ตอนที่ 246
ข้าไม่ต้องการไหล่ของผู้อื่น
หมอกควันจางๆ เคลื่อนคล้อยลอยไปทางเหมืองศิลาวิญญาณ เลือนรางไปกับความมืดมิดมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ
เสวี่ยหยามองการกระทำของมู่ชิงเกอด้วยความประหลาดใจแกมสงสัยอยู่บ้าง เอ่ยถามขึ้นว่า“นายน้อย นี่คือ…”
มู่ชิงเกอหันกลับมามองนาง หัวเราะนิ่งๆ “ยังจำได้หรือไม่ว่าพวกเราเอาชนะฉวีอวี้ได้อย่างไร? แค่ใช่วิธีการเดิมก็เท่านั้นเอง”
ใช้ควันยาสลบ ลดเกราะป้องกันของเวรยามที่เฝ้าระวังบนเหมือง จากนั้นให้หยินเฉินสร้างภาพมายากล่อมคนทั้งหมด
เมื่อเอ่ยถึงฉวีอวี้ เสวี่ยหยาก็เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ
นางพยักหน้า ก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว
ผ่านไปชั่วครู่ หลังจากรอให้เครื่องหอมบนพื้นเผาไหม้หมดแล้ว มู่ชิงเกอก็มองไปที่หยินเฉิน
หยินเฉินพยักหน้ารับ หางทั้งเก้าด้านหลังสะบัดมากยิ่งขึ้น ราวกับกำลังถักทออะไรสักอย่าง เศษเสี้ยวแสงสีเงินจางๆ ออกมาจากหางจิ้งจอกของเขา ประหนึ่งหิ่งห้อย กระเพื่อมไปยังเหมืองอย่างไรอย่างนั้น
ภาพนี้ช่างงดงามเสียเหลือเกิน มู่ชิงเกอแหงนหน้ามอง ‘แสงกะพริบ’ นับไม่ถ้วนเหล่านั้น แล้วในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ‘ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งที่ภายนอกแลงดงามนี้จะซ่อนแผนการแยบยลเอาไว้?’
“เรียบร้อยแล้ว” หลังจากที่ ‘แสงกะพริบ’ จุดสุดท้ายเลือนลับไป หยินเฉินก็เก็บหางเอ่ยบอกกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันไปเอ่ยกับเสวี่ยหยาว่า “ที่นี่มอบให้เจ้าจัดการ”
เสวี่ยหยาพยักหน้าขึงขัง “นายน้อยวางใจ เสวี่ยหยาไม่มีทางทำให้ท่านผิดหวัง”
เสวี่ยหยาอยู่ที่เดิม ป้องกันคนที่จะโผล่มาที่นี่อย่างกะทันหัน ส่วนมู่ชิงเกอก็เดินนำหยินเฉินและหยวนหยวนเข้าไปในเหมืองอย่างผ่าเผย เมื่อผ่านเวรยามที่ยืนเวร และเดินตระเวน คล้ายกับว่าพวกเขาเหล่านั้นมองไม่เห็นทั้งสามคนก็ไม่ปาน ปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปโดยไม่มีการขัดขวางแม้แต่น้อย
เสวี่ยหยาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลออกไป เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาด้วยความตะลึง นางย่อมต้องตะลึงอยู่ในใจ เรื่องที่เดิมทีนั้นแสนอันตราย กลับถูกนายน้อยคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ จนกลายเป็นราบรื่นไปเสียอย่างนั้น ลดระดับความอันตรายลง
“นายน้อยสติปัญญาเฉียบแหลมราวเทพเซียนไม่ใช่คนระดับเราจะเทียบได้” เสวี่ยหยาเอ่ยพึมพำ
เดินทางมาถึงปากเหมืองตลอดเส้นทางราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง มู่ชิงเกอก็มองเห็นห้องที่สร้างขึ้นจากท่อนไม้สามหลังที่เสวี่ยหยาบอกว่าใช้สำหรับเฝ้าปากทางเข้า แสงตะเกียงด้านในส่องสว่าง เห็นเงาคนปรากฏบนหน้าต่าง
“ชิงเกอ ให้ข้าไป…” หยินเฉินทำท่าเอามือปาดคอตนเองเป็นการ ‘เชือด’
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “อย่าทำให้ผู้คนแตกตื่น ฆ่าคนไม่ใช่เป้าหมายของเรา เป้าหมายของพวกเราคือขโมยสายแร่”
พูดจบนางก็เอ่ยกับหยินเฉินและหยวนหยวนว่า “พวกเจ้าสองคนเฝ้าที่นี่ไว้แล้วกัน สังเกตอาการของพวกเขา อย่าให้พวกเขาคืนสติจากภาพมายา หากมีคนได้สติ จำ เอาไว้ว่าก่อนหน้าที่เขาจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา ฆ่าทิ้งซะ”
คำว่า ‘ฆ่า’ นี้ มู่ชิงเกอเอ่ยบอกหยวนหยวน
ท่ามกลางแววตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอปรากฎไอสังหารขึ้นมาแวบหนึ่ง ทำให้หยวนหยวนเองก็เก็บอาการเล่นสนุกลง ปฏิบัติหน้าที่คืนนี้ด้วยความตั้งใจ
มองดูคนทั้งสองแวบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เดินเข้าไปในเหมืองเพียงลำพัง
ภายในถํ้านั้นมืดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือ
นางดีดนิ้วขึ้นทีหนึ่ง ลูกไฟขนาดเล็กก็เปล่งแสงออกมาจากปลายนิ้วของนาง แม้ว่าลูกไฟจะมีขนาดเล็ก แต่แสงไฟเจิดจ้ามีพลัง
นี่คือแสงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด เพียงแค่เปลวเล็กๆ เปลวเดียวก็เพียงพอให้ส่องสว่างไปทั่วทั้งถํ้า!
อาศัยแสงไฟ มู่ชิงเกอก็ยํ่าลงไปบนพื้นที่ขรุขระไม่สมํ่าเสมอ ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน
‘เหมิงเหมิง เจ้าเคยบอกว่าสามารถเอาสายแร่ทั้งสายไปได้ ทำอย่างไรหรือ? การเคลื่อนไหวใหญ่มากหรือไม่?’ มู่ชิงเกอเอ่ยถามอยู่ในใจ
เสียงของเหมิงเหมิงก็ตอบกลับมาทันที “เจ้านาย จะขุดเอาสายแร่ไปทั้งสายย่อมต้องมีเสียงการเคลื่อนไหวแน่นอน อืม…ก็เหมือนกับแผ่นดินไหวนั่นแหละ แต่ว่าก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ขุดมันไปแล้วก็จะไม่มีเรื่องอะไรอีก”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ‘แผ่นดินไหว? การเคลื่อนไหวนี้ไม่เล็กเลย เกรงว่าจะไปปลุกผู้คนด้านนอกตื่นขึ้นมา’
‘นี่ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงเร่งมือเร็วขึ้น’ เหมิงเหมิงกล่าว
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ
อันที่จริงแล้วคิดต้องการวิธีที่สมบูรณ์แบบมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็จำเป็นต้องเสี่ยง ตอนนี้ในเมื่อเข้ามาแล้วย่อมต้องนำสายแร่ไปให้ได้ส่วนเรื่องจะ ปปลุกผู้คนด้านนอก ให้ตื่นขึ้นมาจากภาพมายาหรือไม่ ก็อยู่ที่ความสามารถของหยินเฉินแล้ว
‘เหมิงเหมิง เตรียมสอดประสานให้ดี ต้องสำเร็จในครั้งเดียว’ มู่ชิงเกอเอ่ยกับเหมิงเหมิง
นางตัดสินใจไว้แล้ว หากไม่สามารถสำเร็จในครั้งเดียวได้ นางก็จะล่าถอยทันที จะไม่ยอมให้เหมืองศิลาวิญญาณแห่งหนึ่งมาทำให้เหล่าพวกพ้องของนางต้อง
ตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด
‘ทราบแล้ว เจ้านาย!’ เหมิงเหมิงเอ่ยตอบ
‘แล้วพวกเราต้องทำสิ่งใดต่อ?’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เหมิงเหมิงตอบว่า “เจ้านายต้องตามหาสายแร่หลักให้
พบก่อน”
“สายแร่หลัก?” มู่ชิงเกองุนงงระคนสงสัย
เหมิงเหมิงอธิบายว่า “สายแร่ใดก็ตามล้วนมีสายหลัก จากนั้นคือสายย่อย พวกเราต้องการจะนำสายแร่ไปทั้งสาย ก็จะต้องหาสายหลักให้พบ จากนั้นก็ดูดกลืนสาย หลักไป ส่วนที่เหลือก็จะถูกดูดตามไปด้วย”
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “จะตามหาสายหลักเจอได้อย่างไร?”
เหมิงเหมิงเอ่ยขึ้นว่า “เดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ สถานที่ซึ่งสัมผัสได้ถึงพลังจิตที่แข็งแกร่งที่สุด รวมตัวกันมากที่สุด”
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ในถํ้ามีอุโมงค์ทอดลึก บนผนังด้านในของอุโมงค์มีผลึกทอแสงเปล่งประกาย กระจายตัวอยู่เป็นช่วงๆ อย่างหนาแน่น
“ศิลาวิญญาณเหล่านี้…”
‘เจ้านาย ท่านช่วยตั้งใจหาหน่อยได้หรือไม่? ศิลาวิญญาณกระจายตัวเหล่านี้เป็นการมีอยู่ของสายแร่ที่แย่ที่สุด มิใช่ว่าท่านอยากได้ด้วยหรอกนะ’ เหมิงเหมิงเอ่ย ขัดคำพูดรำพึงรำพันกับตนเองของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเอามือลูบจมูกอย่างเลียมิได้นางมีความคิดเช่นนี้จริงๆ
แต่ว่า เวลาไม่เอื้ออำนวยก็เท่านั้น เดินตามอุโมงค์ที่ทอดตัวลึกเข้าไปในถํ้า มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นขึ้น “พลังจิตที่แข็งแกร่ง!”
‘แน่นอนอยู่แล้ว สายแร่ศิลาวิญญาณขั้นกลางทั้งสาย ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น’ เหมิงเหมิงกล่าว
‘หาสายหลักเจอหรือยัง?’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เหมิงเหมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เดินเข้าไปอีก”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ เดินเข้าไปลึกขึ้นผ่านไปสักพัก นางก็หยุดเท้า
‘เจ้านายเดินไปข้างหน้าต่อสิ!’ เหมิงเหมิงเอ่ยเร่ง
มู่ชิงเกอจ้องไปยังชั้นดินด้านหน้า ‘ทางตันแล้ว’
‘ทางตัน? ไม่น่านะ ข้ารู้สึกว่าด้านในยังมีทางอีกช่วงหนึ่งถึงจะถูก’ เหมิงเหมิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยคาดเดาว่า “บางทีอาจเป็นเพราะยังตกลงกันไม่ได้ว่าสิทธิ์ครอบครองเป็นของใคร จึงไม่ได้ขุดต่อไป”
‘ไม่ถูก ไม่ถูก ข้าสัมผัสได้ว่าข้างหน้านี้ว่างเปล่า’ เหมิงเหมิงเอ่ยขัด
“ว่างเปล่า?” ครั้งนี้ถึงคราวที่มู่ชิงเกอต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจบ้างแล้ว
เบื้องหน้านางเป็นกำแพงขวางอยู่ชัดๆ
“เจ้านาย ท่านลองดูสิว่าสามารถพังกำแพงนี้ได้หรือไม่” เหมิงเหมิงเสนอแนะ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่นขึ้น เอ่ยถามขึ้นหนึ่งประโยค “เจ้าแน่ใจ?”
“แน่ใจ!” เหมิงเหมิงตอบยืนยัน
มู่ชิงเกอเม้มปากแน่น ยกมือขึ้นแบมือทาบลงบนกำแพงดินนั่น นางหลับตาลงทั้งสองข้าง ใช้ปลายนิ้วสัมผัสถึงกำแพงดิน
ทันใดนั้นเองนางก็ลืมตาขึ้นฉับพลันในแววตามีความแปลกใจ ‘ว่างเปล่าจริงด้วย!’
ตอนที่นางออกแรงสัมผัสได้ถึงความคลายตัวของชั้นดิน นี่หมายความว่า ชั้นดินนี้ เพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่แรก
การค้นพบนี้ทำให้ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอเป็นประกาย
นางออกแรงที่ฝ่ามือผลักเข้าไปทันที ชั้นดินที่ขวางอยู่ตรงหน้านางก็พังทลายลงมากองกับพื้น ด้านหลังของชั้นดินเผยให้เห็นอุโมงค์ที่ทอดลึกเข้าไปอีก มีกลิ่นอายพลังจิตวิญญาณลอยออกมาจากด้านใน
แววตามู่ชิงเกอเปล่งประกายความยินดี เร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปด้านใน
ทว่า นางรู้สึกสงสัยอยู่ในใจว่าใครกันเป็นผู้สร่างกำแพงดินนี้เพื่อขวางทางเดิน?
ฝีเท้าของมู่ชิงเกอเร่งรีบขึ้นมาก มุ่งตรงไปยังสถานที่ซึ่งพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่ง
‘ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว!’ นํ้าเสียงของเหมิงเหมิงก็ทวีความตื่นเต้น
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ชะงักฝีเท้าหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในตานางฉายแววสงสัย จ้องมองไปยังบางสิ่งบางอย่างที่นอนหลับสนิทขดตัวเป็นก้อนด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป “นี่คืออะไร?”
‘อะไรหรือเจ้านาย?’ เหมิงเหมิงเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงขรึม “ข้างหน้ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัว”
“สัตว์ประหลาด?ในถํ้าจะมีสัตว์ประหลาดได้อย่างไรกัน? ลักษณะเป็นเช่นใดหรือ?” เหมิงเหมิงถาม
ลูกไฟในมือของมู่ชิงเกอเยื้องไปด้านหน้าเล็กน้อย
แสงไฟส่องสว่างไปทางผนังถํ้า ร่างกายเปล่งแสงทอประกายไปทั่วทั้งร่างภายใต้แสงไฟ บนร่างกายไม่มีผิวหนังหรือขน มีเพียงผลึกแข็งๆ หนึ่งชั้น ปากเรียวแหลมและยาว รู้สึกได้ถึงความคม ส่วนหางก็ขมวดแน่นเป็นชั้นๆ อยู่บนร่างกาย ลักษณะของมันคล้ายกับตัวนิ่ม แต่ก็ไม่ใช่
สรุปคือเป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อยชนิดหนึ่งซึ่งมู่ชิงเกอไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
เมื่อบรรยายลักษณะภายนอกของสัตว์ประหลาดตัวน้อย
มู่ชิงเกอก็รอให้เหมิงเหมิงขจัดข้อสงสัย
กระนั้น เหมิงเหมิงกลับนิ่งเงียบไป
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วทักถาม “เหมิงเหมิง?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหมิงเหมิงจึงได้เอ่ยพร้อมเสียงถอนหายใจ ‘เฮ้อ เจ้านาย ตัวเหมิงเหมิงน้อยนี่ไม่เลื่อมใสในวาสนาของท่านไม่ได้จริงๆ!’
‘หมายความว่าอย่างไร?’ มู่ชิงเกองุนงง
เหมิงเหมิงถอนหายใจ เอ่ยเสริมขึ้นว่า ‘หากท่านบรรยายไม่ผิด เช่นนั้นสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่ท่านเห็นก็คือ สัตว์อสูรจอมตะกละตัวหนึ่ง’
‘สัตว์อสูรจอมตะกละ? สิ่งใดกัน?’ มู่ชิงเกอค้นหาในห้วงนึกคิดอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีความทรงจำใด
เหมิงเหมิงกระแอม เริ่มต้นให้ข้อมูล ‘สัตว์อสูรจอมกิน คือสัตว์อสูรที่มีพันธะเกี่ยวพันกับศิลาวิญญาณชนิดหนึ่ง จะปรากฏตัวในสายแร่ของศิลาวิญญาณระดับสูงสุด อีกอย่างอัตราที่พบก็มีตํ่ามาก กล่าวได้ว่าสายแร่ระดับสูงสุดในสิบสายไม่แน่ว่าจะพบเจอสักตัวหนึ่ง สัตว์อสูรจอมตะกละนี้อาศัยการหาสายแร่ศิลาวิญญาณ กินศิลาวิญญาณประทังชีวิต หลังจากฟื้นได้สติมันก็จะกินสายแร่ศิลาวิญญาณระดับสูงสุดที่สัมผัสถึงได้ก่อน จากนั้นก็จะตามหาสายแร่ศิลาวิญญาณไปทั่วสารทิศ พอหาเจอก็กิน ไม่ว่าจะเป็นสายแร่ศิลาวิญญาณขั้นตํ่า กลาง สูง หรือสูงสุด มันก็รับไว้หมดไม่ปฏิเสธ’
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กข้างหน้านี้จะกินเก่งเพียงนี้! กินศิลาวิญญาณไปมากมายเพียงนั้น มันย่อยไหวหรือ?
ทว่า นางก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเหมิงเหมิงอยู่ดี มุมปากนางกระตุก เอ่ยถามขึ้นว่า ‘ข้าเจอเจ้าตัวนี้ที่นี่เจ้ายังว่าข้าโชคดีอีก?’
มองดูสัตว์อสูรจอมตะกละที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราเบื้องหน้า ท้องกลมๆ กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เห็นได้ชัดว่ากินอิ่มแล้วก็นอน เกรงว่าสายแร่สายนี้ที่นางปรารถนาจะถูกมันกินไปไม่น้อยแล้ว
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เข้าใจได้ในทันที
เกรงว่ากำแพงดินที่กีดขวางเส้นทางก่อนนี้เป็นสัตว์อสูรจอมกินสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้อื่นมารบกวนเวลาเพลิดเพลินในการกินและการนอนหลับ
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ตระหนักขึ้นมาได้
เกรงว่า แม้คืนนี้นางจะไม่ได้มาที่นี่ ตระกูลมู่ ตระกูลลี่ว์ และตระกูลเฉาสามตระกูลนี้ก็คงไม่ได้อะไรไปมากมาย รอจนพวกเขาปรึกษาหาข้อสรุปได้ว่าสายแร่ศิลาวิญญาณนี้จะเป็นของใคร ที่นี่คงถูกเจ้าสัตว์อสูรจอมตะกละที่อยู่ตรงหน้านี้กินเกลี้ยงไปจนหมดแล้ว
‘เจ้านาย ท่านไม่รู้อะไร’ เหมิงเหมิงเอ่ยต่อ ‘แม้ว่าสัตว์อสูรจอมกินนี่จะกินแร่ศิลาวิญญาณเพื่อยังชีพ แต่ว่าศิลาวิญญาณที่มันกินเข้าไปกลับไม่ย่อยสลาย’
‘หมายความว่าอย่างไร!’ มู่ชิงเกอใจเต้น แววตาเป็นประกายขึ้นมา
‘สัตว์อสูรจอมตะกละมีชื่อเสียงเรื่องกระเพาะในการกักตุน ช่องว่างในกระเพาะของมันคล้ายกับเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ศิลาวิญญาณเท่าใดมันก็ล้วนกินเข้าไปได้ หมดกักตุนไว้ภายใน ขอเพียงท่านสยบมันได้ เวลาที่ต้องการศิลาวิญญาณก็กดไปที่ท้องของมัน มันก็จะพ่นศิลาวิญญาณออกมาภายนอก โดยปกติยังสามารถ ปล่อยให้มันไปตามหาสายแร่ศิลาวิญญาณ จากนั้นก็กินศิลาวิญญาณ’ เหมิงเหมิงพูดด้วยอาการตื่นเต้น
ไม่ต้องพูดว่านางพูดด้วยอาการตื่นเต้น มู่ชิงเกอเองก็ฟังด้วยอาการตื่นเต้น!
จากการอธิบายของเหมิงเหมิง สายตาที่มู่ชิงเกอมองไปยังสัตว์อสูรจอมกินก็ฉายประกายขึ้นเรื่อยๆ นี่มันสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่ไหนกัน! นี่มันคลังสมบัติเคลื่อน ที่ชัดๆ!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยในกระเพาะของเจ้าตัวนี้ ก็มีสายแร่ศิลาวิญญาณระดับสูงอยู่หนึ่งสาย!
สายตามองมู่ชิงเกอเริ่มร้อนแรงขึ้นมา
สายตาของนางที่มองสัตว์อสูรจอมตะกละ คล้ายกับชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงรักได้พบเจอกับสตรีที่ตนเองหลงรักอย่างไรอย่างนั้น แทบอยากจะจับมันกลืนกินลง กระเพาะ
‘เหมิงเหมิง แล้วจะสยบมันได้เช่นไร!’ ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เข้าใจว่าเหตุใดเหมิงเหมิงถึงบอกว่าตนเองโชคดี
หลังจากทำความเข้าใจกับความเป็นมาและประโยชน์ของเจ้าสัตว์อสูรจอมตะกละนี่แล้ว นางเองก็รู้สึกว่าโชคของตนเองมาเป็นปรอทแตก! สายตาที่จ้องมองเจ้าสิ่งนี้ อ่อนโยนได้เพียงไหนก็อ่อนโยนถึงเพียงนั้น
‘เอ๋…เรื่องนี้น่ะหรือ…’ เหมิงเหมิงมีอาการอึกอักขึ้นมาทันที
มู่ชิงเกอชะงัก เร่งถาม ‘มีอะไรหรือ?’ เหมิงเหมิงยิ้มแห้งๆ อย่างเสียมิได้ เอ่ยขึ้นว่า ‘พูดถึง ความเด็ดเดี่ยวของสัตว์อสูรจอมตะกละแล้ว โดยทั่วไปจะไม่ยอมรับใครเป็นนาย ใครดีกับมัน มันก็ดีตอบ เจ้านายสามารถนำศิลาวิญญาณมาหลอกล่อมัน นำมันไว้ในช่องว่าง จากนั้นเลี้ยงดูมันด้วยศิลาวิญญาณทุกวัน ให้มันเกิดความผูกพันกับท่าน’
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ‘ก็หมายความว่า ข้าต้องลงทุนไปล่วงหน้าก่อน? อีกทั้งการลงทุนนี้ไม่แน่ว่าจะได้ผลตอบแทน? หากวันหนึ่งมันออกข้างนอกไปหาศิลา วิญญาณกิน แล้วไปพบคนอื่นที่ดีกับมัน มันก็สามารถติดตามคนนั้นไป?’
‘อื้ม ก็มีความเป็นไปได้’ เหมิงเหมิงเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง
สีหน้าของมู่ชิงเกอแปรเปลี่ยน แลไม่น่าดู
ลงทุนล่วงหน้านางสามารถเข้าใจได้ แต่นางรับไม่ได้หากตนเองเลี้ยงดูสัตว์อสูรจอมตะกละนี่ด้วยความยากลำบาก พริบตาเดียวก็มีโอกาสโผไปติดตามผู้อื่น
‘เจ้านาย ที่จริงแล้วขอเพียงพวกเราระวังหน่อยก็พอแล้ว สัตว์อสูรจอมตะกละสามารถแยกแยะความรู้สึกแท้จริงและเสแสร้งได้ขอเพียงพวกเราปฏิบัติกับมันด้วยความจริงใจ มันก็จะไม่ไร้เยื่อใย สิ่งแรกที่เราต้องทำคืออย่าบังคับให้มันพ่นศิลาวิญญาณออกมา รอหลังจากที่มันมีความรู้สึกผูกพัน แม้ว่าไม่พูดมันก็จะพ่นศิลาวิญญาณออกมาเอง’ เหมิงเหมิงเอ่ยเตือน
สีหน้ามู่ชิงเกอหมองคลํ้าไม่สดใส ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ยังคงนิ่งเงียบไม่เปล่งวาจา
สายตาที่มองสัตว์อสูรจอมตะกละ ก็ไม่ได้แรงกล้าเหมือนในตอนแรก
ไม่มีใครรู้ว่าศิลาวิญญาณในกระเพาะของเจ้าสัตว์อสูรจอมตะกละนี่มีเท่าไร การเดิมพันนี้ยังคงมีความเสี่ยง มู่ชิงเกอกัดฟัน สะบัดมือไปข้างหน้า เปิดการเชื่อมต่อเส้นทางในช่องว่าง นำสัตว์อสูรจอมกินที่นอนหลับอุตุเข้าไปข้างในช่องว่างของนางสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนการพามนุษย์เข้าไปข้างในนั้นก็ขอเพียงรอให้นางบรรลุถึงระดับพลังชั้นสีทอง
‘เหวอ! เจ้านาย เหตุใดจู่ๆ นำมันโยนเข้ามาไม่มีปีมีขลุ่ยเล่า!’ เสียงร้องตกใจของเหมิงเหมิงดังขึ้นในห้วงความคิดมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอตอบกลับนิ่งๆ “มันหลับอยู่ ข้าไม่มีเวลารอจนมันตื่นขึ้นมา เจ้าหาสถานที่ให้มันอาศัยด้วย จำเอาไว้ว่าแยกมันกับศิลาวิญญาณจากกัน กำหนดปริมาณให้ อาหารมันทุกวันก็พอ”
พอคิดว่าศิลาวิญญาณของนางต้องนำมาเลี้ยงสัตว์อสูร นางก็รู้สึกเจ็บปวด
แต่ว่าพอนึกถึงศิลาวิญญาณในท้องของสัตว์อสูรจอมตะกละที่ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร มู่ชิงเกอก็รู้สึกตัวร้อนขึ้นมาทันที
“อย่างน้อยศิลาวิญญาณที่มันกินเข้าไปก็ยังอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่จัดเก็บเท่านั้น” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบใจตนเอง
อย่างไรก็ตามนางได้ตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้ในภายหลังสัตว์อสูรจอมตะกละจะหักหลังหนีไป นางก็จะให้มันนำศิลาวิญญาณที่กินลงไปพร้อมกับดอกเบี้ยพ่นออกมาก่อน ถึงจะปล่อยมันไป!
รับเอาสัตว์อสูรจอมตะกละนี่มานั้นมีผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ แต่พอนึกถึงว่าต่อไปนี้ต้องเลี้ยงดูสัตว์อสูรจอมตะกละ บ่มเพาะความรู้สึกกับมัน มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าจำ เป็นต้องดูดสายแร่ศิลาวิญญาณขั้นกลางไปทั้งสาย!
“หวังว่าเจ้าตัวเล็กนี่ จะยังเหลืออะไรไว้บ้าง” มู่ชิงเกออธิษฐานในใจ
เหมิงเหมิงตอบออกมาในทันที “วางใจเถอะเจ้านาย พิจารณาจากความเข้มชันพลังวิญญาณแห่งนี้ในเวลานี้ สัตว์อสูรจอมตะกละก็ไม่ได้กินศิลาวิญญาณไปเท่าไรนัก”
“ขอให้เป็นเช่นนั้น” มู่ชิงเกออดพึมพำมาประโยคหนึ่ง
เดินเข้าไปด้านในต่อ
เดินเข้าไปได้สักระยะ เหมิงเหมิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “เจ้านาย ที่ตรงนี้แหละ!”
“ที่นี่หรือ?” มู่ชิงเกอพิจารณาดูรอบๆ นอกจากรู้สึกถึงพลังจิตวิญญาณเข้มชันแล้วก็ไม่มีจุดพิเศษอื่นๆ
‘เหมืองศิลาวิญญาณฝังอยู่ในดิน’ เหมิงเหมิงกล่าวขึ้นหนึ่งประโยค
‘ต้องทำเช่นไรต่อ?’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เหมิงเหมิงตอบ “พ่านเพียงแค่รักษาสภาพการเปิดของช่องว่าง ที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของเหมิงเหมิงน้อยได้เลย!”
“ได้!” มู่ชิงเกอพยักหน้า หลังจากปรึกษากับเหมิงเหมิง มู่ชิงเกอก็เปิดการเชื่อม ต่อช่องว่าง ทันใดนั้น แรงดึงดูดขุมใหญ่ก็แผ่ออกมาจากร่างของนางไปทั่วอาณาบริเวณช้าๆ
แรงดึงดูดนั้น ค่อยๆ ดูดชั้นดินออก สายแร่ศิลาวิญญาณ ที่เป็นผลึกชั้นหนึ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ ศิลาวิญญาณเปล่งแสงระยิบระยับเป็นประกายใต้แสงไฟ แวววาวจับตาถึงขั้นชวนให้ลุ่มหลง
สายแร่ศิลาวิญญาณอันสมบูรณ์สายหนึ่ง ภายใต้แรงดึงดูดเกิดการดิ้นขยับออกจากการห่อหุ้มของชั้นดิน
พื้นดินเกิดการสั่นไหว ทั้งถํ้าเริ่มเกิดการสั่นสะเทือน…
ภายนอกถํ้า หยินเฉินกับหยวนหยวนเฝ้าพิทักษ์อย่างเข้มงวด
ทันใดนั้น การสั่นไหวที่มาจากพื้นดิน รวมถึงเสียงดังที่แว่วออกมาจากปากถํ้าด้านหลัง ทำให้ทั้งสองสบตากัน
“เริ่มแล้ว!” หยวนหยวนเอ่ยกับหยินเฉิน
หยินเฉินเม้มปาก ในดวงตาเคร่งเครียดอยู่บ้าง
หากการเคลื่อนไหวเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าคนที่ถูกภาพมายากล่อมคงฟื้นคืนสติกลับมา ถึงเวลานั้น พวกเขาจะฝ่าฟันเวรยามกว่าพันคนนี้ไปได้อย่างไร?
“หยวนหยวน คุ้มกันแทนข้าที!” ทันใดนั้นดวงตาสีเลือดของหยินเฉินก็เปล่งประกายการตัดสินใจเด็ดขาดแวบหนึ่ง
เขาเอ่ยกำชับหยวนหยวน ตัวสั่นปรากฏหางจิ้งจอกทั้งเก้าสะบัดอยู่ด้านหลัง ‘แสงกะพริบ’ นับไม่ถ้วนลอยออกมาจากหางของเขาเพิ่มขึ้นอีก แผ่คลุมทั่วทั้งเหมือง คนที่จมดิ่งอยู่ในภาพมายาสูดเข้าไปในร่างกาย เพิ่มความลึกลํ้าของภาพมายา ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาพมายาลึกขึ้น ไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของโลกภายนอก
การใช้มนตรากับผู้คนจำนวนมากพร้อมกัน อีกทั้งในนั้นรวมถึงผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงกว่าตนเอง
สำหรับหยินเฉินแล้วถือว่ากินแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
ดีที่ก่อนหน้านี้มีควันกล่อมของมู่ชิงเกอช่วยเหลือทำให้เขาทำสำเร็จโดยไม่ต้องลงแรงมาก แต่ว่าตอนนี้เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้ถูกเสียงการเคลื่อนไหวของสายแร่ทำเอาสะดุ้งตื่น เขาก็ทำได้เพียงเพิ่มภาพมายาอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้คนที่อยู่ที่นี่ตื่นขึ้นมา
พูดอีกมุมหนึ่งก็คือ ตอนนี้ทั้งหมดล้วนต้องพึ่งหยินเฉิน ในการรั้งคนทั้งหมดเอาไว้
การสั่นสะเทือนของพื้นดินยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เศษหินบนภูเขาเริ่มร่วงลงมากระแทกพื้น แต่ผู้คนที่ตกอยู่ในห้วงมายากลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเศษหินจะกระแทกใส่ร่างตนเองก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ถึงอย่างนั้น แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก แต่ทุกครั้งเมื่อผ่านไปทุกช่วงๆ สีหน้าของหยินเฉินก็ซีดขาวลงส่วนหนึ่ง ลมหายใจก็ปั่น ป่วนแทบเห็นได้ชัด
หยวนหยวนเลิกคิ้วน้อยๆ มองดูเขา อัญมณีสีแดงตรงหว่างคิ้วเตะตา
เขาย่อมรู้ดีว่าหยินเฉินกำลังทำอะไร
ครืน ครืน ครืน!
เสียงอึกทึกดังแว่วออกมาจากในถํ้า
ดวงตาสีแดงเลือดของหยินเฉินเคร่งเครียด หางทั้งเก้าปล่อย ‘แสงกะพริบ’ ออกมามากขึ้น เข้าสู่ร่างกายของคนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ภายในถํ้า เวลานี้มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้ผ่อนคลาย นำสายแร่ศิลาวิญาณทั้งสายเข้าสู่ช่องว่าง ความท้าทายแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน นางต้องรักษาเส้นทางของช่องว่างไม่ให้ปิดลง หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
สายแร่ศิลาวิญญาณที่เป็นประกายอร่ามดุจมังกรค่อยๆ ดึงออกมา กระจายพลังจิตวิญญาณแสนเข้มข้นยากที่จะเทียบ
สายหลักดึงออกมาแล้ว ยังมีสายย่อยที่พาดอยู่กับชั้นดิน
มู่ชิงเกอสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายเริ่มซวนเซ
หากยังไม่สำเร็จอีก นางเกรงว่าจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว
‘ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรบ้าง การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เพียงนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนด้านนอกสะดุ้งตื่น!’ มู่ชิงเกอกัดฟันทน ในใจก็เป็นห่วง สถานการณ์ของหยวนหยวนกับหยินเฉิน
เหมืองสั่นสะเทือนเกิดเสียงแผ่นดินไหว บริเวณที่อยู่ในรัศมีหลายลี้ก็พลอยสั่นสะเทือนขึ้นมา
เสวี่ยหยาลุกขึ้นยืน จ้องมองไปยังเหมืองที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาเคร่งขรึม มือทั้งสองที่ตกอยู่ข้างลำตัวก็ ค่อยๆ กำแน่น
ครืน!
ทันใดนั้น ก็แว่วเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับเลียงอัสนีบาตฟาดลงมาในยามคํ่าคืน
เสวี่ยหยาได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี เสียงนี้ลอยไปถึงในเมืองหลานอูเฉิง ปลุกคนที่กำลังหลับฝันสะดุ้งตื่น
ถัดมาที่ในหอสรรพสิ่ง คนมีอำนาจจำนวนมากที่กำลังดื่มดํ่ากับสุราเลิศรสของลํ้าค่าของหอสรรพสิ่ง เมื่อได้ยิน เสียงฟ้าคำรามที่ดังขึ้นฉับพลัน ก็พลันทำให้ภายในโถงที่ครื้นเครงตกอยู่ในความเงียบ
ท่ามกลางผู้คน คนตระกูลมู่ ตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์ สามตระกูลต่างก็ขมวดคิ้ว แววตาฉายแววครุ่นคิด
หานฉายไฉ่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาเหล่านี้ เก็บอาการของพวกเขาอยู่ในสายตา ดวงตาเรียวยาวเป็นประกาย ไหววูบ เอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “ก็แค่เสียงฟ้าร้องเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ทุกท่านตกใจขนาดนี้”
คำพูดของหานฉายไฉ่ ทำเอาผู้คนไม่น้อยมีอาการเก้อเขิน
แต่มู่อี่ว์กลับเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อยหานรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง ไม่ใช่อย่างอื่น?”
หานฉายไฉ่ทอดมองไปยังมู่อี่ว์มุมปากแค่นยิ้มเย็นชา
“หากว่านี่ไม่ใช่เสียงฟ้าร้อง แล้วจะเป็นอะไร?”
ประโยคนี้ ทำเอาแววตาของมู่อี่ว์จางลง ไม่ได้เอ่ยต่อความ
หานฉายไฉ่หัวราะเย็นชา เอ่ยบอกกับทุกคนว่า “ทุกท่าน วันนี้เป็นงานเลี้ยงขอบคุณที่ยากจะหาได้ของหอสรรพสิ่งเรา สุราเลิศรสเพียงนี้ทุกท่านอย่าได้หมดอารมณ์สุนทรีเพราะเสียงดังกัมปนาทนี้เลย”
คำพูดของเขา ทำให้จิตใจของผู้คนผ่อนคลายลง ดื่มสุราสรวลเสเฮาฮากันต่อ
สายตาของหานฉายไฉ่ทอดมองไปยังคนของตระกูลมู่ ตระกูลเฉาและตระกูลอี่ว์สามตระกูล ยกจอกสุราขึ้นจรดริมฝีปากและกระดกลงไป บังรอยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปาก
ทว่า ภายใต้สายตาของเขากลับแฝงความกังวล
เขาไม่รู้ว่าทางฝั่งมู่ชิงเกอนั้นสำเร็จหรือไม่ หรือว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ด้านหน้าตัวถ้ำ มุมปากหยินเฉินเผยให้เห็นคราบเลือด เส้นผมของหยินเฉินซีดเซียวไม่แวววาว
ทันใดนั้นเอง ห้องไม้ด้านหน้าหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ก็ปรากฏเงาคนเคลื่อนไหว แววตาเขาเคร่งเครียด
เอ่ยบอกหยวนหยวน “หยวนหยวน!”
เงาร่างหยวนหยวนหายแวบไป ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกบ้านไม้ทันที
เวลานี้เอง ประตูบ้านไม้ก็เปิดออก มีคนเดินออกมาผู้หนึ่ง
หยวนหยวนก็ปล่อยพญาเพลิงปาฮวงซูคงไปที่ร่างของเขาทันที
“อ๊าก!” ผู้ที่ปรากฏตัวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ค้นพบหยวนหยวนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างในทันที
“เจ้าหัวขโมยนี่มาจากไหน!” เขาจ้องมองหยวนหยวนด้วยท่าทีโหดเหี้ยม
“เอาชีวิตมา!” เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดจากเปลวเพลิงที่แผดเผา โถมเข้าใส่หยวนหยวน
ทว่ายังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสโดนตัวหยวนหยวน ก็สลายหายไปเป็นความว่างเปล่าต่อหน้าเขา
ฉากนี้ทำเอาส่วนลึกในแววตาของเขาตื่นตระหนก หยวนหยวนถือโอกาสนี้สะบัดพญาเพลิงปาฮวงซูคงเข้าห่อหุ้มเขาไว้ เอ่ยปากด้วยความเคียดแค้น “เหอะ! คิดจะ เอาชีวิตข้าคุณชายน้อย เจ้ายังไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น!”
พญาเพลิงปาฮวงซูคงเหมาะสำหรับการลอบโจมตีเป็นที่สุด คนผู้นั้นถูกเปลวเพลิงแผดเผาเอาไว้ เหลือเพียงเสียงร้องน่าเวทนาก่อนจะสลายหายไปจากที่เดิม เหลือเพียง เถ้าสีดำตกอยู่บนพื้นนิดหน่อย
หยวนหยวนสะบัดชายแขนเสื้อ เป่าเถ้าสีดำนั้นให้กระจายไป แค่นเสียงขึ้นจมูก
การต่อสู้นี้มองดูคล้ายราบรื่น ภายในกลับแฝงถึงความเสี่ยง
หากหยวนหยวนไม่ได้ทำตามที่มู่ชิงเกอกำชับ ใช้เพียงพญาเพลิงปาฮวงซูคง เกรงว่าการเริ่มลอบโจมตีในครา แรกจะไม่ประสบความสำเร็จ และก็ไม่มีโอกาสฉวย จังหวะตอนที่อีกฝ่ายตกตะลึงโจมตีใส่อีกครั้ง ทำลายศัตรูด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบโดยที่อีกฝ่ายไม่มีเวลาเตรียมตัว
ใบหน้าเล็กที่งดงามของหยวนหยวน ลดความล้อเล่นลง เพิ่มความจริงจังขึ้นหลายส่วน
ในใจของเขารู้ดีว่า หากรับมือศัตรูซึ่งหน้า การที่เขาจะทำให้ศัตรูหายไปจำเป็นต้องเสียเวลาอย่างมาก การต่อสู้ของทั้งสองก็จะไปปลุกให้ผู้คนที่ตกอยู่ในห้วงมายาเหล่านั้นสะดุ้งตื่น
หยวนหยวนสะบัดมือ กลับมาอยู่ข้างกายหยินเฉินอีกครั้ง ทำหน้าที่คุ้มครองเขาต่อ ขณะเดียวกันก็สังเกต ความเคลื่อนไหวของบริเวณโดยรอบ
กลับมาอยู่ข้างกายหยินเฉินแล้ว ทั้งสองก็ส่งสายตาให้กัน พยักหน้าลงอย่างเงียบๆ
หยวนหยวนเอ่ยถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หยินเฉินขบริมฝีปากส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หางทั้งเก้าด้านหลังยังคงปล่อย ‘แสงกระพริบ’ อย่างต่อเนือง
หยวนหยวนละสายตา ทอดสายตามองที่มือตนเอง ตนเองในตอนนี้ถึงระดับพลังขั้นไหนของมนุษย์แล้ว เกรงว่าการกลืนกินพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดทำให้พลังของเขาสูงถึงประมาณระดับสีเงินขั้นสี่
เพียงแต่ว่า เขาเป็นพญาเพลิง การโจมตีหลักอาศัยเพลิง ไม่ใช่พลังจิตและวิชายุทธ์ของมนุษย์
ครืน!
ทันใดนั้น ใต้พื้นก็แว่ว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวลอยมา
พื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมดคล้ายกับจมลงไป สั่นสะเทือน เสียจนผู้คนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดพากันซวนเซ
หยินเฉินตะลึง ปล่อย ‘แสงกะพริบ’ ยิ่งขึ้น
ดีที่ว่าหลังจากเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนี้แล้ว ทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับสู่ความปกติ
ไม่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และไม่มีการสั่นสะเทือนของพื้นดินอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของมู่ชิงเกอก็ออกมาจากถํ้า ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งคู่ มองดูท่าทีอิดโรยของหยินเฉินแล้ว แววตานางก็นิ่งขรึม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เขาปล่อยพลังมายามากเกินไป เกินขีดจำกัดของพลังจิต” หยวนหยวนเอ่ยอธิบายแทนหยินเฉิน
มู่ชิงเกอพลิกฝ่ามือหยิบโอสถออกมาหลายเม็ดส่งให้หยินเฉินทันที หยินเฉินรับไปกินแล้วก็เช็ดคราบเลือดมุมปากลวกๆ
“กลับไปพักผ่อนเสียก่อน” มู่ชิงเกอพูดจบ ก็สะบัดมือนำ
หยินเฉินเข้าไปในช่องว่าง
หลังจากนั้นนางก็มองไปยังหยวนหยวน สลับกับมองคน อื่นๆ ที่ยังอยู่ในห้วงมายา เอ่ยกับหยวนหยวนว่า “มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นหรือไม่?”
หยวนหยวนส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “หยินเฉินเดินหน้าเต็มกำลังความสามารถ ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ว่าเสียงดังเมื่อครู่ ทำให้คนที่มีระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสอง ตื่นขึ้นมาคนหนึ่ง ข้าทำตามที่ลูกพี่กำชับเอาไว้ใช้พญาเพลิงปาฮวงซูคงลอบโจมตีส่งเขาไปสวรรค์แล้ว”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เชิดหน้าขึ้น “ไปเถอะ เข้าไปดูด้านในห้องของเขากัน”
หยวนหยวนพยักหน้า เดินนำทาง
ทั้งคู่เดินมาถึงด้านหน้าอาคารไม้ที่เปิดประตูคาไว้ ด้านในไม่มีใครอยู่ หลังจากที่มู่ชิงเกอสำรวจด้านในแล้วหนึ่งรอบ ก็พบป้ายอักษร ‘มู่’ ตกอยู่ด้านใน “เป็นที่พักของคนตระกูลมู่” มู่ชิงเกอนำป้ายกลับไปไว้ที่เดิม แววตาฉายแววครุ่นคิด
ทันใดนั้นเอง นางก็เอ่ยกับหยวนหยวนว่า “ไปเรียกเสวี่ยหยามา”
หยวนหยวนพยักหน้า แปลงเป็นแสงไฟหายตัวไป
เพียงไม่นาน เขาและเสวี่ยหยาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกออีกครั้ง
“นายน้อย” พอเสวี่ยหยาเห็นมู่ชิงเกอก็มองสำรวจ นางอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บถึงได้ลอบผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
“พวกเจ้าทั้งสองไปหาตัวคนตระกูลมู่มาให้ครบเดี๋ยวนี้เลย” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการทั้งสองคน
ทั้งสองคนไม่เข้าใจ แต่ก็ไปทำตามที่นางสั่งการในทันที ไม่รีรอ
การตายของคนตระกูลมู่ที่ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสองนั้น ทำให้มู่ชิงเกอคิดแผนการใหม่ขึ้นมาได้
เสวี่ยหยากับหยวนหยวนหาเวรยามตระกูลมู่พวกนั้นเจออย่างรวดเร็ว
มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการให้หยวนหยวนใช้พญาเพลิงปาฮวง ซูคงเผาพวกเขาทั้งหมด เผาทิ้งไม่ให้หลงเหลือหลักฐาน
หยวนหยวนปฏิบัติตามในทันที เพียงไม่นานก็เสร็จสิ้นภารกิจ
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” หลังจากมู่ชิงเกอมั่นใจแล้วว่าไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆ ก็พาหยวนหยวนและเสวี่ยหยาเดินจากไป
พวกเขาต้องกลับไปพบหานฉายไฉ่ที่หอสรรพสิ่ง
คำนวนเวลาดูแล้ว ไป๋สี่เองก็น่าจะพามู่ยี่ไปถึงหอสรรพสิ่งแล้ว
การเข้าออกหอสรรพสิ่งหลายต่อหลายครั้ง มู่ชิงเกอก็คลำตำแหน่งของหอสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจน นางพาหยวนหยวนกับเสวี่ยหยาเข้ามาในห้องของหานฉายไฉ่ได้อย่างง่ายดาย
และในเวลานี้เอง หานฉายไฉ่ก็ยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ตรงมุมห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “โยนเจ้าสิ่งสกปรกนี้ออกไปให้ข้า”
มู่ชิงเกอมองตามสายตาเขาไป มองเห็นร่างของไป๋สี่และมู่ยี่ที่นอนอยู่ข้างตัวนาง
ไป๋สี่ตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือไง? ข้าทำตามคำสั่งของชิงเกอ เจ้ามีปัญญาก็โยนออกไปเองสิ!”
หานฉายไฉ่หน้านิ่ง ขณะที่กำลังจะระเบิดโทสะ ก็ได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ “ช่วยออกมาหรือยัง?”
หานฉายไฉ่และไป๋สี่หันหน้าไปมองนางพร้อมกัน เห็นนางเดินเข้ามาพร้อมกับหยวนหยวนและไป๋สี่ ต่างก็อยู่ในอาการตะลึง
ไป๋สี่มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว เดินไปหามู่ชิงเกอทันที “ชิงเกอ เจ้ากลับมาแล้ว?”
แลซ้ายแลขวาไม่ปรากฏเงาของหยินเฉิน นางก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง ระคนสงสัย “เอ? เจ้าจิ้งจอกหน้าเหม็นนั่นล่ะ?”
มู่ชิงเกอตอบกลับไปว่า “หยินเฉินใช้พลังไปเกินขีดจำกัด ข้าให้เขากลับไปพักผ่อนในช่องว่างแล้ว”
ไป๋สี่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ ไม่มีผู้ใดค้นพบว่านางเก็บความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยไว้ในสายตาอย่างมิดชิด
สายตาของหานฉายไฉ่ทอดมองไปยังมู่ชิงเกอเป็นอันดับแรก หลังจากเห็นว่านางปลอดภัยดีก็มองต่อไปยังคนอื่นๆ หยวนหยวนเขาเคยพบแล้ว แต่ว่าเสวี่ยหยาเขา
กลับเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก
พบหน้าเสวี่ยหยาครั้งแรก แววตาเขาก็ทอประกายขี้เล่น กวาดตามองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไม่สบสายตาแววตาหยอกล้อของหานฉายไฉ่ นางเดินไปเบื้องหน้ามู่ยี่ เห็นเขายังคงหมดอาลัยตายอยากก็อดไม่ได้ที่จะสั่นศีรษะเบาๆ นางหมุนตัวเดินมาทางหานฉายไฉ่ “งานเลี้ยงของเจ้าจบแล้วหรือ?”
หานฉายไฉ่พยักหน้า “เพื่อช่วยเจ้าแล้ว ข้าเปลืองสุราชั้นเลิศไปไม่น้อย”
มู่ชิงเกอหัวเราะเย็นชา “ได้รับผลประโยชน์ยังจะทำมาพูดดี พูดเหมือนตนเองช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน”
พูดจบนางก็เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “หาคนมาจัดการทำความสะอาดตัวเขาเสียหน่อย ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา”
“เจ้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา?” หานฉายไฉ่กลอกตาด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
มู่ชิงเกอพยักหน้า “รับปากฟ่งอวี๋เฟยไว้ว่าจะช่วยนางตามหามู่ยี่ ตอนที่ส่งกลับไปก็จำเป็นต้องเป็นผู้เป็นคนเสียหน่อย”
มู่ชิงเกอตวัดสายตามองมู่ยี่ หากส่งกลับไปเช่นนี้จะต่างอะไรกลับการส่งดินโคลนหนึ่งกองกันล่ะ?
หานฉายไฉ่พยักหน้าอย่างคล้ายเข้าใจและไม่เข้าใจ เรียกคนของตนเข้ามาพามู่ยี่ออกไป
ในขณะที่รอคอย มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “เจ้าจะใช้อะไรใส่เหมืองศิลาวิญญาณหรือ?”
ดวงตาเรียวยาวดุจพระจันทร์เสี้ยวของหานฉายไฉ่ยกโค้งขึ้น หยิบกำไลออกมาจากแขนเสื้อส่งให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรับมาแล้ว นำกำไลมาคลึงบนมืออยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืนหานฉายไฉ่ แววตาหานฉายไฉ่เป็นประกายแปลกใจ รับกำไลมาตรวจดูจนพบว่าด้านในมีเหมืองศิลา วิญญาณกองเต็ม
นี่ทำให้สายตาของเขามองมู่ชิงเกออย่างสำรวจ
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สบสายตากับเขา เอ่ยขึ้นมาตรงๆ “คนที่ข้าต้องการตัวล่ะ?”
หานฉายไฉ่หัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า “ตามที่เจ้าว่า มอมให้เมามายรั้งไว้ที่นี่”
“มู่อี่ว์ไม่สงสัยหรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองเขา
หานฉายไฉ่หัวเราะหยอกเย้า “คนที่เมาอยู่ที่นี่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งคน มีอะไรให้น่าสงสัยกัน?”
“คงมิใช่ว่าเจ้ารั้งทุกคนที่เมาเอาไว้ใช่หรือไม่!” แววตามู่ชิงเกอเป็นประกายชั่วครู่ เข้าใจความหมายในคำพูดของหานฉายไฉ่ทันที
หานฉายไฉ่พยักหน้าลง “รั้งไว้ทั้งหมดย่อมดีกว่ารั้งไว้เพียงผู้เดียว”
มู่ชิงเกอหัวเราะแห้งๆ มองหยวนหยวน
ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ หยวนหยวนก็ทนเอาไว้ไม่ได้ เห็นมู่ชิงเกอเดินมา ใบหน้าสวยงามรูปไข่ของเขาก็ เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “เหอะ! เจ้าสุนัขจิ้งจอกจอม ราคะสมควรตาย ในที่สุดก็ถึงตาที่เจ้าจิ้มรสฝีมือของคุณชายน้อยบ้างแล้ว!”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?” มู่ชิงเกอหันกลับมามอง เรียกหยวนหยวนไว้ในทันใด
หยวนหยวนชะงักไม่เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ ทำได้เพียงตอบตามความจริง “จัดการอย่างไรหรือ? ย่อมต้องเป็นเปลวเพลิงเผาผลาญเขาไง!”
มู่ชิงเกอฟังแล้วก็ส่ายหน้า เอ่ยชี้แนะหยวนหยวนอย่างจริงใจ “แบบนี้มีร่องรอยเกินไป ยังจำตอนที่พวกเราอยู่ใต้ภูเขาไฟได้หรือไม่ จัดการกับอัคคีจำแลงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดอย่างไร? ค้างคาวเพลิงเหล่านั้น…”
เมื่อถูกมู่ชิงเกอเตือนสติ หยวนหยวนก็กระจ่างแจ้งแก่ใจขึ้นมาในทันที
ดวงตาสวยงามของเขาฉายความเจ้าแผนการขึ้นหลายส่วน พกรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกจากห้องหานฉายไฉ่ไป เดินไปที่ห้องของมู่หงด้วยความมั่นใจในตนเอง หลังจากหยวนหยวนจากไปแล้ว หานฉายไฉ่ก็ยิ้มและเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าช่างไม่กลัวสอนเด็กเสียคนจริงๆ”
มู่ชิงเกอปรายตามองเข้าเพียงแวบเดียว เอ่ยประชดขึ้นว่า “คนที่กล่าวประโยคนี้เป็นเจ้า ข้าประหลาดใจมากจริงๆ”
หานฉายไฉ่มุมปากกระตุก ไม่กล่าวถึงหัวข้อนี้ต่ออีก
ราวกับว่าที่เขาคิดจะพูดกับมู่ชิงเกอดีๆ นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การจิกกัดกันคล้ายกับเป็นนิสัยอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว แม้บางทีเขาคิดจะอ่อนโยนบ้างก็จะถูกมู่ชิงเกอจิกกัดอย่างไร้เยื่อใยกลับมา
ในใจทอดถอนหายใจ หานฉายไฉ่รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาอีกครั้ง
หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่ามู่ชิงเกอเป็นสตรี เขาย่อมไม่หาเรื่องนาง
หยวนหยวนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าประตูมาก็อารมณ์ดียิ้มร่า ท่าทางมีชีวิตชีวา มู่ชิงเกอไม่ได้ใปถามว่าสุดท้ายแล้วเขาลงมืออย่างไร นางเชื่อว่าหยวนหยวน เข้าใจความนัยที่นางสื่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่ยี่ที่อาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าโกนหนวดเคราเรียบร้อยแล้วก็ถูกส่งกลับมา มองดูใบหน้าตอบ ซูบผอม ซีดขาว แต่กลับไม่ลดความสง่างาม มู่ชิงเกอก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าเพราะเหตุใดฟ่งอวี๋เฟยถึงได้ตกหลุมลงไป
‘อืม! นี่เป็นยุคที่มองหน้าตาคนยุคหนึ่ง!’ มู่ชิงเกอเอ่ยเงียบๆ ในใจ
มู่ยี่ปล่อยให้คนอื่นจับวางไม่หือไม่อือ
มู่ชิงเกอก็ขี้เกียจไปสนใจเขา เพียงแค่ทะลวงเส้นชีพจรให้เขา
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว นางก็หยิบโอสถออกมาสองขวดส่งให้หานฉายไฉ่ กำชับว่า “ในนี้หนึ่งขวดให้เขากินวันละเม็ด หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนก็นำโอสถจากอีกขวดหนึ่งให้เขากิน รอจนเขาอาการดีขึ้นมา ก็ให้เขาทานโอสถตัวเดิมก่อนหน้าต่อในทุกๆ วัน จนกว่าจะกินจนหมด”
“นี่คือโอสถอะไร?” หานฉายไฉ่พิจารณามองขวดยาในมือ
มู่ชิงเกอเอ่ยอธิบายว่า “แบบแรกเพื่อปรับร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง แบบที่สองเป็นโอสถล้างไขกระดูก และสร้างเส้นชีพจรใหม่ สามารถสร้างพลังลมปราณที่เสียหาย และก็สามารถทะลวงพลังยุทธ์ที่ถูกทำลายทำให้ติดขัด จากนั้นเขาก็สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ใหม่”
คำพูดนี้ นางไม่ได้เอ่ยปิดบังมู่ยี่ รอจนนางพูดจบ นางก็จับสังเกตแววตาประกายความหวังออกมาจากสายตาของมู่ยี่ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ มู่ชิงเกอละสายตา หันมาเอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “หากสะดวก รบกวนฝากข้อความไปบอกตระกูลมู่แคว้นฉิน”
หานฉายไฉ่ดวงตาเป็นประกาย พยักหน้า
มู่ชิงเกอเม้มปากเอ่ยขึ้นว่า “บอกพวกเขาว่าข้าสบายดี”
หลังจากที่มอบหมายแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปหยุดลงตรงหน้ามู่ยี่อีกครั้ง มองและกล่าวกับเขาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจจากไปหรือไม่ ข้าก็จะพาเจ้าไปส่งข้างกายฟ่งอวี๋เฟย ต่อจากนั้นเจ้าจะอยู่ที่หลินชวนผ่านคืนวันดีๆ ร่วมกับนาง หรือจะกลับมาที่โลกแห่งยุคกลางหามู่อี่ว์แก้แค้น ล้วนเป็นเรื่องของเจ้าไม่เกี่ยวอันใดกับข้า เมื่อพบฟ่งอวี๋เฟยฝากบอกกับนางแทนข้าหนึ่งประโยค เรื่องที่ข้ารับปากนางเสร็จสิ้นแล้ว”
ในที่สุดมู่ยี่ก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้านาง เนิ่นนานกว่าที่นํ้าเสียงแหบพร่าของเขาจะเปล่งเสียงออกมาว่า “ขอบคุณ”
หานฉายไฉ่เดินมาหยุดอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ส่งเสียงบอกว่า “ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เกรงว่าจะไม่ยินยอมพร้อมใจไปหลินชวน หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว คาดว่าคงหลบหนีออกไปหาโอกาสแก้แค้น”
มู่ชิงเกอสายตาเรียบเฉยเอ่ยตอบว่า “นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา”
นางมองหน้าหานฉายไฉ่ ส่งเสียงบอกต่อว่า “คน ข้ามอบให้เจ้าแล้ว หากเจ้าปล่อยให้หนีไปได้ก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้า”
หานฉายไฉ่มุมปากกระตุกเอ่ยรับรอง “วางใจเถอะ จนถึงตอนนี้ นอกจากเจ้าแล้วยังไม่มีใครรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้!”
ประโยคนี้แฝงการรับรองคลุมเครือ ทำเอามู่ชิงเกอกลอกตาอย่างหมดวาจาจะกล่าว
มู่ชิงเกอเดินไปที่หน้าหน้าต่าง แหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลอยขึ้นมา พ่นความร้อนออกมา แสงสีทองตกกระทบบนร่างของนาง เป็นอาภรณ์สีทองที่ห่อหุ้มนางเอาไว้
บนหอสรรพสิ่งสามารถมองเห็นกว่าครึ่งเมืองหลานอูเฉิง มองดูเมืองที่อาศัยอยู่หลายวัน ในใจมู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ในที่สุดก็สำเร็จไปเรื่องหนึ่ง ในที่สุดก็สามารถออกเดินทางอีกครั้ง’
เป้าหมายที่เข้ามายังโลกแห่งยุคกลางสำเร็จไปหนึ่งเรื่อง นี่ก็ทำให้นางสบายอารมณ์ขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่าคิดถึงอนาคต มู่ชิงเกอก็หัวเราะขำอยู่คนเดียว ภารกิจอันหนักหน่วงและหนทางที่ทอดยาว ภารกิจยังไม่สำเร็จ ปณิธานยังคงจำเป็นต้องตั้งใจ!
“หากเจ้าเหนื่อยแล้ว ไหล่ของข้าก็ให้เจ้ายืมพักพิงได้ทุกเวลา” ทันใดนั้นหานฉายไฉ่ก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอเอ่ยบอกนางด้วยนํ้าเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน ประโยคนี้ทำลายการทอดถอนใจของมู่ชิงเกอ นางหันกลับมามองบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเอง ส่ายหน้าช้าๆ มุมปากยกโค้งขึ้นคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่ ต้องการ”
ปลายนิ้วที่อยู่ข้างกาย ขยับไปลูบบนกระดิ่งที่แขวนบนสายรัดเอวอย่างเงียบๆ