ตอนที่ 248
สงครามแย่งความเป็นใหญ่ระหว่างชาย-หญิง!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว!” นํ้าเสียงที่คุ้นหู กลิ่นหอมที่คุ้นเคย ปรากฏอยู่ข้างหูปลายจมูกของมู่ชิงเกอ
นางพลันเบิกตากว้างขึ้นไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างเบื้องหน้านี้จะเป็นเรื่องจริง!
ถึงอย่างนั้นยังไม่ทันรอให้นางได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ลมหายใจของชายหนุ่มก็แนบชิดจู่โจมไปยังริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอเล็กน้อยจากการตกตะลึง
ริมฝีปากถูกประกบแนบสนิท มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงการเรียกร้องอย่างบ้าคลั่งของอีกฝ่าย ดวงตาของนางเบิกโพลง กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วบริเวณทำให้นางมั่นใจได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ดวงตาสุกสกาวเปล่งประกายอำมหิตวาววับ สองมือของนางก็คว้าหมับไปที่อกเสื้อของชายหนุ่มจับก่อนจะเหวี่ยงเขาลงกับพื้นทันที กดให้เขาล้มลง พลิกตัวขึ้นไปทับเอวเขาไว้แน่น
การกระทำนี้ขัดขวางการเรียกร้องอย่างบ้าคลั่งของชายหนุ่ม
เขานอนราบอยู่ในตัวเกี้ยว ดวงตาสีอำพันลุ่มลึกและเจิดจรัสดุจดวงดาราคู่นั้น ทอดมองมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่บนร่างเขาด้วยสายตาแปลกใจ
ในที่สุดก็เห็นรูปร่างหน้าตาของบุรุษได้ชัดเจน ยังคงรูปงามหล่อเหลา โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร โครงหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติปรากฏอยู่ภายใต้ความมืดในตัวเกี้ยว แต่กลับไม่ถูกลดเสน่ห์ลง
ทว่าชุดสีขาวพิสุทธิ์กลับกลายเป็นชุดคลุมสีดำทมิฬปักดิ้น ผมยามที่ปล่อยสยายก็ถูกครอบด้วยมงกุฏสีดำทองตรึงผมที่ปลิวไสวอยู่กับที่
เขาถูกกดลงใต้ร่าง มุมปากกลับเจือรอยยิ้มที่ดูคล้ายมีคล้ายไม่มี เก็บสายตาที่งุนงงสงสัยเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งการรอคอยนิ่งๆ
เมื่อใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำมาปรากฏอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกออย่างแท้จริง นางถึงได้รู้ว่าตนนั้นคิดถึงเขามากเพียงไร
นางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วก็โน้มตัวลงมาทันที ก้มหน้าบดริมฝีปากลงบนริมฝีปากที่แฝงรอยยิ้มของชายหนุ่ม ซือมั่วถูกมู่ชิงเกอกดไว้รับสัมผัสกับจุมพิตจู่โจมนี้ แขนยาวโอบร่างนางไว้หมายจะพลิกตัวนาง กดนางไว้ใต้ร่าง
ทว่าแค่เขาเริ่มมีปฏิกิริยาก็ถูกมู่ชิงเกอรับรู้ สายตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์จับมือหนาที่กุมเอวนางไว้มั่น หยุดปฏิกิริยาต่อต้านของชายหนุ่ม จุมพิตแสนบ้าคลั่งของทั้งสองบอกเป็นนัยถึงความคิดถึง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทว่า ร่างกายกลับต่อต้านอย่างไม่มีแววอ่อนข้อเลยแม้สักนิด ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการสิทธิ์การเป็นผู้นำ!
ร่างของทั้งคู่ปะทะกันไปมาในตัวเกี้ยวด้านในไม่หยุดหย่อน เกิดเป็นเสียงดัง ตัวรถทั้งหลังก็ถูกกระแทกไปมาสั่นไหว ช่างเป็นที่น่าตกใจของผู้คนคล้ายกับว่าสามารถแหลกลาญเมื่อไรก็ได้ ด้านนอกรถ กู่หยาและกู่เย่โอบกอดกระบี่เฝ้าพิทักษ์รถสัตว์อสูรวิญญาณ ส่วนคนที่ถูกโยนออกมา กลับแบ่งเป็นสองอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกอย่างหนึ่งคือความตกใจ ส่วนอีกความรู้สึกหนึ่งคือความกังวล ที่กังวลย่อมเป็นเสวี่ยหยากับจิงไห่ที่ไม่รู้เรื่องราว พวกเขารู้เพียงว่ามีคนแปลกหน้าบุกเข้าไปในตัวรถด้านใน ไม่รู้ว่าตอนนี้ด้านในตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
การสั่นไหวรุนแรงของตัวเกี้ยวทำให้จิตใจพวกเขาทวีความร้อนรน ยากที่จะจินตนาการถึงความรุนแรงด้านใน
ส่วนพวกที่รู้เรื่องราวเช่นโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย ยังมีไป๋สี่ หยวนหยวน ต่างก็พากันมองไปทางอื่นอย่างเก้อเขิน ไม่ก็ก้มหน้านับก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าตนเอง
การเคลื่อนไหวด้านหลัง ทำเอามุมปากของกูหยาและกูเย่กระตุก ในใจอยากจะประชด ‘ท่านประมุขอดอยากเกินไปใช่หรือไม่? เพิ่งเจอกันก็รุนแรงเพียงนี้?’
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? หลีกไป!” เสวี่ยหยาดึงปิ่นสีฟ้านํ้าแข็งที่เสียบอยู่บนมวยผมตนเอง แสงสีฟ้าเป็นประกาย กลายเป็นกระบี่ที่งดงามเล่มหนึ่ง ถูกนางกระชับไวในมือ ชี้ไปทางกูหยาและกูเย่
หลังจากที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากปลายกระบี่ กลับยิ้มเยือกเย็นอย่างไม่ใคร่สนใจ
กูเย่ละสายตา ขี้เกียจไปใส่ใจ ส่วนกูหยาเอ่ยกับเสวี่ยหยาด้วยสีหน้านิ่งขรึมเย็นชา “ท่านประมุขของพวกเราไม่ได้พบกับคุณชายมานานหลายวัน ย่อมต้องมีเรื่อง สนทนากัน คนอื่นไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง”
คำพูดของเขาทำเอาสายตาของเสวี่ยหยามีแววลังเล เอ่ยอยู่ในใจ ‘เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรูจริงหรือ?’
แต่ว่า… สายตาของนางพอมองไปที่รถลากสัตว์อสูรที่สั่นไหว ในใจเกิดความรู้สึกสงสัย ‘วิธีการพบหน้าของสหายสนิท ใช่พิเศษเกินไปหรือไม่?’
เมื่อสายตาของนางกวาดตามองโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย ไป๋สี่ หยวนหยวนพวกเขาเหล่านั้น เห็นท่าทีสงบนิ่งของพวกเขา ในใจก็เชื่อในสิ่งที่กูหยาพูดบอก
นางเก็บกระบี่ด้วยความสงสัย สายตาสุกสว่างกลับยังคงมองทั้งสองด้วยความระแวดระวัง
“อาจารย์อาเล็ก ครูฝึกไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” จิงไห่จับจ้องไปยังตัวเกี้ยวด้วยความกระสับกระส่าย การเคลื่อนไหวข้างในทำเอาเขารู้สึกเป็นห่วงเสียจนเหงื่อออกเต็มมือ
หยวนหยวนแค่นยิ้ม ตบไหล่จิงไห่เบาๆ เอ่ยปลอบโยนขึ้นว่า “เสี่ยวไห่ไม่ต้องกังวล ครูฝึกของเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของคุณชายหรือ?” หยวนหยวนเพิ่งจะพูดจบ เสียงของกูหยาก็ดังขึ้น
จิงไห่ชะงัก พยักหน้าตามความจริง
กูหยามองเขาอย่างพิจารณาค้นคว้า มุมปากฉาบด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “สายตาการรับลูกศิษย์ของคคุณชายก็ไม่เป็นอย่างไร”
คำพูดประชดถากถางไม่รื่นหูแม้แต่น้อย ทำเอาแก้มของจิงไห่ขึ้นสีแดงกํ่า หลุบสายตาด้วยความเจียมตน มือทั้งสองของเขากำชายเสื้อตนเองเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร กัดริมฝีปากแน่น ไม่สามารถโต้แย้งได้เลย
เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่โดดเด่น ดังนั้นถึงได้ยิ่งพยายามมากขึ้น เขาเชื่อว่าคงมีสักวันหนึ่งที่เขาจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อท่านอาจารย์อย่างแท้จริง!
“ข้ารับลูกศิษย์เช่นไร ถึงเวลาที่เจ้าต้องสอดปากเข้ามายุ่งตั้งแต่เมื่อไร?” ทันใดนั้นเสียงเยือกเย็นของมู่ชิงเกอก็ดังลอดออกมาจากตัวรถด้านใน
กูหยาหนาวสันหลัง หมุนกายกลับไป เห็นมู่ชิงเกอเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงประตูตัวเกี้ยว
ด้านในตัวเกี้ยวยังคงมีแสงสลัว เห็นรางๆ ว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เป็นใครกัน?
ไม่ต้องสงสัยเลย นอกจากท่านประมุขของพวกเขาผู้นั้นแล้ว จะยังเป็นใครไปได้อีก?
สายตาของกูหยาทอดมองไปยังมู่ชิงเกอ ก้มหน้าโค้งตัวทำความเคารพ “คุณชาย”
กูเย่ที่เย่อหยิ่ง ในเวลานี้ก็ทำความเคารพอย่างเงียบๆ
มู่ชิงเกอเป็นสตรีที่ท่านประมุขของพวกเขาเลือกแล้ว เป็นว่าที่นายหญิงของพวกเขา ฐานะตรงนี้ มารยาทไม่ควรขาด ไม่ควรมากเกิน!
ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอกวาดตามองกูหยา เลยไปยังจิงไห่ที่ตกอยู่ในความลำบากใจ เอ่ยขึ้นนิ่งๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ก็ต้องเชื่อในสายตาของข้า คนอื่นจะมองเจ้าเช่นไรก็ไม่สำคัญ”
คำพูดนี้ไม่ได้ปลอบโยนอะไรมาก แต่กลับทำให้กระบอกตาของจิงไห่ร้อนผ่าว ในใจอบอุ่น เขาเงยหน้าขึ้นในทันใดมองไปยังมู่ชิงเกอ พยักหน้าหนักแน่น “ครูฝึก จิงไห่ทราบแล้ว!”
เขาเป็นศิษย์ของมู่ชิงเกอ เป็นไปตลอดชั่วซีวิต!
สายตาของมู่ชิงเกอกวาดตามองทุกคน ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยขึ้นว่า “เดินทางกันต่อ”
รถสัตว์อสูรค่อยๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้าไปในตัวเกี้ยว พวกเขาเพียงแค่ขี่สัตว์อสูรที่กูหยากูเย่ นำมาตามอยู่ด้านหลังรถ
มู่ชิงเกอกลับเข้ามาในตัวรถอีกครั้ง สบตากับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของซือมั่ว อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์มานี่” ซือมั่วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาวาวโรจน์ของมู่ชิงเกอ กวักมือเรียกนางให้มาหา
ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่สนใจ นั่งลงบนที่ว่างในตัวเกี้ยว
ตัวรถนี้ค่อนข้างใหญ่ ก่อนหน้านี้สามารถบรรจุพวกนางห้าคนโดยไม่รู้สึกเบียด แค่ตอนนี้เพียงแค่นางกับซือมั่ว กลับทำให้นางรู้สึกว่าด้านในหายใจไม่ค่อยสะดวก
‘พลังบนร่างของบุรุษผู้นี้แข็งแกร่งเหลือเกิน’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจเงียบๆ
ท่าทีอึดอัดของมู่ชิงเกอทำเอาซือมั่วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เขาขยับเข้าไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ปลายนิ้วของเขาลูบลงบนเส้นผมของนาง เอ่ยถามเบาๆ “เสี่ยวเกอเอ่อร์กำลังโกรธข้าอยู่หรือ? ได้ครั้งหน้ายอมลงให้เจ้า”
มู่ชิงเกอสีหน้าแดงระเรื่อ แค่นเสียงอย่างยากเย็น “ใคร ให้เจ้ายอมลงให้กัน?”
ซือมั่วขบขัน แขนยาวโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมกอดตนเอง ทันทีที่ร่างกายถูกโอบกอด สายตาของมู่ชิงเกอก็ชะงักไปวูบหนึ่ง
ตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษ สัมผัสได้ถึงลมหายใจของบุรุษ นางจัดท่าทางให้สบาย อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซือมั่ว
สายตาของนางทอดมองลงบนชุดอาภรณ์สีดำทมิฬปักดิ้นบนร่างของซือมั่วแล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “เหตุใดเจ้าถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?”
“พอดีมีเรื่องที่ต้องจัดการ” ซือมั่วตอบอย่างสบายอารมณ์
มู่ชิงเกอพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยถามต่อ เพียงแค่เอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดเปลี่ยนเป็นชุดสีดำทมิฬ?”
ซือมั่วหัวเราะ เอ่ยถามกลับว่า “เกอเอ๋อร์ว่าใส่แล้วดูดีหรือไม่?”
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา พิจารณาใบหน้าหล่อเหลา ไม่เป็นสองรองใครของเขาแล้ว ก็พยักหน้าอย่างซื่อตรง “ดูจากใบหน้านี้ของเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะสวมใส่ชุดอะไรก็ไม่ออกมาน่าเกลียด”
“ที่สำคัญคือเสี่ยวเกอเอ๋อร์ชอบหรือไม่?” สายตาสีอำพันของซือมั่วทอดมองไปยังมู่ชิงเกอ ส่วนลึกของแววตาฉายชัดถึงความเอ็นดูรักใคร่
มู่ชิงเกอกลับไหวไหล่เอ่ยว่า “แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น ไม่เห็นต้องใส่ใจว่าจะชอบหรือไม่ชอบ”
แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่พิถีพิถันและก็ไม่ชอบความยุ่งยาก ยกตัวอย่างเช่นเสื้อผ้าของนางเป็นสีแดงเกือบทั้งหมด เพียงแค่เพราะนางชินกับสีนี้อีกอย่างก็ รู้สึกว่าสีนี้เหมาะกับตนเอง ดังนั้นจึงขี้เกียจไปลองเสื้อผ้าสีอื่นๆ
“ครั้งนี้ เจ้าอยู่นานแค่ไหน?” มู่ชิงเกอพยายามใช้น้ำเสียงเรื่อยๆ ในการถาม
ซือมั่วรับรู้ได้ถึงความอาลัยในนํ้าเสียงของนาง รอยยิ้มมุมปากอดไม่ได้ที่จะกดลึกลง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์หวังให้ข้าอยู่นานเท่าไร?”
มู่ชิงเกอกลับยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้ามองหน้าเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ เพิ่งจะพบหน้ากัน เหตุใดต้องไปพูดเรื่องจากลากันด้วยเล่า? บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเอ่ยถึงคำถามที่นางกังวลใจที่สุด นางก็ยกมือซือมั่ว ขึน ถลกชายแขนเสื้อเผยให้เห็นข้อมือของเขา นางใช้ปลายนิ้วของนางแตะลงไปบนเส้นชีพจรของเขา
มองดูท่าทางตั้งอกตั้งใจของนางแล้ว ซือมั่วก็ปล่อยให้นางทำไป
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอถึงได้คลายมือออก รั้งแขนเสื้อลงนางพยักหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยกับซือมั่วว่า “ยังดีที่ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าเดิม”
ร่างกายของซือมั่วไม่ได้เลวร้ายลง นี่ทำให้นางเบาใจลงได้บ้าง
ซือมั่วเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ร่างกายของข้าไม่ได้ยํ่าแย่เช่นที่เจ้าจินตนาการ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลมากไป”
มู่ชิงเกอกลับถลึงตาเอ่ยกับเขาว่า “บาดแผลเก่าเหล่านี้ ยามปกติย่อมไม่เป็นอะไร แต่ว่าจะกัดกร่อนร่างกายของเจ้า ระดับพลังยุทธ์ของเจ้าไปทีละนิด จากนั้นก็จะปะทุขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ หากเจ้าสามารถรับประกันได้ว่า ก่อนหน้าที่จะรักษาบาดแผลให้หายดีจะไม่ไปสู้รบกับใคร ข้าก็จะวางใจได้บ้าง แต่ว่าเจ้ารับประกันได้หรือไม่?”
มองดูอาการขึงขังของมู่ชิงเกอแล้ว ซือมั่วไม่มีคำพูดใดไปเถียงอีก
เพราะว่าเขาไม่สามารถรับประกันได้จริงๆ
เขาจ้องมองมู่ชิงเกอนิ่งๆ มือใหญ่ลูบลงบนเส้นผมนางแผ่วเบา นํ้าเสียงสุขุมนุ่มลึกค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่ปรารถนาให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป” มู่ชิงเกอคว้ามือของเขามากุมเอาไว้บีบเบาๆ เอ่ยรับประกันด้วยนํ้าเสียงหนักแน่น “บาดแผลของเจ้าให้ข้าเป็นผู้รักษา เชื่อใจข้า ตอนนี้ข้าสามารถหลอมโอสถ ระดับเทวะได้แล้ว โอสถระดับมหาเทพอยู่อีกไม่ไกล!”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เก่งกาจยิ่งนัก!” หน้าผากที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มของซือมั่ว เปลี่ยนไปทวีความสดใสขึ้น
ความก้าวหน้าในทุกก้าวของมู่ชิงเกอ ซือมั่วล้วนรู้สึกดีใจไปกับนางจากใจจริง
แต่ว่ามู่ชิงเกอได้ยินแล้วกลับมุมปากกระตุก เอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์“อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก”
ซือมั่วก้มหน้าหัวเราะ มือใหญ่กระชับเอวมู่ชิงเกอโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด วางปลายคางบนศีรษะะของนาง เอ่ยเบาๆ “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ต้องไม่ใช่เด็กอยู่แล้ว แต่เป็นมารดาของลูกข้า”
คำหวานที่เปิดเผยความรู้สึกโจ่งแจ้งนี้ทำเอาสองแก้มของมู่ชิงเกอขึ้นสีแดงระเรื่อ คิดจะโต้แย้ง กลับพบว่าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงโต้แย้งแต่อย่างใด
ถึงอย่างไร นางก็ยอมรับเขาแล้ว! ไม่เคยคิดเรื่องมีสามี เลี้ยงบุตร คลอดลูก สอนบุตรสาวมาก่อน มาวันนี้กลับดูเหมือนกลายเป็นคำถามที่กลายเป็นจริง
ทว่า บุตร…
พอคิดถึงว่าในภายภาคหน้าอาจมีมารน้อยเช่นนี้ปรากฏขึ้น มู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงความปวดเศียรเวียนเกล้า
ในขณะที่มู่ชิงเกอตกอยู่ในภวังค์จินตนาการของตนเองนั้น ซือมั่วก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าจำไว้ว่า ข้ายอมรับเจ้าว่าเป็นของข้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะใด เป็นใคร ก็เปลี่ยนแปลงในจุดนี้ไปไม่ได้ ดังนั้นในอนาคต ไม่ว่าเจ้าจะก้าวไปถึงจุดไหน ก็เป็นภรรยาของข้า ภรรยาเพียงผู้เดียวของข้า”
ซือมั่วกระชับวงแขนตนเอง โอบกอดมู่ชิงเกอไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้น ราวกับว่ากลัวว่านางจะจากหายไปอย่างฉับพลัน
มู่ชิงเกอกลับถูกคำพูดของซือมั่วทำเอาฉงนขึ้นมาบ้าง นางเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดมองหน้าเขา อยากจะค้นหาเบาะแสในแววตาคู่นั้นของเขา แต่ว่าในสายตาสุขุมนุ่มลึกสีอำพันนั้นนอกจากความรักใคร่และเอ็นดูแล้ว นางก็ไม่เห็นสิ่งอื่นๆ
มองดูดวงตาคู่นั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยคำสัญญาของตนออกมา “เจ้าไม่หน่าย ข้าไม่จาก”
เจ้าไม่หน่าย ข้าไม่จาก!
คำพูดเรียบง่ายเพียงหกพยางค์กลับทำให้จิตใจของซือมั่วรู้สึกยินดีแทบจะโบยบิน เสียงหัวเราะจากภายในใจ ค่อยๆ ผ่านลำคอของเขาดังกังวานไปทั่วทั้งตัวเกี้ยว กระทั่งเล็ดลอดออกไปข้างนอก
เสียงหัวเราะอารมณ์ดีมีชีวิตชีวานั้นทำให้คนนอกรถชำเลืองมองพวกเขาไม่รู้ว่าด้านในนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้ซือมั่วหัวเราะเบิกบานเช่นนี้
หยุดเสียงหัวเราะ ซือมั่วจ้องไปยังมู่ชิงเกอที่แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาทอแววอ่อนโยน ซ่อนความรักลึกซึ้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงไปช้าๆ ครอบครองริมฝีปากที่เขาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยความอ่อนโยนถึงขีดสุด
สองขบวนรวมเป็นหนึ่งมุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองจินไห่ เค้าโครงของเมืองขนาดใหญ่ที่มองเห็นเลือนรางอยู่เบื้องหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาทุกคนชัดเจนยิ่งขึ้น มองดูด้วยสายตาอีกเพียงครู่เดียวก็จะเข้าสู่เมืองจินไห่ ขบวนรถกลับหยุดชะงักลงในทันใด
“ไปแล้วหรือ?” ภายในตัวรถ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วถาม
ซือมั่วพยักหน้า เอ่ยกับนางว่า “มีบางข่าวคราวที่ต้องไปยืนยันให้แน่ชัดเสียหน่อย รอข้านะ ข้าไปเพียงไม่นานก็จะกลับมาหาเจ้าโดยเร็ว”
“ได้” มู่ชิงเกอตอบกลับอย่างว่าง่าย
ซือมั่วยิ้มนิ่งๆ รั้งมู่ชิงเกอเข้ามาหา จุมพิตลงบนหน้าผากของนางแผ่วเบาฉายแววอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แผ่วเบาเสียจนเสมือนขนนกสัมผัสผ่าน
รอจนมู่ชิงเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในตัวรถไหนเลยจะยังปรากฏร่างของซือมั่วอยู่? เหลือเพียงประตูรถที่เปิดแง้มออก
“นายน้อย” ประตูตัวรถถูกเปิดออก พร้อมกันกับแสงจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาส่องบนครึ่งตัวของมู่ชิงเกอ เสวี่ยหยาก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกประตู
สายตาของมู่ชิงเกอปรายตามองไปยังด้านนอก ไม่พบเงาของกูหยากู่เย่แล้วจริงๆ ด้วย
“นายน้อย ด้านหน้านี้ก็ถึงเมืองจินไห่แล้ว” เสวี่ยหยาเอ่ย
“เข้ามาข้างในเถอะ เตรียมตัวเข้าเมือง” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการ
ด้วยเหตุนี้ รถสัตว์อสูรจึงได้หวนคืนลักษณะก่อนหน้านี้ จิงไห่กับหยวนหยวนบังคับรถอยู่ด้านนอก ส่วนมู่ชิงเกอก็นั่งอยู่ด้านในกับสตรีทั้งสี่นาง
ไป๋สี่มุดเข้ามาในตัวรถ ก็ส่งสายตาคลุมเครือมองมาทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับมองกลับมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ท่าทีสงบนิ่งที่สุด
“คุณชาย หลังจากเข้าไปในเมืองจินไห่แล้ว พวกเราก็จะไปเช่าคฤหาสน์หรือไม่?” โย่วเหอเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอครุ่นคิด ที่นางมาที่เมืองจินไห่มีสาเหตุหลักมาจากคำพูดของหานฉายไฉ่ นางต้องการที่จะกลมกลืนกับโลกแห่งยุคกลาง ไม่ใช่เพียงแค่แขกที่แวะเวียน จึงต้องเข้าใจทุกภาคส่วนของโลกแห่งยุคกลาง และเมืองหลักก็เป็นสถานที่ซึ่งสามารถเข้าใจส่วนต่างๆ ได้ดีที่สุด
สิ่งที่เรียกว่าทำเนียบชิงอิง ทำเนียบฉู่เฟิ่งก็แขวนอยู่กลางเมืองหลัก ประวัติที่มาของตระกูลต่างๆ ก็ล้วนอยู่ที่กลางเมืองหลัก
นางคิดจะทำความเข้าใจทั้งหมด คาดว่าต้องอยู่นาน เป็นสิบวันถึงครึ่งเดือน
ทบทวนอยู่ในใจอยู่รอบหนึ่ง มู่ชิงเกอจึงเอ่ยปากกับโย่วเหอว่า “อืม ยังคงต้องหาคฤหาสน์ที่สภาพแวดล้อมเงียบ สงบไม่ถูกรบกวนพำนักชั่วคราว”
เข้าใจในสิ่งที่มู่ชิงเกอร้องขอแล้ว โย่วเหอก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อให้มากความ
จิงไห่บังคับรถสัตว์อสูรค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปยังเมืองจินไห่ อันแสนกว้างใหญ่ มู่ชิงเกอมองผ่านรอยแยกของบานหน้าต่างเห็นสภาพด้านนอกประตูเมือง ประตูเมืองสูงร้อยจั้ง รถสัตว์อสูรลอดผ่านข้างใต้เล็กระจ้อยร่อยเช่นมดอย่างไรอย่างนั้น
“เมืองต่างๆ ของโลกแห่งยุคกลางล้วนมีตระกูลดูแล เช่นนั้นแล้วเมืองจินไห่ล่ะ?ใครจะสามารถดูแลเมืองหลักของทวีป?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามตนเองเบาๆ
แน่นอนว่าคำถามนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ในตัวรถไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามนางได้
ในขบวน มีเพียงจิงไห่เพียงผู้เดียวที่เป็นคนท้องที่เกิดและโตที่นี่ แต่ว่าตั้งแต่เล็กก็เติบโตอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมง ไม่เคยมายังสถานที่เหล่านี้มาก่อนก็เลยไม่เข้าใจ เช่นกัน
หลังจากเข้ามาในเมือง เขาเองก็เหมือนหยวนหยวน มองสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจอยากรู้อยากเห็น
มู่ชิงเกอให้ฮวาเยวี่ยเปิดบานหน้าต่าง มองดูความงามของเมืองจินไห่ ถนนตรงดิ่งกว้างขวาง ริมถนนเป็นต้นไม้ใหญ่ หลังต้นไม้เป็นถนนสายเล็กๆ ให้คนใช้สำหรับเดินเท้า ถัดไปอีกก็เป็นร้านรวงเรียงยาวแสนครึกครื้น
ประชากรเมืองจินไห่มากมาย บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย รถสัตว์อสูรเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ถือเป็นโอกาสให้พวกเขามองดูเมืองจินไห่ได้โดยสะดวก
เข้ามาได้สักพัก สายตาของพวกเขาก็ปรากฏสิ่งปลูกสร้างพิเศษแห่งหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างนั้นเป็นทรงหอคอยสูงกินพื้นที่บริเวณกว้าง บริเวณโดยรอบยังมีกลุ่มสิ่งปลูกสร้างพิทักษ์อยู่ ยอดทรงหอคอยทั้งหลังขัดด้วยผงสีทอง ตัวกำแพงขัดด้วยสีขาว ฝังอัญมณีสีสดใสวับวาว มองไปแล้ววิจิตรงดงามและดูศักดิ์สิทธิ์
“นั่นมันสถานที่ใดกัน?” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
มู่ชิงเกอเอ่ยตอบราบเรียบ “ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ก็เป็นใจกลางเมืองแห่งนี้” นางสังเกตได้ว่าสถานที่ซึ่งแลดูศักดิ์สิทธิ์วิจิตรงดงามนั้นสร้างขึ้นบนจุดตัดใจกลางของเมืองจินไห่
สามารถก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ไว้ตำแหน่งใจกลางเมืองได้บอกได้ว่าสถานที่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทั้งเมืองนี้ ขณะเดียวกันก็สำคัญที่สุด
รถสัตว์อสูรเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า เมื่อจิงไห่มองเห็นร้านค้าริมถนนที่เขียนว่า ‘สมาคมการค้า’ ก็หยุดรถ
เขาบังคับสัตว์อสูร เอี้ยวตัวไปตะโกนบอกกับตัวรถ “พี่โย่วเหอ ที่นี่มีสมาคมการค้า พวกเราจะเช่าบ้านหรือไม่?”
เมื่อเขาพูดจบ ประตูตัวรถก็ถูกเปิดออก โย่วเหอเดินออกมาจากตัวรถด้านใน เงยหน้าขึ้นมองป้ายที่ติดไว้ว่า ‘สมาคมการค้า’ เอ่ยบอกเขาว่า “ข้าไปดูเสียหน่อยว่ามีที่ถูกใจหรือไม่?”
พูดจบ นางก็เดินเข้าไปในสมาคมการค้า มู่ชิงเกออยู่ในรถยังคงทอดมองถนนหนทางด้านนอก ทันใดนั้นนางก็เอ่ยกับไป๋สี่ “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยมาที่โลกแห่งยุคกลางหรอ?”
ไป๋สี่เบะปาก “ข้าจำได้ที่ไหนกัน? ความทรงจำของข้ายังฟื้นฟูมาไม่ทั้งหมดเสียหน่อย”
คำตอบนี้ของนางทำเอามู่ชิงเกอละทิ้งความคิดที่จะถามต่อ
ไม่นานโย่วเหอก็ย้อนกลับมา บอกกล่าวแก่มู่ชิงเกอว่าหาสถานที่ได้แล้วหนึ่งที่ คนของสมาคมการค้าจะพาทุกคนไปดูก่อน หากว่าถูกใจก็สามารถย้ายเข้าไปได้เลย ความสามารถในการจัดการเรื่องราวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ความประทับใจในครั้งแรกที่มู่ชิงเกอมีต่อเมืองจินไห่ไม่เลวนัก
รถสัตว์อสูรตามคนของสมาคมการค้าไป เคลื่อนไปบนถนนหนทางตรอกซอกซอยของเมืองจินไห่ โย่วเหอไม่ได้ กลับเข้ามานั่งในตัวรถ แต่ว่ารั้งตัวอยู่ด้านนอกสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจินไห่จากคนของสมาคมการค้า
ในขณะที่การเดินทางผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม เสียงผู้คนจอแจด้านนอกก็ค่อยๆ เลือนหายไป บริเวณรอบๆ ราวกับเปลี่ยนไปอยู่ในความเงียบสงบ
“ที่นี่แหละ” คนของสมาคมการค้าให้รถสัตว์อสูรจอดลง ชี้นิ้วไปที่ประตูคฤหาสน์ที่ปิดสนิทแล้วเอ่ยบอกกับโย่วเหอ
โย่วเหอพยักหน้ารับ หลังจากที่พิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วก็เดินมาข้างตัวรถ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณ ชายพวกเรามาถึงแล้ว”
สิ้นเสียง ประตูของตัวรถก็เปิดออก โฉมงามแต่ละคนก็ทยอยออกมาจากด้านใน ทยอยเดินลงมาด้วยความสง่างามโดดเด่น
คนของสมาคมการค้ามองดูสาวงามที่เดินออกมาคนแล้วคนเล่า ก็ได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ดวงตาคู่หนึ่งไม่ รู้ว่าจะมองไปที่ใครดีจริงๆ เมื่อมู่ชิงเกอในอาภรณ์สีแดงก้าวออกมา คนของสมาคมการค้าก็ลมหายใจกระตุก
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถูกความงามของหยวนหยวนวัยเยาว์พาให้ตะลึงไม่น้อยแล้ว เมื่อเห็นสาวงามมากมายเพียงนี้คิดว่าตนเองจะคุ้นชิน ไม่ตกใจอีก แต่หลังจากที่ เห็นมู่ชิงเกอแล้ว เขาก็ได้รับรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘ความโดดเด่นในมวลมนุษย์’ ขึ้นอีกครั้ง
มองดูมู่ชิงเกอยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาสาวงาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาขึ้นมา
เขาทอดถอนใจอยู่ข้างใน ‘คิดจะเพลินเพลินไปกับความงดงามเช่นนี้โอบซ้ายกอดขวา สัมผัสความสุขของคนเพียบพร้อม ก็ต้องมีราศีรูปงามเสียก่อน!’
ดีที่คนของสมาคมการค้านั้นฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เขาเก็บความตื่นตะลึงในใจ เผยท่าทีความเป็นมืออาชีพ เปิดประตูคฤหาสน์ออก เชื้อเชิญทุกคนเข้าไปด้านใน “คฤหาสน์หลังนี้ แต่เดิมเป็นของตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง แต่ว่าต่อมาคนตระกูลนี้ถูกคนโค่นลง คฤหาสน์หลังนี้ก็ถูกซื้อต่อๆ มา พวกท่านอย่าได้กังวลไป ที่นี่ไม่เคยมีคนตาย” คนของสมาคมการค้าเอ่ยแนะนำแก่พวกมู่ชิงเกอ
คำอธิบายประโยคสุดท้ายของเขา ทำเอาไป๋สี่หัวเราะครืน
‘พรึ่ด’ เอ่ยหยอกล้อ “แม้ว่ามีคนตายจริงๆ พวกเราก็ไม่กลัว”
คำพูดของนางทำให้คนของสมาคมการค้ายิ้มออกมาเสียมิได้ แสดงท่าทีประจบประแจง
สามารถอยู่กับสาวงามเหล่านี้ได้ครู่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่เขาสามารถโอ้อวดโม้ไปได้ทั้งชีวิต!
“ทุกท่านเชิญดูได้ตามสบาย คฤหาสน์หลังนี้ไม่ถือว่าใหญ่อะไร แต่รับรองได้ว่าเพียงพอสำหรับการพักอาศัยของพวกท่าน” คนของสมาคมการค้าเอ่ยแนะนำ
มู่ชิงเกอเดินนำเข้าไปยังห้องด้านใน สำรวจบริเวณรอบๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปหาสถานที่ที่ตนเองสนใจ
เช่นโย่วเหอ ส่วนที่นางหาก่อนเป็นอันดับแรกคือโรงครัว
ส่วนหยวนหยวนก็วิ่งออกไปที่สวนด้านหลัง
มีเพียงจิงไห่ที่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปสำรวจรอบบริเวณ
สำหรับเขาแล้วอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ดังนั้นขอเพียงคนอื่นพึงพอใจ ตัวเขาเช่นไรก็ได้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ คนของสมาคมการค้าก็เขยิบเข้ามาใกล้เขา เอ่ยทำความสนิทขึ้นมาเบาๆ “นี่พี่ชาย พวกท่านมาจากที่ใดกัน?”
จิงไห่มองเขาแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ราวแสงอาทิตย์ เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราเดินทางท่องเที่ยวเขตภาคใต้ไปมาหลายแห่ง”
ติดตามมู่ชิงเกอมาเป็นเวลากว่าครึ่งปี ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ใสซื่อไร้ซึ่งการวางแผนไม่รู้จักการปิดบังตัวตนดังเช่นแต่ก่อน
คนของสมาคมการค้าเผยท่าทีเข้าใจ เอ่ยพึมพำออกมาหนึ่งประโยคว่า “ระยะนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองจินไห่ไม่น้อย ยังมีคนต่างถิ่นอีกจำนวนมาก ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้ายังนึกว่าพวกท่านเองก็มาที่นี่เพราะเรื่องนี้เสียอีก”
“มีคนต่างถิ่นเข้ามาที่นี่จำนวนมากหรือ?” ดวงตาจิงไห่หันกลับมา เอ่ยถามด้วยท่าทีแปลกใจ
เมื่อเห็นสายตาใสซื่อของเด็กหนุ่มจ้องมาที่ตนเองด้วยความแปลกใจ คนของสมาคมการค้าก็พึงพอใจ เอ่ยขึ้นอย่างอมภูมิ “ใช่แล้ว! โดยทั่วไปคนที่เข้ามาในเมืองจินไห่ล้วนเป็นคนพื้นที่เขตภาคใต้ เป็นคนต่างถิ่นส่วนน้อย ครั้งนี้มาเป็นจำนวนมากอีกทั้งแต่ละคนไม่ธรรมดา ข้ากล้ายืนยันว่าต้องมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”
“คนที่มาเป็นพวกไหนกัน?” จิงไห่แอบถาม
คนของสมาคมการค้ากลับยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้
“เป็นพวกไหนข้าเองก็ไม่ชัดเจน แต่ว่าจากการวางตัว ยังมีอาภรณ์ของเขา ท่าทางสูงส่ง ย่อมมีพื้นเพไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามาจากต่างถิ่น?” จิงไห่เอ่ย ถามด้วยความแปลกใจ
คนของสมาคมการค้าเบ้ปาก “พอพวกเขามาก็ทำท่ารังเกียจไปทั่ว พูดว่าเขตภาคใต้ของพวกเจ้าก็แค่สถานที่กันดารแร้นแค้นอะไรพรรค์นี้ คนโง่ยังรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนเขตภาคใต้”
“อ่อ? อยู่บนแผ่นดินเขตภาคใต้ยังกล้าพูดว่าเขตภาคใต้ไม่ดี ดูท่าแล้วคนพวกนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” จิงไห่คล้อยตาม
คนของสมาคมการค้าพยักหน้า “ใครว่าไม่ใช่กัน? หากเป็นคนธรรมดามาพูดเช่นนี้ คาดว่าคงถูกซัดหมอบไปแล้ว แต่ว่าข้างกายพวกเขายังมีองครักษ์ของตำหนักเทพคอยพิทักษ์ ดังนั้นชาวบ้านที่ตํ่าด้อยอย่างมดปลวกอย่างพวกเราก็ทำได้แค่เพียงกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด”
“ยังมีองครักษ์ตำหนักเทพค่อยคุ้มกัน?” จิงไห่เอ่ยด้วยความแปลกใจ
บนทางที่มา เขารู้มาจากการสนทนาของโย่วเหอและพวกทหารคุ้มกันว่ากลุ่มอำนาจที่ควบคุมดูแลเมืองจินไห่ คือสถานที่ซึ่งเรียกว่า ‘ตำหนักเทพ’ และก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่วิจิตรงดงามและศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเห็นตอนมาถึง
“ใช่น่ะสิ ท่านว่าตำหนักเทพนี้เห็นชัดๆ ว่าเป็นของเขตภาคใต้ของเรา แต่กลับไปค้อมเอวให้คนต่างถิ่น นี่ถือเป็นเรื่องใดกัน?” คนของสมาคมการค้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแขวะขึ้น
“เช่นนั้น…พวกเขามากันกี่คน แล้วมากี่วันแล้ว?” จิงไห่ถามต่อ
มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านในโถงต้อนรับของเรือนรับรอง สายตาลอดผ่านบานหน้าต่างที่แกะสลักสวดสายไปยังด้านนอกของโถงหน้า มองจิงไห่ที่สนทนาอยู่กับคนของ สมาคมการค้าใต้ต้นไม้นั้น
โย่วเหอเดินมาอยู่ด้านหลัง เอ่ยเตือนว่า “คุณชาย ดูไปพอสมควรแล้ว พวกเราตัดสินใจเลือกหรือไม่?”
มูชิงเกอเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไม่รีบ รอให้จิงไห่คุยกับคนของสมาคมการค้าจบเสียก่อน”
โย่วเหอส่งสายตามองตามไป เห็นภาพจิงไห่สนทนากับคนของสมาคมการค้าอยู่ในสายตา พยักหน้าลงอย่างเข้าใจ นางละสายตาเอ่ยบอกกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย เมื่อครู่นี้บ่าวสืบข่าวมา ที่โลกแห่งยุคกลางนี้แต่ละเขตจะมีเมืองหลักแห่งหนึ่ง ส่วนที่ควบคุมดูแลเมืองหลักหรือเรียกไค้ว่ากุมอำนาจสูงสุดของแต่ละเขตคือตำหนักเทพ ทว่า ตำหนักเทพนี้ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของแต่ละตระกูล เพียงจัดสรรเรื่องใหญ่ๆ บางอย่างของแต่ละทวีป ควบคุมดูแลความเรียบร้อยของเมืองหลัก สิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงามที่พวกเราเห็นเมื่อครู่คือสถานที่ตั้งของตำหนักเทพ นอกจากตำหนักเทพที่เขตภาคกลางแล้ว ตำหนักเทพในเขตอื่นๆ ล้วนเป็นตำหนักย่อย ผู้มีอำนาจสูงสุดของตำหนักย่อยถูกเรียกขานว่าเป็นเทวทูต รองลงมาจากเทวทูตคือนักรบศักดิ์สิทธิ์ รองลงมาจากนักรบศักดิ์สิทธิ์คือผู้รับใช้เทพ ส่วนขั้นที่ตํ่าสุดเป็นผู้ศรัทธา มีการจัดระดับไว้อย่างชัดเจน”
“ตำหนักเทพ เทวทูต นักรบศักดิ์สิทธิ์ ผู้รับใช้เทพ ผู้ศรัทธา?” มู่ชิงเกอพึมพำคำศัพท์เหล่านี้ออกมา
คำว่าตำหนักเทพนี้นางเคยได้ยินจากหานฉายไฉ่มาครั้งหนึ่ง ว่ากันว่าอันดับที่ติดบนทำเนียบชิงอิง ล้วนผ่านการตรวจสอบจากตำหนักเทพ จากนั้นดำเนินการจัด
อันดับ สุดท้ายคือประกาศไปแต่ละเขต
ส่วนที่เกี่ยวการแบ่งระดับอำนาจ หรือการแบ่งพละกำลังในนั้น นางก็ไม่รู้
โย่วเหอเอ่ยขึ้นว่า“ตามที่คนของสมาคมการค้าผู้นั้นกล่าวมา ของที่ท่านต้องการก็อยู่ในตำหนักเทพ ในตำหนักเทพมีส่วนที่เปิดเผยต่อสาธารณชน สามารถ ตรวจหาสิ่งของมากมาย”
“เช่นนี้แล้ว ตำหนักเทพแห่งนี้ก็จำเป็นต้องไปเยือนสักเที่ยวสินะ” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วกล่าวขึ้น
โย่วเหอพยักหน้า
เวลานี้เอง จิงไห่ที่สนทนาอยู่กับคนของสมาคมการค้าก็คล้ายกับว่ามาถึงจุดสิ้นสุด
มู่ชิงเกอส่งสายตาให้โย่วเหอ โย่วเหอรับรู้ได้จึงเดินออกมาจากโถงต้อนรับ เดินไปหาคนของสมาคมการค้า
ทำการเช่าคฤหาสน์อย่างราบรื่น หลังจากที่ส่งคนของสมาคมการค้าจากไปแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็เริ่มยุ่งขึ้นมา นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว ทุกคนก็สาละวนอยู่กับการเก็บ
ของ แม้แต่หยวนหยวนเองก็ไม่ยกเว้น
หลังจากขนสัมภาระลงมาจากรถสัตว์อสูรแล้ว จิงไห่ก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ “ครูฝึก เมื่อครู่นี้ข้าสืบความบางอย่างได้จากคนของสมาคมการค้า”
มู่ชิงเกอเดินไปหย่อนตัวนั่งไขว่ขาลงบนเก้าอี้กลางห้องโถง “ไหนว่ามาสิ”
จิงไห่เม้มริมฝีปาก เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เมื่อครู่นี้คนของสมาคมการค้าบอกข้าว่า สามวันก่อนมีคนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งมาที่ เมืองจินไห่ พวกเขามากันประมาณสิบคน ข้างกายยังมีองครักษ์ของหนักเทพติดตามอยู่ด้วย ดูท่าแล้วมีตำแหน่งสูง คนของสมาคมการค้าคาดเดาว่า ช่วงเวลานี้ เกรงว่าเมืองจินไห่จะเกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดทราบ”
การรายงานข้อมูลของจิงไห่ ทำเอามู่ชิงเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็มองมาที่จิงไห่ยิ้มเอ่ยบอกเขาว่า “ทำได้ไม่เลว”
ได้รับคำชมเชยจากมู่ชิงเกอ จิงไห่ส่ายหัวเป็นพัลวัน อ้อมแอ้มเอ่ยขึ้นอย่างเขินอาย “ครูฝึก เช่นนั้นข้าขอตัวไปช่วยงานก่อนขอรับ”
หลังจากมู่ชิงเกอพยักหน้าแล้ว เขาก็หมุนตัววิ่งออกไปเก็บของร่วมกับคนอื่นๆ
เรือนรับรองแบ่งเป็นเรือนส่วนหน้าและเรือนส่วนหลัง ส่วนหน้าคือโถง ส่วนหลังคือที่พักอาศัย
และส่วนหลังเองก็ยังมีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกันล้อมสวนดอกไม้ แต่ละห้องต่างก็สามารถมองเห็นความงดงามของสวนดอกไม้ในสายตา มีเพียงห้องเดียวที่
สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ดีที่สุด ย่อมตกเป็นของมู่ชิงเกอ
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยปัดกวาดทำความสะอาดห้องพักไปแล้วรอบหนึ่ง จัดวางตามความชอบของมู่ชิงเกอแล้ว จึงเดินออกไปเชิญมู่ชิงเกอที่สวนดอกไม้เข้าไปด้านใน
ห้องนี้สร้างอยู่บนบันไดจุดสิ้นสุดของระเบียงทางเดิน ยังต้องก้าวขึ้นบันไดอีกถึงจะเข้าไปได้
ห้องพักแบ่งเป็นสามตอน เรียกได้ว่าขนาดพอเหมาะ ตอนหนึ่งเป็นเตียง ตอนหนึ่งเป็นโถง ตอนหนึ่งเป็นโต๊ะ หนังสือ ชั้นวางหนังสือ เมื่อมู่ชิงเกอเดินเข้ามากระถางธูปหอมในห้องก็ถูกจุดขึ้น ควันพวยพุ่ง กลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งไปทั่วห้อง
บนเตียงมีหมอนผ้าห่มผืนใหม่พับวางไว้แล้วเรียบร้อย ยังมีกานํ้าชาบนโต๊ะที่แช่ใบชาที่มู่ชิงเกอชื่นชอบเป็นประจำเอาไว้แล้ว ขนมของว่างที่หยิบเอามาจากกล่อง อาหารบนรถก็เรียงใส่จานวางไว้บนโต๊ะ
เกรงว่าแม้จะเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย แต่ภายใต้ฝีมือการจัดวางของโย่วเหอและฮวาเยวี่ยแล้ว ก็กลายเป็นคุ้นเคยขึ้นมาอยู่หลายส่วน
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ เอ่ยกับสาวใช้ทั้งสองนางว่า “ลำบากแล้ว” ความจริงนางไม่ได้ต้องการอะไรวุ่นวาย เมื่อครั้งที่โย่วเหอและฮวาเยวี่ยไม่ได้อยู่ข้างกาย นางก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีที่พักแบบไหนก็พักแบบนั้น มีอาหารแบบนั้นก็กินแบบนั้น
เพียงแต่ว่า เวลาที่มีโย่วเหอและฮวาเยวี่ยอยู่ การใช้ชีวิตของนางก็เปลี่ยนเป็นพิถีพิถันขึ้นมา
“คุณชาย ท่านพักผ่อนเสียหน่อย รอได้เวลาอาหารคํ่า แล้วพวกเราจะมาเรียก” โย่วเหอประคองตัวมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นกล่าวว่า “รอนแรมมาตลอดทาง ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้า ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น ให้จิงไห่ไปซื้ออาหารจากโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ๆ นี่กลับมาสักหลายอย่าง ทุกคนกินอิ่มแล้วก็พักผ่อนให้เต็มที่”
คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำเอาโย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองสบตากันโดยไร้ซึ่งคำพูด สุดท้ายก็พยักหน้าและถอยออกไป
หลังจากที่พวกนางพากันออกไปแล้ว มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใด หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้โยกซึ่งวางอยู่กลางห้อง ครุ่นคิดถึงข่าวคราวที่โย่วเหอและจิงไห่สืบมารายงาน
ประตูห้องของนางเปิดกว้าง ทอดสายตามองทัศนียภาพของสวนดอกไม้ด้านนอก ใบไม้ปลิวร่วงดอกไม้โปรยปราย การเคลื่อนไหวสอดคล้องมีชีวิตชีวา
เพียงไม่นาน ไป๋สี่ก็มาปรากฏตัวอยู่บนขื่อในห้องของนาง หางงูเกี่ยวรัดขื่อแกะสลักเอาไว้ เรือนกายของสาวงามห้อยลงมา ยื่นสองมือหมายจะกุมปิดดวงตาของมู่ชิงเกอไว้
ทว่า มือทั้งสองของนางเพิ่งจะยื่นออกมา ก็ได้ยินเสียงมู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นว่า “ไม่พักอยู่ที่ห้องของตนเอง วิ่งมาที่ห้องข้าทำอะไร?”
ไป๋สี่ชะงัก ทำปากมุบมิบอย่างไม่สบอารมณ์ปล่อยตัวลงมาจากบนขื่อ แปลงกายอยู่ในรูปมนุษย์ผู้สวมใส่อาภรณ์สีขาว
นางเดินมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ นงอยู่ข้างๆ เก้าอี้โยก วางสองมือลงบนที่จับเก้าอี้นำคางเรียวแหลมวางทับไว้บนมือ ส่งสายตายั่วเย้าจ้องหน้ามู่ชิงเกอ
“มีอะไรก็ว่ามา” มู่ชิงเกอตวัดสายตาเอ่ยขึ้นราบเรียบ
ไป๋สี่หัวเราะร่า “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันตอนอยู่ในรถกันแน่? ถึงได้สั่นสะเทือนมากมายขนาดนี้”
ใบหน้างดงามของมู่ชิงเกอฉายแววกระอักกระอ่วนขึ้นมาอยู่ชั่วครู่ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเย็นชา “ไม่รู้เลยว่าเจ้าอยากรู้เรื่องผู้อื่นเพียงนี้”
ไป๋สี่ถลึงตาใส่ เอ่ยอย่างขึงขังและมีเหตุและผลว่า “นั่นเพราะเป็นเจ้าอย่างไรล่ะ หากเป็นผู้อื่น ข้าก็ขี้เกียจไปสนใจ”
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอเงียบไป รอยยิ้มยั่วเย้าของไป๋สี่ก็กดลึกมากขึ้น “เป็นไรไป? ไม่สะดวกที่จะกล่าวหรือ?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าและเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเบื่อมากใช่หรือไม่”
“ลูกพี่!” ทันใดนั้นเสียงของหยวนหยวนก็ดังลอดเข้ามา ตามด้วยเขามาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูห้องมู่ชิงเกอ เห็นว่าไป๋สี่ก็อยู่ด้วย เขาชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เข้ามาเกาะอีกด้านหนึ่งของเก้าอี้โยกที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่ คุกเข่าลงและเอ่ยถามขึ้นว่า “ลูกพี่ท่านแม่ ท่านพ่อไปที่ไหนกัน? จะกลับมาเมื่อไร?”
สรรพนามที่หยวนหยวนใช้เรียกซือมั่ว ทำเอามู่ชิงเกอมุมปากกระตุก
นางประสานสายตาเข้ากับสายตารอคอยของหยวนหยวน กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “หยวนหยวนเจ้าช่วยมีหลักการหน่อยได้ไหม? ยอมก้มหัวเพื่อบัวอัคคีไม่กี่เม็ด คุ้มกันแล้วหรือ?”
ใครเล่าจะรู้ว่า หยวนหยวนจะไม่สนใจคำพูดลึกซึ้งด้วยความปรารถนาดีของนาง กลับพูดด้วยความฉะฉานและมีเหตุผลว่า “คุ้มสิ! แค่เรียกบิดาไม่กี่ครั้ง ก็ได้มาซึ่งบัวอัคคี คุ้มค่ามากๆ!”
มู่ชิงเกอมองดูใบหน้าที่มั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก
“ลูกพี่ท่านแม่ สรุปแล้วท่านพ่อจะกลับมาเมื่อไร? ข้าก็อยากจะเรียก ‘ท่านพ่อ’ สะสมเอาไว้แลกบัวอัคคีแล้ว!” หยวนหยวนอดไม่ได้ที่จะเร่งถาม
ได้ยินหยวนหยวนเอ่ยปากเรียกท่านพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอก็หวนนึกถึงเหตุการณ์บนรถก่อนหน้านี้ เรื่องที่ซือมั่วต้องการให้นางให้กำเนิดเด็กๆ ตอนได้ฟังยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร
แต่ตอนนี้พอมาลองคิดดู สองแก้มของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนกลายเป็นสีแดง ‘ฉ่า’
“เขาไม่ได้บอก” ท่ามกลางการใช้ไม้แข็งและไม้อ่อนของหยวนหยวนในที่สุดมู่ชิงเกอก็ให้คำตอบที่ไม่ได้ทำให้หยวนหยวนดีใจออกมาหนึ่งคำตอบ
คำตอบนี้ทำให้หยวนหยวนรู้สึกผิดหวัง แต่ก็จำยอม เพราะว่าตัวเขาไม่มีความกล้าหาญไปเผชิญหน้ากับซือมั่ว สอบถามการไปมาของเขา
เวลานี้เอง โย่วเหอก็เดินเข้ามาบอกกับมู่ชิงเกอว่าอาหารเตรียมพร้อมแล้ว จึงได้ช่วยชีวิตมู่ชิงเกอออกจากหัวข้อการสนทนานี้ ลากไป๋สี่และหยวนหยวนที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ไปทานอาหารที่ห้องอาหาร
เมื่อมาถึงห้องอาหาร บนโต๊ะกลมก็มีอาหารเจ็ดแปดอย่างวางเรียงรายไว้แล้ว ส่วนจิงไห่ยังคงนำอาหารควันหอมกรุ่นออกมาจากกล่องอาหารอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทั้งหมดเจ็ดคน สุดท้ายแล้วบนโต๊ะกลมก็เต็มไปด้วยอาหารทั้งหมดยี่สิบกว่าอย่าง
ไม่โทษว่าจิงไห่จัดโต๊ะฟุ่มเฟือย ที่สำคัญคือพลังการทำลายล้างของหยวนหยวนกับไป๋สี่ที่ชวนให้ผู้คนตกใจ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ดูเป็นไขมันเหล่านั้นเกือบทั้งหมดล้วนเตรียมให้ไป๋สี่คนเดียว
“นั่งลงทานอาหารกันเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยพูดขึ้น ให้ทุกคนลงมือได้
หลังจากลมพายุผ่านพ้นไป อาหารยี่สิบกว่าจานก็หมดเกลี้ยง ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากกินอิ่ม มู่ชิงเกอถึงก็เอ่ยประกาศกับทุกคนว่า “วันที่เหลือ ทุกคนสามารถเที่ยวเล่นได้ตามอิสระ แต่ว่าก็ยังเป็นประโยคเดิม พวกเราไม่ไปหาเรื่องใครก่อน และก็ไม่กลัวมีเรื่อง”
“นายน้อย ท่านไปที่ไหน ข้าก็ไปที่นั่น หน้าที่ความรับผิดชอบของข้าคือคุ้มครองท่าน” เสวี่ยหยาลุกขึ้นมาแสดงความประสงค์
ไป๋สี่เองก็เอ่ยขึ้นทันที “ชิงเกอ ข้าเองก็จะติดตามเจ้า”
สตรีสองนางต่างก็จะตามไป โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเอง ก้มมองสบตากัน ออกตัวว่า “คุณชาย พวกเราก็จะไปเดินเล่นใกล้ๆ แถวนี้แล้วกัน ดูว่ายังสามารถได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง”
“ยังมีข้า!” หยวนหยวนยกมือขึ้นอาสา
ทว่าสายตาท่าทีกระตือรือร้นของเขา ทำเอามู่ชิงเกอสงสัยในแรงจูงใจของเขา แท้จริงแล้วเพื่อสืบข่าวหาข้อมูลจริงหรือไม่
“เจ้าก็ไม่ต้องร่วมความสนุกสนานแล้ว หลังจากอยู่เป็นเพื่อนจิงไห่ฝึกพลังยุทธ์เสร็จในแต่ละวันแล้ว พวกเจ้าสองคนถึงสามารถออกไปด้วยได้”
มู่ชิงเกอออกคำสั่ง หยวนหยวนเหมือนเป็นลูกบอลที่ถูกเจาะลมออกในทันใด ก้มหน้าแสดงท่าทีเสียใจส่งเสียงร้อง ‘อื้ม’
ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอกวาดตามองหยวนหยวน และจิงไห่ชั่วครู่ เอ่ยเตือนว่า “เมืองจินไห่นี้ไม่ด้อยกว่าสถานที่อื่น ที่นี่ซ่อนเสือเร้นมังกร ยังมีตำหนักเทพที่พวกเรายังไม่ชัดเจนอีก หากเจอเรื่องยุ่งยาก สู้ไม่ได้ก็หนี อย่าได้ยืดเยื้อ และก็ไม่ต้องไปทำตัวเก่ง จำประโยคนี้เอาไว้ สุภาพชนแก้แค้นสิบปีไม่สาย”
“เข้าใจแล้ว ครูฝึก”
“เข้าใจแล้ว ลูกพี่”
จิงไห่กับหยวนหยวนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าพวกเขาฟังรู้เรื่องแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พยักหน้าเอ่ยกับทุกคนว่า “เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับไป พักผ่อนเถอะ”
จากนั้นนางก็หันไปหาเสวี่ยหยาและไป๋สี่ “ในเมื่อพวกเจ้าจะติดตามข้า พรุ่งนี้เช้าหลังจากรับอาหารเช้าแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปที่ตำหนักเทพ”
“รับทราบ นายน้อย” เสวี่ยหยาตอบรับอย่างจริงจัง
หลังจากมอบหมายเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอก็กลับไปที่ห้องพักของตนเอง
ปิดประตูห้อง ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน เมื่อหมุนตัวนางก็หายตัวไปจากที่เดิมเข้าสู่ช่องว่าง ก่อนหน้าที่ไม่ได้พบซือมั่วยังรู้สึกว่าไม่เร่งรีบ แต่พอว่าวันนี้ได้พบหน้าแล้ว รู้ว่าเขาจะมีเรื่อง นางยิ่งต้องรีบทำเวลาหลอมโอสถระดับเทวะให้เขากินลงไป ยับยั้งบาดแผลภายในกายของเขาชั่วคราว
มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว มู่ชิงเกอก็สามารถหลอมโอสถระดับเทวะเม็ดที่สองออกมาได้อย่างราบรื่น
ทว่า หลังจากที่หลอมออกมาแล้ว นางมีท่าทางซูบเซียวอยู่บ้าง
จ้องมองโอสถที่อยู่ในมือนิ่ง มุมปากมู่ชิงเกอยกยิ้มอ่อนๆ เก็บโอสถนั้นด้วยความระมัดระวัง นางเดินออกจากห้องหลอมโอสถมุ่งไปยังเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์