉยๆ เพียงแต่ต้องเดินไปข้างหน้าของคุณชายมู่ที่ดูเลวร้ายผู้นั้น แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ขอโทษด้วย!” พูดแล้ว ก็ชกไปที่ดวงตาของเขาโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว

“อ๊ากก!” คุณชายมู่กุมดวงตาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มองจิงไห่อย่างดุร้ายเอ่ยว่า “เจ้าคนชั้นต่ำถึงกลับกล้าตีข้า!”

จิงไห่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ลงมืออีกครั้ง

ในเมื่ออาจารย์อาเล็กบอกว่าลงมือ เขาก็ไม่สามารถฝืนคำสั่งของสำนักได้!

คุณชายมู่นี้ เดิมก็ถูกเหล้ากัดกร่อนร่างกายไปมากแล้ว ทั้งยังละเลยการฝึกฝน ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับสีม่วงชั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีได้เลย

หมัดของจิงไห่ไม่ใช่สิ่งที่คุณชายตระกูลชั้นสูงเนื้ออ่อนจะเทียบได้ เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ถูกตีจนคุณชายมู่ร้องเจ็บปวด ‘โอ้ย โอ้ย’ ออกมา หนีหางจุกตูด

พื้นที่ในร้านขายเสื้อผ้าเล็กเกินไป ไม่สะดวก หยวนหยวนก็เลยพาชายสองคนมายังถนนด้านนอกแล้วตั้งแต่เริ่มปะทะ

ร่างกายของเขาไหลพลิ้วไปมาระหว่างทั้งสองร่าง ดูลื่นเหมือนปลาไหล

เล่นกับทั้งสองคนไปมาไม่หยุด จัดการจนผู้คุ้มกันทั้งสอง มึนงง ถูกชนเข้าหากันอยู่เรื่อยๆ

“สนุกมากๆ!” หยวนหยวนยิ่งตียิ่งสนุก หมัดเดียวชกเข้าไปยังจมูกของคนหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็เกิดเลือดสาดกระเซ็นออกมา พร้อมกันนั้นก็ล้มลงไปหนึ่งร่าง ก่อนที่ขาจะยื่นออกไป เตะอีกคนให้ล้มลงกองกับพื้น นั่งบนร่างกายของเขา กดเขาจนส่งเสียงร้องของความเจ็บปวดออกมา

จิงไห่กับหยวนหยวนเล่นกันอย่างสนุกสนาน คนที่มุงดูก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่คุณชายแซ่มู่คนนั่นถูกจิงไห่ชกหมัดเดียวกองลงไป ปีนขึ้นมาไม่ได้นั้น เขาก็ได้สติขึ้นมา มองไปรอบกาย พอเห็นมีคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบพุ่งเข้าไปลากเอาหยวนหยวนที่กำลังสนุกวิ่งออกไป

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ข้ายังจัดการไม่หนำใจเลยนะ!” หยวนหยวนเอ่ยขัดขืนออกมา

จิงไห่กลับกัดฟัน ลากหยวนหยวนไปไกลจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนหันมองรอบด้าน เข้าไปในซอยหนึ่งที่ไม่มีคนแล้ว ถึงได้หยุดวิ่ง พิงผนังพักหายใจ

วิ่งอย่างดุเดือด ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคน เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

รอพวกเขาหายใจเต็มปอดแล้ว ถึงได้สบตากัน ชะงัก จากนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

เสียงหัวเราะอย่างสบายใจ ดังขึ้นในซอยเล็กๆ กระจายก้องไปยังท้องฟ้า

ส่วนหลังจากพวกเขาจากไปแล้วนั้น ภายในร้านขายเสื้อผ้าเจ้าของร้านก็เอาแต่บ่นไปมา เขารีบวิ่งออกไป พยุงคุณชายมู่ที่ถูกตีจนจมูกชํ้าเขียวขึ้นมาจากพื้น ดูแลอย่างระมัดระวัง

คุณชายมู่ถูกตีจนหูตาเลอะเลือน ปากบ่นด่า

ผู้คุ้มกันสองคนของเขานั้น ก็ทุลักทุเลพากันเข้ามา เมื่อมองเห็นสภาพของเจ้านายของตนเอง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด

“พวกเจ้าทั้งสองช่างไร้ประโยชน์จริงๆ! ต้องการพวกเจ้าไว้เพื่ออะไร? ไม่เพียงแต่ทำให้ข้าโดนตี ยังทำให้คนหนีไปได้อีก! พาข้ากลับจวนไปรักษาบาดแผล ให้คนในจวนออกมาจับหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับไปให้ข้า ยังมีอีก ร้านนี้ก็เผาซะ!” คุณชายมู่ด่าว่าออกมา

ได้ยินว่าจะเผาร้าน สีหน้าของเจ้าของร้านก็เหมือนกับขี้เถ้ารีบคุกเข่าขอร้อง

แต่ว่า กลับถูกคุณชายมู่ถีบออกมาอย่างรุนแรง แล้วก็จากไป

คุณชายมู่จากไปแล้ว แต่ว่าหัวใจของเจ้าของร้านก็ดุจดังขี้เถ้า ลูกค้าในร้านก็ได้วิ่งหนีออกไปไม่เห็นแม้แต่เงานา แล้ว มองเห็นแต่ร่องรอยความเสียหาย หัวใจเขาดุจดังหยดเป็นเลือด

“คุณชายมู่คนนั้นเป็นใครกัน?” ทันใดนั้น ก็มีเสียงอันน่าฟังของผู้ชายดังขี้นที่ข้างหู

ดวงตาของเจ้าของร้านดูสติหลุด ตอบอย่างมึนงงว่า “เป็นคุณชายน้อยของตระกูลมู่แห่งเมืองหลานอูเฉิง มู่หง เป็นคนเผด็จการ ชอบรังแกคนในเมืองเป็นประจำ ไม่เพียงแต่ชอบผู้หญิง แต่ยังชอบผู้ชายด้วย มีชายหนุ่ม หญิงสาวจำนวนมากภายในเมืองที่ต้องทุกข์ทรมาน เรื่องเผาบ้านล้างตระกูลก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรก”

หลังจากเขาตอบแล้ว เสียงที่ทำให้คนสติหลุดก็ไม่ได้ปรากฏออกมาอีก เขาชะงักเล็กน้อย แยกไม่ออกว่าเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริงหรือว่าภาพลวงตา

ตอนนี้ผู้คุ้มกันสองคนก็กำลังแบกคุณชายมู่รีบเดินทางกลับไปยังจวนตระกูลมู่ ระหว่างทางคุณชายมู่ผู้นั้นก็เอาแต่ร้องอย่างเจ็บปวดออกมาไม่หยุด

“เหอะ หากกลับไปถึงก็ส่งคนกลับมาเผาร้านนั้นซะ! ยังมีอีกวันนี้จะต้องจับหนุ่มน้อยผู้นั้นส่งมาที่ห้องของข้าให้ได้!” มู่หงเอ่ย

แต่อยู่ๆ ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทั้งสามคน ทำให้ทั้งสามคนชะงักอยู่กับที่ ท่าทางเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ

เสียงที่ดูน่าฟังและน่าลุ่มหลงสายหนึ่งดังขึ้นมาข้างหูของพวกเขา “ไม่มีหนุ่มน้อย ไม่มีร้านขายเสื้อผ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บาดแผลบนร่างกายของพวกเจ้า เป็นเพราะถูกกับดักของศัตรู”

เสียงนี้ลอยหายไป ทั้งสามคนพึมพำประโยคนี้อีกครั้ง

สายลมพัดผ่านมา ทั้งสามคนรู้สึกหนาวเย็นขึ้น ตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตา

ทันใดนั้น มู่หงที่จมูกเขียวก็เอ่ยด้วยใบหน้าที่ดูบ้าคลั่งว่า “น่าเจ็บใจนัก! ซวยตกเข้าไปในกับดักที่เจ้าสารเลวพวกนั้นวางเอาไว้จัดการกับข้าเสียได้! รอข้าก่อนเถอะ หนี้แค้นในครั้งนี้ข้าจะต้องสะสางอย่างแน่นอน!”

ปากที่ขยับพูดทำให้บาดแผลตรงปากของเขาสะเทือน ทำเอาเขาต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “ซี้ด—–”

ภายในช่องว่าง เหมิงเหมิงยังคงสนุกอยู่กับการเก็บยาบนพื้น

ทันใดนั้น ภายในห้องหลอมยาก็เกิดเสียงดังออกมา ทำให้นางตกใจ นางยืนขึ้นมา มองไปทางห้องยา กะพริบตาเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงยังไม่ทันหลุดออกไป กลิ่นหอมเข้มชันที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ลอยออกมาจากห้องหลอมยา กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าของช่องว่างจนเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง เหมิงเหมิงมองไปบนท้องพำอย่างตกตะลึง พึมพำเอ่ยว่า “เจ้านายหลอมยาระดับเทวะออกมาได้แล้ว! แต่ช่องว่างยังไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงแสดงพลังออกมาได้ไม่ถึงที่สุด!”

ทันใดนั้น พลังที่ยิ่งใหญ่ก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง รวมตัวกันไปยังยอดของห้องหลอมยา ดูเหมือนกับมีชั้นเมฆสีทองโอบล้อมห้องหลอมยาเอาไว้ตรงกลาง

“เจ้านายจะเลื่อนระดับแล้ว!” เหมิงเหมิงมองเห็นชั้นเมฆสีทอง ก็เบิกดวงตาจ้องมองอย่างตกตะลึง

ภายในห้องหลอมยา มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิ ดวงตาปิดสนิท

ตรงหน้าของนาง บนหม้อผลาญสวรรค์มียาสีทองเม็ดหนึ่งลอยอยู่ หมุนตัวดูดซับเอาตัวยาสุดท้ายจากหม้อผลาญสวรรค์

ส่วนบนหัวของมู่ชิงเกอ ก็เกิดพลังจิตกระจายออกไปเป็นรูปนํ้าวน เชื่อมต่อกับกระแสพลังของนาง

อีกด้านหนึ่ง พลังจิตที่รวมตัวกันอย่างต่อเนื่องเป็นเมฆสีทองด้านบนห้องหลอมยาก็ไหลบ่าเข้าไปในร่างกายของมู่ชิงเกอ

ตอนนี้ ภายในร่างกายของมู่ชิงเกอก็เกิดความเปลี่ยนแปลง จุดตันเถียนมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ พลังจิตสีเทา เหล่านั้นที่ถูกพลังจิตสีทองไหลวนเข้าไป ค่อยๆ เปลี่ยน เป็นสีขาวขึ้นอย่างช้าๆ สีค่อยๆ เข้าใกล้สีเงิน แต่ก็ไม่เงินเสียทีเดียว ดูเหมือนอยู่ระหว่างสีขาวและสีเงินที่มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสีเงินอยู่รางๆ

ทันใดนั้น พลังสายหนึ่งก็บุกทะลวงเข้ามาบีบอัดพลังจิตในร่างให้อยู่ในสีขาวอมเทาอ่อนๆ…

ครืน ครืน ครืน—–!

ภายในร่างกายของมู่ชิงเกอดูดุจดั่งฟ้าผ่า พลังจิตที่เลื่อนระดับโคจรผ่านร่างกายของนางทุกๆ ส่วน กระดูก กล้ามเนื้อ หัวใจ ชีพจร จนถึงผิว

ภายในหัวของนางเกิดภาพร่างคนตัวเล็กๆ สีทองเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง

นางดูเหมือนว่าจะสติล่องลอย เริ่มเรียนรู้ฝึกท่าร่างไปกับคนตัวเล็ก บีบอัดตันเถียน ระเบิดทะเลแห่งพลัง เคลื่อนไหวพลังอย่างฝืนกฎเกณฑ์ใช้พลังทั้งหมดผลัดเปลี่ยนร่างกาย

ร่างกายของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง

จากนั้นในช่วงเวลานี้เอง ร่างกายของนางก็เริ่มพองขึ้นเหมือนลูกโป่งที่เต็มไปด้วยอากาศ เมื่อถึงขีดสุดแล้วก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง!

บึ้ม—–!

มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง หน้าผากของนางเติมไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้สึกตัว

หัวใจของนางเต้นอย่างรุนแรง แผ่นหลังเปียกชื้น

“ฝันนั้นอีกแล้ว!” นางพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดประโยคหนึ่ง

เมื่อจัดการลมหายใจและทำให้พลังจิตในร่างกายสงบลงแล้ว จากนั้นนางก็มองมือของตนเอง ที่ฝ่ามือมองเห็นพลังจิตสีขาวอมเทา “ระดับพลังสีเทาชั้นหก”

เมื่อครู่นาง สามารถข้ามผ่านขีดจำกัดทะลวงไปสู่ระดับสีเงินได้ แต่ว่าในท้ายที่สุดก็ยังคงถูกนางบีบอัดเอาไว้ให้พลังสมดุลอยู่ในระดับสีเทาชั้นหก

นางเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นยาที่อยู่บนวังนํ้าวนเหนือหม้อผลาญสวรรค์ยื่นมือออกไป ยาก็ลอยเข้ามาสู่มือของนางเอง ดุจดังมีชีวิต

“นี่ก็คือยาระดับเทวะงั้นหรือ?” นางมองยาในมือแล้วพูดออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!